ลำนำรักใต้แสงจันทร์ ตอนที่ 12
|
 |
ตอนที่ 11 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10908826/W10908826.html
คุณ Tyra: กันนาร์ฝากขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะ และแอบกระซิบแถมมาด้วยว่า 'ยังไม่แย่ครับผม' ^_^
======================================================================
หลังแยกจากพี่ชาย เจ้าหญิงกาอิยาห์ก็เสด็จกลับไปยังรถม้าซึ่งจอดรออยู่หน้าตำหนักหลวง หากแทนที่จะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ พระองค์กลับหันไปหานางกำนัลผู้ติดตามพลางออกคำสั่ง “แมรี่เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะไปเยี่ยมท่านน้า” “เอ๊ะ แต่องค์หญิงมีเรียนประวัติศาสตร์กับลีลาสนะเพคะ ทรงเลื่อนนัดท่านอาจารย์มาหลายครั้งแล้ว คราวนี้ถ้าต้องเลื่อนไปอีกคุณพี่เลี้ยงคงฆ่าหม่อมฉันแน่” แม่สาวใช้รีบทูลเตือนเพราะรู้นิสัยของผู้เป็นนายดี “ไม่ลืมหรอกน่า ข้าขอแค่แวะไปทักทายท่านน้าแป๊บเดียวเท่านั้นเอง นะแมรี่ ข้าสัญญาว่าเสร็จธุระแล้วจะรีบกลับทันที”
เมื่อเห็นนางข้าหลวงผู้ติดตามยังลังเล เจ้าหญิงก็รีบตรัสสำทับขึ้นอีกด้วยท่าทางขึงขัง
“รับรองว่าข้ากลับถึงตำหนักก่อนเวลาเรียนแน่นอน หรือถ้าเจ้าไม่เชื่อ...เอาหัวนอร่าเป็นประกันก็ได้เอ้า”
แมรี่อดยิ้มขันประโยคโกงๆ ของนายสาวไม่ได้ เจ้าหญิงจากแคว้นรัธผู้นี้ทรงมีพระนิสัยที่แปลกไม่ซ้ำแบบใครจริงๆ พระองค์ไม่เคยเรียบร้อยอ่อนหวานเหมือนกับเจ้าหญิงองค์อื่น หากแต่แก่นแก้วเสียจนทำให้พวกนางกำนัลต้องปวดหัวไปตามๆ กัน ทว่าความปราดเปรียวราวกับม้าพยศของเด็กสาวก็สร้างความแจ่มใสมีชีวิตชีวาให้กับปราสาทลินเด็นที่เต็มไปด้วยกฎระเบียบน่าเบื่อหน่ายได้ไม่น้อย ดังนั้นแม้จะต้องหัวหมุนไปเพราะเจ้าหญิงกาอิยาห์ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แมรี่ก็ยังอดมีใจเอนเอียงเข้าข้างนายสาวไม่ได้อยู่นั่นเอง “องค์หญิงต้องทรงสัญญากับหม่อมฉันก่อนนะเพคะ ว่าจะเสด็จกลับมาให้ทันเวลาน้ำชา” นางพยายามทำเสียงให้ฟังดูเข้มงวดที่สุดเท่าที่จะทำได้ “รับรองเลยจ้ะ” เจ้าหญิงกาอิยาห์แย้มสรวลใสอย่างยินดี “ข้าสัญญา” หลังจากตกปากรับคำกับนางข้าหลวงผู้ติดตามแล้ว คนเป็นเจ้าหญิงก็แสร้งเดินเลี้ยวไปตามถนนปูหินทางด้านขวาก่อนจะแอบหลบเข้าข้างทาง รอจนกระทั่งรถม้าคันเล็กที่แมรี่ก้าวขึ้นนั่งแล่นกลับตำหนักแสงจันทร์ไปเรียบร้อยจึงค่อยเสด็จออกจากที่ซ่อน สาวพระบาทตัดสวนดอกไม้และลานน้ำพุไปในทิศทางตรงกันข้ามกับสถานที่ที่ทรงบอกนางข้าหลวงไว้ว่าจะเสด็จอย่างสิ้นเชิง…
นักบวชสูงอายุหนวดเคราขาวนั่งขัดสมาธิหลับตานิ่งอยู่บนพื้นพรมกลางหอสวดมนต์เก่าแก่ ติดกับตำหนักที่ประทับของอดีตราชินีแห่งกรีนแลนด์ หอสวดมนต์หลังนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกษัตริย์องค์แรกขึ้นปกครองกรีนแลนด์ เคยถูกใช้เป็นที่ทรงศีลของบรรดาราชินีม่ายผู้สูญเสียพระสวามีจากสงครามมาหลายชั่วอายุคน จนกระทั่งประเพณีไว้ทุกข์แบบโบราณถูกยกเลิกไปจึงได้ปิดทิ้งเอาไว้จนตัวอาคารบางส่วนเริ่มทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ส่วนที่ยังดีอยู่ก็ถูกเถาวัชพืชเลื้อยขึ้นปกคลุมเสียจนรกเรื้อแทบจะมองไม่เห็นสภาพดั้งเดิม ไม่มีใครล่วงรู้ว่าบัดนี้หอสวดมนต์หลังเก่าได้ถูกเปิดออกใช้งานอีกครั้ง...อย่างเงียบเชียบและเป็นความลับ สายลมเย็นพัดวูบผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่าง ซึ่งถูกบดบังเอาไว้มิดชิดด้วยเถาไม้เลื้อยสีเขียวเข้มทิ้งก้านยาวระย้าลงมาราวกับม่าน เปลวไฟสีส้มแดงปลายคบเพลิงสะบัดไหวก่อให้เกิดรูปเงาวูบวาบน่าพรั่นพรึงคล้ายภูตผีปิศาจกำลังร่ายรำอยู่บนแผ่นผนัง ร่างที่นั่งนิ่งอยู่กลางห้องสะดุ้งผวาขึ้นทั้งตัว ก่อนที่ดวงตาสีเทาขุ่นเป็นฝ้าจะลืมขึ้นช้าๆ นักบวชชราขยับกายเพื่อคลายความเมื่อยขบจากการที่ต้องทนนั่งนิ่งอยู่กับที่นานถึงสามวันสามคืนโดยปราศจากทั้งน้ำและอาหาร เขาเหยียดท่อนแขนข้างขวาออกไปเบื้องหน้าให้นกสีขาวปลอดที่เพิ่งบินเข้ามาในห้องร่อนลงเกาะ อีกมือหนึ่งก็ไล้ไปบนเส้นขนอ่อนนุ่มของเจ้าสัตว์อาคมตัวนั้นอย่างรักใคร่...ไม่เสียแรงที่สู้อุตสาห์นั่งสมาธิ ส่งกระแสจิตรับรู้ตามติดมันไปเฝ้าจับตาดูการเคลื่อนไหวของเจ้าชายกันนาร์ ในที่สุดความพยายามและความอดทนของเขาก็สัมฤทธิ์ผล นักบวชแห่งทาเนียร์ค่อยหยัดกายขึ้นยืนอย่างลำบาก ร่างผ่ายผอมในชุดยาวรุ่มร่ามสีขาวขลิบทองโงนเงนเล็กน้อย ขณะก้าวผ่านซุ้มประตูโค้งระหว่างเสาสองต้นไปสู่ขั้นบันไดหินอ่อนสีเทาทึม มีนกขาวตัวเดิมเกาะนิ่งอยู่บนไหล่ขวา ชายชราใช้มือยึดราวทองเหลืองดุนลายดอกไม้ที่กลายเป็นสีเขียวอมฟ้าเพราะคราบสนิมพยุงตัวก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้น จนกระทั่งมาหยุดอยู่บนพื้นศิลาเรียบเป็นมันทว่าเย็นเฉียบบนชั้นสอง ดวงตาสีเทาขุ่นแลข้ามลานโล่งไปยังห้องที่มีคบไฟสว่างปักอยู่ข้างประตู ก่อนจะก้าวตรงไปเคาะห่วงเหล็กคร่ำคร่าลงกับแผ่นไม้สีน้ำตาลซีดแล้วยืนนิ่งรอจนได้ยินเสียงอนุญาตจากคนในห้อง จึงผลักบานประตูให้เปิดออกก่อนจะแทรกกายหายลับเข้าไปภายใน ห้องนั้นค่อนข้างมืดทั้งยังอับทึบเนื่องจากหน้าต่างสองบานด้านในสุดชำรุดจนไม่อาจเปิดออกได้ โชคดีที่ผนังห้องเจาะช่องลมเอาไว้โดยรอบทำให้พอมีอากาศถ่ายเทได้บ้าง แสงสลัวจากเชิงเทียนกิ่งบนเสาทรงกลมตามมุมส่องให้เห็นสภาพภายในห้องที่ค่อนข้างทรุดโทรม หากได้รับการเช็ดถูทำความสะอาดเอาไว้เป็นอย่างดี บนเตียงนอนไม้สี่เสาใหญ่โตเทอะทะแบบโบราณมีที่นอนนุ่มปูทับด้วยผ้าสีเหลืองนวลสะอาดสะอ้านหอมกรุ่น เห็นได้ชัดว่าเป็นของใหม่ที่จัดวางไว้แทนของเดิมซึ่งคงใช้การไม่ได้แล้ว ม่านคลุมรอบเตียงก็ถูกเปลี่ยนใหม่เป็นผ้าไหมดุนลายดอกละเอียดยิบสีน้ำเงินสด เก้าอี้ไม้พนักสูงสองตัวริมผนังตั้งขนาบข้างโต๊ะไม้ครึ่งวงกลมถูกเช็ดถูจนสะอาดน่านั่ง แม้สีสันและลวดลายบนเบาะผ้าไหมจะซีดจางไปตามกาลเวลา หากทั้งโต๊ะและเก้าอี้ยังอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดี ยิ่งไปกว่านั้นตรงมุมห้องยังมีโต๊ะเล็กวางแจกันกระเบื้องทรงกลมรองรับด้วยผ้าลูกไม้บอบบางประดับดอกคาเมลเลียสีชมพูสลับขาวเพิ่มความสดชื่นให้กับห้องอีกด้วย ดอกไม้พวกนี้สาวใช้ของเจ้าหญิงลูเซียเป็นผู้นำมาเปลี่ยนให้ทุกวัน นักบวชชราไม่ต้องใช้เวลานานนักในการปรับสายตาให้ชินกับแสงสลัวภายในห้อง เพราะบริเวณระเบียงด้านนอกซึ่งเขาเพิ่งจากมาก็ไม่ได้สว่างไปกว่ากันเท่าใดนัก เขากวาดตามองหาชายหนุ่มเจ้าของห้อง พบว่าฝ่ายนั้นกำลังยืนพิงกรอบหน้าต่างจ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรเฉยเมยยากจะเดาความรู้สึก ชายชรารีบสาวเท้าเข้าไปหาพลางกล่าวรายงาน สุ้มเสียงของเขาแม้จะฟังดูอ่อนล้าหากแฝงชัยชนะอยู่ในที “เจ้าชายกันนาร์เสด็จออกนอกปราสาทไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” “แน่ใจหรือท่านบาธ” ผู้ฟังขมวดคิ้ว ยังไม่ปลงใจเชื่อเสียทีเดียว “แน่ใจพ่ะย่ะค่ะ นกของกระหม่อมติดตามเจ้าชายไปจนถึงสะพานชักก่อนจะบินกลับมาที่นี่” “ดีมาก” ชายหนุ่มในชุดดำขยับร่างเปลี่ยนจากท่ายืนตามสบายเมื่อครู่เป็นยืดตัวขึ้นตรงอย่างเตรียมพร้อม ดวงเนตรคมกริบดำสนิทราวกับสีของรัตติกาลทอดมองไปยังดาบคู่กายที่วางอยู่บนโต๊ะ ริมฝีปากบางเฉียบเหยียดรอยยิ้มเย็น “ถ้าอย่างนั้นก็คงถึงเวลาไปเยี่ยมไข้ราชาเอลเบอเรธกันแล้ว”
กลิ่นหอมปนหวานเอียนๆ ที่ลอยตามลมมา ชวนให้เกิดความรู้สึกเคลิบเคลิ้มอย่างประหลาด ราชองครักษ์เวรที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องบรรทมของราชาแห่งกรีนแลนด์พยายามสะบัดศีรษะไล่ความมึนงงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันอยู่หลายครั้ง หากไม่เป็นผล พอรู้สึกตัวอีกทีพวกเขาก็มายืนอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้กว้างไกลสุดสายตาเสียแล้ว แม้จะงุนงงอยู่ไม่น้อย หากภาพที่เห็นก็งดงามเสียจนสององครักษ์หนุ่มแทบจะลืมหายใจ ความสงสัยที่กำลังจะก่อเกิดขึ้นในสมองระเหยหายไปรวดเร็วราวกับน้ำค้างต้องไอแดด เช่นเดียวกับความทรงจำของพวกเขา ภาพระเบียงกว้างของตำหนักหลวงดูเลือนรางห่างไกลออกไปทุกทีจนคล้ายกับเป็นเพียงภาพในความฝัน ...ทุ่งดอกไม้งดงามที่เห็นอยู่ตรงหน้านี่ต่างหากเล่าคือความเป็นจริง! ควันสีฟ้าอ่อนจางจากโถกำยานม้วนตัวลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ กลิ่นหอมเอียนเปี่ยมมนต์ขลังของดอกหญ้าหลงลืมอวลตลบ ฉุดกระชากสติสัมปชัญญะของสองราชองครักษ์หนุ่มให้หลุดลอยแล้วปลิวหายไปกับสายลม เจ้าหญิงลูเซียทรงวางโถกำยานใบเล็กในพระหัตถ์ลงบนพื้นระเบียงใกล้กับห้องบรรทมของราชาเอลเบอเรธก่อนจะเสด็จย้อนกลับไปตามทางเดิมอย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครในตำหนักหลวงสงสัยหรือคิดแปลกใจที่เห็นพระองค์เสด็จมาเยี่ยมองค์ราชาเพียงลำพังในเวลาเช่นนี้ เพราะพวกเขาล้วนตกอยู่ในภวังค์ความฝันอันเกิดจากกลิ่นของดอกหญ้าหลงลืมทั้งสิ้น
เจ้าชายดิเร็กซ์ค่อยย่างพระบาทออกจากหลืบเสาที่ซ่อน หลังจากรออยู่นานจนมั่นพระทัยแล้วว่ากำยานหอมชนิดพิเศษที่ทรงใช้ให้เจ้าหญิงลูเซียถือมา ออกฤทธิ์เป็นที่เรียบร้อย ร่างในชุดสีดำทะมัดทะแมงโพกเศียรด้วยผ้าผืนใหญ่ทิ้งชายยาวตวัดคลุมดวงพักตร์เอาไว้ครึ่งๆ ก้าวผ่านราชองครักษ์เวรที่ยืนนิ่งราวกับหุ่นไร้ชีวิตเข้าไปในห้องบรรทมขององค์ประมุขแห่งกรีนแลนด์ ขณะที่อีกาสีขาวตัวใหญ่บินแยกไปเกาะอยู่บนลูกกรงระเบียงเพื่อคอยดูต้นทาง ในห้องสว่างนวลไปด้วยแสงสลัวสีอำพันจากเชิงเทียนกิ่งตั้งพื้นและโคมแก้วเจียระไนบนเพดาน หน้าต่างทุกบานถูกหับปิดเพื่อกันไม่ให้สายลมเย็นพัดมาต้องพระวรกายของผู้ที่นอนป่วยอยู่บนเตียง ข้าวของทุกชิ้นยังคงตั้งอยู่ในที่ในทางของมันตามเดิมเหมือนวันที่พระองค์เสด็จมาเยี่ยมพระอาการของประมุขแห่งกรีนแลนด์ไม่มีผิด เพียงแต่... วันนี้ไม่มีบุคคลที่สามอย่างเจ้าชายกันนาร์อยู่เป็นก้างขวางคอ ดวงเนตรคมกริบราวกับเหยี่ยวแลปราดไปยังพระแท่นขนาดใหญ่กลางห้อง ร่างของคนที่นอนอยู่บนนั้นแลเห็นเป็นเงาลางๆ ผ่านม่านบางเบาสีขาวซึ่งคลี่คลุมอยู่โดยรอบ เจ้าชายแห่งทาเนียร์ขยับพระวรกายเข้าไปจนชิดเพื่อจะแหวกผ้าม่านทอดพระเนตรคนบนเตียงให้ถนัดยิ่งขึ้น ราชาเอลเบอเรธบรรทมหลับพระเนตรนิ่งไม่ได้พระสติอยู่ภายใต้ผืนแพรเนื้อบาง สีพระพักตร์ในวันนี้ดูสดใสขึ้นจนผิดตา ไม่เผือดซีดปราศจากสีโลหิตราวกับคนเจ็บหนักปางดายดังที่พระองค์เห็นครั้งก่อน จะว่าไปแล้วดูไม่ต่างจากคนที่นอนหลับตามปกติเสียด้วยซ้ำ
...นักบวชของกรีนแลนด์ท่าจะเก่งจริง...
แต่ถึงกรีนแลนด์จะมีนักบวชที่เก่งกาจขนาดไหน ราชาหนุ่มพระองค์นี้ก็ต้องสิ้นพระชนม์อยู่นั่นเอง เจ้าชายดิเร็กซ์แย้มสรวลเหี้ยมเกรียมอยู่ภายใต้ผ้าคลุมพระพักตร์ ขณะที่คมดาบขาววับในพระหัตถ์ค่อยๆ เลื่อนหลุดจากฝัก ทรงเงื้อมันขึ้นสูงแล้วตวัดฟันลงมาเต็มแรง ใบดาบคมกริบบาดลึกเข้าไปในผิวเนื้ออ่อนนุ่มของผู้ที่นอนสิ้นสติอยู่ทีเดียวเกือบครึ่ง เพียงออกแรงกดเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยศีรษะของประมุขแห่งกรีนแลนด์ก็ขาดสะบั้นออกจากร่าง โดยที่เจ้าตัวไม่มีโอกาสได้ส่งเสียงร้องหรือแสดงอาการหวาดสะดุ้งแม้สักนิด ดอกไม้โลหิตสีแดงฉานร่วงหล่นจากร่างไร้ชีวิตลงเปื้อนผ้าปูที่นอนขาวสะอาด แต้มกลีบคาวคลุ้งกระจายเกลื่อนไปทั้งผืน กลิ่นอายแห่งความตายอวลตลบแทบจะกลบกลิ่นหอมหวานของดอกหญ้าหลงลืมให้จืดจางลงได้ชั่วขณะ
เจ้าชายดิเร็กซ์ถอนดาบกลับคืนมาพลางทอดพระเนตรผลงานตรงหน้าอย่างพึงพระทัย...หน้าที่ของพระองค์เสร็จสิ้นลงแล้ว จากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับว่าคณะทูตของทาเนียร์จะเกลี้ยกล่อมให้ราชาเฒ่าแห่งวูดแลนด์ยอมร่วมมือด้วยได้มากน้อยแค่ไหน ชายหนุ่มละสายตาจากร่างอันน่าสมเพชบนเตียงนอน ขยับยกดาบในมือขึ้นเช็ดทำความสะอาดก่อนจะสอดเก็บเข้าฝักดังเดิม คมดาบขาววับล้อแสงไฟเป็นเงาเลื่อมสะท้อนปราบเข้าตา ตลอดทั้งความยาวของแผ่นโลหะแบนบางนั้นไม่มีรอยเปื้อนของคราบโลหิตให้เห็นแม้แต่หยดเดียว ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเท่าขนแมวเสียด้วยซ้ำ ดาบที่เพิ่งจะดื่มเลือดของราชาแห่งกรีนแลนด์ไปสดๆ ร้อนๆ ยังคงอยู่ในสภาพสะอาดเอี่ยมเหมือนเมื่อแรกหลุดออกจากฝักไม่มีผิด!! เจ้าชายแห่งทาเนียร์รู้สึกราวกับถูกนาบด้วยก้อนน้ำแข็งเย็นเฉียบจนชาดิกไปทั้งร่าง ความเข้าใจอันลางเลือนพุ่งวาบเข้าสู่สมอง เร่งเร้าให้พระองค์ต้องตวัดพระเนตรกลับไปยังร่างไร้ชีวิตของคนบนเตียงอีกครั้ง ทว่าคราวนี้สิ่งที่ทรงทอดพระเนตรเห็นกลับไม่ใช่ซากร่างของราชาเอลเบอเรธ หากแต่เป็นตุ๊กตาไม้แกะสลักฝีมือหยาบ วางอยู่เหนือที่นอนนุ่มใต้ผืนแพรสีเหลืองนวลขาดเป็นริ้ว ดวงเนตรคมกริบของเจ้าชายดิเร็กซ์จ้องนิ่งไปที่กระดาษแผ่นน้อยซึ่งตกอยู่ข้างตัวตุ๊กตา เปลวไฟสีน้ำเงินอมม่วงปราศจากความร้อนกำลังลุกไหม้ลามเลียกระดาษแผ่นนั้น เพียงพริบตาเดียวก็หายวับไปไม่เหลือให้เห็นแม้แต่เศษเถ้า ไม่มีผ้าปูที่นอนชุ่มโลหิต...
ไม่มีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง...
ไม่มีแม้กระทั่งองค์ประมุขแห่งกรีนแลนด์... ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นภาพลวงอันเกิดจากเวทมนตร์มายาทั้งสิ้น “บัดซบ” เจ้าชายดิเร็กซ์ขบพระทนต์แน่นเพื่อข่มโทสะ เป็นเพราะทรงประมาทฝีมือของศัตรูมากเกินไปจึงถูกกลหลอกเด็กง่ายๆ แค่นี้ตบตาเอาได้ “หนังเหนียวนักนะเอลเบอเรธ อย่าให้ข้ารู้ก็แล้วกันว่าเจ้าไปมุดหัวซ่อนอยู่ที่ไหน” ชายหนุ่มกระแทกดาบคืนสู่ฝักเต็มแรงก่อนจะผละออกห่างจากเตียงนอน ก้าวตรงไปยังประตูทางออกด้วยความรวดเร็วและเงียบเชียบเฉกเช่นขามา...
ซิสหอบฟางใหม่ฟ่อนสุดท้ายเข้าไปในคอกม้า จัดการปูมันลงตรงมุมหนึ่งเพื่อให้เป็นที่นอนของเจ้าม้าสีเทาพันธุ์ดีชื่อฟริกก้า ม้าตัวนี้แม้จะยังไม่โตเต็มที่แต่ก็มีกล้ามเนื้อแน่นสมบูรณ์และรูปร่างสมส่วนสวยงามทีเดียว พอเห็นมันแล้วทำให้เขาอดคิดถึงเจ้าโอนิกซ์ของตนเองขึ้นมาไม่ได้ ม้าที่มีจิตใจอ่อนโยนอย่างมันต้องตกไปอยู่ในมือคนป่าเถื่อนพวกนั้น ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ น่าเจ็บใจนักที่เขาไม่สามารถแย่งเจ้าโอนิกซ์กลับคืนมาได้ทั้งที่อุตสาห์หามันจนเจอแล้วแท้ๆ “เฮ้ยเจ้าหนู ทำงานอย่ามัวแต่เหม่อสิ” เสียงคนดูแลม้าในคอกถัดไปตะโกนดุ ซิสถอนใจเฮือกแล้วใช้คราดในมือเกลี่ยฟางบนพื้นให้เรียบเสมอกัน ตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนจะนำอุปกรณ์ทั้งหมดไปเก็บในห้องด้านในสุด งานของเขาคือการให้อาหาร อาบน้ำ แปรงขนและดูแลจัดเตรียมที่นอนสะอาดๆ ให้กับเจ้าม้าตัวนี้ หลังจากขนเศษฟางเก่าจากคอกของเจ้าฟริกก้าไปกองรวมกันไว้ตรงที่ว่างด้านหลังเรียบร้อยแล้วก็ถือว่างานในช่วงเช้าเสร็จสิ้นลง เด็กหนุ่มเดินไปล้างไม้ล้างมือที่บ่อน้ำใกล้ๆ ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือกว่าจะถึงตอนเย็นที่เขาต้องกลับมาทำความสะอาดคอกให้เจ้าฟริกก้าอีกรอบ ซิสนึกถึงดาบเล่มใหม่ที่พี่ชายชื่อเมลยื่นส่งให้ก่อนออกเดินทาง จนป่านนี้เขายังไม่มีโอกาสได้ทดลองใช้มันดูสักที ช่วงเวลาที่ยังว่างอยู่ถ้าได้ออกกำลังเรียกเหงื่อสักหน่อยก็คงไม่เลวนัก เด็กหนุ่มตัดสินใจมุ่งหน้ากลับไปยังที่พักด้วยอารมณ์เบิกบานขึ้นเล็กน้อย บริเวณเรือนพักของนักบวชแทบจะไม่ปรากฏเงาของผู้คนให้เห็น นักบวชส่วนใหญ่ยังคงยุ่งอยู่กับงานในห้องปรุงยา พวกที่เหลืออีกไม่กี่คนก็ต้องดูแลพืชสมุนไพรในสวน ซิสเดินย่ำเท้าสวบๆ เข้าไปในตัวอาคารโดยไม่ใส่ใจกับสภาพอันเงียบเชียบรอบกาย พอถึงห้องพักเด็กหนุ่มก็ตรงรี่ไปคว้าดาบที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วตั้งท่าจะย้อนกลับออกไปทันที ทว่าสายตาสะดุดเข้ากับประตูห้องนอนที่เปิดอ้าเสียก่อน เขาชะงักฝีเท้าพลางขมวดคิ้วอย่างสงสัย จำไม่ได้จริงๆ ว่าเผลอเปิดมันทิ้งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เด็กหนุ่มโคลงศีรษะ ขยับจะก้าวเข้าไปปิดประตูก็พอดีได้ยินเสียงกุกกักดังลอดออกมา ซิสแน่ใจว่าตนเองไม่ได้หูฝาด เด็กหนุ่มกระชับดาบในมือแน่นขณะย่องเงียบกริบเข้าไปในห้องนอนเพื่อค้นหาที่มาของเสียง
กรี๊ดดดด...... เจ้าหญิงกาอิยาห์หวีดร้องเสียงดังอย่างตกพระทัยก่อนจะหันขวับไปมองทางเบื้องหลัง พอทอดพระเนตรเห็นถนัดว่าผู้ที่บังอาจเอื้อมมือมาสัมผัสร่างของพระองค์เป็นใคร สุรเสียงใสก็แหวขึ้นพร้อมกับทรงสะบัดพระองค์ถอยหลังไปอีกหลายก้าว “บังอาจมาก...เจ้าเข้ามาทำอะไรในนี้” หนุ่มน้อยร่างผอมสูงหน้าตาดี สวมเสื้อทูนิคสีน้ำตาลทับกางเกงสีดำแบบเด็กรับใช้ทั่วไป ยกมือข้างที่ใช้สะกิดเอวของคนเป็นเจ้าหญิงค้างกลางอากาศ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใสภายใต้คิ้วเข้มหนาที่บัดนี้ขมวดเข้าหากันจนเกิดรอยย่นตรงกลาง จ้องตอบกลับไปโดยไม่หลบ ความสนเท่ห์ฉายชัดออกมาอย่างเปิดเผย “ก็นี่มันห้องของข้า เจ้าต่างหากเข้ามาทำอะไรในห้องของข้า” เจ้าหญิงกาอิยาห์ตวัดมองหน้าผู้ที่กล้าตั้งคำถามกับพระองค์แวบหนึ่ง ก่อนจะแสร้งเมินไปทางอื่นพร้อมกับตรัสถามเปรยๆ “เจ้าพูดจาแบบนี้ ไม่รู้ใช่มั้ยว่าข้าเป็นใคร” เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบในทันที เขาโยนดาบที่ถือติดมือเข้ามาในห้องนอนลงบนเตียงดังโครม ยกสองมือขึ้นกอดอกจ้องหน้าเจ้าของคำถามด้วยท่าทางเอาเรื่อง ...ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าแม่สาวน้อยคนสวยที่ยืนพูดฉอดๆ อยู่ตรงหน้านี้เป็นใคร ถึงจะเคยเห็นนางแค่ครั้งเดียวเขาก็จำได้แม่น “เจ้าหญิงกาอิยาห์ใช่มั้ยล่ะ” เด็กหนุ่มเว้นระยะนิดหนึ่ง ก่อนจะย้อนด้วยประโยคเก่าของอีกฝ่าย ทว่าน้ำเสียงดูแคลนเต็มที่ “เจ้าต่างหากที่ไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร” “ทำไมจะไม่รู้...เจ้าก็คือเด็กเลี้ยงม้าของข้าไงล่ะ” ดวงตาคมกล้าของคนฟังวูบไหวไปเล็กน้อยหากเพียงครู่เดียวก็เปล่งประกายถือดีออกมาเช่นเดิม เจ้าตัวยักไหล่ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธนอกจากเอ่ยแนะนำตัวเองสั้นๆ “ข้าชื่อซิส” “ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าจะชื่ออะไร ถ้ารู้ว่าข้าเป็นใครแล้วก็หลีกทางสักทีสิ เจ้าขวางหน้าข้าอยู่ไม่เห็นหรือ” ซิสทำเสมือนไม่ได้ยินคำสั่งของเจ้าหญิง เขายังคงยืนกอดอกจ้องมองดวงพักตร์งอง้ำนิ่งอยู่ที่เดิม แถมยังเอ่ยตอบด้วยประโยคที่ทำให้เด็กสาวแทบเต้น “ข้าไม่หลีกจนกว่าเจ้าจะตอบมาก่อนว่าเข้ามาทำอะไรในห้องของข้า” “นี่มันห้องของเมลต่างหาก ใช่ห้องของเจ้าซะที่ไหน” “ตอนนี้ท่านเมลไม่อยู่ ข้าพักอยู่ที่นี่เพราะฉะนั้นห้องนี้ถือเป็นห้องของข้า” สาวน้อยสูงศักดิ์ตวัดหางตาค้อนขวับพลางอ้าปากเตรียมเปิดศึกเต็มที่ หากแล้วเหมือนกับจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เจ้าตัวจึงเปลี่ยนท่าทีเป็นพยักหน้ายอมรับเอาดื้อๆ “ก็ได้ ห้องของเจ้าก็ห้องของเจ้า ข้าขี้เกียจเถียงกับเด็กรับใช้อย่างเจ้าแล้ว...ไปดีกว่า” พูดแล้วนางก็ถือโอกาสโมเมเดินเลี่ยงไปยังประตูห้องที่เปิดอ้าอยู่หน้าตาเฉย
ผู้ที่อ้างตัวเป็นเจ้าของห้องไม่ยอมหลงกลง่ายๆ เขาก้าวเท้ายาวๆ เพียงสองครั้งก็เข้ามาสกัดหน้าเด็กสาวเอาไว้ได้ทัน “เดี๋ยว...เจ้ายังไปไม่ได้” เจ้าหญิงกาอิยาห์ชะงักพระบาท ทอดพระเนตรคนห้ามด้วยท่าทางคล้ายรำคาญเต็มที “เจ้าซ่อนอะไรเอาไว้” ประโยคสั้นๆ ของเด็กหนุ่มทำเอาดวงพักตร์นวลใสของคนถูกถามเผือดสีลงทันตา ดวงเนตรคู่งามหลุบลงต่ำ พระหัตถ์ที่ไขว้อยู่เบื้องพระปฤษฎางค์กำ ‘ของ’ ที่ทรงฉวยมาจากลิ้นชักโต๊ะของเพื่อนสาวเอาไว้แน่น หากพระโอษฐ์ยังแข็ง “ซ่อนอะไร ไม่มีสักหน่อย” ซิสขยับกายเข้าไปใกล้คู่กรณียิ่งขึ้น อาศัยร่างกายที่สูงกว่าของตนยืนค้ำอยู่เหนือร่างแบบบางของเจ้าหญิงราวกับจะข่มขวัญ “ไม่มีได้ยังไง ก็ข้าเห็นอยู่ชัดๆ เป็นถึงเจ้าหญิงแต่ริอ่านขโมยของหรือไง” “หยุดนะ กล้าดียังไงมาหาว่าข้าขโมยของ” คน ‘เป็นถึงเจ้าหญิง’ ออกอาการโมโหกลบเกลื่อน แบบที่เคยใช้ได้ผลกับนางกำนัลมาแล้วทุกครั้ง ทว่าคนตรงหน้าไม่เพียงไม่มีทีท่าว่าจะเกรงกลัว ตรงกันข้ามเขายังกล้าย้อนถามพระองค์กลับด้วยเสียงห้วนดุอย่างกับพวกทหารวัง “ไม่ได้ขโมยแล้วเจ้าซ่อนอะไรไว้ข้างหลัง แน่จริงก็ยื่นมือออกมาข้างหน้าทั้งสองข้างเลยซี่เจ้าหญิง” “เรื่องอะไร เชื่อเจ้าก็กลัวน่ะสิ” เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงผลักไหล่ของอีกฝ่ายเต็มแรงจนเขาเซผงะถอยไปข้างหลัง แล้วถือโอกาสนั้นแผ่นแผล็วออกจากห้องนอน พุ่งผ่านประตูห้องที่เปิดอ้าอยู่ออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะส่งเสียงแจ้วๆ ทิ้งท้ายประกาศชัยชนะ “เด็กเลี้ยงม้าอย่างเจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งข้า รู้ไว้ซะด้วย” นี่ถ้าไม่เกรงใจว่าเจ้าเด็กเลี้ยงม้าคนนี้เป็นเพื่อนของเมลละก็ พระองค์คงฉีกพระเนตรแลบพระชิวหาใส่แบบที่เคยทำตอนยังทรงพระเยาว์แถมให้ด้วยแล้ว ซิสถลันตามเด็กสาวออกไปทันทีที่ตั้วตัวได้ แต่ก็ยังช้าเกินไป เขาทันได้เห็นเพียงชายกระโปรงสีฟ้าอ่อนปลิวหายลงบันไดไปไวๆ จากปลายหางตาเท่านั้น เด็กหนุ่มถึงกับส่ายหน้า ...เจ้าหญิงอะไรกัน แบบนี้มันม้าดีดกระโหลกชัดๆ
ตั้งแต่เกิดมาเขาก็เพิ่งจะเคยเห็นนี่แหละ! หากคนอย่างซิสไม่ใช่พวกที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ เด็กหนุ่มถอยหลังกลับเข้าไปในห้อง ตรงไปเปิดบานหน้าต่างออกจนสุด เหวี่ยงกายกระโดดข้ามกรอบไม้ที่สูงแค่เอวลงไปหยุดยืนอยู่บนพื้นหญ้านุ่มเบื้องล่างอย่างสวยงาม ก่อนจะออกไล่กวดเจ้าของร่างบางที่ถึงกับถลกกระโปรงวิ่งหนีหน้าเริ่ดตัดเข้าไปในสวนสมุนไพรของพวกนักบวช ชนิดหมดคราบเจ้าหญิง
เจ้าหญิงกาอิยาห์ซอยพระบาทถี่ยิบแทบไม่คิดชีวิตอยู่ท่ามกลางต้นพืชสีเขียวสดหลากพันธุ์ ที่ล้วนแต่ยืนต้นตรงแหน็วเรียงเป็นระเบียบราวกับแถวทหารอยู่ในสวนสมุนไพร พระองค์ไม่มีเวลาจะใส่พระทัยกับสายตาตำหนิของเหล่านักบวชที่ถึงกับรามือจากงานตรงหน้าหันมาเขม้นมองเป็นตาเดียว เพราะเด็กเลี้ยงม้าจอมตื๊อวิ่งไล่หลังมาติดๆ ห่างออกไปไม่ถึงยี่สิบก้าว และดูเหมือนระยะห่างจะสั้นลงเรื่อยๆ เสียด้วย
สมองของคนเป็นเจ้าหญิงพยายามคิดหาทางเอาตัวรอดอย่างเร่งด่วน พระองค์จะต้องซ่อนตัว รอให้อีกฝ่ายวิ่งผ่านไปทางอื่นเสียก่อน แล้วค่อยแอบย่องกลับตำหนักทีหลัง ขืนยังวิ่งต่อไปทั้งอย่างนี้ ถ้าโชคดีไปถึงตำหนักแสงจันทร์ได้โดยไม่ถูกหมอนั่นไล่ทัน ก็มีหวังโดนคุณพี่เลี้ยงนอร่าหยิกเนื้อหลุด แถมยังอาจจะต้องโดนกักบริเวณเพื่อฝึกฝนมารยาทเสียใหม่อีกหลายยก ...ไม่คุ้มที่จะเสี่ยงสักนิด เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงวิ่งพลางสอดส่ายสายพระเนตรหาที่หลบซ่อนไปพลางอย่างร้อนพระทัย เงาขาวๆ ของอะไรอย่างหนึ่งผ่านแว่บเข้ามาในสายพระเนตร พระองค์ทรงเปลี่ยนทิศทาง วิ่งเลี้ยวเข้าหาเจ้าสิ่งนั้นโดยไม่ได้เงยพระพักตร์ขึ้นมองด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร จนกระทั่งเลี้ยวลอดดงไม้มาหยุดอยู่เบื้องหน้าอาคารเก่าแก่อายุหลายร้อยปีแล้วนั่นแหละ ถึงได้ทรงทราบว่าเจ้าเงาขาวๆ ที่เห็นนั้นแท้จริงแล้วคือวิหารจันทรา เจ้าหญิงกาอิยาห์ไม่มีเวลาให้ทรงลังเลพระทัย เสียงกิ่งไม้ลั่นกร๊อบที่ดังไล่หลังมาเร่งให้ต้องเผ่นแผล็วขึ้นบันไดไปยืนหอบแฮกอยู่ใต้ชายคาวิหาร ด้วยความเร็วชนิดที่พระองค์เองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ แม้จะอยู่ในช่วงเวลากลางวันท่ามกลางแสงแดดแผดกล้า แต่ภายในวิหารจันทรายังคงมืดสลัวและชื้นเย็นอยู่เช่นเดิม นั่นเป็นเพราะจำนวนช่องหน้าต่างที่มีอยู่น้อย ไม่เพียงพอให้แสงแดดอุ่นส่องลอดเข้ามาได้เต็มที่ แถมพวกนักบวชจะเข้ามาจุดไฟในวิหารก็ต่อเมื่อพระอาทิตย์ลับดวงไปแล้วเท่านั้น เจ้าหญิงกาอิยาห์จึงต้องทรงใช้เวลาเพื่อปรับสายพระเนตรให้ชินอยู่เป็นครู่ ภาพของแนวเสาทรงกลมและแท่นบูชาจึงค่อยปรากฏชัดขึ้นในแสงสลัว ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในพระเศียร คือเหตุการณ์ครั้งที่ทรงตามเมลเข้ามาในวิหารแห่งนี้จนได้พบพี่ชายและองค์ราชา ใช่แล้ว... ห้องลับไงล่ะ!! รอยแย้มพระโอษฐ์เจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนดวงพักตร์นวลใส ...หากพระองค์เข้าไปซ่อนอยู่ในห้องลับ เจ้าเด็กเลี้ยงม้าก็ไม่มีทางหาเจอ เพียงแค่นึกถึง ก็ดูเหมือนจะทรงได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำหนักๆ ของหมอนั่นดังไล่หลังมาทีเดียว เจ้าหญิงกาอิยาห์ไม่ทรงยอมเสียเวลาแม้แต่จะเบือนพระพักตร์ไปมอง พระบาททั้งคู่ก้าวตรงไปสู่กำแพงฝั่งซ้ายข้างแท่นบูชาทันที ทว่าด้วยความรีบร้อนประกอบกับแสงสว่างที่ไม่เพียงพอทำให้ไม่ทรงสังเกตเห็นแผ่นอิฐปูพื้นที่เผยออยู่เล็กน้อย พระบาทข้างหนึ่งจึงสะดุดเข้ากับขอบของมันอย่างจังจนร่างแบบบางเสียหลักเซถลาไปข้างหน้า พระหัตถ์ขวาปัดไปโดนกระถางไฟเอียงกะเท่เร่จะล้มมิล้มแหล่ เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงผวาเข้าไปหมายจะคว้ากระถางไฟเอาไว้ ก่อนที่มันจะล้มลงกระแทกพื้นให้เกิดเสียงดังเป็นการฟ้องตำแหน่งที่ซ่อนของพระองค์ ทว่าพื้นศิลาที่ควรจะรองรับอยู่ใต้เบื้องพระบาทกลับอันตรธานหายไปเสียแล้ว สิ่งที่ปรากฏอยู่แทนที่คือความว่างเปล่าของอากาศธาตุ เจ้าหญิงกาอิยาห์หวีดร้องออกมาอย่างตกพระทัยเมื่อพระวรกายร่วงดิ่งลงสู่ความมืดมิดเบื้องล่าง พระเศียรกระแทกเข้ากับพื้นหินแข็งๆ เต็มแรงจนทรงสลบนิ่งไปทันที
จากคุณ |
:
akihiro
|
เขียนเมื่อ |
:
14 ส.ค. 54 23:39:14
|
|
|
|