Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Psycho Birthday ติดต่อทีมงาน

==========
Psycho  Birthday
==========


เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่น  หญิงสาวลืมตาขึ้นมาจากความฝันอันสับสนราวหมอกควัน นอนตั้งสติอยู่พักหนึ่งจึงค่อยลุกขึ้นมาจากเตียงอย่างเชื่องช้าพลาง มองดูหัวเตียงด้วยความแปลกใจ

เธอซื้อนาฬิกาปลุกมาตั้งแต่เมื่อไรกัน เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลา 7.30 น. ยังไม่ทันทำอะไรเสียงโทรศัพท์ก็ส่งเสียงขึ้นทำเอาสะดุ้ง หญิงสาวคว้าโทรศัพท์ซึ่งวางอยู่หัวเตียงมารับสายโดยไม่สนใจดูว่ามนุษย์ตนใดโทรมา

“รุริกะ ทำไมเธอยังไม่ไปทำงาน” เสียงใสๆแว่วมาตามสาย

“อะไรนะ...” หญิงสาวย้อนถามด้วยความงุนงง

“ฉันบอกว่า ทำไมเธอยังไม่ไปทำงาน”

ทำงานหรือ.....หญิงสาวพยายามรวบรวมสติ ใช่แล้ว เธอเริ่มจำได้ว่าตัวเองชื่อรุริกะ ทำงานเป็นยามรักษาการณ์อยู่ที่บริษัทอะไรสักอย่าง...ไม่ใช่...ไม่ได้เป็นยามรักษาการณ์ นั่นเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน

“เธอมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมง” เสียงของเพื่อนยื่นคำขาด หญิงสาวขมวดคิ้ว เงียบไปพักหนึ่งก่อนย้อนถามอีกว่า

“เธอเป็นใคร”

“นี่เธอจำเพื่อนเธอไม่ได้หรือ”

เสียงของเพื่อนคนนั้นย้อนถามมา “ฉันแมวไง แมวดาวเพื่อนของเธอ เจอกันทุกวัน ยังจะมาทำเป็นลืมอีก รีบอาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้านมาได้แล้ว อย่าโอ้เอ้”

พูดจบก็วางสายไป หญิงสาวยังไม่หายมึนงงสับสนกับชีวิต แต่ก็รีบลุกจากเตียงไปอาบน้ำทำธุระส่วนตัวแต่งตัวเรียบร้อยในเวลา 15 นาที เหลือเวลาอีก 15 นาทีเท่านั้นสำหรับการเดินทางไปทำงาน

เธอวิ่งตัวปลิวลงมาจากห้องพัก ตรงไปยังรถยนต์คู่ชีพ แต่พอมาถึงลานจอดรถก็ใจหายวาบ เพราะ เพิ่งนึกได้ว่าลืมหยิบกุญแจมาด้วย สุดท้ายต้องกลับหลังหันวิ่งขึ้นไปยังห้องพัก ค้นหากุญแจรถยนต์แต่ไม่เจอ ทำเอามือไม้สั่นด้วยความร้อนใจ

ลองควานดูในกระเป๋าอย่างไม่ตั้งใจ กุญแจอยู่ในกระเป๋าถือนี่เอง ทำไมเสียเวลาวิ่งขึ้นมาด้วยนะ นึกในใจอย่างฉุนเฉียวตัวเองก่อนวิ่งหน้าตั้งลงมาจากห้องพักอีกครั้ง

มาถึงก็เสียบกุญแจประตูรถยนต์คู่ชีพ แต่ไม่เข้า เสียเวลาอยู่เป็นนาทีจึงค่อยพบว่าผิดคัน

รถของเธอจอดอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ความรีบร้อนทำให้ไม่ได้สังเกตให้ดี

กรรม......เธอรำพึงในใจอย่างเขินอายจนอยากเหาะหนี จะมีใครสังเกตหรือเปล่านี่...เดี่ยวก็โดนข้อหาขโมยรถแบบไม่ตั้งใจหรอก

รีบกระโดดขึ้นรถคู่ชีพ อีกไม่กี่วินาทีมันก็ส่งเสียงคำรามนุ่มนวลก่อนพุ่งทะยานออกไปดุจลูกธนู

ตอนเช้าจราจรติดขัด หญิงสาวเร่งความเร็วขับปาดซ้ายขวาด้วยความรีบร้อนมุ่งหน้าไปที่ทำงาน ไม่นานก็เหลือบเห็นจักรยานยนต์ของตำรวจไล่ตามมาจากกระจกมองหลัง

“แย่จัง..”

พึมพำอย่างหงุดหงิด แต่ก็ยอมนำรถชิดซ้ายเข้าทางทางโดยดี ตำรวจนายนั้นนำรถมาจอดด้านหลังเก๋งคันงามแล้วลงจากรถเดินตรงมา หญิงสาวรีบเปิดกระจกรถยิ้มหวานเป็นการเอาใจไว้ก่อน มือควานหาใบขับขี่ในกระเป๋าสะพาย

“เอามาดูสิ...ทำไมขับรถเร็วเกินกำหนด และไม่สวมหมวกกันน็อค”

มือยื่นมาตรงหน้า หญิงสาวยื่นใบขับขี่ให้ แต่ตำรวจนายนั้นส่ายหน้าบอกว่า

“ไม่เอาใบขับขี่...”

“อ้าว...” อุทานอย่างงงๆ มองหน้าอย่างสงสัย

“เอาเบอร์โทรศัพท์มา”

“อะไรนะคะ”

“บอกว่าเบอร์โทรศัพท์”

“ตำรวจบ้าที่ไหนกัน ไม่ตรวจใบขับขี่ จะขอเบอร์โทร”

หญิงสาวแยกเขี้ยวเหยียบขับเร่งพุ่งรถพรวดออกไปทันที อย่างไม่ไว้ใจ ตำรวจจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ หางตามองกระจกข้างเห็นตำรวจนายนั้นเสียหลักล้มลงไปกับพื้น เลื่อยไฟฟ้ากระเด็นออกจากบ่า

นั่นไง...นึกแล้ว พวกโรคจิตนั่นเองตำรวจที่ไหนจะสะพายเลื่อยไฟฟ้ากลางเมืองแบบนี้

เช้าวันนี้เริ่มต้นไม่ดีเลย

พาถึงที่ทำงานก็เลยเวลาเกือบ 10 นาที หญิงสาวแทบจะกระโดดลงจากรถก่อนรถจะหยุดด้วยซ้ำ ผู้อำนวยการยืนหน้างออยู่หน้าตึกด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างยิ่ง

“คุณมาสายอีกแล้ว”

“ขอโทษค่ะ” รีบยกมือไหว้แล้ววิ่งออกไปก่อนจะโดนตำหนิมากกว่านี้ แต่แล้วก็มายืนงงอยู่ระหว่างทางเดินนั่นเอง

“อาจารย์คะทางนี้”

เสียงใสแว่วมาจากด้านหลัง หญิงสาวในชุดนักเรียนคนหนึ่งกวักมือ
หย็อยอยู่หน้าห้อง หญิงสาวยังไม่หายมึนงง แต่ก็รีบก้าวตรงไปโดยเร็ว

ในห้องนั้นยังมีนักเรียนอีกหลายคน กำลังนั่งอยู่ด้วยท่าทางสบายใจ หลายคนก็วิ่งเล่นอยู่หลังห้อง

“อาจารย์แม่มาแล้ว”

ใครคนหนึ่งร้องขึ้น ทุกคนรีบเข้านั่งประจำที่ ขณะรุริกะยืนหมุนไปมาด้วยความประหลาดใจ

“เป็นอะไรไปคะอาจารย์”

“เปล่า ไม่มีอะไร..”

เธอยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อทั้งที่ในห้องอากาศเย็นฉ่ำเพราะเครื่องปรับอากาศ

“วันนี้อาจารย์แม่จะสอนอะไรคะ”เสียงนักเรียนสาวคนเดิมถามขึ้นมาอีก

“นั่นสิ..จะสอนเรื่องอะไร”

“อ้าว ทำไมพูดแบบนี้ล่ะคะ”

“แล้วจะให้พูดแบบไหน”

เสียงเฮดังขึ้นทันที นึกว่าอาจารย์ปล่อยมุก แต่ความจริงหญิงสาวหมายความตามนั้นจริงๆ

“จะสอนก็รีบสอนสิครับ ผมอยากเรียนอยากจดจะแย่อยู่แล้ว”

นักเรียนชายท่าทางจริงจังคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังเหมือนสีหน้า มือของเขาจับปากกาแน่นเตรียมจดเต็มที่ ตาจ้องไม่กระพริบ

แล้วจะสอนวิชาอะไรกันล่ะนี่

“ทุกคนหยิบสมุดปากกาขึ้นมา” ตัดสินใจสั่งการออกไปแบบส่งๆ “แล้วเขียนสรุปมาว่าคาบที่แล้วอาจารย์สอนอะไร”

“ทำไมต้องสรุปด้วยครับ” นักเรียนคนเดิมถามอีก

“เพราะอาจารย์สั่งให้จดไง”

“ฮา”

หลายคนร้องอย่างพอใจเมื่อได้ฟังคำตอบของอาจารย์แม่ เด็กหญิงสวมแว่นตาอันโตคนหนึ่งพูดพลางหัวเราะพลางอย่างพอใจว่า

“เป็นไงล่ะ โส่ย โดนอาจารย์แม่สวนกลับมาแบบนี้ ทำเป็นอยากถามอยากเรียนจนเกินกว่าเหตุดีนัก”

“อย่ามายุ่งได้ไหม ดาว” นักเรียนหนุ่มหันมามองนักเรียนสาวชื่อว่าดาวอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก “เธอเองก็ควรตั้งใจเรียนเดี๋ยวสอบตกมาจะต้องเรียนซ้ำชั้น”

“เอ๋...เรียนซ้ำชั้นเหรอ เป็นไปได้ไง..ก็ฉันเรียนจบแล้วนี่”

“เรียนจบแล้วมานั่งเรียนทำไมกัน” หนุ่มโส่ยย้อนถาม ดาวนิ่งคิดแล้วในที่สุดทำหน้าตาไม่ใส่ใจ ยักไหล่ตอบว่า

“ช่างเถอะเรื่องนั้น เรียนก็เรียนไม่เห็นเป็นไร”

“หยุดคุยกันแล้วรีบเขียนงานที่สั่ง”

หญิงสาวเห็นผู้เรียนคุยกันก็เริ่มไม่พอใจ ทำเอาทุกคนในห้องพากันนั่งเงียบ แต่ยังไม่มีใครยอมเขียนอะไรลงไปในสมุด

“อาจารย์แม่คะ” นักศึกษาสาวในชุดสีชมพูคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม “ทำไมหนูจำไม่ได้เลยว่าอาจารย์สอนอะไรเอาไว้ในชั่วโมงเรียนที่แล้ว”

“เธอจำไม่ได้ฉันจะไปจำได้ยังไง”

“อย่าพูดแบบนั้นสิคะ..” นักศึกษาผู้นั้นทำท่าจะร้องไห้ ทำเอาฟังแล้วใจอ่อน แต่ปากยังแสร้งทำดุต่อไปว่า

“ลองนึกดูให้ดีๆ เดี๋ยวก็นึกออกเอง”

“แอนูความจำเสื่อมไปแล้วแน่ๆ” หนุ่มโส่ยเอียงหน้าไปกระซิบกับสาวดาว

“อย่ามาพากันแอบนินทาฉันนะ”

สาวชุดชมพูได้ยินเลยหันไปว่า ทุกคนในห้องพากันอมยิ้ม

หญิงสาวหันไปดูนาฬิกาติดผนังห้องด้านหลังห้อง แต่เข็มของมันนิ่งสนิทบอกเวลาเที่ยงวัน มันคงเสีย..พอดีคิดได้ว่าเก็บนาฬิกาในข้อมือไว้ในกระเป๋าถือ จึงล้วงหยิบขึ้นมาดู แต่แล้วก็ทำหน้าแปลกใจเมื่อเห็นว่ามันตายสนิทอยู่ ณ เวลาเที่ยงวันเช่นกัน

เพิ่งมาถึงและสอนไม่นาน จะเป็นเวลาเที่ยงวันได้อย่างไรกัน ชักมีอะไรแปลกๆ

“ใครมีนาฬิกาบ้าง” ลองเลียบเคียงถามดู พวกนักศึกษามองหน้ากันแล้วสาวดาวแว่นตาโตก็ยกมือตอบว่า

“ไม่มีใครมีนาฬิกาหรอกค่ะ ถึงมีก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะมันบอกเวลาไม่ได้”

“ทำไมบอกเวลาไม่ได้”

“เพราะที่นี่ไม่ใช่เวลาจักรวาลของเราไงคะ”

“หมายความว่าอะไร เด็กหญิงดาว”

“เด็กหญิงอะไรกัน หนูโตเป็นสาวแล้วนะคะ” ว่าพลางสาวดาวก็ลุกขึ้นยืนหมุนตัวไปรอบๆ หัวเราะบอกว่า

“เห็นไหมคะ หนูเป็นสาวแล้ว แข็งแรงด้วย เพราะหนูดื่มน้ำผักผลไม้ทุกวันและออกกำลังกายด้วยการฟ้อนซิ่งทุกวัน”

“เอาล่ะ นั่งลงได้แล้ว” หญิงสาวยกมือทำสัญญาณให้นักเรียนดาวนั่งลง “ว่าแต่ที่พูดเมื่อครู่มันอะไรกัน เวลาจักรวาลอะไร”

“จักรวาลแต่ละที่ก็มีเวลาของใครของมัน” หนุ่มโส่ยพูดขึ้นด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

ที่นี่ไม่ใช่จักรวาลของเรา นาฬิกาเลยบอกเวลาไม่ได้ไงครับ”

“เอาล่ะ..ถ้าเป็นแบบนั้นจริง พวกเธอมาทำอะไรที่นี่”

“เดี๋ยวก็รู้เองล่ะครับ”

รอยยิ้มมีเลศนัยของหนุ่มโส่ยและแววตาซ่อนความลับบางอย่างซึ่งปรากฏในแววตาของผู้เรียนในห้องเริ่มทำให้รุริกะรู้สึกขนลุก แม้จะไม่เข้าใจคำพูดของหนุ่มโส่ย หญิงสาวยังคงทำเป็นเข้าใจ แล้วถามต่อไปว่า

“ถัดจากวิชาอาจารย์ เป็นวิชาอะไร”

“ไม่มีวิชาอะไรอีกแล้วค่ะ” แอนูก้มหน้าตอบเสียงเย็น มือจับปากกาเขี่ยไปมาบนกระดาษเล่นมากกว่าจะตั้งใจเขียนอะไรจริงจัง

“แล้ววิชาสุดท้ายที่พวกเธอเรียนกัน วิชาอะไร” ตั้งคำถามใหม่

“วิชาที่เรียนมาก่อนหน้านี้ก็ไม่มีค่ะ”

“นี่มันอะไรกัน”

นักเรียนโส่ยทำของบางอย่างหล่นลงพื้น เขารีบก้มตัวลงไปเก็บอย่างรวดเร็ว แต่อาจารย์แม่ไวพอจะมองเห็นว่าของสิ่งนั้นคืออะไร

“โส่ย...เธอพกมีดมาเรียนด้วยหรือ” ถามเสียงสูง ในใจเริ่มรู้สึกแปลกๆ

“ครับ”

“พกมาทำไม”

“มาตัดของบางอย่างครับ”

“ตัดอะไร”

นักเรียนหนุ่มก้มหน้าไม่ตอบ

“เขาคือฆาตกร”

เสียงนักเรียนหญิงคนหนึ่งในห้องพูดขึ้นมาเบาๆ แต่ได้ยินชัดกันทุกคน จึงพากันหันไปมอง เธอคนนั้นกำลังจับดินสอในมือหมุนไปมาอย่างไร้ความหมาย แววตาสงบนิ่งราวน้ำในบ่อลึก

“ยัยดินสอ...เธอว่าใครเป็นฆาตกร” โส่ยร้องถาม

“ไม่ได้ระบุชื่อว่าใครนี่”

ดินสอหันไปซุบซิบกับเพื่อนนักเรียนหญิงอีกคนซึ่่งนั่งอยู่ข้างๆ และกำลังดูดกาแฟมาจากถ้วยกาแฟขนาดใหญ่ของเธอ อาจารย์แม่มองเห็นพอดีเลยถามเสียงดังว่า

“พวกเธอคุยอะไรกัน”

“เปล่าค่ะ..”  ทั้งสองคนตอบพร้อมกัน

“ยังจะมาแก้ตัวอีก”

“คือ...หนูกับยัยกาแฟกำลังพากันสงสัยว่าในห้องนี้มีอะไรแปลกๆค่ะ” หนูดินสอรีบอธิบาย

“แปลกยังไง”

“เธอคนนั้น...” ดินสอชี้มือไปยังหนูดาว “เป็นเพื่อนคุณครูไม่ใช่หรือคะ แต่ทำไมมานั่งเรียนกับพวกเรา”

อาจารย์รุริกะหันไปมองแพรวดาว และเริ่มจำได้ว่า เป็นเพื่อนคนนี้เองที่โทรศัพท์ไปหาเธอตอนเช้า แล้วทำไมมานั่งเรียนอยู่ที่นี่

“ยัยดาว..”
ร้องถามด้วยความแปลกใจสุดขีด “เธอมาเป็นนักเรียนได้ยังไง”

“หนูก็แปลกใจเหมือนกัน” แพรวดาวทำหน้างงปนเอ๋อ” อยู่ซิดนี่ย์ดีๆ ทำไมมาเป็นนักเรียนของเธอ เอ้ย..อาจารย์ ได้ยังไง ชักจะมีอะไรแปลกๆ”

“แล้วเธอล่ะ..” หญิงสาวหันไปทางนักเรียนสาวผู้ถือแก้วกาแฟติดตัวเสมอ

“นอกจากจะดื่มกาแฟตลอดเวลาแล้ว ยังสะพายกระเป๋าสะพายแบบเด็กเล็ก ทายได้เลยว่าในนั้นอาจมีขวดนมและขนมอยู่ด้วย”

“อาจารย์รู้ได้ไงคะ” หนูกาแฟถามด้วยความงุนงง

“ไม่รู้เหมือนกัน แค่รู้ว่าแพรวดาวกำลังเล็งหมวดพร้อมอยู่”

“อ้าว...” หนูดาวฟังอยู่ถึงกับสะดุ้ง

หญิงสาวหันไปมองนักเรียนอีกคนผู้กำลังขัดรองเท้าของเธออย่างตั้งใจ

“กีวี่ ทำไมไม่ยอมหยุดสักที” ถามแล้วก็แปลกใจตัวเอง ทำไมชื่อของนักเรียนคนนี้ถึงพุ่งวูบเข้ามาในความทรงจำได้ทั้งที่เพิ่งเจอหน้าเป็นครั้งแรก

“หยุดอะไรคะ”

“หยุดขัดรองเท้า”

“ก็หนู...ชอบให้รองเท้าสะอาดนี่ค่ะ” หนูกีวี่ บราวน์ ตอบตาใส
“การใส่รองเท้าสะอาดเป็นมัน ทำให้เดินคล่องเดินสวยเกินเท่เดินเก๋ เดินขึ้น เดินลง  เดินซ้ายเดินขวา เดินหน้าเดินหลัง เดินทั้งวันอย่างมั่นใจทุกอิริยาบถ  ได้โดยไม่รู้เบื่อ พูดมาแล้วอยากเดินค่ะ”

“อะไรกัน...พวกเธอนี่”

หญิงสาวส่ายหน้า ก่อนหันไปมองนักเรียนหญิงนุ่งเกงเกงยีนคนหนึ่งกำลังก้มหน้าง่วนอยู่กับสิ่งของบนโต๊ะด้านหน้า

“จันทร์พันฝัน เธอทำอะไร”

ชื่อของเด็กคนนี้วิ่งปราดเข้ามาในความคิดอีกแล้ว ท่าทางเด็กคนนี้ไม่ใช่ธรรมดา เหมือนคนเคยผ่านการฝึกวิทยายุทธมาเป็นอย่างดี

“กำลังแก้ฝันค่ะ” เธอเงยหน้าขึ้นยิ้มพลางมาตอบเสียงใส

“แก้ฝันอะไร  ฝันว่าอะไร”

“อ๋อ..พระจันทร์มาพันความฝันค่ะคุณครู เลยพยายามแก้มันออกไป”

“แก้ฝันอะไรของเออแบบนี้...”  หญิงสาวส่ายหน้าอีกแล้ว

ทันใดนั้นเอง เด็กหญิงอุ้มตุ๊กตาคนหนึ่งก็ลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเดินออกจากห้อง

“อรุสา เธอจะไปไหน”

“อาจารย์รู้จักชื่อหนูได้ยังไงคะ” เธอหันมาถาม

“ไม่รู้เหมือนกัน ว่าแต่เธอจะไปไหน”

“หนูอยากกลับบ้านแล้วค่ะ หิวน้ำมะพร้าวใส่มะนาวแล้ว”

“ฉันมีน้ำผัก เอาไหม”

แพรวดาวร้องบอกอย่างมีน้ำใจ ยื่นแก้วน้ำผักมาให้ มันมีของเหลวสีแดงเหมือนเลือดสดๆ อยู่ในแก้วใบนั้น ด้านเด็กเรียนโส่ยทำของหล่นพื้นอีกครั้ง เป็นมีดคมวาววับเล่มเดิม

ด้านหลังยังมีนักเรียนอีกคนหลายคน พากันนั่งนิ่งมาตั้งแต่แรกเริ่ม ตอนนี้พวกนั้นค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ

“หนูอยากกลับบ้านแล้ว”

อรุสายังคงย้ำความคิดเดิม เดินตรงไปยังประตูซึ่งปิดสนิท พยายามเปิดประตูอย่างไรก็เปิดไม่ออก สุดท้ายเธอเลยกดปุ่มบนตัวตุ๊กตา ขีปนาวุธลูกจิ๋วพุ่งออกมาจากปากตุ๊กตาเอนกประสงค์ เข้าถล่มประตูห้องเรียนทันที

บึม..

เสียงระเบิดหนักๆ ประกายไฟแตกกระจายราวไฟพะเนียง ประตูไม้แตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย ด้วยฝีมือของนักประดิษฐ์อรุสาและตุ๊กตาของเธอ ผลการทำลายจำกัดวงแคบอยู่แถวประตูเท่านั้น ไม่ส่งผลถึงทุกคนในห้อง

เศษไม้พวกนั้นกลับกลายเป็นแมลงปอโบยบินวนเวียนไปมาราวภาพฝัน กลุ่มควันกลับกลายเป็นกลุ่มเมฆลอยฟ่อง รุริกะปากอ้าตาค้างอย่างประหลาดใจ

“อาจารย์คะ”

เสียงเรียกมาจากด้านหลัง พวกนักเรียนเริ่มพากันลุกขึ้นและเดินตรงมาอย่างช้า ๆ ราวหุ่นยนต์ชักใย นัยน์ตาว่างเปล่าไร้ความรู้สึก

ใบมีดในมือของหนุ่มโส่ยเป็นประกายยามกระทบแสงไฟ หนูกาแฟขยับแก้วกาแฟไปมา แต่ดูแล้วน่ากลัวพิกล หนูดินสอหยิบดินสอออกมาคาบเล่น แต่ท่าทางเหมือนกำลังคาบใบมีด

จากนั้นหนูกาแฟกับหนูดินสอสีน้ำ พากันหยิบกล่องขนาดใหญ่ขึ้นมาจากพื้น ชวนให้นึกถึงภาพเศษชิ้นส่วนชุ่มเลือดของมนุษย์ถูกเก็บอยู่ในกล่องพวกนั้น หรือว่านักเรียนพวกนี้กำลังจะคิดแยกชิ้นส่วนเธอกันแน่....

ท่าทางไม่ดี จะว่าเสียอาการก็ยอม หญิงสาวหมุนตัวกลับวิ่งออกไปจากห้องทันที

ทางเดินของอาคารหม่นมัวจากแสงไฟซีดๆ บนเพดาน มองออกไปด้านนอกพบกับความมืดมิดราวกับเป็นเวลากลางคืน นี่มันอะไรกัน...

ตัวอาคารสั่นไหวไปมาราวกับเป็นอสรพิษกำลังบิดตัวอย่างเกียจคร้าน หญิงสาวเสียหลักผวาออกไปทางระเบียงทำท่าจะหัวทิ่มตกลงจากอาคารแต่มือจับราวกั้นซึ่งเป็นโลหะยาวไว้ทัน

ราวกั้นน่าจะเป็น สเตนเลส แต่เวลาสัมผัสรู้สึกเย็นชืดหยุ่นเหนียวเหมือนกำลังสัมผัสลำตัวของอสรพิษร้ายจนต้องรีบชักมือออกมา

นี่ต้องเป็นฝันร้าย ฝันร้ายชัดๆ

เงาวูบวาบมาจากบริเวณห้องเรียน นักเรียนพวกนั้นเริ่มพากันเดินออกมาและมุ่งหน้ามาหาเธออย่างไม่รีบร้อน เหมือนจะรู้ว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้น แอนูกับกีวี่ช่วยกันลากกล่องกระดาบขนาดใหญ่ตามมาขณะจันทร์พันฝันลอยตัวขึ้นไปในอากาศราวไร้น้ำหนัก

หันกลับจะวิ่งต่อไปตามทางเดิน อรุสากับตุ๊กตาของเธอยืนขวางอยู่  ภาพของเธออุ้มตุ๊กตาด้วยสีหน้าเย็นยะเยือกตัดฉากหลังหม่นมัวเป็นภาพอันน่าขนลุก

“อาจารย์จะไปไหนคะ”

เสียงของอรุสา..ไม่ใช่..เป็นเสียงดังออกมาจากปากของตุ๊กตาในอ้อมแขนของเธอต่างหาก ดูเหมือนว่าจะแสยะยิ้มให้ด้วย หางตาเหมือนเห็นคมมีดวาววับ

ด้านข้างมีประตูห้องๆ หนึ่งแง้มอยู่ นั่นเป็นทางหนีทางเดียว ไม่ต้องรออะไรอีกแล้ว รีบพุ่งเข้าไปในห้องแล้วล็อคประตูด้วยความรวดเร็วหายใจหายคอไม่ทัน

ไฟฟ้าสว่างจ้า จนตาพร่าไปชั่วขณะ และมีเสียงคนหลายคนร้องเสียงดังราวกับนั้นกันไว้

“สวัสดีตรับ / ค่ะ  อาจารย์แม่....”

พอลืมตามองก็อ้าปากค้างอย่างงุนงงสับสนและประหลาดใจสุดขีด

แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 54 19:25:55

จากคุณ : Psycho man
เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 54 15:27:26




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com