แสงนวลของดวงจันทร์บนราตรีที่สายลมพัดเอื่อย ไม่ได้ทำให้ความเครียดที่วิ่งวนอยู่ในสมองเบาบางลง ภาสพัทธ์ยังคงตกอยู่ในห้วงของความคิดคล้ายกับสมองถูกบีบรัดอยู่ตลอดเวลา ฉับพลันเงาสะท้อนของร่างบางที่มายืนอยู่เบื้องหลังเขาจากกระจกหน้าต่างก็ทำ ให้ชายหนุ่มต้องขยับตัว หากแต่ยังไม่ทันหันไป ปาจารีย์ก็ยื่นสองมือมาแตะขมับทั้งสองข้างของเขา
“ปุ่นนวดให้นะคะ” แรงกดอย่างมีจังหวะจะโคนจากปลายนิ้วบางทำให้เปลือกตาของภาสพัทธ์ค่อยๆ ปิดลง สมองเปิดพื้นที่ให้เจ้าของได้สัมผัสถึงความผ่อนคลายที่ไม่ได้พบเจอมาหลายต่อ หลายวัน ก่อนที่เขาจะยกมือข้างนึงไปทาบทับหลังมือของหญิงสาว ปาจารีย์ชะงักมือไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ดึงออก หล่อนสบตาของเขาผ่านเงากระจกที่สะท้อนกลับมาไม่ได้ชัดเจนนัก
“ทำไมรึเปล่าคะคุณพัทธ์ ปุ่นกดแรงไปเหรอ” ทว่าคนถูกถามส่ายหน้าทั้งที่ยังกุมมือบางเอาไว้
“ไม่หรอก... กำลังดี” ดู เหมือนจะดีเกินไปด้วยซ้ำ... ภาสพัทธ์ไม่รู้ว่ากระแสอุ่นๆ ที่พุ่งพล่านเข้ามาโอบล้อมหัวใจที่แห้งผากของเขานั้นคืออะไร แต่มันเกิดขึ้นเมื่อยามที่หล่อนวางมือมาสัมผัสและอุ่นมากขึ้นเมื่อยามที่สาย ตาอ่อนโยนคู่นั้นมองมาที่เขาด้วยความห่วงใย แม้แต่ถ้อยคำที่แฝงความอาทรไว้ไม่มิดก็ทำให้เขารู้สึกถึงความหนาวสั่นของ ร่างกายด้วย
มันเป็นความขัดแย้งที่แปลกเหลือเกิน หากหล่อนเป็นกระแสน้ำอุ่น เหตุใดเมื่อยิ่งเข้าใกล้ กลับยิ่งทำให้อุณหภูมิในกายของเขาลดลง... ราวกับมันปรับลดเพื่อให้เขายิ่งต้องการเข้าใกล้หาไออุ่นนั้นมากยิ่งขึ้น...
ไม่ น่าเชื่อว่าภายในเวลาไม่ถึงครึ่งนาที จะบังเกิดความรู้สึก ความต้องการ และขัดแย้งในตนเองได้มากขนาดนี้ ภาสพัทธ์พยายามหักห้ามใจตัวเองไม่ให้เอ่ยปากในสิ่งที่เขาอยากให้หญิงสาวทำ หากแต่ก็พ่ายแพ้ในที่สุด...
“ปุ่น... ปลอบฉัน แบบที่เธอเคยปลอบบุศย์ได้ไหม” คำขอที่ชายหนุ่มเอ่ยปากทำเอาปาจารีย์สะดุดลมหายใจ และอาการนั้นก็ทำเอาภาสพัทธ์รู้สึกว่าเขาไม่น่าพูดออกมาเลย “ช่างเถอะ... ขอโทษ... ไม่มีอะไร”
ภาสพัทธ์ส่ายหน้าแล้วลุกเดินไปที่เตียงขณะหญิงสาวยังคงยืนนิ่งหันหลังให้อยู่ ณ จุดเดิม หัวคิ้วบางขมวดเข้าหากันแทบจะพันเป็นเลขแปด ริมฝีปากล่างด้านในถูกกัดเม้มเพราะเจ้าตัวกำลังครุ่นคิด...
หล่อน จำได้ว่าเคยบอกเขาว่าตนปลอบบุศรัณย์อย่างไร และแน่ใจด้วยว่าภาสพัทธ์มีแรงกดดันมากเพียงพอที่จะโหยหาอ้อมกอดของใครสัก คน... หากแต่พลังแห่งอ้อมกอดบำบัดนั้นไม่ใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้ ข้อนี้ชายหนุ่มก็รู้ดี การที่เขาขอให้หล่อนกอดย่อมหมายถึงหล่อนต้องเป็นคนที่เขารู้สึกดีด้วยมากๆ ในระดับหนึ่ง...
“จะนอนรึยัง ฉันจะปิดไฟแล้วนะ” คำ ถามของคนที่นั่งยื่นมือข้างนึง ไปแตะสวิตซ์ไฟบนผนังหัวเตียงทำให้ริมฝีปากของปาจารีย์ยิ่งเม้มแน่น หล่อนสูดลมหายใจลึกแล้วเดินดุ่มไปหาภาสพัทธ์ คุกเข่าทั้งสองข้างบนเตียงแล้วยืดตัวไปกอดคล้องแขนรอบคอของคนบนเตียงจากด้าน ข้างด้วยความเขินอายสุดๆ จนต้องซุกหน้าหลบไปอีกทาง
ชายหนุ่มนั่งนิ่งค้างไปเลยกับกอดบำบัดจู่โจมของคน ตัวเล็ก ถามว่าดีไหม มันก็ดี แต่เขาคิดว่ายังสามารถดีกว่านี้ได้อีก ถ้าหากหญิงสาวอยู่ในตำแหน่งที่เอื้อให้เขากอดได้บ้างไม่ใช่กอดเขาจากด้าน ข้างอย่างนี้...
ผ่านไปไม่กี่นาทีปาจารีย์ก็ส่งเสียงอู้อี้บอกเขาในประโยคที่ทำให้ภาสพัทธ์ลอบปรายยิ้ม
“ปุ่นเมื่อยแล้วนะคะ พอได้รึยัง” ขืนยืดตัวกอดเขาแบบนี้นานๆ ตะคริวถามหาแน่ๆ
“ฉันยังเศร้าอยู่เลยนะ” คนถูกปลอบตอบเสียงขื่นทั้งที่ประกายตาพราวระยับ
“แต่ปุ่นเมื่อยจริงๆ นะคะคุณพัทธ์ ปวดขาแล้วด้วยอ่ะ” ที่สำคัญหล่อนชักจะง่วงนอนขึ้นมานิดๆ ไม่รู้ว่าภาสพัทธ์อาบยานอนหลับไว้กับตัวหรืออย่างไร เวลาอยู่ใกล้ๆ เขาไม่ว่าจะซบหลังหรือซบไหล่ก็พานจะรู้สึกอยากหลับขึ้นมาทุกที...
“งั้นก็มานี่” ภาสพัทธ์สอดมือข้างนึงย้อนมาด้านหลังรั้งเอวหล่อนไปนั่งบนตักด้านหน้าอย่าง ง่ายดายจนหญิงสาวตะลึงแต่พอสบตาเขาในระยะกระชั้นชิดก็พูดอะไรไม่ออก วงแขนใหญ่ค่อยๆ กระชับกอดคนตัวเล็กอย่างอ่อนโยน กอดบำบัดอย่างนี้สิที่ภาสพัทธ์คิดไว้ว่ามันดีกว่า...
“แบบนี้ไม่เมื่อยแล้วใช่ไหม”
ปาจารีย์ไม่ได้ตอบว่าอย่างไรและหากจะให้ตอบจริงๆ คงต้องบอกว่าตอนนี้หล่อนเกร็งกว่าเมื่อครู่ด้วยซ้ำ
“ทำไมไม่เห็นกอดฉันเลยล่ะ ปล่อยให้กอดอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้จะเรียกว่ากอดบำบัดได้ยังไง” คนถูกท้วงแหงนคอขึ้นมองค้อนเขาอยู่แว่บนึงก่อนบ่นพึมพำ
“ดูเหมือนจะไม่ได้เครียดแล้วนะเนี่ย”
ภาสพัทธ์ฟังแล้วก็ยิ้มขัน “เครียดสิ... แค่รู้สึกดีขึ้น เธอเคยบอกเองไม่ใช่เหรอว่าวิธีนี้ช่วยให้รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น”
“งั้นก็แปลว่าได้ผลแล้ว งั้นก็ปล่อยปุ่นสิคะ”
“เดี๋ยวนะ... ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจะเริ่มมีสมาธิ อืม... เธอก็เคยพูดนี่นาว่ามันทำให้แก้ปัญหาได้ดี ไหนลองกอดด้วยสิเผื่อจะคิดอะไรออกได้ไวขึ้น” ไม่ว่าเปล่าเขาดึงมือหล่อนให้สวมกอดเข้าที่รอบเอวอุ่น
ปาจารีย์ล่ะนึกอยากจะเอาหัวโขกหน้าอกของเขาเป็นการ ประท้วงเสียจริงๆ หล่อนอายุยี่สิบสี่นะ ไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดไม่รู้ตัวว่าถูกเขาหลอกกอดอยู่น่ะ... แต่จะปฏิเสธก็ไม่กล้า หล่อนรู้ว่าภาสพัทธ์ไม่มีเจตนาจะแกล้งหล่อน เขาเครียดจริงๆ และหากสิ่งที่ทำอยู่นี้จะช่วยให้เขาลืมความเครียดอันแสนสาหัสนั้นได้บ้างสัก ชั่วครั้งชั่วคราวหล่อนก็ยินดี
ไม่รู้ว่าเพราะเกิดเหตุให้ใกล้ชิดกันบ่อยครั้งหรือ อย่างไร หล่อนจึงเผลอคิดไปว่าการต่อต้านภาสพัทธ์ไม่ใช่สิ่งที่ต้องจริงจังขนาดนั้น แม้จะไม่อยากจะยอมรับ ทว่าบางทีนะ... หล่อนอาจมีใจให้เจ้าของอกอุ่นนี้ไปแล้ว...
แต่ไม่รู้สิ... หล่อนไม่เคยตกหลุมรักใครมาก่อน ดังนั้นความรู้สึกที่มีให้ภาสพัทธ์จึงจัดว่าเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่และ ซับซ้อนไม่ใช่เล่นเลย... เขาแก่กว่าหล่อนตั้งเจ็ดปี บุคลิกที่มีก็แตกต่างจากผู้ชายที่เคยวาดฝัน...
ก็เล่นเลือดลมเดินไวขนาดนี้ ผู้หญิงคนไหนจะจินตนาการใส่ไว้ในนิสัยของเจ้าชายในฝันกันเล่า ที่สำคัญเขาเป็นนายจ้าง หากไม่เพราะโปรเจคนี้ที่พาให้ต้องลงเรือลำเดียวกัน เชื่อเถิดว่าคงไม่มีทางที่คนอย่างเขาจะชายตามองมาที่เธอ... ไม่มีวัน....
“คุณพัทธ์... ปล่อยปุ่นเถอะค่ะ ปุ่นง่วงแล้วจริงๆ”
“ง่วงก็หลับสิ ฉันยังต้องใช้ความคิดอยู่”
“แต่ปุ่นนอนอย่างนี้ไม่ได้หรอกค่ะ ปุ่นเมื่อย” หล่อนพยายาม บ่ายเบี่ยง ความง่วงนั้นเกิดขึ้นจริง แต่สิ่งที่ทำให้หล่อนพยายามดันตัวเองออกจากอ้อมแขนของเขาก็เพราะรู้สึกถึง ความอันตราย...
อันตรายที่เกิดจากกำแพงหัวใจที่เริ่มพัง ภาสพัทธ์ลุกร้ำเข้ามาในหัวใจของหล่อนมากเกินไปแล้ว... เพราะไม่เคยคาดหวังถึงความรู้สึกนี้ หล่อนจึงไม่เป็นอะไร แต่พอหัวใจเริ่มรู้สึก... นั่นแปลว่าหากเขาไม่ให้... หัวใจก็จะต้องพบเจอกับการปวดร้าว... ปาจารีย์ไม่อยากตกอยู่ในวิกฤตความรักแบบนั้น
การดึงดันของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มดึงตัวลงนอนทั้ง ที่ยังมีหล่อนอยู่ในอ้อมแขน ปาจารีย์นิ่งชะงักไปเมื่อการดิ้นนั้นทำให้ปลายจมูกของหล่อนเฉียดชนกับภาส พัทธ์ที่ดูจะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร เขากระชับกอดหล่อนไว้อย่างสบายๆ แล้วบอกให้หลับซะ...
หล่อนไม่ได้กลัวเลยว่าภาสพัทธ์จะทำอะไร เพราะสิ่งที่กลัวมากกว่าก็คือหัวใจของตัวเองที่กำลังเต้นระส่ำ ชายหนุ่มโอบกอดไว้นิ่งๆ อยู่อย่างนั้นกระทั่งปาจารีย์ขืนตาอยู่ไม่ไหวและผล็อยหลับไปในที่สุด...
ลมหายใจที่สม่ำเสมอบ่งบอกชัดเจนว่าคนในอ้อมแขนเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว เขา กล้าสาบานเลยว่าไม่ได้คิดจะล่วงเกินหล่อนมากไปกว่าการกอด ภาสพัทธ์ขยับตัวออกเล็กน้อยเพียงเพื่อมองใบหน้าหลับพริ้มของหญิงสาว หากแต่ราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาลให้เขาโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของแชมพูทำให้เขาเผลอสูดดมก่อนจรดริมฝีปากอุ่นบนหน้าผากเนียน ปลายจมูกโด่งค่อยๆ ไล้ลงไปตามสันกลางของจมูกเล็ก ชั่ววินาทีนึงภาสพัทธ์ขืนใบหน้าตนเองออกมาราวกับจะหักห้ามใจแต่แล้วก็พ่าย แพ้ต่อแรงปรารถนา
สัมผัสหวานล้ำอ่อนนุ่มที่รุกรานผ่านริมฝีปากเข้ามา ทำให้ปาจารีย์รู้สึกตัวขึ้นมา หญิงสาวขยับใบหน้าหลบหนีอาการวาบหวามตรงต้นคอด้วยความงัวเงีย สติสัมปชัญญะและเปลือกตานั้นหนักหนาเกินจะฝืนลืมขึ้นไหว หลายวันที่ผ่านมาหล่อนนอนได้น้อยไม่แตกต่างกับภาสพัทธ์เพราะเป็นห่วงเขา ร่างกายจึงเรียกร้องหาการพักผ่อนชนิดที่แทบจะปิดสวิตซ์ตนเอง แม้จะรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่เกิดขึ้นทั้งบริเวณใบหน้า ริมฝีปากและลำคอ แต่สมองไม่อาจประมวลผลได้ชัดว่าสัมผัสเหล่านั้นเกิดจากอะไร
กลิ่นหอมผิวกายของปาจารีย์ทำเอาภาสพัทธ์แทบคลั่ง การขยับตัวยกมือขึ้นปัดป่ายเล็กน้อยนั้นยิ่งพาให้สติของเขากระเจิง เนื้อตัวที่นุ่มนิ่มบอบบางที่คอยเบี่ยงหลบราวกับยั่วยุให้เขาตระกองกอดไว้ ชายหนุ่มรู้ดีว่าหากไม่หยุดในตอนนี้ เขาต้องทำอะไรล้ำเส้นเกินกว่าจะถอยกลับได้แน่นอน
จากคุณ |
:
อัยย์เนญ่า (Nyah)
|
เขียนเมื่อ |
:
16 ส.ค. 54 06:25:04
|
|
|
|