๒๕. เพื่อเธอตลอดไป
ผมหลบสายตาทุกคู่ที่ไหมไทยออกมา อุปสรรคที่เหลืออยู่ตอนนี้มีแค่ยามที่ยังเคร่งครัดในหน้าที่ สองสามคนแถวๆตึกเด็กมัธยมปลายเท่านั้น
“ทำไมที่เรือนไม้ไม่มียามแบบนี้บ้างกันเล่า อย่างน้อยจะได้คงมีใครเห็นเธอบ้าง“ ผมนึกโมโหในใจ
ในที่สุดผมก็หลบยามได้สำเร็จ รถครูณัชชาจอดอยู่ห่างจากเรือนไม้มากพอจนไม่ดูผิดสังเกตุ ผมรีบฝ่าสายฝนเข้าไปเคาะประตูรถ พยายามมองลอดผ่านกระจกซึ่งพบแต่ความว่างเปล่า
“เวรกรรมจริงๆ ฉากแบบนี้มันเหมือนในหนังสยองขวัญชัดๆ”
ผมหันรีหันขวาง พลางมองเห็นประตูเรือนไม้ไม่ได้ปิดเอาไว้
“เฮ้ย ! ชัวร์ป้าบ ครูอุษาเข้าไปในนั้นแน่ๆ”
ผมหันมองซ้ายมองขวาอีกทีให้แน่ใจว่าไม่มีใครเห็น กล้องวงจรปิดเป็นกล้องตัวใหญ่ตั้งพื้น ดูจากสายไฟที่ลากมาจากที่อื่นแล้วน่าจะเป็นแบบใช้ไฟบ้านแทนที่จะเป็นแบตเตอรี่
ดีล่ะ ! ตอนนี้มันน่าจะยังใช้การไม่ได้ ผมรีบวิ่งลัดเลาะผ่าน แผงกั้นจราจรที่ตั้งขวางทางแบบขอไปที พลางนึกโมโห ถ้าทำให้แน่นหนากว่านี้ครูอุษาไม่มีทางเข้าไปได้แน่
เมื่อกำลังจะก้าวเท้าผ่านเข้าไป ในใจก็นึกกลัวเรื่องผีขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าลองคิดดูให้ดีๆ สภาพการณ์ของผมตอนนี้ช่างดูคล้ายกับยามในเรื่องเล่าเหลือเกิน
เสียงประตูฝืดๆดังขึ้นต้อนรับ บรรยากาศในเรือนไม้น่าสะพรึงกลัวกว่าเมื่อวานเสียอีก ผมไม่มีไฟฉาย ไม่มีอะไรที่ส่องแสงได้ทั้งนั้น ผมเดินได้ไม่กี่ก้าวจนเข้ามาอยู่ในนี้เต็มตัว ประตูทางเข้าก็โดนลมพัดปิดดัง ปัง! ผมทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความตกใจสุดขีด
ตั้งสติไว้ สิทธา ครูอุษาสำคัญกว่านะ ผมฝืนบอกตัวเองทั้งที่ขาเริ่มสั่นพั่บๆ
“ครูอุษา ครับ !” ผมตะโกนเรียก “ครูอุษา อยู่ในนี้รึเปล่าครับ”
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆกลับมา เสียงฝนตกกับฟ้าร้องทำให้ผมต้องเพิ่มระดับเสียงขึ้นอีก “ครูอุษา ครับ !”
เศษไม้บนเพดานหล่นลงมาเป็นช่วงๆ ผมต้องควานหาไม้แผ่นใหญ่ๆบนพื้นคอยป้องกันส่วนหัวไม่ได้โดนกระแทกเอาไว้ เพราะรู้สึกได้เลยว่าบนอาคารโบราณหลังนี้กำลังสั่นไหวทั้งที่ไม่ได้ยืนพิงกำแพง
ประตูห้องพยาบาลวันนี้ถูกปิดลง ผมรวบรวมความกล้าที่เหลืออยู่น้อยนิดเดินลากขาแข็งๆเข้าไปใกล้ ได้แต่หวังว่าเมื่อเปิดเข้าไปแล้วคงไม่เจอตัวอะไรแปลกๆ
แต่ทว่าประออกเปิดไม่ออก
แล้วจู่ๆก็มีเสียงทุบ ประตูดัง ปัง! ปัง! ปัง! กลับมา ผมตกใจกระเด็นหงายหลัง หัวใจหยุดเต้นไปหลายวินาที
“ช่วยด้วยค่ะ !” เสียงผู้หญิงขอความช่วยเหลือดังขึ้น
“ครูอุษาครับ” ผมรีบตะโกน
เสียงทุบประตูเงียบไป แล้วผมรู้สึกว่าได้ยิน เสียงหมา ? บ้าน่า ผมตะโกนเรียกครูอุษา แล้วเสียงหมามาจากไหนกัน
“ครูอุษาครับ !” ผมตะโกนอีกครั้ง
โฮ่ง !
เฮ้ย ! เสียงหมาจริงๆด้วย มันอะไรกันเนี่ย ผมเจอผีหมาหลอกงั้นเหรอ
“ช่วยด้วยค่ะ”
ไชโย ผมได้ยินเสียงเธอแล้ว พลางวิ่งไปใกล้ประตู “ครูอุษา ครับ ครูอยู่ที่ไหนครับ”
“ช่วยด้วยค่ะ ฉันออกจากห้องไม่ได้” เธอตะโกนตอบกลับมา
“ครูอุษา ผมสิทธานะครับ”
“สิทธาเหรอ !” เธอร้องดีใจ “ครูติดอยู่ในห้องพยาบาลข้างในน่ะ ลูกบิดประตูมันเสียครูเปิดออกไปไม่ได้ ไปตามใครก็ได้มาช่วยทีซิ”
“ดะ … ได้ครับ ครูอุษา ปลอดภัยใช่มั้ยครับ”
“ครูปลอดภัย รีบพาใครมาช่วยครูทีเถอะ ครูกลัวไปหมดแล้ว” เธอบอก
โธ่ ทำไมครูไม่กลัวตั้งแต่ตอนจะเข้ามาซะล่ะครับ
ทันใดนั้นเสียงฟ้าผ่าโครมใหญ่ก็ดังขึ้นใกล้มากจนตัวผมกระเด็นล้มลงกับพื้น หูอื้อตาลายไปหมด ผมคงหมดสติไปชั่วขณะ หลังถูกปลุกขึ้นใหม่ด้วยไอความร้อนกับกลิ่นควัน
ผมพยายามประคองตัวพิงกำแพงและปรับสายตาในตึกที่สว่างโชติช่วงด้วยไฟดวงใหญ่บนเพดาน มันกำลังลุกลามอย่างรวดเร็ว ดูท่าฟ้าผ่าเมื่อครู่คงทำให้ไฟฟ้าลัดวงจร ไม่ก็คงผ่าเข้าที่ใส่เรือนไม้เต็มๆ โชคไม่ดีเลยที่หลังคาดันเป็นกระเบื้องทำให้ไม้ข้างในแห้งพอจะติดไฟได้สบาย ตึกที่ทำด้วยไม้ทั้งหลังแบบนี้กลายเป็นอาหารอันโอชะของมันไปโดยปริยาย
ผมรีบวิ่งไปทุบประตูห้องพยาบาล “ครูอุษาครับ เป็นยังไงบ้างครับ”
“ครูไม่เป็นไรจ๊ะ ... นี่สิทธา พาคนมาช่วยแล้วเหรอ” เธอเอ่ยเสียงสั่น
เอาไงดีล่ะเวลาเหลือน้อยแล้วนะ …
ผมใช้มือสัมผัสประตูที่ขวางอยู่ข้างหน้า นี่เป็นประตูคุณภาพต่ำแบบโบราณ น้ำหนักเบา ไม้เนื้อโปร่ง ลูกบิดก็ไม่แข็งแรงแล้ว
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วตอบเธอ “ผมพาคนมาช่วยแล้วครับ ครูอุษา หลบไปให้พ้นประตูหน่อยนะครับ เดี๋ยวจะพังเข้าไปแล้ว”
“ได้จ๊ะ ได้” เธอตอบ
“หลบพ้นประตูรึยังครับ” ผมถามซ้ำ
“พ้นแล้วจ๊ะ”
“ผมจะนับ หนึ่ง ถึง สามนะครับ … หนึ่ง … สอง … สาม … โครม !” ประตูพังลง แต่ไม่น่าดีใจเลยเพราะยิ่งทำให้ตัวอาคารไม่มั่นคงเข้าไปใหญ่
“ครูอุษาครับ เป็นอะไรรึเปล่า” ผมรีบมองหาเธอ
“ครูไม่เป็นไร ขอบใจนะที่มาช่วย … เอ๋ ! แล้วไหนล่ะ คนอื่นๆที่มาช่วย” เธอตกใจสงสัย
“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนั้นเลยครับ เราควรจะ ...” ผมพูดแล้วหันไปยังประตูทางออกซึ่งไฟลามถึงแล้ว ชิ้นส่วนบนเพดานก็เป็นใจตกลงมาขวางประตู ผ้าม่านที่ติดอยู่ริมหน้าต่างกลายเป็นเชื้อไฟเป็นอย่างดี
ให้ตายเถอะเรากำลังอยู่ในเตาย่าง และทางออกก็โดนปิดลงแล้ว
“โฮ่งๆ” เจ้าหมาปริศนาเห่าขึ้น
“หมาตัวนี้ นี่ มาจากไหนกันครับ ครูอุษา”
“ครูเห็นมันวิ่งหลบฝนเข้ามา เลยรีบตามมาช่วยจะเอามันออกไป”
“ทำไม ทำอะไรไม่คิดเลยล่ะครับ” ผมกล่าวตำหนิ อย่างลืมตัว
“นี่สิทธา ! ครูเป็น ครูเธอนะ” เธอดุพร้อมกับตีผมแรงๆ
“หวา ! ผมขอโทษครับ ครูอุษา … ผมแค่เป็นห่วง ว่าครูจะเป็นอะไรไป” ผมเอ่ยพลางรีบยกมือไหว้
“ก็ประตูหน้าเรือนไม้มันเปิดอยู่พอดี เจ้านี่มันก็รีบวิ่งมุดเข้ามาหลบฝน ครูรู้มาตั้งนานแล้วว่าเค้าจะรื้อเรือนไม้ทิ้ง ถ้าไม่ช่วยมันออกไป มันก็แย่ซิ ” เธอพูดเสียงดัง
บ้าจริง ! ผมนึกออกแล้ว อันที่จริงพวกผมที่แอบเข้ามาที่นี่ต่างหาก ที่ลืมปิดประตูเรือนไม้เอาไว้ ที่แท้ทั้งเจ้าหมาขาว กับ ครูอุษา ต้องมาติดแหงกอยู่ในนี้ก็เพราะผมเป็นต้นเหตุนี่เอง
“แล้วทำไมถึงเข้ามาติดอยู่ในห้องนี้ได้ล่ะครับ”
เธอเอียงอายนิดหน่อยก่อนจะตอบ “ครูสะดุดล้มตรงหน้าประตู แล้วลมก็พัดประตูปิดดังปัง พอจะโทรขอขอความช่วยเหลือ แบตโทรศัพท์ก็หมดอีก”
“เอาล่ะ ช่างเถอะ” เธอรีบตัดบทความซุ่มซ่ามของตัวเอง “นี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาเถียงกัน ต้องรีบหาทางออกไปกันก่อน”
“นั่นซิครับ” ผมเอ่ยรับ แล้วเดินไปที่ประตูห้องพยาบาลเพื่อมองไปยังประตูทางออก “แต่ทางนี้ไปไม่ได้แล้วล่ะครับ ครูอุษา ไฟไหม้ปิดทางไว้หมดแล้ว”
ผมพยายามมองดูดีๆว่าเราพอจะวิ่งฝ่าออกไปได้รึเปล่า ผ้าคลุมเตียงในห้องพยาบาลอาจช่วย ปกป้องเราได้ ถ้าไฟฟ้าลัดวงจรได้ บางทีน้ำประปาในนี้ก็อาจจะยังใช้ได้อยู่เหมือนกัน
พอผมเริ่มก้าวเท้าขวาออกจากห้องพยาบาล ทันใดนั้นเอง ภาพอันน่าระทึกใจก็เกิดขึ้น เมื่อคานบนเพดานถล่มลงมาต่อหน้าต่อตา
“เจ๋งเป้ง !” ผมประชดในใจ “โชคชะตาเล่นกันแบบนี้เลยเหรอ”
ครูอุษาดึงตัวผมเข้าห้องพยาบาลทันที “นี่ สิทธา มันอันตรายนะ เธออย่าออกไปซิ !”
ผมผงกหัวทำทีสำนึกผิด แต่ก็นึกขำในใจ “แหม รู้ด้วยเหรอครับว่าในนี้มันอันตราย”
เราต้องรีบหาทางออกไปให้เร็วที่สุด ควันเริ่มลอยเข้ามาในห้องมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าปล่อยไว้แบบนี้เราอาจจะตายเพราะขาดออกซิเจนก่อนจะโดนไฟคลอกหรือตึกถล่มทับตายก็เป็นได้ หน้าต่าง ! ใช่แล้ว หน้าต่างโบราณแบบลงกลอนด้วยไม้ ถีบแรงๆก็พังๆแล้ว ผมคิดพลางรีบวิ่งไปที่ริมกำแพง ทว่าความหวังก็พังทลายลงเมื่อมือจับโดนของแข็งเย็นๆเข้า
เหล็กดัด !? บ้ารึไงกัน จะติดทำไมเนี่ย !
“ตึกนี้มีทางออกแค่ทางเดียวเองเหรอครับ” ผมถามขึ้น
“ครูก็ไม่รู้เหมือนกัน” เธอตอบ น้ำเสียงฟังดูสิ้นหวังพิกล
“โฮ่งๆ โฮ่งๆ ” เจ้าหมาตัวสีขาว วิ่งมาชนผม งับเอาขากางเกงแล้วดึงไปข้างหน้า
“เฮ้ย อะไรของแกเนี่ย” ผมพูดกับเจ้าหมาพิลึก และพยายามดึงขาออกห่าง แต่มันก็ยังไม่ยอมปล่อย
“แกจะบอกว่าข้างหน้ามีอะไรอย่างนั้นเหรอ“ ผมเอ่ย
“โฮ่งๆ” หมาขาวเห่าตอบ แล้ววิ่งไปหยุดอยู่ริมกำแพงด้านในสุดของห้องพยาบาล หมุนตัวไปมาแล้วเห่าอีกสองสามครั้ง ผมตามเข้าไปใกล้จนเห็นว่ามีประตูเก่าๆอยู่ น่าจะเป็นประตูทางออกด้านหลังเรือนไม้
“ครูอุษาครับ ผมเจอประตูแล้วครับ” ผมรีบบอกเธอ
“จริงเหรอ !” เธอเอ่ยดีใจ “ไหนๆ สิทธา เจอทางออกแล้วเหรอ”
“เจอแล้วครับ นี่ไง ” ผมพูดอย่างลิงโลด พลางรีบบิดลูกบิดประตู และได้ยินเสียง กึก ดังๆสะท้อนกลับมา
“บ้าเอ๊ย บานนี้ก็ลูกบิดเสียเหรอวะ” ผมบ่นในใจ เอาวะ เราเหลือเวลาน้อยแล้ว ผมฉวยโอกาสจังหวะที่ครูอุษายังไม่ทันมอง ออกแรงถีบเข้าที่ประตูดัง โครม !
บ้าน่า ไม่พังเหรอ ไอ้เรือนไม้สับปะรังเคแบบนี้ ทำไมประตูดันแข็งแรงได้ล่ะ
“แค๊กๆ สิทธา เปิดประตูแล้วรีบออกไปกันเถอะ” เสียงพูดที่ดูอ่อนล้าของครูอุษาทำให้ผมรู้สึกผิด แถมเธอเริ่มมีอาการสำลักควันแล้วด้วย ซึ่งไม่ใช่แต่เธอคนเดียวหรอกผมเองก็เริ่มเวียนหัวแล้วเหมือนกัน
“ทำไมไม่เปิดประตูล่ะ สิทธา”
“ประตู … เสียครับ ครูอุษา” ผมตอบ เราสองคนเงียบไป ผมแน่ใจว่าคงแค่ไม่กี่วินาที แต่กลับรู้สึกเหมือนเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน
“สะ ... เสีย … อย่างนั้นเหรอ” เธอเอ่ย เสียงเรียบๆ
“บ้าจริง” ผมถีบประตูแรงๆอีกครั้ง
เสียงไม้ที่กำลังถูกเผาดังกร๊อบแกร๊บดังชัดเจนขึ้น ผมไม่รู้เหมือนกันว่าคนข้างนอกจะมองเห็นควันที่พวยพุ่งอยู่ในนี้บ้างรึเปล่า ลมและฝนที่แรงอาจทำให้ควันลอยออกไปไม่มากพอให้ใครสังเกตก็ได้ บางทีคงต้องหวังว่าจะมีใครสักคนเรียกรถดับเพลิงมาช่วยพวกเราได้ทัน สีหน้าครูอุษาไม่ดีเลย ผมพยายามนึกคำพูดเพื่อปลอบใจเธอ แต่ในหัวกลับว่างเปล่า ได้แต่ปล่อยให้เจ้าหมาขาวคลอเคลียเธออยู่ใกล้ๆ
“สิทธาจ๊ะ ขอบคุณมากนะที่มาช่วยครู … แล้วครูก็ต้องขอโทษด้วยนะ ที่ทำให้เธอต้อง ...” เสียงพูดครูขาดหายไป แล้วเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้นแทน
ครูอุษาครับ ไม่ต้องขอโทษผมหรอก ผมเต็มใจจะมาที่นี่ มาเพื่อช่วยครูอุษาที่ผมรัก
“เราคงต้องภาวนาให้ มีคนมาช่วยเราให้ทันเวลาแล้วล่ะ ครูไม่อยากให้ สิทธา ต้องเป็นอะไรไปเลย” เธอเอ่ยครวญ เจ้าหมาน้อยเข้าไปเลียที่มือของเธอราวกับต้องการปลอบใจคุณครูที่รักของผม เธอดูอ่อนแรงมากแล้ว
ผมเข้าไปใกล้ครูอุษาแตะมือเธอเบาๆด้วยความกล้าๆกลัวๆว่าจะถูกดุ เธอกำลังร้องไห้ มืออีกข้างหนึ่งลูบหัวเจ้าหมาตัวสีขาว พวกเราหมอบลงต่ำเพื่อสูดออกซิเจนที่เหลือน้อยลงทุกขณะ ไอความร้อนและเปลวเพลิงคลืบคลานเข้ามาใกล้ห้องพยาบาลแล้ว เตียงและผ้าม่านจะเปลี่ยนห้องนี้เป็นทะเลเพลิง แล้วเราก็จะต้องตายกันหมด
“สิทธา แกมีความสามารถที่คนอื่นไม่มีอยู่นะ ใช้สิ่งนั้นช่วยครูอุษาซะสิ” ผมบอกตัวเอง
แต่ว่า … ถ้าครูได้รู้ได้เห็นว่า ผมเป็นยังไงแล้วเธอจะรู้สึกกับผมเหมือนเดิมรึเปล่า ความกลัวในอดีตของผมยังคงตามหลอกหลอนอยู่เสมอ ผมไม่อยากให้เธอมองผมไม่เหมือนเดิม ผมกลัว … ว่าจะเสียทุกอย่างไป
ไอ้บ้า ! ไม่มีเวลามาคิดเรื่องงี่เง่าแบบนั้นแล้วนะ ถ้าแกยังปัญญาอ่อนอยู่แบบนี้ เราจะตายกันหมด แกจะปล่อยให้ครูอุษา เป็นอะไรไปต่อหน้าต่อได้งั้นเหรอ !
ถูกแล้ว ผมไม่ควรจะคิดเรื่องจุกจิกไร้สาระแบบนั้น ผมจะช่วยครูอุษา ผมต้องปกป้องเธอ ใช่ … ผมต้องทำแบบนั้น ผมรู้แล้วว่าทำไมพระผู้เป็นเจ้าถึงมอบสิ่งที่คนอื่นไม่มีให้กับผม ผมรู้แล้ว … ว่าแท้ที่จริงผมไม่ใช่คนที่ถูกสาป แต่ … ผมมีความสามารถนี้ก็เพื่อเอาไว้ปกป้องคนที่ผมรัก
เอาล่ะนะ สิทธา แกต้องทำให้ได้
ผมลุกขึ้นไปที่ประตูทางออกที่เป็นความหวังสุดท้าย เว้นระยะห่างให้พอเหมาะ ยื่นเท้าซ้ายปักหลักอยู่หน้าลำตัว แล้วออกแรงถีบประตูด้วยเท้าขวาอย่างสุดกำลัง
ยังไม่ยอมพังอีกเหรอ ไอ้ประตูเฮงซวย เอาซี่ คิดว่าจะทนได้อีกสักกี่ครั้งกัน
“ท่าถีบ ยอดอก แบบมวยไทย … ” ครูอุษา เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “สิทธา นี่เธอ …”
ผมถีบประตูเป็นครั้งที่สอง คราวนี้รู้สึกได้เลยว่า ประตูเริ่มไม่มั่นคงแล้ว แสงสว่างจากภายนอกอาคารส่องผ่านรอยแยกของแผ่นไม้หนาๆนี่เข้ามาได้แล้ว
“สิทธา เธอเป็นใครกันแน่”
ผมเป็นใครน่ะเหรอครับ …
ผมก้มตัวลงต่ำสูดหายใจเอาออกซิเจนที่ยังพอมีเหลืออยู่เข้าลึกๆให้เต็มปอด ปักหลักยืนให้มั่นคงยิ่งกว่าเดิม
“ผมคือ… สิทธา … ธิติยานนท์ … นักเรียน … ห้อง ป.3/2 ของครูอุษา ไงครับ”
โครม ! สำเร็จ ! ไอ้ประตูเฮงซวยนี่กระเด็นออกไปนอกตึกเลย
“โฮ่งๆ” เจ้าหมาขาวร้องดีใจกระดิกวิ่งออกไปเป็นตัวแรก
“ครูอุษา ครับ รีบออกมาเร็วเข้าครับ” ผมรีบเรียก พลางรีบวิ่งเข้าไปช่วยพยุงเธอ
ครูอุษารีบสูดหายใจเข้าลึกๆเมื่อออกมาข้างนอกได้ โดยมีเจ้าหมาที่น่าหมั่นไส้วิ่งดีใจวนไปวนมารอบตัวเธอ เพราะแกแท้ๆ ทำเอา ครูอุษาเกือบแย่นะ ไอ้หมาบ้า
เราสองคน กับ อีกหนึ่งตัว รีบหนีมาหลบฝนที่ตึกเรียนของเด็กมัธยมปลาย ตอนนี้ยังเป็นชั่วโมงเรียนของตอนบ่ายอยู่ เลยยังไม่มีใครเดินพลุกพล่านใต้ตึก และโชคดีมากที่เราหนีออกจากบริเวณเรือนไม้ได้ทันก่อนกล้องวงจรปิดจะใช้การได้
ครูอุษา เดินไปเข้าห้องพักครูของที่นี่ แล้วถือผ้าขนหนูผืนเล็กสีขาวออกมา
“รอดจนได้นะครับ” ผมพูดกับเธอ ทั้งที่ยังเหนื่อยหอบ ร่างกายเปียกโชก
“นั่นซีนะ” ครูอุษาพูดยิ้มๆ พลางใช้ผ้าขนหนูค่อยๆช่วยเช็ดหน้าเช็ดตาของผม ขณะที่ผมกำลังเพลินกับสัมผัสที่อ่อนโยนของเธอ ก็ต้องสะดุ้งเฮือกกับประโยคถัดไป
“นี่สิทธา รู้มั้ยว่า วันนี้เธอทำผิดกฎโรงเรียนหลายข้อมากเลยนะ ทั้งโดดเรียน แถมยังเข้าไปในเรือนไม้อีก ถ้าครูเอาเรื่องนี้ไปบอกฝ่ายปกครอง สิทธา ไม่รอดแน่”
“คือว่า ผม … อุ๊บ ...” ครูอุษาแกล้งใช้ผ้าขนหนูมาปิดปากผมไว้
“ครูจะลงโทษเธอ อย่างสาสมเลยล่ะ”
“ครูอุษาครับ … ที่ผมทำน่ะ เพราะว่า … โอ๊ย ! … ”
“เธอต้องเล่าเรื่องของเธอให้ครูฟังให้หมด ว่าเธอเป็นใครกันแน่” ครูอุษาพูดโดยใช้ ผ้าขนหนูปิดปากผมเอาไว้ก่อน
เอ๋ ! ผมร้องในใจ
“ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็ ครูจะไม่รับรัก สิทธา นะ เข้าใจรึเปล่า” เธอปล่อยมือพลางโน้มตัวลงมา รอยยิ้มของเธอทำเอาผมเผลอใจอ่อนตอบตกลงอย่างง่ายดาย
“ดีมากจ๊ะ” เธอตีหัวผมเบาๆทิ้งท้าย
จากคุณ |
:
FlowerSong
|
เขียนเมื่อ |
:
15 ส.ค. 54 01:14:57
|
|
|
|