Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สาปรัก... มนตร์อักษรา บทที่ 02 ติดต่อทีมงาน

บทที่ 1  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10914538/W10914538.html

_________________________________________________________

บทที่แล้ว

คุณ : แก้วกังไส >>>>> ขอบคุณมากมายนะคะสำหรับทั้งกิ๊บทั้งเจิม ประเดิมเรื่องที่หนูแตนกล้าๆ กลัวๆ ว่าจะถูกดูดกลืนหายไปด้วยฝีมือของนางสาวจรรยา เรื่องราวอาจไม่มีอะไรมาก แค่อยากบอกว่าผู้หญิง ไม่ว่าจะมีพฤติกรรมอย่างไร ก็มีหัวใจด้วยกันทุกคน เท่านั้นละค่ะ แล้วก็... เรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้นนะคะ โปรดอย่างเผลอคิดว่า เป็นชีวิตจริงของคนเขียน คริคริ *0*


คุณ : ดินสอสีน้ำ >>>>> ตอนเขียน คนเขียนก็รู้สึกยังไงๆ บอกไม่ถูกเหมือนกันค่ะ บางทีก็ออกแนวมึนๆ บางทีก็ขำกะตัวเอง ก็มีหลายประโยคเหมือนกัน


คุณ : กุลธิดา >>>>>>> ขอบคุณมากมายสำหรับคำชม ขอน้อมรับด้วยอาการระรื่นเต็มที่เลยค่ะ เพราะยังไม่เคยเขียนเรื่องแนวนี้เป็นชิ้นเป็นอัน ยังติดๆ ขัดๆ อยู่มาก แต่ได้ระดับคุณกุลธิดาเข้ามาอ่าน (และสัญญาว่าจะติดตาม) สาวแตนก็มีกำลังใจขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ


ขอบคุณทุกกิ๊บนะคะ ทั้งคุณแก้วกังไส, wor_lek, ดินสอสีน้ำ และคุณ kdunagin

มาติดตามบทต่อไปกันเลย

_________________________________________________________


                                       


                   บทที่ 02




“ช่างใจง่ายสิ้นดี”

เพลินมักบอกกับตัวเองเช่นนี้ เมื่อนึกถึงเรื่องราวครั้งล่าสุดที่ผ่านมา

แม้อีกใจหนึ่งจะปลอบว่า ไม่ใช่เธอเสียหน่อยที่เป็นฝ่ายไปเริ่มก่อน ก็พวกเขาทั้งนั้นที่หาโอกาสเข้ามาทำความรู้จัก คุ้นเคย... สนิทสนม...

“ก็นั่นละที่เขาเรียกว่าใจง่าย”

แต่อีกใจก็ยังเถียงอยู่ไม่วาย

“งั้นก็คงต้องไปศัลยกรรมหน้าตาซะใหม่ ให้มันอุจาดนัยน์ตามากกว่าจะชวนมองชวนลุ่มหลง เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ หรือไม่ก็... กินมันเข้าไป กินเสียให้เผละ ให้เป็นนังพะโล้เดินได้ ใครๆ จะได้ไม่ต้องเข้ามาก่อกวน”

แล้วอีกใจก็จะประชดประชันเช่นนี้อยู่ร่ำไป

เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมานั่นละ ที่เพลินกระทำไปตอนนั้นอย่างไม่เคยคิดจะเสียใจ ก่อนจะค่อยๆ มาลำดับเรื่องราว แล้วก็นึกหวาดหวั่นวิตกกังวลจนไม่เป็นอันกินอันนอน

ทั้งโรคาพยาธิทั้งหลาย ทั้งลูกเขาเมียเขาที่อาจจะมีซุกซ่อน ทั้งสายตาของใครต่อใครที่อาจซอกซอนมาพบเห็น...

ทุกข์ทั้งนั้น... หลังจากความสุขเพียงแค่ชั่วระเริงฝัน

ล่วงเจ็ดวันมานี่แล้ว หลังจากที่เพลินได้พบกับเขาที่สวนสาธารณะริมทางรถไฟ

มันฉาบฉวยอย่างเหลือเกิน แต่ก็เร้าใจเหลือขนาด ยากนักที่จะบรรยายว่า เรื่องราวนาทีนั้น มันเกิดขึ้นได้อย่างไร และเธอก็ไม่อยากตกอยู่ในภาวะยับยั้งใจไม่ได้เช่นวันนั้นอีก

วันนี้ เพลินจึงปลีกตัวเองมานั่งอยู่ที่นี่ ร้านริมไม้ชายน้ำ แทบจะเรียกได้ว่า ห่างไกลกันคนละทิศ จากที่ที่พบเขาเมื่อสัปดาห์ก่อน

นานมาแล้ว เธอพบร้านนี้โดยบังเอิญหลังจากขับรถกลับจากไปเยี่ยมพ่อแม่ที่ย่านอำเภอไทรน้อย หลังจากแวะเติมน้ำมัน แล้วชะเง้อมองผ่านข้ามรั้วตามวัยรุ่นชายกลุ่มหนึ่ง ที่จอดรถทิ้งไว้ในลานของปั๊มน้ำมัน แล้วพากันหาบคอนอุปกรณ์ตกปลา เดินขบวนผ่านสะพานไม้ลึกเข้าไปด้านหลัง

ในครั้งแรกเพลินจึงทำเช่นนั้น แม้ใจจะหวั่นๆ ว่ารถจะหาย แต่ก็อดใจไม่ได้ที่จะลองเดินตามพวกเขาเข้าไป ทั้งที่จริงร้านนี้ก็มีที่จอดรถเฉพาะของตน แต่เป็นอีกฝั่งที่ต้องอ้อมเข้าซอยด้านหลัง และถนนก็ค่อนข้างจะคับแคบ ทำให้หลายคนต้องยอมทิ้งรถไว้ที่ปั๊มแล้วเดินเข้าไป

แต่หลังจากที่ชายหนุ่มพนักงานเสิร์ฟแนะนำ ให้เธอนำรถมาจอดในที่ที่ร้านจัดไว้ให้เพื่อความปลอดภัย พร้อมทั้งอาสาเดินออกมาเป็นเพื่อน นำทางเธอมาจนถึงที่หมาย ตั้งแต่นั้นเพลินก็ไม่เคยต้องทิ้งรถไว้ที่ปั๊มนั่นอีกเลย

แล้ววันนี้ หนุ่มนายนั้นก็เข้ามาต้อนรับด้วยการทักทายอย่างสุภาพ...

ก็แค่เพียงวาจาและท่าทางนั่นหรอก เพราะสายตาของเขาก็ยังแอบลอบโลมไล้นวลเนื้อของเธอเหมือนเช่นเคย

ต่อหน้าผู้คน ผิวผ่องของเพลินไม่เคยช้ำชอก หรือถ้าเคยพลาดเผลอ เธอก็จะไม่มีวันออกมาให้ใครพบเห็น จนกว่าร่องรอยนั้นจะจางหาย เนื้อเนียนของเธอจึงนวลละออเสมอ ยามกระทบสู่สายตาของผู้ใด ร่างบางแต่คอดเว้า หนั่นเนื้อน่าสัมผัสตรงที่ที่ควร และเพลินก็สามารถเลือกอาภรณ์ให้เหมาะเจาะกับรูปร่าง จนเพิ่มเสน่ห์ให้ตัวเองได้อีกอย่างยิ่งยวด

ท่ามกลางพุ่มพฤกษา ไม้ไทยไม้ดอกกลิ่นหอมนานา ต่างพากันส่งกลิ่นส่งสี ไหวส่ายกลีบใบน้อยๆ ราวกับต้อนรับการมาของเพลิน แดดกลางวันจางแสงลงด้วยม่านของเงาไม้ สายลมพาพัด ลูบผิวเนื้อของเธอให้เย็นชื่น

เพลินสวมเสื้อผ้าฝ้ายลายดอกไม้ร่วง เป็นดอกดวงกระจิริดสีชมพูบนพื้นขาว เป็นเสื้อสม็อกจับจีบให้เนินอกยิ่งน่ามอง กระโปรงนั้นเป็นผ้าผืน พาดไพล่ป้ายทบกันไว้อย่างรัดรึง กระชับสะเอวไว้ด้วยเข็มขัดกะลามะพร้ามที่เจียนเป็นแว่น ฉลุลายแล้วร้อยต่อกันไว้ด้วยด้ายถัก

ผืนกระโปรงสีเข้ม ยาวจนเกือบกรอมข้อเท้า แต่ช่วงทบกลับสั้นจนหมิ่นเหม่ เพราะเพลินรู้จักเดิน รู้จักระยะก้าวของตนเองเป็นอย่างดี ระหว่างทางที่ผ่านหมู่โต๊ะเก้าอี้ของคนอื่นๆ นั้น จึงไม่มีสายตาของใครจะสามารถซอกซอนเข้าไปถึงเนื้ออ่อนด้านใน

หนุ่มพนักงานเสิร์ฟเดินตามมาด้วยท่าทางสุภาพ สายตาไม่ได้ละจากสะโพกกลมกลึงของเธอ ที่ยามมองตามไปเช่นนี้ ก็ทำให้จิตใจของเขาปั่นป่วนได้ไม่ใช่น้อย

เพลินหันมาสบตา ยิ้มให้เหมือนยั่วตอนที่นั่งลงแล้วกระโปร่งไพล่เผยให้เขาได้เห็นช่วงขาอ่อน เธอรีบเลื่อนชายผ้าขึ้นมาปิดเสียโดยไว แต่พอยกมือขึ้นรับเมนู มันก็เลื่อนลงไปอีก คราวนี้เพลินทำเป็นไม่รู้สึกตัว เพราะมีเมนูเล่มกว้าง ขวางสายตาของตนเองไว้ ทำให้ชายหนุ่มมีเวลานึกปั่นป่วนกับหัวใจพองฟูของตัวเองได้อีกครู่หนึ่ง

พอเธอเงยขึ้นอีกครั้ง แล้วเห็นหน้าแดงๆ ของเขา จึงได้แกล้งอุทานเบาๆ ก่อนจะแสดงท่าทางขัดเขินให้พองาม

“อุ้ย!... เอาอย่างเคยก็แล้วกันค่ะ แต่ขอเปลี่ยนน้ำส้มคั้นเป็นน้ำมะพร้าวอ่อน”

เพลินยิ้มให้เขาอีกครั้ง เป็นการตอบไมตรีกับรอยยิ้มที่ยังค้างคาอยู่บนใบหน้าเข้มๆ นั่นเอง

เขาโค้งให้นิดหนึ่ง ก่อนจะผละไปเหมือนไม่อยากจาก เพลินมองตามแล้วก็ต้องถอนหายใจยาว นึกตำหนิตนเองว่า แก้ไม่หายสักทีกับนิสัยที่ชอบยวนยั่วสายตาผู้ชาย

แล้วก็หวนนึกถึงร่างเสมือนของบุรุษพยาบาลผู้นั้น... อเนชา... แต่เข้มกว่า คมกว่า และถ้าเทียบกันด้วยประสบการณ์ เพลินสามารถการันตีได้ว่า ร่างเสมือนนั่นต้องช่ำชองกว่าอย่างมหาศาล

ก็เขามาแกล้งยั่วเธอก่อน ทั้งคำพูดคำจา กิริยาท่าทาง แล้วมีหรือที่เธอจะยอมให้ลูบคม

เพลินจะบอกอย่างนี้ หากคุณหมอผู้อารีเกิดซักถามว่า ใครอีกเล่าที่ทำให้เธอต้องเวียนกลับไปโรงพยาบาลในเร็ววัน จะไม่บอกหรอกว่า เธอไถลมาหาเรื่องสบสายตากับหนุ่มในฝันนามอเนชา

ก็ที่จริงมันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นมากมาย แค่นิดเดียวเท่านั้น กับแค่เรียวลิ้นหยาบหยุ่น มันจะทำให้เธอบุบสลายกระไรได้

นึกแล้วเพลินก็ขนลุกเกรียว เป็นใบหน้าของบุรุษพยาบาลนั่นหรอก ที่ลอยละล่องวนเวียน ขณะที่นายคนนั้นบรรจงบรรเลงเพลงเพลิด ด้วยเรียวลิ้นที่ละเลงละลานลงด้วยลีลาอันเลิศเลอ

มันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลยจริงๆ กับชั่วไม่ถึงสิบห้านาทีที่ได้พูดจากัน

ทั้งรสชาติของการสนทนา ก็เพียงแค่วนเวียนอยู่กับไอศกรีมกะทิบนปลายโคนอบกรอบ ที่บางจังหวะเพลินก็แกล้งลิ้มเลียอย่างยวนยั่ว และบางถ้อยคำที่แกล้งสื่อถาม ว่าเป็นเพราะเนื้อเนียนของไอศกรีม หรือเพราะเรียวลิ้นสำหรับรับรสของเธอกันแน่ ที่ทำให้ไอศรีมกะทิธรรมดาๆ เลิศรสขึ้นมาได้ถึงเพียงนั้น

แล้วเขาก็ขอพิสูจน์ หลังจากที่หลบเลี่ยงจะตอบคำ

ก็เป็นการคุยกันอย่างสุภาพที่สุดนั่นละ สำหรับคนที่เพิ่งจะพบหน้ากันไม่กี่นาที แต่กลับแฝงแรงปรารถนาในกันและกันอย่างเหลือเกิน

“ผมไม่แน่ใจ...”

เขาชื่อทิวา แต่ขอให้เพลินเรียกว่า ทวน ตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้

“ไม่แน่ใจเรื่องไหนคะ”

“ก็... เรื่องที่คุณถาม”

“ดิฉันถามง่ายๆ...”

“แต่มันตอบยาก พูดยาก”

“ทำไมคะ”

เพลินรู้สึกรุ่มร้อนขึ้นได้อย่างประหลาด ทั้งที่บทสนทนาก็มีอยู่เพียงแค่นี้

“ก็... ผมยังไม่เคยได้ลอง”

“ไอศกรีมน่ะหรือคะ”

คราวนี้เธอเห็นได้ชัด ว่านัยน์ตาคมของเขาพราวแสงขึ้นวิบวับ

“ทั้งสองอย่าง...”

ทิวาตอบมาด้วยน้ำเสียงอันลึกซึ้ง สะกิดบาดาลหัวใจของเพลินให้ไหวหวั่นได้อีกอักโข

“งั้นก็... ลองชิมดูซิคะ”

เธอแสร้งเป็นไร้เดียงสา ยื่นไอศกรีมที่ยวบเนื้อลงจนใกล้จะหยดย้อยให้เขา

แล้วชายหนุ่มนามทิวาก็ทำให้เพลินต้องลอบกลืนน้ำลาย

ดูเถิด... แค่ท่าทางของปลายลิ้นและริมฝีปาก ในการลิ้มชิมรสหวานๆ มันๆ ของเนื้อไอศรีม ยังทำให้เธอระทึกใจได้ถึงเพียงนี้

แล้วยังนั่นอีก ไม่รู้ว่าเขาแกล้งหรืออย่างไร ตอนปล่อยให้สองสามหยดนั่น ร่วงลงแปะอยู่บนซิปกางเกงยีนตัวคับ

เพลินรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว เมื่อมองตามไอศกรีมสองสามหยดนั่นลงไป

จินตนาการของเธอยิ่งเตลิดโลด...

ในที่สุดเจ้าหญิงโฉมงาม ก็ได้พบกับที่ซ่อนของมังกรดำตัวเชื่อง แทบไม่น่าเชื่อว่ามันจะซ่อนอยู่ที่ตรงนั้น เธอรู้สึกเหมือนว่ามันถูกกักขังอยู่มากกว่าจะเต็มใจ รู้สึกราวกับว่ามันถูกรัดตรึงเอาไว้จนเจียนตาย

แต่ด้วยขนาดของร่างกายอันกำยำ คงไม่ยากหรอกที่มันจะผงาดขึ้นต่อสู้ ปลดปล่อยตัวเองออกมาจากที่ขัง

ตกลงว่าพ่อมดตัวร้าย ที่มีโครงหน้าคับคล้ายกับอเนชาของเธอ จะใจดีหรือใจร้ายกันแน่นะ จึงเลือดเย็นถึงขนาดกักขังมังกรดำที่ท่าทางแสนเชื่องเอาไว้เช่นนั้น

แล้วอาการใช้ปลายนิ้วเช็ดรอยเปื้อนของไอศกรีมสองสามหยดนั้น ออกจากหน้าซิปกางเกงอย่างง่ายๆ ก็ทำเพลินต้องตื่นจากภวังค์

เธอช้อนตาขึ้นมองหน้าเขา เหมือนอย่างตอนที่ถูกพ่อแม่จับได้ว่ากระทำผิด แล้วตนกำลังส่งนัยน์ตาอ้อนวอน

คราวนี้ไม่ใช่สายตาอย่างเดียวหรอกที่แย้มพรายส่งกลับมา ทั้งใบหน้าของเขาดูเหมือนจะยิ้มตาม และพอทั้งหน้าประดับด้วยรอยยิ้มเช่นนี้ เสน่ห์ของเขาก็ยิ่งฉายฉาน เปล่งรังสีความต้องการให้ยิ่งฉายชัด

ทิวายกคิ้วให้เพลินอย่างมีเลศนัย ก่อนจะแสร้งยืนขึ้นเพื่อบิดขี้เกียจ

เสื้อยืดตัวรัด ชายสั้นจนหลุดพ้นจากขอบเอวขึ้นมาตอนที่เขายืดตัว

แค่นั้น... ยีนตัวคับ ที่ขับเน้นให้ทุกสัดส่วนเผยรูปรอยได้เด่นชัด ก็แทบจะหมดความหมาย

ระหว่างชายเสื้อกับขอบกางเกง มันให้อะไรกับสายตาของเพลินได้มากกว่านัก

นี่กระมัง จุดเริ่มต้นของความผิดพลาด...

เพราะเธอมัวเพลินมองอยู่กับสิ่งที่คิดว่าสำคัญ

ทั้งที่จริง รถไฟสายด่วนพิศวาสขบวนนี้ มีอะไรให้ต้องฉุกใจคิดอีกมากมาย...

เพราะเพลินไม่ได้มองตามสายตาทิวา

จึงไม่ได้เห็นว่าเขายืนขึ้นเพื่อหันหาใครบางคน ส่งสัญญาณให้ใครคนนั้น

สัญญาณอะไรสักอย่าง ที่เพลินไม่ได้รู้สึกระแคะระคายอะไรเลยในท่ามกลางวันแห่งความหฤหรรษ์สุดบรรยาย




ของว่างที่ถูกจัดมาก่อน เป็นน้ำมะพร้าวอ่อนพร้อมเนื้อ แช่เย็นจัดจนจับเกล็ด ทั้งหอมหวานทั้งชื่นใจยามได้ลิ้มรส กับข้าวเกรียบฟักทองแผ่นย่อม เป็นเครื่องจิ้มกับน้ำพริกผัดมันกุ้ง พร้อมตะกร้าผักสด อันบรรจุไว้ด้วยผักกาดหอม ใบบัวบก ช่อสะระแหน่และยอดชะมวง

เพลินขยับสลับท่อนขาขาวอ่อนที่ไขว้กันไว้ ด้วยกิริยาที่เผลอเรอ เพราะกำลังพร้อมจะดื่มชิมน้ำมะพร้าวอ่อนในแก้วก้านยาวทรงชะลูด

เธอแทบคว้าแก้วนั้นมาจากมือเขา ปลายมือยังได้แตะปลายนิ้วของพนักงานเสิร์ฟหนุ่มน้อยคนเดิมด้วยซ้ำ

“มัวแต่คิดอะไรเพลินๆ จนลืมของ... พี่รบกวนหน่อยได้ไหมคะน้องโต”

ชื่อบนป้ายคล้องคอของเขาระบุชื่อ โตมร

โตมรยิ้มให้อย่างเต็มใจบริการ

“กระเป๋าเครื่องเขียนหรือครับ ผมก็ว่าทำไมวันนี้พี่เดินมาตัวเปล่าๆ แต่ไม่กล้าถาม กลัวจะเป็นการละลาบละล้วง”

เขาเป็นหนุ่มรุ่นน้อง ที่ท่าทางสุภาพเรียบร้อยนั่น ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะต้องนึกเปรียบเทียบไปถึงอเนชา แต่โตมรคงอายุอ่อนกว่าหลายปี บางทีอาจจะยังไม่เต็มยี่สิบดี แต่ท่าทางของลูกชาวสวน ที่หล่อคมคายอย่างไทยแท้ๆ ได้ออกกำลังเนื้อตัวจนล่ำสันเกินอายุ แม้จะหล่อเหลาไปคนละแบบกับอเนชา ทว่าก็ยังชวนมองให้เพลินตาเพลินใจได้ไม่แพ้กัน

“ไม่ต้องพิธีรีตรองอะไรกับพี่มากนักก็ได้ค่ะ พี่ชอบสบายๆ เรื่องละลาบละล้วงอะไรไม่ต้องพูดถึง พี่ชอบแบบที่เปิดเผยจริงใจ ตรงไปตรงมากันมากกว่า”

เพลินรู้ตัวว่าพูดยาวเกินไป แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ก็ทั้งอาหารทั้งพนักงานเสิร์ฟ มันน่าขบเคี้ยวน้อยไปกว่ากันเสียเมื่อไร

“หนักหน่อยนะคะ รบกวนด้วย”

เธอหย่อนพวงกุญแจลงในฝ่ามือแน่นหนาของโตมร มือนั้นใหญ่จนเธอหวั่นไหว รูปหัวแม่มืออวบอ้วน ชวนให้นึกถึงตำรากามศาสตร์ บทที่กล่าวถึงขนาดของความเป็นชายชาญ

...สิทธิการยะท่านว่า อันบุรุษใดมีสัณฐานนิ้วหัวแม่มือดั่งกลองชาตรี จะตีดังเป็นจังหวะแน่นหนัก ไม้กลองจะใหญ่ยาวปลายโตต้นคอด สตรีใดถูกจริตนิยม จะสาสมบรมสุข ผิมิต้องใจ จะต้องปวดระบมซมไข้ ได้พิษได้เชื้อเพราะแรงเจ็บ...

เพลินพิศตามรูปร่างที่เดินห่างออกไป ด้วยท่าเดินอันมั่นคง เหมือนจะขย่มธรณีอยู่ทุกฝีก้าว ก็น่าอยู่หรอกที่ตำรานั้นจะกล่าวเอาไว้ไม่ผิดพลาด

ระหว่างกำลังอร่อยรสอยู่กับข้าวเกรียบฟักทองแกล้มน้ำพริกผัดมันกุ้ง และรอให้โตมรเดินกลับมานั้น มีหนุ่มอีกกลุ่มพากันมานั่งโต๊ะตัวที่ไม่ไกลนัก เป็นชายหนุ่มวัยกำลังเรียนมหาวิทยาลัยทั้งสี่คน ทั้งหมดแต่งตัวสะอาดสะอ้าน และหล่อเหลาเข้าขั้น ตามแบบสมัยนิยม

ได้ยินเสียงเขาซุบซิบกันทันทีที่ได้นั่งลง ก็เป็นเรื่องคะนองปากตามประสาคนเพิ่งเคยลองสัมผัสสัมพันธ์ มีการออกปากหวงแหนกัน เมื่อใครคนหนึ่งในนั้นขอแลกคู่

ก็ห่างไปแบบมีคั่นอีกแค่โต๊ะเดียว มีหรือที่เพลินจะได้ยินได้ฟังอะไรไม่ถนัด

ซ้ำยังเป็นต้นทาง ที่เธอต้องคอยมอง ว่าโตมรจะถือกระเป๋าเครื่องเขียนกลับมาทางนั้น

หนุ่มหนึ่งเผอิญได้ประสานสายตา แล้วก็สะกิดให้เพื่อนพากันมองตาม

เพลินต้องยิ้มให้ตามมรรยาท สลับขาที่ไขว้กันอยู่อีกครั้งอย่างไม่รู้จะทำอะไรอื่น

เวลามีสายตาของผู้ชายหลายๆ คนมองมาพร้อมๆ กัน เพลินจะรู้สึกตกประหม่าจนแทบทำอะไรไม่ถูก เพราะใจนั้นมัวเต้นตึกๆ กลัวว่าพวกเขาจะเข้ามารุมรัก

ตอนสายตาของทั้งกลุ่มเลื่อนลงมาที่ช่วงขาเรียวยาว เพลินก็เบือนสายตาไปทางอื่นเสียแล้ว จนไม่ได้เห็นเลยว่า บางคนในกลุ่มนั้นลอบแลบเลียริมฝีปาก ขณะที่อีกคนทำสัญญาณมือเป็นเชิงสังวาสอย่างฮึกเหิม

โตมรกลับมาพร้อมสัมภาระเครื่องเขียน อันบรรจุอยู่ในกระเป๋าด้ายถักเส้นหยาบ มีด้ายชนิดเดียวกันย้อมสีสด ถักเป็นดอกไม้แปดกลีบ ประดับตรงมุมได้อย่างเก๋ไก๋

“หนักหน่อยค่ะ วันนี้มีหนังสือ สี แล้วก็สมุดวาดเขียน”

“พี่วาดรูปด้วยหรือครับ ปกติผมเห็นแต่เขียนหรือไม่ก็อ่านหนังสือ”

“วาดบ้างค่ะ บางทีหารูปที่ถูกใจไม่ได้ก็ต้องวาดเอง”

“พี่เป็นศิลปิน แต่งตัวก็เหมือนอย่างศิลปิน”

“อย่ายกย่องถึงขั้นนั้นเลยค่ะ ก็แค่คนเขียนหนังสือขาย ต้องเขียนรูปประกอบเรื่องของตัวเองบ้าง เวลาไม่มีใครเขายอมเขียนให้”

ดีที่โตมรยืนบังเธอเสียจากสายตาของชายหนุ่มกลุ่มนั้น ทำให้ความมั่นใจของเพลินกลับคืนมาได้โดยเร็ว

“ให้ผมกลับไปเอาผ้าแพรที่พาดไว้กับเบาะนั่นมาให้ด้วยดีไหมครับ”

และเขาก็คงสังเกตเห็นท่าทางของผู้ชายกลุ่มนั้นด้วยเช่นกัน จึงได้เสนอความคิดอย่างรอบคอบ เจตนาจะให้เธอใช้คลุมหลังไหล่ หรือไม่ก็ช่วงเนื้อขาอ่อน อันเปิดเผยยวนยั่วนัยน์ตาเขาอยู่ในขณะนี้

“จะเป็นการรบกวนน้องมากไปน่ะสิ”

“ผมแค่ไม่อยากให้พี่รำคาญใจกับพวกนั้น ลูกเศรษฐีน่ะครับ ชอบมายุ่งวุ่นวายกับเด็กเสิร์ฟสาวๆ”

“น้องเป็นสุภาพบุรุษจังเลยนะคะ”

“ผมเรียนมาน้อยครับ แต่ก็ยังพอรู้ว่าจะให้เกียรติผู้หญิงได้ยังไง”

“อย่างนั้นก็... ขอรบกวนอีกครั้ง เป็นผ้าฝ้ายตรงเบาะหลังก็ได้ หนักๆ หน่อย จะได้ไม่ต้องคอยระวังปลิว”

เพลินส่งกุญแจให้เขาอีกครั้ง คราวนี้โตมรไม่ได้แบมือรอ แต่ยื่นนิ้วใหญ่ๆ นั่นเข้ามาคล้องกลางห่วงร้อย

จะว่าห่วงนั้นเล็กเกินไป หรือนิ้วมือของเขาจะใหญ่เกินไปก็ตาม พวงกุญแจรถของเพลินก็มีอันต้องพลาดพลัด จนทั้งคู่ต้องรีบคว้า โตมรไวกว่าจึงรวบมันไว้ได้ ขณะที่สองมือของเพลินได้แต่รวบกุมมือของหนุ่มรุ่นน้องไว้อีกชั้นหนึ่ง

เขาชักมือกลับ เมื่อมีเสียงโห่ฮาดังมาจากโต๊ะเดิม

ตอนที่โตมรเดินกลับไปทางนั้น เพลินยังได้ยินพวกเขาแกล้งสั่งเมนูพิสดาร

“น้องๆ เอาเดือยคั่วเกลือจานนึง”

คนหนึ่งว่า อีกคนหนึ่งก็รีบขัด

“แค่นั้นจะไปพออะไรวะ ต้องทั้งตัว น้องๆ เด็กเสิร์ฟผัดเผ็ดกระทะร้อน...”

“กระทะทองแดงน่ะสิมืง ไอ้โตมรมันมีเมียมีลูกแล้ว ก็อีหนิงที่ไปกับพวกเราคืนนั้นไงล่ะ เมียไอ้โตมรมันละ”

จะจริงหรือเท็จอย่างไรก็ไม่รู้ แต่เพลินได้เพียงแค่ทำเป็นหูทวนลม ไม่ได้ยินไม่ได้ฟังอะไรทั้งสิ้น

“จริงหรือเปล่าวะ ที่เขาว่าเด็กเสิร์ฟที่นี่ออฟได้ทั้งผู้หญิงผู้ชาย เผลอๆ ถูกใจก็ให้ฟรี ทำดียังให้เบิ้ล”

กลุ่มหนุ่มพวกนั้นยังคะนองปากต่อไป โดยไม่คิดเกรงใจว่าใครจะรำคาญหู

“ก็อีหนิงนั่นไง พวกเราตั้งสี่คน มันลดราคาคิดแค่สอง”

“ก็เอ็งเล่นซะมันครางหงิงๆ ขนาดนั้น มันไม่เลิกกะผัว ขอตามไปอยู่ด้วยก็ดีนักแล้ว”

“...ตัวอย่างนั้นกูไม่เอาไปทำน้ำยาอะไรหรอกวะ หลวมโพลกเพลกยังกะปูตายค้างคืน”

“แต่ข้าเห็นเอ็งจ้วงเอา จ้วงเอา ยังกะตายอดตายอยากมาจากไหน”

“ก็ยาเอ็งดี ขอให้เป็นอาหารจานหอยเท่านั้นละวะ ไม่ว่าหอยกาบหอยแคลงหอยแมลงภู่ อารมณ์นั้นกูต้องฟาดให้เรียบ พูดแล้วอยาก เอ็งพกไอซ์หรือเลิฟมามั่งเปล่าวะ”

“เบาๆ หน่อยไอ้เวร พ่อมืงเดินมานั่นแล้ว”

นั่นละเสียงของทั้งกลุ่มถึงค่อยสงบลง

เพราะนายตำรวจหนุ่มหล่อในเครื่องแบบ กำลังควงคู่กับ... คงจะเป็นศรีภรรยา เดินตรงมายังโต๊ะที่ว่างระหว่างมนุษย์ตัวผู้กลุ่มนั้นกับโต๊ะของเพลิน

และเธอก็ไม่ได้ยินเสียงเห่าหอนของพวกเขาอีกเลย นอกจากสายตาที่ยังเวียนส่งมา พร้อมกับการยกคิ้วหรือขยิบตาให้ในบางจังหวะ

โตมรเดินตามมาห่างๆ ผ้าผืนที่เขาอาสาไปนำมาให้ พับวางไว้ในถาดอย่างเรียบร้อย มาถึงก็ยื่นถาดให้เธอรับเอามา

เขาหันหลังเดินกลับไป หลังจากที่บอกสั้นๆ

“ผมยืนตรงโน้น จะสั่งอะไรก็เรียกนะครับ”

สุ้มเสียงเขาจืดชืดลงไป ก็คงเพราะสี่สหายปากมอมนั่นละ

แล้วเพลินก็นึกถึงสี่ตัวประกอบของวายร้าย ตัวโกงต้องมีสมุนเป็นพรวน พวกมันต้องถูกพ่อมดตัวหัวหน้า สาปไว้ให้มีร่างกายพิกลพิการต่างๆ กันไป

คนที่ทำมือไม้สัประดนนั่น เพลินจะให้มันมีมือข้างหนึ่งเป็นตะขอ อีกข้างเป็นเหล็กแหลม ให้ดูเหี้ยมเกรียมหน่อยๆ ส่วนศีรษะ จะต้องแหว่งหายตั้งแต่แนวสันคิ้วขึ้นไป ให้คนอ่านจินตนาการได้ว่า ไอ้ตัวนี้ไม่มีสมอง

อีกสองคน คนหนึ่งต้องมีหัวกับหางเป็นสุนัข หางกระดิกประจบอยู่ตลอดเวลา ขณะที่หัวนั้น ปากจะอ้า มีลิ้นยาวเลยออกมา มีน้ำลายไหลย้อยตลอดเวลา แล้วก็คอยแต่จ้องจะตวัดเลียหน้าตาสมุนอีกตัวหนึ่ง ที่มันมีหัวเป็นรูปหอยเจดีย์ มีหน้าตาเป็นติ่งเนื้อแลบแพล็มออกมา ให้ไอ้ตัวหัวสุนัขคอยจ้องแต่จะขย้ำกลืนกิน

อีกคนเพลินจะให้มันคงรูปเป็นคนอยู่อย่างนั้น แต่จะให้มันไม่มีเครื่องเพศ รูปร่างหน้าตาที่ทรงเสน่ห์นั้น จะเปล่าประโยชน์ไปทั้งสิ้น เมื่อมีสตรีใดยอมพลีกายให้

สมุนทั้งสี่ตนของพ่อมดวายร้าย ก็พ่อมดคนเดียวคนเดิม ที่มีเค้าใบหน้าของเจ้าชายอเนชาของเพลินนั่นละ ที่ทางหนึ่งพวกมันจะต้องก่อการร้ายต่างๆ นานา ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ให้เจ้าหญิงโฉมงาม ราชธิดาองค์เดียวของกษัตริย์ชรา ต้องออกมาปราบปราม โดยแผนร้ายของพวกมันก็คือ ปรักปรำความผิดทั้งหมดไปให้เจ้าชายผู้ต้องสาป ผู้ที่ต้องกลายเป็นมังกรท่าทางดุร้าย เพราะถูกพ่อมดนั่นหลอกให้กลืนลูกแก้วกฤตยามนตร์

เจ้าหญิงเอย โฉมงามหรือสติปัญญา จะช่วยให้เธอผ่านวิกฤตการณ์สำคัญไปตลอดรอดฝั่งได้อย่างไร ในเมื่อเธอหลงเสน่หาของพ่อมดที่ปลอมกายเป็นเจ้าชายรูปงามไปเสียแล้ว ซ้ำเธอยังติดตาต้องใจล้ำลึกกับมังกรดำตัวเชื่องของเขาอีกเล่า แล้วจะมีทางใดช่วยให้เธอได้พลาดพ้นจากเภทภัย

เพลินหยิบสมุดวาดเขียนออกมา นึกถึงจินตนาการอันสนุกสนานยิ่งนัก แล้วก็เริ่มร่างภาพ ละเจ้าชายแสนซื่อกับมังกรขาวท่าทางดุร้ายนั้นไว้ก่อน เพราะตอนนี้ในมโนกำลังตระการตาไปด้วย มังกรดำตัวกำยำ กับบรรดาสมุนพิกลพิการที่ขี่มังกรคู่กายมาอีกคนละตัว

น้ำมะพร้าวที่พร่องไปค่อนแก้ว คงชืดรสลงมากแล้ว ตอนที่โตมรนำเครื่องดื่มชนิดใหม่เข้ามาเปลี่ยน เขามาพร้อมผ้าเช็ด ซับน้ำที่ซึมอยู่รอบแก้วเดิมอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเสิร์ฟถาดเครื่องดื่มชุดใหม่

“ชาใบหม่อนครับ หอมเย็นๆ จิบเล่นกับข้าวเกรียบฟักทองก็ยังอร่อย”

“ขอบคุณค่ะ รู้ใจกันอย่างนี้ ลูกค้าไม่ติดใจกันแย่หรือคะ”

เพลินแกล้งกระเซ้า ยังจำได้ว่า พวกสมุนพ่อมดนั่น พูดลอยๆ ขึ้นว่า เด็กเสิร์ฟพวกนี้รับจ๊อบพิเศษนอกเวลางาน

“ผมแค่คิดว่าคุณพี่น่าจะชอบ”

“เรียกพี่ลินก็ได้ค่ะ พี่ชื่อเพ-ลิน เห็นหน้ากันมาตั้งนาน ก็ยังไม่ได้แนะนำตัวเองสักที”

“ผมเรียกคุณพี่ดีกว่าครับ ในเวลางาน หัวหน้าเขาไม่อยากให้เราสนิทสนมกับลูกค้าคนไหนเป็นพิเศษ”

“แล้วนอกเวลางานล่ะค่ะ”

เพลินยิงคำถามสำคัญออกไปในที่สุด

แต่ก่อนจะได้คำตอบ ลูกค้าที่เพิ่งตกลงใจได้ว่าจะสั่งสิ่งใด คือนายตำรวจหนุ่มหล่อกับศรีภรรยา ก็เรียกให้เขาหันกลับไปทำหน้าที่

คงเป็นเพราะบารมีของดาวบนบ่า ทำให้โตมรรีบไปจัดหาตามคำสั่งโดยไม่รั้งรอ เขาหันมาหาเธอนิดหนึ่ง เป็นทีว่าให้ลองดื่มชาใบหม่อนที่เขาอุตส่าห์นำเสนอ

พอโตมรจากไป ก็มีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้าจากที่ใดที่หนึ่ง ศรีภรรยาของคุณตำรวจรีบควานหาในกระเป๋าใหญ่โตของตน เพลินเพิ่งเห็นตอนนี้เองว่า สุภาพสตรีผู้นี้มีร่องรอยเหี่ยวย่นแล้วทั้งใต้คาง ร่องแก้มและรอบดวงตา

คงอายุมากกว่าเขา และมากกว่าตัวเพลินหลายปี

“อีกแล้วหรือครับ”

เสียงนายตำรวจหนุ่มเหมือนตัดพ้อ

“แป๊บเดียวค่ะฤทธิ์ นงค์ขอเวลานิดเดียว”

แล้วหล่อนก็รีบรับสาย พร้อมกับลุกขึ้นเดินไกลออกไป

ฤทธิ์ หรือณรงค์ฤทธิ์ ตามป้ายที่หน้าอก หันมาพยักยิ้มให้กับเพลินอย่างเนือยๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนกิริยานั้น เป็นชะงักงันอยู่กับใต้ชายผ้าปูโต๊ะ

เขาถือโอกาสเปลี่ยนที่มานั่งร่วมโต๊ะ กระซิบอย่างสุภาพและเกรงอกเกรงใจกับเพลินเต็มที่

“กระโปรงคุณเลื่อนน่ะครับ”

เป็นใครก็คงจะสรรหาถ้อยคำได้ไม่ค่อยจะถูกนักหรอก เมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ เพราะกระโปรงผ้าป้ายที่หมิ่นเหม่อยู่แล้ว บัดนี้มันไพล่เผยให้เห็น ถึงผ้าสามเหลี่ยมชิ้นน้อยด้านใน เป็นชิ้นลูกไม้โปร่งบางเสียด้วย ที่ทำให้เขาไม่อาจละสายตา

“อุ๊ยตายจริง!”

เพลินออกอุทานอย่างกำลังแสดงว่าเขินอายเป็นที่สุด แสร้งทำเป็นลำดับจัดการกับตัวเองไม่ถูกอยู่อีกอึดใจใหญ่ แทนที่จะรีบปกปิดส่วนสงวนสำคัญ กลับยกมือขึ้นปิดใบหน้าที่กำลังผ่าวร้อน

เธอลอบมองลอดระหว่างนิ้วมือที่ปิดหน้านั้น เพื่อดูว่าสายตาของนายตำรวจหนุ่มรูปหล่อ ยังคงจรดแน่วแน่อยู่ตรงที่เดิม

“คุณ... ครับ”

เสียงเขาเหมือนจะเตือน สั่นเครือจนเพลินนึกขัน

“อุ้ย! ใช่... ตายจริง”

ก่อนที่เขาจะจับได้ว่าเธอกำลังหลอกล้อ เพลินก็รีบใช้ผ้าผืนที่โตมรไปนำมาให้จากรถ คลุมลงบนหน้าตักอย่างรวดเร็ว

ได้ยินเสียงเขาระบายลมหายใจยาว จะนึกเสียดายหรือโล่งใจก็ไม่อาจรู้ได้

“ขอบคุณมากนะคะ ดิฉันมักโก๊ะกังอย่างนี้เสมอ”

พร้อมกับคำพูด เพลินส่งสีหน้าขอบคุณจากใจจริงออกไปด้วย

“อันตรายนะครับ ผู้คนสมัยนี้ไว้ใจไม่ค่อยจะได้ กำลังวาดรูปอยู่หรือครับ”

ณรงค์ฤทธิ์เปลี่ยนเรื่องได้อย่างทันใจ

“ค่ะ ร่างๆ แบบเอาไว้ กำลังจะวาดมังกรสักตัวน่ะค่ะ มังกรของพ่อมด...”

เธออธิบายเขินๆ เพราะภาพร่าง ที่เพิ่งขยายแบบจากเส้นตั้งเส้นนอน ยังมีเพียงโครงนอก ซึ่งเมื่อมองอย่างหยาบๆ แล้วก็คลับคล้ายลำเห็ดต้นอวบ ที่ดอกยังตูมเต่งชูชัน หรือไม่ก็อะไรๆ ที่มีสัญฐานคล้ายๆ ทำนองนั้น

พอดีกับที่ภรรยาของเขา... ก็คงเป็นภรรยาหรอกน่า ไม่น่าจะใช่น้า อา หรือแม่ เดินกลับมาพอดี

สุภาพสตรีผู้นี้ดูจัดเจนต่อโลก สังเกตได้จากสายตาคมกริบ ที่พราวพรายไปด้วยวี่แววแห่งความฉลาดเฉลียวและทันคน

“คุณนงค์  นี่คุณ...”

ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้ให้ภรรยาอย่างสุภาพบุรุษเต็มที่

“ลินค่ะ เพ-ลิน”

“นี่คุณเพลิน เป็นอาร์ติส”

“มิได้ค่ะ ดิฉันเป็นแค่คนเขียนรูป เขียนหนังสือ”

เพลินรีบออกตัว หลังจากที่อนงค์นาถนั่งลงเรียบร้อยแล้ว

หล่อนเลื่อนมือไปกุมมือสามีหนุ่มไว้ทันที แสดงให้เห็นกันตั้งแต่ต้นว่า หล่อนหวงแหนเขามากมายเพียงไหน แต่สีหน้าและถ้อยเจรจายังระรื่นอย่างคนอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ

“เก่งจังค่ะ วาดรูปด้วย เขียนหนังสือด้วยหรือคะ”

“ก็... แค่รูปประกอบหนังสือของตัวเองน่ะค่ะ”

“ยิ่งเก่งใหญ่ วาดเองเขียนเอง แล้วขายเองด้วยหรือเปล่าคะเนี่ย”

ถ้อยคำนั้นหวานชื่น แต่เพลินแปลเจตนาออกว่า หล่อนกำลังเหยียดหยามอย่างร้ายกาจ ชำเลืองมองเขานิดหนึ่ง เห็นเขายิ้มให้เก้อๆ เธอก็พยักให้เป็นเชิงว่าไม่เป็นไร

“กลับโต๊ะเราดีกว่าคุณนงค์”

“ยังสิคะ คุยกับคุณลินน่าสนุก ชื่อคุณเพ-ลิน หรือโสเภลินนะคะ เมื่อกี้ฟังไม่ค่อยถนัด”




**************************

แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 54 16:11:57

แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 54 15:57:24

แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 54 15:21:44

แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 54 14:59:56

จากคุณ : น.ส.สแตนเลส
เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 54 14:59:14




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com