อิงแก้วลงจากรถพลางถูมือประกบกันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆหมอก ลมเย็นพัดเอื่อยกระทบผมสีดำขลับพัดไหวสะท้อนเรือนผมเส้นหนาตัดกับหน้าขาวนวลนิ่ม ภูธนาลงจากรถพร้อมผ้าผืนใหญ่วางลงบนไหล่ของอิงแก้วที่สะดุ้งตัวโหยงตกใจเล็กน้อย ชายหนุ่มจัดแจงพันผ้าให้ถึงแม้จะแสดงสีหน้าเมินเฉย
“มันหนาว เดี๋ยวไม่สบาย”
“ไปห่วงแฟนคนใหม่พี่ไม่ดีกว่าเหรอ”อิงแก้วไม่เลิกประชดประชัน ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากเหลือบมองหล่อนที่ยังแสดงสีหน้าบึ้งตึง
“ใคร”
“ทำเป็นไม่รู้อีกก็คุณพิมพาไง ที่จุ๊บๆ กันจนเกิดเรื่อง”หล่อนหันมาแขวะ ภูธนาทอดถอนใจพยายามจะอธิบายให้เข้าใจ
“มันไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด”
“ไม่ต้องคิดแล้วมั้งภาพมันฟ้องขนาดนั้น”
“นี่อิงแก้ว”
“ทำไม ฉันพูดแทงใจดำมากหรือไง”อิงแก้วสวนต่อเขาไม่รอฟังคำตอบ ทายาทไร่ชาญทิพย์ตั้งสติก่อนพูดเขาไม่ต้องการเปิดสงครามกับหล่อนในตอนนี้
“แต่พี่ไม่ได้รักพิมพาไม่เคยคิดเลย”
“ไม่ได้คิดแล้วที่จูบกันล่ะหมายความว่ายังไง”
“พี่ยอมรับว่าพี่จูบคุณพิมจริงแต่ภาพที่เห็นมันไม่ใช่อย่างที่คิด พี่แค่ขาดสติจะว่าไปพี่ไม่ดีเองที่ทำแบบนั้นถ้าพี่ไม่เคลิ้มเรื่องก็คงไม่เกิดอย่างนี้”
“ผู้ชายไม่มีคำว่าพออยู่แล้วนี่”อิงแก้วว่าเดินเลี่ยงไปหน้าประตูแต่ชายหนุ่มคว้าแขนหล่อนได้เสียก่อน ภูธนาสบตากับอิงแก้วยืนยันว่าสิ่งที่เขาพูดไม่ได้หลอกลวงแต่อย่างใด
“ไม่ใช่ทุกคน”
“แต่หนึ่งในนั้นไม่ใช่พี่”
“ยอมรับว่าก็ไม่ใช่คนดีอะไร แต่สำหรับคนที่พี่รักแล้วพี่จะไม่มีวันทำให้เขาเสียใจ”คำพูดของภูธนาทำให้อิงแก้วนิ่งไปพักแต่ก็ตั้งตัวได้ก่อนจะย้อนกลับให้หน้าหงาย
“คำแก้ตัวของเสือที่ไม่มีวันถอดเขี้ยวเล็บได้ ยิ่งถ้าเจอสาวๆ หุ่นดีๆ ออดอ้อนเข้านิดหน่อยก็ไม่วายจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ก็อย่างที่บอกผู้ชายไม่รู้จักพอหรอก”
“แต่กับเธอพี่ไม่ได้โกหก”ภูธนาพูดพรวดขึ้น อิงแก้วยืนนิ่งหลบสายตากันและกันกับภูธนาที่รีบกลบเกลื่อนความเผลอไผของตนเอง
“ฉันจะโกหกเธอทำไม โกหกก็ไม่มีประโยชน์เด็กอย่างเธอมันหัวดื้ออยู่แล้วนี่” อิงแก้วหันขวับหลังจากได้ยินคำพูดนี้
“ฉันไม่ใช่หนูริน ไม่ใช่คุณพิมนี่จะได้เข้าตา”
“เข้าตางั้นหรือ”ชายหนุ่มเหล่ตามองเจ้าเล่ห์ อิงแก้วขมวดคิ้วทำหน้ายุ่ง
“เข้าตาแบบนี้หรือเปล่า...”ภูธนาจับมือของเธอขึ้นมาประกบดวงตาของเขา พลางเลื่อนมือลงมาประทับไว้ที่หน้าอก หญิงสาวก้มหน้ายิ้มเขินอายหลบสายตาที่มองผ่านมาจนแทบละลายไปกองกับพื้น
“แบบนี้หรือเปล่าอิงแก้ว”ภูธนากระซิบ อิงแก้วเงยหน้าขึ้นสบดวงตาประกายวาว แสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญแจ่มกระจ่างทอดแสงผ่านใบหน้าและดวงตาที่สื่อความหวานละมุนส่งให้กันและกัน ถึงไม่มีดนตรีเพราะหรูหราไม่มีแสงไฟระยิบระยับอย่างในนิยายเพียงแค่ความรู้สึกที่ส่งให้กันก็สุขล้นเกินคำบรรยายใดๆ
“ปล่อยมือฉันได้แล้ว”อิงแก้วพูดขึ้นถึงแม้ใบหน้าจะตัดไปด้วยสีชมพูระเรื่อ ภูธนายิ้มกรุ้มกริ่มค่อยๆ คลายมือออก หญิงสาวที่ชักมือกลับก้าวถอยออกมาหนึ่งก้าวเพื่อตั้งหลัก
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อนแล้วกันนะ”
“อาบน้ำแล้วห่มผ้าด้วยล่ะ กลางคืนตอนอากาศเริ่มจะหนาวแล้วดูแลตัวเองดีๆ ล่ะยัยอิงแก้ว”เขาบอกน้ำเสียงนุ่มนวล อิงแก้วพยักหน้าช้าๆ สบตากับเขาเล็กน้อยแต่ก็ไม่กล้ามากได้แต่ยิ้มขัดเขิน หล่อนรีบวิ่งเข้ามาในบ้านหลังจากที่ภูธนาขับรถกลับบ้านไปแล้วรู้สึกร้อนผ่าวผิดปกติหัวใจเต้นถี่ไม่เป็นจังหวะยิ่งได้สบตาและสัมผัสมือกันนั้นช่างรู้สึกแปลกอย่างที่ไม่เคยสัมผัส หล่อนอยากจะยิ้มให้กว้างๆ และจับมือตอบอยากสบตากับเขาเนินนานแต่ก็ไม่กล้าแค่ได้อยู่ใกล้กันก็รู้สึกตื่นเต้นราวกับฝันมันเบาหวิวและหวานราวกับน้ำตาลที่โรยบนหน้าไอศกรีมหลากรส จะเป็นอะไรไหมหนอหากหล่อนกำลังรู้สึกดีกับผู้ชายที่เกลียดมาเป็นปีๆ หรือแค่ไว้ใจมากขึ้นบางครั้งก็ยากที่จะตอบกับหัวใจของตนเองว่านี่ใช่รักหรือเปล่า
จากคุณ |
:
คุณหนูแจ่มใส
|
เขียนเมื่อ |
:
13 ส.ค. 54 21:26:03
|
|
|
|