Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ยมทูต บทที่ 3 คำขอร้องของคนตาย ติดต่อทีมงาน

บทที่ 1 วันตายของผม
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10885914/W10885914.html

บทที่ 2 วิญญาณข้างทาง
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10917478/W10917478.html


บทที่ 3

คำขอร้องของคนตาย

ท่าทางที่หวาดกลัวของพวกผีจรจัดทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง สงสัยแม่ยมทูตสาวจอมโหดจะกลับมาแล้ว ผมคิดพลางลุกขึ้นและกวาดตามองหา เจ้าหล่อนอยู่ตรงไหนล่ะ ไม่เห็นมีเลย

“คนของยมทูต” เสียงแหบพร่าจากเจ้าผีตัวใหญ่ที่สุด ผมรีบหันหน้ากลับไปมองและพบว่ามันกำลังจ้องข้อมือของผมเขม็ง ที่แท้สิ่งที่เจ้าพวกนั้นกลัวคือโซ่เส้นนี้นั่นเอง ผมแกล้งขยับมือไปข้างหน้าและแกว่งโซ่ขู่ ฝูงผีถอยหลังกรูดทันที

“คนของยมทูต” มันพูดซ้ำประโยคเดิมก่อนจะหันไปทางวิญญาณของชายเคราะห์ร้าย ตัวที่เหมือนหัวหน้าแสยะยิ้ม “เจ้านี่ยังไม่มีใคร”

เงาดำทั้งหมดเคลื่อนเข้าไปหาชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว ผมรีบตะโกนเรียกเขาด้วยความเป็นห่วง

“คุณ คุณ!”

ดูเหมือนวิญญาณดวงนั้นจะไม่ได้ยินหรืออาจจะไม่สนใจเพราะเขามัวมุ่งมั่นอยู่กับการหยิบธูปเทียนให้ได้เท่านั้น ผมสะบัดโซ่อย่างนึกขัดใจขณะที่คิดว่าป่านนี้คงวิ่งไปเตือนเขาได้หากไม่ถูกล่าม แล้วนี่จะทำยังไงกันดี ขืนปล่อยไว้แบบนี้ผู้ชายคนนั้นคงถูกพวกผีบ้านั่นลากไปด้วยแน่ ผมคิดด้วยความกังวล เสียงผีร้ายดังขึ้นอีกครั้ง

“มาอยู่ด้วยกัน”

อีกแค่ไม่ถึงคืบปลายนิ้วผอมเกร็งของพวกมันก็จะถึงตัวเขา ผมอ้าปากเพื่อจะร้องเรียกชายผู้นั้นอีกครั้งแต่ต้องชะงักเมื่อผีร้ายทั้งหมดหยุดค้างนิ่งเหมือนมีอะไรบางอย่างกั้นขวางระหว่างพวกมันกับวิญญาณเคราะห์ร้ายดวงนั้นเอาไว้ พวกมันคำรามด้วยความโกรธจัดขณะตะกุยตะกายอากาศอย่างเอาเป็นเอาตาย ผมมองด้วยความแปลกใจและหันหน้าไปทางชายชรา

“ผีข้างถนนพวกนั้นไม่สามารถเข้ามาในนี้ได้” ปู่เจ้าที่พูดขึ้น ตอนนั้นเองที่ผมเห็นเหมือนมีเกราะหรือกำแพงโปร่งครอบคลุมศาลเพียงตาแห่งนี้เอาไว้ คงเป็นพลังคุ้มครองอาณาเขตเหมือนที่ผมเคยอ่านในหนังสือการ์ตูน เห็นแก่แบบนี้แต่เก่งไม่เบาเลยนะ

“เป็นเจ้าที่ทั้งทีก็ต้องมีฝีมือกันหน่อย” ชายชราพูดพร้อมกับหันมายิ้ม “กำแพงแก้วจะปกป้องวิญญาณดวงนั้นเอาไว้จนกว่าจะมียมทูตมารับ”

 “แล้วถ้าเขาเดินออกไปเองล่ะครับ” ผมถามอย่างเร็ว ปู่เจ้าที่ส่ายหน้า

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เป็นเหตุสุดวิสัย คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม” แกจ้องหน้าผม “ถามแบบนั้นทำไม”

“เพราะเขากำลังเดินออกไปแล้วน่ะสิ” ผมตอบเสียงดัง ปู่เจ้าที่หันไปมองชายผู้นั้นทันที

“เวรแล้ว” แกอุทาน “ขืนออกไปล่ะก็เสร็จเจ้าผีข้างถนนพวกนั้นแน่”

“ห้ามเขาไว้สิปู่” ผมพูดและหันไปตะโกนร้องบอกวิญญาณดวงนั้นด้วยความตกใจ “อย่าไปทางนั้น”

ดูเหมือนชายผู้เคราะห์ร้ายจะไม่ได้ยินเสียงของผม เขาก้าวออกจากกำแพงแก้วด้วยอาการเลื่อนสอย เสียงโห่ร้องอย่างยินดีดังมาจากกลุ่มผีข้างถนน พวกมันกรูเข้าไปหาเขาราวฝูงสุนัขป่าเห็นลูกกวาง ผมร้องลั่นพลางกระชากโซ่ล่ามอย่างแรง

“อย่า!”

ยังไม่ทันที่มือของผีตนใดจะแตะต้องวิญญาณของชายคนนั้นก็มีเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น เหล่าผีข้างถนนถูกแรงอัดจนกระเด็นไปคนละทิศละทาง ผมยืนตะลึงตาค้างขณะมองยมทูตสาวซึ่งกำลังยืนหน้าบึ้ง เธอจ้องฝูงผีเขม็ง

“ไปให้พ้น”

เสียงทรงอำนาจตวาดก้อง ตัวที่เหมือนหัวหน้าทำท่าจะขยับเข้าไปหาแต่ต้องชะงักเมื่อเห็นดวงตาวาวของสาวยมทูต มันทำเสียงคำรามอย่างขัดใจ พวกบริวารทั้งหลายลอยมารวมกันมันเคลื่อนถอยห่างและจางหายไปอย่างรวดเร็ว ผมเห็นแม่ยมทูตอกโตเบ้หน้า

“ไอ้พวกผีไม่มีญาติ”

เธอบ่นพึมพำและหันหน้าไปมองชายเคราะห์ร้ายซึ่งกำลังยืนงง

“ทำไมถึงยังไม่มีใครมารับ”

เจ้าหล่อนถามเสียงดุขณะชำเลืองตามายังเจ้าที่ ผมเห็นปู่ส่ายหน้า

“นึกว่าอยู่ในบัญชีของเธอ”

“บัญชีของฉันไม่มีรายชื่อของผู้ชายคนนี้” ยมทูตสาวพูดพลางดึงแท็ปเล็ตออกมา “ไปรับดวงวิญญาณนายแบบที่เมาตกชักโครกตายตอนเที่ยงคืนแล้วตีสามถึงจะมีวิญญาณตายหมู่เพราะถูกรถเมล์วิ่งขึ้นไปทับ”

นิ้วกดปุ่มระรัวก่อนเธอจะเงยหน้าขึ้นและพูดเสียงห้วน

“เขาไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของฉัน”

“อ้าว แล้วตกลงผู้ชายคนนี้อยู่ในความดูแลของใคร”

“เหลวไหลไม่ตรงเวลาแบบนี้คงจะเป็นหมอนั่น” เธอพูดเหมือนโกรธก่อนจะหันมาทำตาดุใส่ผม “มองอะไร”

อ้าว ไหงมาลงเอยกับเราแบบนี้ล่ะคนสวย ผมคิดและรีบเปลี่ยนเรื่องทันทีเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเจ้าหล่อนสามารถอ่านความคิดคนอื่นได้ แต่ดูเหมือนจะสายไปเพราะแม่ยมทูตสาวทำตาขวาง

“อย่ามาทะลึ่งกับฉัน”

เรื่องเล่าสยองของเจ้าที่วิ่งพรวดเข้ามาในความทรงจำ ผมจ้องยมทูตสาวที่ยกมือขึ้นด้วยดวงตาเหลือกลานและแหกปากร้องลั่นอย่างหวาดกลัว

“อย่าทำผม”

แขนยกขึ้นในท่าปัดป้อง ใจคิดอยากจะวิ่งหนีแต่เข่ามันดันอ่อนจนทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น หัวใจของผมเต้นระรัวราวกับกลองในขณะที่นึกว่าจะเจ็บขนาดไหนตอนโดนแม่ยมทูตจอมโหดอัดพลังเข้าใส่ แต่แทนที่จะได้ยินแสงสีเสียงระเบิดตูมตามทุกอย่างมันกลับเงียบสงบจนผมต้องลดมือลงและมองลอดแขนตัวเองด้วยความแปลกใจ เสียงปู่เจ้าที่ถาม

“เอ็งเป็นอะไรไปวะ”

ผมทำตาปริบๆในขณะที่ยมทูตคนสวยนิ่วหน้า

“ข้อมูลไม่เห็นบอกเลยว่านายเป็นคนเสียสติ”

อ้าว ไอ้เราก็นึกว่าจะโดนแม่สาวอกโตซัดพลังเข้าใส่ ที่ไหนได้คุณเธอกลับมองผมราวกับเป็นของประหลาดก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับวิญญาณของชายคนที่ถูกรถชน

“ป่านนี้แล้วเจ้านั่นยังไม่มาอีก” เธอบ่นอย่างหงุดหงิดพลางโบกมือ พื้นที่ผมยืนอยู่สั่นไหวขึ้นเล็กน้อย ผมก้มหน้าลงมองและอ้าปากค้างด้วยความตกใจเมื่อปลายโซ่ข้างที่ฝังดินถูกดึงขึ้นมา มันลอยไปหายมทูตสาวซึ่งกำลังหงายมือรอรับ เธอคว้าหมับพร้อมกับพูด

“ฉันต้องไปแล้ว”

“แล้วจะปล่อยวิญญาณของเขาเอาไว้แบบนี้หรือ” เสียงปู่เจ้าที่ถาม อีกฝ่ายขมวดคิ้ว

“ไม่ใช่หน้าที่ฉัน ปล่อยเขาเอาไว้แบบนั้นนั่นแหละ”

“ดีเหมือนกัน ฉันเองก็อยากเห็นตอนเขาโดนผีข้างถนนรุมทึ้ง มันน่าตื่นเต้นดี” ผมรีบพูดประชด ยมทูตสาวหันมาทำตาวาว

“พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”

“เปล่า” ผมพูดพลางแกล้งแยงหูตัวเองเล่น “พอดีปากมันว่างเลยแกล้งพูดไปอย่างนั้นเอง”

แม่สาวยมทูตโกรธจนหน้าแดง ถ้าเป็นคนธรรมดาคงดูน่ารักแต่สำหรับผู้นำทางคนตายแบบนี้มันกลับดูน่ากลัวพิลึก ผมรีบลดมือลงและเริ่มคิดหาทางหนีทีไล่ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้หากยังคงถูกโซ่ล่ามเอาไว้แบบนี้ งานนี้เจ้าหล่อนคงซัดพลังใส่ผมจนเละเป็นโจ๊กก่อนลงนรกแน่

“เอ่อ”

เสียงทุ้มดังขัดขึ้นมา ทั้งผมและยมทูตคนสวยรวมทั้งปูเจ้าที่ต่างหันไปมองชายเคราะห์ร้ายซึ่งกำลังยืนมองเราทั้งสามด้วยสายตางุนงง

“ไม่ทราบว่าพวกคุณกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่หรือครับ”

พวกเรายืนนิ่ง อีกฝ่ายหันไปมองร่างที่นอนอยู่ริมถนนและขมวดคิ้วก่อนจะหันหน้ากลับมาอีกครั้ง

“มีใครเรียกรถพยาบาลหรือยัง”

“ไม่จำเป็น” ยมทูตสาวตอบ ชายคนนั้นมองเธอด้วยสายตาไม่พอใจ

“คุณพูดแบบนั้นได้ยังไง” เขาเอามือล้วงกระเป๋าและทำท่าควานหาอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง “หายไปไหน”

“อะไรหายหรือครับ” ผมถาม ชายเคราะห์ร้ายนิ่วหน้า

“โทรศัพท์มือถือของผมน่ะสิ ไม่รู้ว่ามันหายไปไหน” เขาตอบพลางสอดส่ายสายตามองหาจ้าละหวั่น ปู่เจ้าที่มองเขาด้วยความเวทนา

“เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกต่อไปแล้ว” แกพูดขึ้น ชายผู้นั้นหันหน้ามามอง

“หมายความว่ายังไงกันครับ”

“หมายความว่านับแต่นี้ต่อไป นายจะไม่ได้ใช้ของพวกนี้อีกต่อไปแล้วน่ะสิ” ยมทูตสาวพูดเสียงเรียบ อีกฝ่ายทำหน้างงหนักขึ้น

“ผมไม่เข้าใจ” เขาชะงักคำพูดและทำหน้าราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “อ๋อ เข้าใจแล้ว ที่แท้พวกคุณก็เป็นพวกหัวขโมย นี่คิดจะปล้นผมใช่ไหมครับ เสียใจด้วยเพราะนอกจากโทรศัพท์มือถือนั่นแล้ว ผมแทบไม่มีอะไรติดตัวเลย”

เขาล้วงมือลงไปในกระเป๋าอีกครั้งและควานหาอย่างวุ่นวาย ผมได้ยินผู้ชายคนนั้นสบถออกมาสองสามคำก่อนจะเงยหน้าขึ้นจ้องเราสามคนเขม็ง

“ใครเอากระเป๋าสตางค์ผมไป”

ผมยืนนิ่งในขณะที่ปู่เจ้าที่ส่ายหน้า ส่วนแม่สาวยมทูตมองเขาอย่างรำคาญ

“ก็บอกแล้วว่านายไม่จำเป็นต้องใช้ของพวกนี้แล้ว” เธอพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจ

“ถ้าเป็นโทรศัพท์มือถือ ผมยกให้พวกคุณก็ได้ เงินน่ะอยากได้ก็เอาไปแต่ขอกระเป๋าสตางค์คืนมาเถอะครับ” เขาเว้นคำพูดเล็กน้อย “เพราะในนั้นมีรูปคนสำคัญของผม”

น้ำเสียงเฃิงอ้อนวอนของเขาทำให้ผมใจหาย แค่รูปในกระเป๋ายังเป็นกังวลขนาดนี้ แล้วนี่ถ้ารู้ว่าตัวเองตายไปแล้วเขาจะตกใจขนาดไหน ผมหันไปมองแม่ยมทูตอกสวยเพราะอยากจะขอร้องให้เธอบอกความจริงกับผู้ชายคนนั้นอย่างละมุนละม่อม แต่ดูเหมือนจะช้าเกินไป  

“ถึงรูปจะสำคัญแค่ไหนก็ไม่ใช่ของจำเป็นสำหรับคนตาย”

“คุณพูดเรื่องอะไร” ชายเคราะห์ร้ายถาม ยมทูตสาวมองเขาด้วยสายตาเฉยชาก่อนจะตอบเสียงเรียบ

“นายตายไปแล้ว” เธอพยักหน้าไปทางร่างที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นถนน “ศพยังอยู่ที่นั่น”

“คุณอย่ามาพูดจาเหลวไหลไร้สาระ” ชายคนนั้นพูดเสียงดัง “ถ้าผมตายไปแล้วจะมายืนคุยกับพวกคุณได้ยังไง”

“นายเป็นแค่วิญญาณ” สาวยมทูตตอบ “ถ้าไม่เชื่อจะไปดูร่างของตัวเองก็ได้”

อ๊ะ ไปด้วยสิ ผมคิดพลางรีบขยับตัว อยากเห็นคนถูกรถชนแบบไม่มีไทยมุงมานานแล้ว ดูสิว่าสภาพศพจะเป็นยังไง มันจะเหมือนที่เห็นในหนังไหม ยมทูตสาวหันมาถลึงตาใส่ผม

“รออยู่นี่”

ปลายโซ่พุ่งทะลุลงดินอีกครั้ง คราวนี้มันจมลึกลากข้อมือผมจนหัวทิ่ม แม่ยมทูตจอมแสบทำหน้าเหมือนสะใจก่อนจะหันกลับไปทางชายคนนั้นอีกครั้ง ทั้งคู่ลอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว ผมโงหัวขึ้นเพื่อมองตามและสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนดังมาจากชายเคราะห์ร้ายเมื่อได้เห็นร่างของตัวเอง

“น่าเวทนา”

ปู่เจ้าที่เปรย ผมดันตัวลุกขึ้นนั่งมองวิญญาณที่กำลังส่งเสียงร่ำไห้ ภาพของชายกลางคนที่กำลังตีอกชกตัวด้วยความเสียใจทำให้ความอยากรู้อยากเห็นในตอนแรกของผมมลายหายไป ในเวลานั้นเองที่ผมนึกถึงพ่อแม่ขึ้นมา ป่านนี้พวกท่านจะรู้หรือยังว่าลูกชายหายไป แต่ไอ้ตัวแสบจอมเกเรอย่างผมถึงจะหายไปเป็นอาทิตย์พวกท่านก็คงไม่ใส่ใจเท่าไหร่หรอกมั้ง

“ไม่มีพ่อแม่คนไหนใจดำถึงขนาดนั้นหรอก” เสียงชายชราพูดขึ้น ผมเงยหน้ามองแกแล้วสั่นหัว

“ปู่ไม่รู้จักพ่อแม่ผม”

“คงเป็นอย่างนั้น เพราะขนาดเอ็งซึ่งเป็นลูกยังไม่รู้จักพวกเขาแล้วข้าซึ่งเป็นแค่เจ้าที่จะไปรู้อะไร”

คำพูดของปู่ทำให้ผมสะอึก จะว่าไปแล้วตั้งแต่โตเป็นหนุ่มมานอกจากขอเงินแล้วผมแทบไม่เคยพูดอย่างอื่นกับพ่อแม่เลย ก็นะเจอหน้ากันก็พูดแต่เรื่องผลการเรียน ห้ามทำโน่น ห้ามทำนี่ ห้ามไปไหนมาไหนตามลำพัง ห้ามคบเพื่อนที่พวกท่านไม่ชอบหน้า ห้ามมันไปซะหมดทุกอย่างแบบนี้เป็นใครก็อึดอัดกันทั้งนั้นแหละครับ ตายไปแบบนี้พ่อแม่ผมคงสบายใจขึ้นแยะ ก็ไม่มีคนต้องให้บ่นอีกแล้วนี่

มัวแต่คิดถึงเรื่องของตัวเองจนลืมสังเกตว่าตอนนี้แม่ยมทูตสาวพาชายที่ถูกรถชนตายลอยกลับมายืนข้างหน้าผมอีกครั้ง ดูเหมือนเขาจะพอทำใจยอมรับขึ้นมาได้บ้างเพราะอาการฟูมฟายเมื่อครู่หายไปเหลือแต่เพียงเสียงสะอื้นที่ดังออกมาเป็นระยะเท่านั้น ผมมองชายคนนั้นอย่างเห็นใจแต่ไม่กล้าปลอบเพราะกลัวสาวยมทูตจะสั่งให้โซ่ลากผมจมดิน

“ฉันไม่ทำอย่างนั้นหรอกน่า”

เจ้าหล่อนหันมาพูดก่อนจะเบือนหน้ากลับไปที่ชายเคราะห์ร้ายอีกครั้งแต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรก็มีเสียงกรีดร้องบาดหูดังขึ้น ยมทูตสาวนิ่วหน้าขณะดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า อ้อ เสียงเรียกเข้ามือถือนี่เอง นอกจากเจ้าอุปกรณ์หน้าตาเหมือนแท็ปเล็ตแล้วยังมีของแบบนี้อีก นรกนี่ทันสมัยไม่เบา แถมยังเป็นรุ่นล่าสุดแบบพิมพ์ข้อความคุยกันได้ซะด้วย ผมพยายามมองภาพพักหน้าจอเพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นรูปของเจ้าตัวแต่ต้องเปลี่ยนใจเมื่อแม่ยมทูตสาวหันมาทำตาวาว

“มีอะไร” เธอกรอกคำพูดลงไปในโทรศัพท์ เสียงปลายสายดังลอดออกมาผมเงี่ยหูฟังแต่จับใจความอะไรไม่ได้ คงเป็นเรื่องไม่ดีนักเพราะยมทูตคนสวยเริ่มขมวดคิ้วจนแทบจะผูกกัน

“แล้วนายจะมารับเขาเมื่อไหร่” แม่สาวยมทูตถามเสียงห้วนและนิ่งฟังอีกฝ่ายพูดจนจบ “ก็ได้ รีบหน่อยก็แล้วกัน”

เธอปิดโทรศัพท์ฉับและยัดกลับลงไปในกระเป๋า ปู่เจ้าที่จึงรีบถาม

“เขาว่ายังไง”

“เจ้านั่นต้องไปรับวิญญาณของพวกนักท่องเที่ยวที่เรือล่ม” ยมทูตสาวถอนใจ “กว่าจะเรียกพวกนั้นขึ้นจากน้ำได้ต้องสู้กับพวกเงือกจนเหนื่อย ถ้าเป็นฉันคงไม่เสียเวลาขนาดนี้หรอก ระเบิดพวกมันให้กระจุยไปซะก็หมดเรื่อง”

สีหน้าและน้ำเสียงจริงจังเสียจนผมต้องนั่งหดหัว ยมทูตอะไรโหดชะมัด ทั้งซัดวิญญาณจนกระจายแล้วยังคิดระเบิดเงือกให้กระจุยอีก เอ๊ะ เงือกนี่มีจริงด้วยเหรอ

“มีจริง แต่พวกมันเป็นภูตน้ำไม่ใช่สาวเปลือยอกอย่างที่พวกมนุษย์คิด”

ยมทูตสาวตอบทันควันก่อนหันหน้าไปที่ชายเคราะห์ร้ายและพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์นัก

“ยมทูตที่ต้องมารับนายติดธุระ ตอนนี้คงต้องอยู่กับฉันไปก่อน” เธอกระแทกลมหายใจ “มีตัวถ่วงเพิ่มมาอีกคน น่าเบื่อเป็นบ้า”

ชายคนนั้นหน้าสลดลง หลังจากยืนนิ่งอยู่สักพักเขาจึงตัดสินใจพูดขึ้น

“ผมขอกลับไปลาลูกเมียได้ไหม”

“ไม่ได้” แม่สาวยมทูตตอบสียงห้วน ชายเคราะห์ร้ายมองเจ้าหล่อนด้วยสายตาอ้อนวอน

“ได้โปรด”

“บอกว่าไม่ได้” ยมทูตสาวยืนกรานเสียงแข็ง ผมมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าของชายผู้นั้นด้วยความเห็นใจ เขาคงอยากกลับไปดูหน้าครอบครัวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนไปรับกรรม ความคิดดังกล่าวของผมคงไหลเข้าไปในหูของแม่ยมทูตสาวจอมโหด เธอหันมาทันที

“ฉันไม่สนใจเรื่องแบบนั้น กฎย่อมเป็นกฎ เขาจะกลับขึ้นมาลาครอบครัวได้คือเจ็ดวันหลังจากนี้”

“แล้วระหว่างนั้นล่ะ”

ผมถามอย่างนึกฉุน ถึงจะรู้ว่าพวกยมทูตโหดแต่ไม่คิดว่าจะไร้น้ำใจกันถึงขนาดนี้ แค่พาวิญญาณไปดูหน้าลูกหน้าเมียมันจะไปลำบากอะไรหนักหนา ซัดกับไอ้พวกฝีข้างถนนยังจะดูยากกว่าอีก

“พันธะ” ปู่เจ้าที่พูดเสียงเรียบ “ไปเห็นก็ยิ่งเพิ่มความอาลัย ใจของคนตายจะไม่สงบ”

“แต่เขาแค่อยากไปลา”

“พูดน่ะได้” ชายชรามองหน้าผม “แต่พอไปจริงๆแล้วไม่เคยมีใครตัดใจได้สักคน”

“แต่ผมต้องการแค่ไปลาพวกเขา” ชายคนนั้นพูดเสียงเครือ “จากนั้นจะพาไปลงนรกหมกไหม้ที่ไหนก็ยอม”

“ไหนๆตอนนี้ก็ไม่ได้ทำอะไร น่าจะพาเขาไปสักหน่อย” ผมเสริมและเริ่มต่อรอง “แค่ยืนหน้าประตูก็ยังดี”

“ไม่ได้ก็คือไม่ได้” ยมทูตสาวยืนกรานเสียงแข็ง ผมชักเดือดปุดๆขึ้นมาบ้างแล้ว ถึงหน้ากับอกจะสวยแค่ไหนแต่ถ้าใจดำแบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน

“ฉันขอรับประกันเขาเอง ถ้าผู้ชายคนนี้ขัดขืนหรือดื้อดึงไม่ยอมกลับ ฉันยินดีจะรับโทษทัณฑ์ในส่วนนั้นเอง”

“กรรมใครก็กรรมมัน ไม่มีใครมาทดแทนกันได้”

“ยมทูตยังมาสายแถมเวลาตายฉันยังพลาด เรื่องแค่นี้ก็น่าจะพออนุโลมกันได้ไม่ใช่เหรอ”

ผมเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ แน่นอนล่ะครับตอนยังไม่ตายผมได้ชื่อว่าเป็นนักต่อรองฝีปากเอกบวกกับความดันทุรังที่เหนือชั้นกว่าใคร ส่วนใหญ่แล้วคนที่ผมต่อรองด้วยมักจะยกธงยอมแพ้ แม่สาวยมทูตนี่ก็น่าเช่นเดียวกันเพราะผมเห็นเธอทำท่าคิด

“ให้ผมไปเถอะนะครับ ผมสัญญาว่าจะยืนดูอยู่นอกเขตรั้วบ้านเท่านั้น”

“ของมันแน่อยู่แล้ว” ยมทูตสาวพูด “ผีบ้านผีเรือนไม่ปล่อยให้นายเข้าไปเพ่นพ่านข้างในหรอก”

ว้าว พูดแบบนี้ก็หมายความว่า...

“แค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้นนะ” เธอหันมาทำตาดุใส่ผมก่อนจะโบกมือ ปลายโซ่ผุดออกจากดินและลอยไปอยู่ในมือของเจ้าหล่อนอีกครั้ง “นายต้องไปด้วย”

ค่อยยังชั่วหน่อย นึกว่าต้องนั่งหง่าวอยู่กับปู่เจ้าที่อีก เห็นปากร้ายไม่นึกว่าจะใจดีเหมือนกัน ผมอ้าปากเตรียมจะพูดขอบคุณแต่ต้องชะงักไว้แบบนั้นเมื่อตัวลอยสูงขึ้นและถูกลากออกจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว เสียงโลหะกระทบกันที่ดังมาจากบริเวณลำคอทำให้ผมเหลือบตามองและต้องอ้าปากค้างเมื่อพบว่าโซ่ที่เคยล่ามข้อมือนั้น บัดนี้ได้ย้ายขึ้นมาล่ามคอของผมแทน เสียงปู่เจ้าที่แว่วมาตามลม

“โชคดีนะเจ้าหนุ่ม”

โชคดีกับผีอะไร ในเมื่อตอนนี้ผมกลายเป็นหมาน้อยวิ่งตามก้นสาวยมทูตไปเสียแล้ว ช่างน่าอนาถกับชะตาของตัวเองจริงๆ นี่หรือชีวิตหลังความตาย
 
*/*/*/*/*

แวะมาแจกกิ๊ฟทักทายก่อนค่ะ ขอเวลาตามเก็บก่อนเน้อ
จากคุณ : มนต้นไม้ (Setakan)
-ค่า ขอบคุณค่า

อ่านง่ายดี ติดตามอ่านอยู่นะครับ ^^
จากคุณ : กัลลอร์ง
- พยายามเขียนในแบบมุมมองความคิดเด็กวัยรุ่นน่ะค่ะ เลยต้องหาคำง่ายๆ อ่านสนุก

ตามครับ
จากคุณ : GTW  
- ขอบคุณค่า ^^

กลายเป็นร่างทรงเลย แต่ต้องเจ็บตัวทุกครั้งคงไม่ดีนะ
จากคุณ : scottie  
- พระเอกของเราคงเจ็บตัวน้อยลงถ้าลดกวนยมทูต แต่คงยาก

ตามมาอ่านค่ะ
อ่านแล้วได้คิดหลายอย่าง ดีค่ะ ชอบ
รออ่านตอนต่อไปนะคะ :)
จากคุณ : ดินสอสีน้ำ
- ขอบคุณค่ะ เขียนตามความเชื่อแล้วก็ดัดแปลงอะไรลงไปนิดหน่อยน่ะค่ะ ประมาณนรกก็น่าจะทันสมัยขึ้น แต่ระบบเหมือนเดิม

มาแนวแปลกดีค่ะ จะติดตามนะคะ
จากคุณ : สวนใส  
- ขอบคุณค่า ^^ เป็นแนวแฟนตาซีเลยแปลกไปนิดน่ะค่ะ

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามยมทูตนะคะ พบกับบทใหม่อาทิตย์หน้าค่ะ

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 54 14:06:45




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com