Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
^ผู้ชายในฝัน...ที่บังเอิญมีอยู่จริง^ ติดต่อทีมงาน

ผู้ชายในฝัน...ที่บังเอิญมีอยู่จริง


“ขอบคุณมากนะครับ คุณหมอ” นายตำรวจหนุ่มเอ่ยขณะโคลงศีรษะให้เธอเบา ๆ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องฉุกเฉิน ปล่อยให้คุณหมอมือใหม่ที่เพิ่งจบจากโรงเรียนแพทย์หมาด ๆ ได้ไม่ถึงสามเดือนมองตามจนประตูห้องปิดสนิท

ธณัญญานิ่งอยู่ครู่เดียวก็รีบเปิดประตูออกไป หันซ้ายมองขวาจนเห็นชุดสีกากีไหว ๆ อยู่ที่หน้าห้องยา เธอรีบสาวเท้าเร็ว ๆ ตรงเข้าไปหาเป้าหมาย เรียกชื่อเขาให้หันมามอง

“เอ้อ...หมอจะมาบอกว่า...” มายืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างนี้อีกครั้ง สมองเธอก็ทำท่าจะไม่ทำงานเอาดื้อ ๆ หญิงสาวต้องสูดลมหายใจยาว ๆ เรียกสติให้ตัวเอง และเรียกหาสักเรื่องมาบอกกับเขา “เอ่อ...วันศุกร์หน้าที่หมอนัดมาตัดไหม หมอเข้าเวรพอดี ถ้าคุณติดงาน จะมาเย็นหน่อยก็ได้นะคะ”

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มที่ทำให้โลกสว่างกระจ่างสวยขึ้นมาต่อหน้าต่อตาธณัญญา “ขอบคุณนะครับ...แล้ว...เอ้อ...แผลนี่ ถูกน้ำได้ไหมครับ”

คราวนี้ถึงคราวคุณหมอบ้างที่ขมวดคิ้วเบา ๆ อย่างประหลาดใจ เธอจำได้ว่าบอกเขาตั้งแต่เย็บแผลให้เรียบร้อยแล้ว ว่าแผลที่พ่อเจ้าประคุณผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เอาแขนไปเฉี่ยวมีดอรัญญิกมาจากภารกิจช่วยตัวประกันวัยเก้าปีนั้น คุณหมอใจดีได้เย็บให้เรียบร้อยแล้ว และ...

“...ห้ามโดนน้ำค่ะ แต่หมอติดพลาสเตอร์กันน้ำให้แล้ว คุณอาบน้ำได้ตามปกติ แต่ระวังอย่าไปขัดถูบริเวณพลาสเตอร์ และถ้ามีน้ำซึมเข้าไปก็มาเปลี่ยนพลาสเตอร์ใหม่ที่นี่ได้ค่ะ” บอกอีกทีก็ได้ เห็นว่าเป็นหนุ่มหล่อ เอ้ย...คนไข้นะนี่

“อ้อ...ขอบคุณครับ” เขาโคลงศีรษะลงเอ่ยคำเดิมอีกครั้ง ธณัญญาจึงโคลงศีรษะเบา ๆ กึ่งตอบรับ ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับมาเข้าเวรที่ห้องฉุกเฉินต่อ พร้อมกับถอนใจ กระซิบกับตัวเองเบา ๆ

“...เย็นไว้หมอตอง...เย็นไว้...”

เมื่อกลับมาสอบถามกับพี่พยาบาลในห้องฉุกเฉินดูแล้ว เห็นว่ายังไม่มีคนไข้เข้ามา เธอก็ได้นั่งพักเงียบ ๆ หลังจากที่เหนื่อยกับงานมาทั้งวัน

คงเพราะความว่าง สมองเจ้ากรรมจึงคุ้ยเอาเรื่องเก่า ๆ มาเล่าซ้ำ ให้หัวใจที่ยังเต้นไม่เป็นจังหวะ กระหน่ำซ้ำผิดจังหวะยิ่งขึ้นจนเกือบเป็นชื่อของใครบางคนที่เพิ่งเดินจากไป

เธอจำได้ว่าสมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สี่ ช่วงที่ไปฝึกงานที่โรงพยาบาลต่างจังหวัดซึ่งมีรุ่นพี่แพทย์ที่จบจากสถาบันเดียวกันทำงานอยู่ รุ่นพี่ผู้อาวุโสเคยเตือนบรรดารุ่นน้องสาว ๆ ที่ไปฝึกงานว่าเรียนจบแล้วให้ระวังนายตำรวจ เพราะเขาว่ากันว่า ตำรวจต่างจังหวัดชอบจับหมอ

หญิงสาวหัวเราะเสียด้วยซ ำ้ด้วยความเป็นสาวน้อยวัยใส ทุกเรื่องเป็นเรื่องสนุกตราบเท่าที่ยังมาไม่ถึง เธอกับเพื่อน ๆ จึงได้แต่กระเซ้ากันเล่นว่าคงได้หักคานทองด้วยดาวบนบ่า

คนเดียวที่ไม่สนุกด้วยเห็นจะเป็นลูกสาวนายตำรวจที่นั่งหน้างอ แล้วกลอกตาไปมา 'อย่าทำเล่นไป ระวังตัวไว้ได้เลย...เคยได้ยินไหม รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ...คบไม่ได้'

ทั้งที่เพื่อนสาวเตือนถึงขนาดนั้น แต่ก็ไม่มีใครสนใจฟัง เพราะชีวิตครอบครัวคนเตือนออกจะมีความสุขสวยงามราวเจ้าหญิงตัวน้อย ๆ ของผู้เป็นบิดา ยิ่งทำให้ใครเพื่อน ๆ หลายคนในคณะอดจะฝันใฝ่ถึงบุคคลในเครื่องแบบไม่ได้

ธณัญญาเป็นหนึ่งในหญิงสาวที่มีความหลงใหลในตัวบุคคลในเครื่องแบบเป็นทุนเดิม เธอไม่ได้หลงยศหรือตำแหน่ง แต่เธอหลงความเป็นสุภาพบุรุษที่หลายคนเล่าขานกันมา

ว่ากันว่า...สุภาพบุรุษทั้งสี่เหล่า คือผู้ชายที่ได้รับการฝึกมาแล้วเป็นอย่างดี

'...อย่าไปเชื่อ...สมัยก่อนอาจจะใช่ เดี๋ยวนี้น่ะเรอะ...เหอะ' ลูกสาวนายตำรวจคนเดิมนั่นละแค่นหัวเราะใส่
แต่ใครจะสน เรื่องของความชอบห้ามกันไม่ได้ และเวลานี้ ธณัญญาคิดว่าเธอกำลังจะห้ามใจตัวเองไม่อยู่ ตั้งแต่แรกพบสบตากับนายตำรวจหนุ่มคนนั้น หัวใจเธอก็เต้นไม่เป็นจังหวะ อยากจะให้คำที่รุ่นพี่เคยเตือนเป็นความจริง



“...ชอบนัก แกก็ลองเป็นหมอจับตำรวจดูบ้างสิ” เพื่อนสาวบอกอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากฟังนิยายรักระหว่างหมอมือใหม่กับนายตำรวจหนุ่มมานาน

“ไอ้บ้า...เราเป็นผู้หญิงนะ”

“โอ๊ย...นี่มันยุคไหนแล้วแก สมัยนี้ผู้หญิงเขานับแต้มล่าผู้ชายกันแล้ว”

“ไม่ใช่ทั้งหมด แล้วเราก็ยังหัวโบราณ เป็นกุลสตรีอยู่นะ” ธณัญญาส่งค้อนใส่เพื่อนสาวตาคว่ำ รู้ดีว่าคนตรงหน้าก็หัวโบราณไม่แพ้กัน แต่คงเพราะความที่เคยคุ้นกับสังคมสมัยใหม่ ร่วมกับอารมณ์ไหว ๆ กึ่งหยันโลกอย่างที่เจ้าตัวชอบเรียกว่าติสท์แตกนั่นละ ทำให้เธออดจะพูดกึ่งประชดโลกไม่ได้เสียที

พรายเพ็งแค่นหัวเราะ “เหอะ...อย่างนั้นก็พับความรัก ความหลงของแกแพ็คกระเป๋าเผ่นเถอะ ตำรวจสมัยนี้ไว้ใจได้ที่ไหน”

ธณัญญาถอนใจ หรี่ตามองเพื่อนสาวที่ทำเหมือนลืมไปแล้วว่าพ่อตัวเองทำงานอะไรด้วยความหมันไส้

“นี่...พ่อแกน่ะผู้การจังหวัดนี้ไม่ใช่เหรอ”

“ใช่สิ...ไม่อย่างนั้นเราไม่โผล่หัวมานั่งเจรจากับแกที่นี่หรอก” หญิงสาวบอกหน้าตาเฉย แต่เพื่อนอย่างธณัญญาอดจะขมุบขมิบปากบ่นสรรเสริญเจริญพรในใจไม่ได้

...ใช่สิ...ถ้าไม่เพราะมาหาคุณป๋า แม่เพื่อนตัวดีของเธอไม่มีทางมาเยี่ยมเยียนให้ปรึกษาหารือกันหรอก...

พรายเพ็งตวัดสายตาค้อนเพื่อนที่บ่นสรรเสริญเธอในใจมานาน ก่อนจะบอกเสียงเรียบ

“ตอง...เราพูดจริง ๆ นะ โลกมันไม่ได้สวยหรูอย่างที่แกคิดหรอก จำที่พี่เขาเคยว่ากันได้ไหม พวกตำรวจชอบจับหมอ มันเพราะอะไรละ...เราอยู่วงการนี้มานาน เราก็ต้องพอรู้อะไรดี ๆ บ้าง คุณป๋าก็เตือนตลอด พวกมียศ มีตำแหน่ง มีอำนาจน่ะจะต้องการอะไรอีก...เงินไง พวกนั้นชอบคิดว่าหมอรวย ไม่คิดหรอกว่าเราไม่ได้รักษาคนมีอย่างเดียว ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีหมอก็ต้องรักษาทั้งนั้น คนเห็นแต่ภาพสวยหรูภายนอก ก็จีบหมอ...เงินต่ออำนาจ อำนาจต่อเงิน วนเป็นวงจรอุบาทว์ อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวเลย”

“มองโลกในแง่ร้าย” ธณัญญาอดว่าไม่ได้

“ก็ถ้ามองแต่แง่ดีแล้วมันจะชีช้ำกะหล่ำปลีก็ต้องหัดมองแง่ร้ายบ้างละ” พรายเพ็งแค่นหัวเราะ “โลกยุคสุภาพบุรุษที่มนุษย์ยังมีคุณธรรม ศีลธรรมครบถ้วนน่ะ มันจบไปตั้งแต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว”

“นั่นก็เกินไป...โลกมันก็มีคนดีคนเลวปนกัน แกนี่มองโลกเป็นสีดำอย่างนี้ เขียนนิยายหวาน ๆ ได้ยังไง เราละงงจริง ๆ”

“ก็จินตนาการไง...โลกมันไม่สวย เลยต้องเขียนใหม่ให้มันสวย ๆ” เมื่อพูดถึงงานอดิเรกที่รักอย่างการเขียนนิยาย พรายเพ็งก็อารมณ์ดี นับว่าธณัญญาจับจุดเปลี่ยนเรื่องได้ดีเยี่ยม

“แล้วเมื่อไรจะเขียนให้เราละ” เธอเริ่มทวงอีกครั้ง หลังจากเคยร้องขอให้เพื่อนเขียนนิยายให้มาตั้งแต่ยังเรียนในโรงเรียนแพทย์

“เมื่อไรก็เมื่อนั้นละ...ยังคิดพล็อตไม่ออก”

“นี่ไง...ก็เราขอพระเอกเป็นหนุ่มในเครื่องแบบ ก็คนนี้เลย ผู้กองภัทรไง เอาไปเขียนเลย” เธอยัดเยียดให้ทั้งตัวละครเอกและโครงเรื่อง

คุณหมอนักเขียนทำหน้าปั้นยาก หรี่ตามองเพื่อนก่อนจะเบะริมฝีปากคล้ายเหยียดยิ้ม

“นี่บอกเลยนะ...ที่แกเล่ามานี่มีจุดเดียวที่คลิก น่าเขียนเล่น”

“อะไร” ธณัญญายังมีความหวังจาง ๆ

“ตรง...” พรายเพ็งแกล้งหยุด ยั่วให้เพื่อนสาวส่งสายตาอ้อนวอนอย่างรอฟังมาให้ ก่อนจะเฉลย “ตรงรักแรกพบหน้าศพในคดีนี่ละ เด็ดได้ใจ”

“ไอ้บ้า...” ธณัญญาอยากจะทุบหัวเพื่อนเหมือนตัวการ์ตูนเวลาสนทนาทางอินเตอร์เน็ท แต่เมื่อทำไม่ได้เธอก็ได้แต่บ่นงึมงำแก้ตัวไปตามเรื่อง “ก็มันมีแต่คนกับศพ ศพกับคน...เป็นแก แกจะเลือกอะไรละ”

“ศพสิ...นั่นงานแกนะ”

“แหม...เราก็ทำงานนั่นละ แต่ก็เหลือบ ๆ มองคนไปบ้าง ก็เท่านั้นเอง” พอเพื่อนย้ำถึงงาน เธอก็เริ่มละอายขึ้นมาเล็กน้อยจึงอดบอกเบา ๆ ไม่ได้ “ก็คนมันเจริญหูเจริญตากว่าตั้งเยอะ แถม...คนหล่อด้วย”

“ไม่หล่อธรรมดา...เป็นคนหล่อในเครื่องแบบอีกต่างหาก”

“ใช่...” ธณัญญารีบพยักหน้ารับอย่างหน้าชื่นตาบาน

พรายเพ็งเบะปาก ส่ายหน้าพลางถอนใจ “แกนี่มัน...เพ้อเข้าขั้นขนาดนี้ วิ่งไปจีบเขาให้สิ้นเรื่องสิ้นราวเถอะ”

“ไอ้บ้า...ถ้าทำได้เราทำไปนานแล้ว เกรงใจก็แต่ว่าเราเป็นผู้หญิงหรอก” คนหัวโบราณที่หลงกรี๊ดผู้ชายนี่ก็มีเรื่องกลุ้มใจเหมือนกันนะ “ไปวิ่งตามผู้ชายเย้ว ๆ งามเสียที่ไหน”

“โห...นี่ถ้าแกไม่กรี๊ดผู้กองนั่นให้เราฟังก่อนนะ คงเผลอนึกว่าเรามีเพื่อนเป็นแม่หญิงไทยใจงาม”

“ก็ยังใจงามอยู่นี่ไง เลยไม่เผลอไปวิ่งตามผู้ชาย” ธณัญญาทำหน้างอ “แกก็สงสารเราหน่อย นี่อดใจแทบตาย แกช่วยเขียนนิยายมาเป็นยาปลอบใจหน่อยสิ ไม่สมหวังในชีวิตจริง ขอแค่ในนิยายก็ยังดีวะ”

“รู้ได้ยังไงว่าจะไม่สมหวัง”

“ก็...ไม่รู้สิ ตั้งสามเดือนแล้ว ยังไม่เห็นคืบหน้า เขาไม่ก้าวมา เราก็ก้าวไปไม่ได้” หญิงสาวบอกพลางถอนใจ “อีหรอบนี้นะ...เห็นลางแห้วลอยมาตรงหน้าเลย”

“ไม่แน่หรอก...”

เมื่อเพื่อนที่เคยบอกว่าให้ตัดใจมาตลอดดันมาให้ความหวังเวลาที่กำลังคิดจะตัดใจ ธณัญญาก็อดหงุดหงิดอยู่เล็กน้อยไม่ได้ หญิงสาวหรี่ตามองพรายเพ็ง “อะไรของแก...เดี๋ยวก็ว่าอย่ายุ่งกับพวกตำรวจ เดี๋ยวก็มาให้ความหวัง”

“แหม...ก็คำว่าแพทย์หญิงหน้าชื่อแกมันยั่วยวนออกขนาดนั้น”

“แกพูดเสียเรารู้สึกเหมือนไม่มีอะไรดีในตัวอื่นเลยนอกจากคำสองพยางค์นั่น”

พรายเพ็งเหลือบตามอง รู้ว่าเพื่อนเริ่มหงุดหงิด อาจจะเสียใจอยู่นิด ๆ ด้วยซ้ำ แต่หญิงสาวก็แค่ไหวไหล่เบา ๆ “คุณค่าของแต่ละคน เวลาคนอื่นมองมันก็อยู่แค่ว่าเขามองหาอะไรในตัวแก แต่คุณค่าจริง ๆ ในตัว...มีแค่แกเท่านั้นที่รู้จักทั้งหมด” อาการติสท์แตกของพรายเพ็งพาทฤษฎีแปลก ๆ ที่ขวางโลกออกมาให้ได้ยินบ่อยเสียจนธณัญญาต้องทำใจให้ชิน

ครั้งนี้ก็เช่นกัน หญิงสาวต้องหยุดความโกรธของตัวเองเอาไว้ ด้วยความเข้าใจในทัศนคติที่แตกต่างของเพื่อน

และที่สำคัญ ทั้งพรายเพ็งและเธอ ให้คุณค่าในกันและกันด้วยคำสามพยางค์ที่เรียกว่า...มิตรภาพ
เมื่อทำใจได้ ธณัญญาก็หันมาอ้อนเพื่อนสาวต่อ “...แต่แกเขียนนิยายให้เราหน่อยนะ...นะ นะ”

พรายเพ็งหรี่ตามอง หัวเราะเบา ๆ “ไปเขียนนิยายชีวิตตัวเองให้เรียบร้อยก่อนเถอะ แล้วค่อยมาคุยกันว่าจะหาพระเอกที่ไหน”

“ก็คนนั้นไง...ผู้กองภัทรน่ะ”

“เหอะ...นั่นแกอยากให้เป็นพระเอกในชีวิตจริงไม่ใช่เหรอ”

“ก็อยากทั้งในนิยายทั้งชีวิตจริงละ แต่ในชีวิตมันลำบาก ขอในนิยายก่อนแล้วกัน...ยังไงผู้ชายดี ๆ มันก็มีแต่ในนิยายตามสโลแกนแกอยู่แล้วนี่” ธณัญญาทำหน้าเศร้าอย่างคนถอดใจ ก่อนจะต้องสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงทุ้มดังจากด้านหลัง

“ถ้าไม่ลำบาก...ก็ให้เป็นความจริงก่อนได้ไหมครับ”

ธณัญญานั่งตัวแข็งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวยาว ขณะที่ผู้ชายในชุดสีกากีก้าวเข้ามานั่งข้าง ๆ หญิงสาวไม่กล้าขยับตัวเหมือนจะลืมหายใจ ทำได้แต่เหลือบมองเขาด้วยหัวใจที่เต้นรัว

ลูกสาวผู้การที่เกลียดตำรวจกลอกตาไปมา พลางถอนใจ “สวัสดีค่ะพี่ภัทร นึกอยู่ตั้งนานว่าผู้กองภัทรที่ไหน ที่แท้ก็...เป็นพี่นี่เองที่มาหลอกเพื่อนเพ็ง”

“ใครหลอก...พี่เป็นคนจริงใจไม่จิงโจ้...น้องเพ็งก็รู้” เขาบอกกับเพื่อนของเธออย่างคุ้นเคยกันดี

“เหอะ...ก็อย่าให้รู้แล้วกันว่าจิงโจ้” พรายเพ็งย่นจมูกใส่ชายหนุ่ม ก่อนจะหันมาบอกเพื่อน “ถ้าเป็นพี่ภัทรคนนี้...เราไม่รับประกัน แต่...ก็คงพอไปวัดตอนบ่าย ๆ ได้ละมั้ง”

นั่นฟังคล้ายคำอนุมัติกึ่งรับรอง ธณัญญาอยากจะเชื่อว่าเขาเป็นคนดีที่คุ้มค่าให้เธอเอาหัวใจไปเสี่ยง หญิงสาวหันไปมองผู้ชายซึ่งนั่งส่งยิ้มหวานอยู่ข้าง ๆ เธอด้วยความงุนงง

“น้องเพ็งพูดอย่างนี้พี่ก็เสียหายหมดสิ...เราน่ะคุ้นกับพวกตำรวจจนมองพวกพี่ในแง่ร้ายไปหมด คนดี ๆ ก็ยังมีตั้งเยอะนะครับ”

“ค่ะ...เยอะพอ ๆ กับหาเพชรในหาดทรายละค่ะ” เธอบอกเสียงเรียบอย่างไม่เชื่อถือ ลุกขึ้นยืนแล้วคว้ากระเป๋ามาสะพายไหล่ “เพ็งไปหาคุณป๋าดีกว่า...ไม่อยากถูกมดกัดอยู่แถวนี้”

“ไปพบท่านผู้การจริง ๆ นะครับ อย่าไถลไปยุใครให้เกลียดตำรวจอีกนะ”

“หุบปากไปเลยพี่ภัทร...เดี๋ยวก็ยุคุณป๋าให้ส่งลงใต้เสียนี่” พรายเพ็งยังอุตส่าห์หันมาชี้นิ้วดุ

ผู้กองภัทรไม่สนใจ แต่กลับหัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องตลก ขณะที่ธณัญญาเหลือบมองอย่างกลัวแทน “ไปยั่วไอ้...เอ้ย...เพ็ง เดี๋ยวก็ยุ่งหรอกคุณ”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ...น้องเพ็งแกขู่ไปอย่างนั้นละ คุณก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือ”

“เรื่องปกติก็พอรู้...แต่เห็นเพ็งเกลียดตำรวจ เลยไม่แน่ใจว่าคุณอาจจะโดนเล่นงานได้ง่าย ๆ”

“เหมือนกันละครับ ปากบอกเกลียด แต่ถ้าเกลียดจริงคงไม่เข้าโรงพยาบาลตำรวจหรอก”

“ดูคุณรู้จักเพ็งดี” ธณัญญาเดาอย่างไม่แน่ใจนัก

ผู้กองภัทรพยักหน้ารับ “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ พอดีท่านผู้การกับพ่อผมเป็นเพื่อนสนิทกัน เลยรู้จักน้องเพ็งตั้งแต่เด็ก ๆ ถึงปากบอกเกลียด ๆ แต่ที่จริงน้องเพ็งรักอาชีพนี้มากนะครับ...เพราะรักมาก ก็เลยโกรธมาก เมื่อต้องยอมรับว่ามีพวกเหลือบริ้นไรซ่อนเร้นมาหาประโยชน์จากอาชีพนี้อยู่เหมือนกัน”

“พอจะเดาได้หรอกค่ะ...เวลาพูดถึงคุณป๋า เอ่อ...พ่อเพ็งน่ะค่ะ ดูเธอจะภูมิใจมาก”

“ครับ...ท่านผู้การเป็นตำรวจที่ดี” แววตาของชายหนุ่มเปี่ยมด้วยความชื่นชมเหมือนดวงตาของคนที่มองไอดอลตัวเองอยู่ตรงหน้า “เป็นแบบอย่างของนายตำรวจยุคใหม่หลาย ๆ คนเลยละครับ”

ธณัญญาอดไม่ได้ที่จะมองแววตานั้นด้วยความชื่นชม เธอเป็นหนึ่งในสาวน้อยช่างฝัน และมักจะถูกดึงดูดด้วยแววตาหรือท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยพลังของความฝัน และความมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงฝัน

“ฉันเชื่อว่าวันหนึ่ง คงมีใครสักคนพูดถึงคุณด้วยคำนั้นเหมือนกัน” เพราะอะไรไม่รู้ เธอจึงพูดออกไปแบบนั้น

ภัทรชะงักนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะอมยิ้มบาง ๆ หันมามองหน้าหญิงสาว “ขอบคุณนะครับ...แต่คุณรู้ไหม ท่านผู้การเคยพูดว่า ท่านคงไม่มีวันมาถึงวันนี้ได้ หากไม่มีกำลังใจที่ดีอย่างภรรยาของท่าน”

“ก็คุณน้าน่ารักออกขนาดนั้นนี่คะ” ธณัญญารู้จักมารดาของพรายเพ็งดี เธอจึงยิ้มตอบเมื่อคิดถึงสุภาพสตรีวัยกลางที่ยังคงความงดงามราวสาวน้อยไว้ได้อย่างครบถ้วน

“แค่น่ารักไม่พอหรอกครับ...ท่านผู้การว่าเมียตำรวจน่ะ ไม่ใช่คุณนายที่มีคนรุมล้อมดูแล แต่เป็นผู้หญิงที่พร้อมจะเข้าใจและอยู่เคียงข้างเราตลอดเวลาต่างหาก เพราะชีวิตตำรวจไม่ได้สวยหรูเหมือนที่คนภายนอกมองเห็น ชื่อก็บอกอยู่ว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ หลายครั้งเราจึงต้องทิ้งความสุขของตัวเองเพื่อสันติของประชาชนก่อน”

เขาไม่แค่พูด แต่กลับมองหน้าหญิงสาวนิ่งด้วยดวงตาที่เป็นประกายหวานอย่างประหลาดจนธณัญญาต้องหลุบตาลงมองพื้นโต๊ะ รู้สึกเหมือนมือไม้เก้งก้างจนทำอะไรแทบไม่ถูก

“คุณบอกว่าวันหนึ่งอาจมีคนพูดถึงผมเหมือนท่านผู้การ แต่ผมคิดว่าคงไปถึงจุดนั้นเพียงลำพังไม่ได้...ผมก็เหมือนท่านผู้การนั่นละครับ ยังต้องการกำลังใจจากใครสักคน” เสียงเขาอ่อนลงเรื่อย ๆ ยิ่งพยางค์สุดท้ายที่ทอดเสียงลงหวานละมุนจนคนฟังอย่างธณัญญารู้สึกถึงอะไรบางอย่างไหวสั่นอยู่ในอก

เหมือนมีผีเสื้อโบยบินอยู่ในท้อง มีมดไต่อยู่ที่หัวใจ มันคันยิบ ๆ จนแทบจะนั่งไม่ติด

หญิงสาวได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ เมื่อเขาขยับร่างสูงใหญ่นั้นเข้ามาใกล้จนเบียดแทบชิดตัวเธอ ร่างบางขยับจนแทบไม่มีที่เหลือให้ขยับ แต่เขาก็ยังอุตส่าห์ติดตามมาเพื่อจะบอก

“ผมอาจไม่ใช่ผู้ชายดี ๆ อย่างในนิยาย เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาที่มีหน้าที่ต่อส่วนตัว และส่วนรวม...แต่คุณหมอจะพอให้โอกาส พิจารณาผู้ชายคนนี้ไว้ในชีวิตจริงได้ไหมครับ” เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้จนไหล่แทบเกยติดไหล่เธอ คำขอนั้นอ่อนหวาน แผ่วเบาเพียงพอให้ได้ยินกันเพียงสองคน

ผีเสื้อขยับปีกบินพล่านไปทั่วท้องและในช่องอก หัวใจไม่รักดีกำลังเต้นรัว ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตกใจ ร่างบางผงะถอยไปช่วงนิ้วหนึ่ง เพื่อจะหันไปจ้องมองเขาให้ชัดเต็มตา และได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ กับแววตาหวานที่ทอประกายเว้าวอน

ธณัญญายกมือหยิกแก้มตัวเองโดยอัตโนมัติ เมื่อรู้สึกเจ็บเธอก็ทำหน้ายุ่ง บอกตัวเองเบา ๆ “นี่ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม”

“ทำไมต้องฝันละครับ” เขาถามกลั้วหัวเราะ

“ก็ผู้กองเหมือนผู้ชายในฝัน” คุณหมอสาวตอบออกมาอย่างเผลอตัว จนหลุดปากไปเรียบร้อยแล้วนั่นละเธอจึงรีบยกมือขึ้นปิดปาก กลอกตาไปมาเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าพูดคำหยาบ

ผู้กองภัทรยิ้มกว้างอย่างได้ใจกว่าเดิม “ก็ตอนนี้ผู้ชายในฝันคุณมาอยู่ตรงหน้าแล้ว...รับพิจารณาเขาไว้หน่อยเถอะครับ”

ธณัญญากระพริบตาปริบ ๆ ตัดสินใจเอ่ยถามเบา ๆ “ทำไมละคะ...ทำไมถึงเป็นหมอ”

“น้องเพ็งเคยบอกว่า ในความรักไม่เคยมีเหตุผล มันก็แค่ความรู้สึกที่เราห้ามไม่ได้ก็เท่านั้นเอง” เขาบอกเสียงเบาแทบเป็นกระซิบ และเพราะเสียงเบามากจึงต้องเอียงหน้ามาบอกใกล้ ๆ ให้เธอได้ยิน “ผมเพิ่งรู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นก็ตอนที่พบกับคุณหมอละครับ”

“เพราะตองเป็นหมอหรือคะ” เพราะคำของพรายเพ็งแท้ ๆ ทำให้ธณัญญาไม่แน่ใจว่านี่อาจเป็นแค่ความฝันหวานเพียงชั่วครู่ที่เขาสร้างมาหลอกเธอเล่นตามค่านิยมตำรวจจับหมอเท่านั้นเอง

ภัทรกลอกตาอย่างอ่อนใจกับระเบิดลูกใหญ่ที่พรายเพ็งเพาะไว้ในใจของหญิงสาว เขาจ้องลึกเข้าไปในตาเธอ

“เพราะคุณเป็นคุณต่างหากละครับ...ผู้หญิงแปลก ๆ ที่จ้องผมเอา จ้องเอาอย่างไม่เกรงใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ”

ธณัญญาอ้าปากพะงาบ ๆ เป็นปลาสำลักน้ำ นี่เขารู้ตัวตลอดเลยหรือว่าถูกเธอลอบมอง

“คุณหมอร้าย ๆ ที่ไม่ยอมเขียนใบชันสูตรตามคำขอของสิบเวร แถมโวยจนเรื่องแดงมาให้ผมรู้ว่ามีลูกน้องกำลังปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” คราวนี้หญิงสาวหน้าแดงเมื่อนึกถึงวีรกรรมทำเพื่อจรรยาบรรณที่เธอแทบจะต่อยกับสิบเวรกลางโรงพยาบาล

“สำหรับผม...ความเป็นหมอของคุณมีดีแค่ทำให้ผมรู้สึกไม่แย่นักเวลาโดนมีดฟันตอนนั้น” เขาหมายถึงวีรกรรมช่วยตัวประกันจนถูกมีดฟันเข้าที่แขนมาให้เธอเย็บ

“ใช่...แผลคุณ เป็นอย่างไรบ้างคะ” เธอถามอย่างเพิ่งนึกได้ว่าเขามีแผลติดตัว

“มะรืนตัดไหมครับ...แต่ผมทนคิดถึงคุณไม่ไหว เลยรีบมาก่อน” คนมีแผลบอกอย่างไม่ใส่ใจ แถมยังดึงแขนเสื้อสีกากีขึ้น อวดแผลที่ถูกปิดไว้ด้วยพลาสเตอร์กันน้ำ “นี่ถ้าไม่กลัวถูกน้องเพ็งว่า ผมกะจะโทร.ไปถามอยู่เหมือนกันว่าจะใช้เล่นลูกไม้ไหนกับแผลดี ให้ได้มาหาคุณหมอก่อนวันตัดไหม”

“อย่าเชียวนะคะ...มาเฉย ๆ ไม่ต้องเจ็บตัวมาก็ได้”

“อย่างนั้นผมมาหาคุณหมอบ่อย ๆ ก็ไม่เป็นไรสินะ” เขาบอกอย่างสบายอกสบายใจ

ธณัญญาเพิ่งรู้สึกตัวว่าเผลอชี้โพรงให้กระรอกตัวโตไปแล้ว แต่พอมองหน้ากระรอกที่ฉีกยิ้มกว้างอยู่ในเครือ่งแบบสีกากีแล้ว สายตาหญิงสาวก็ชักพร่ามัว หัวใจที่ผิดจังหวะคงฉีดเลือดไม่คอ่ยดี สมองจึงไม่ค่อยทำงาน มึน ๆ เบลอ ๆ เหมือนตกอยู่ในภวังค์

“อนุญาตแล้ว จะหาว่าตำรวจคนนี้มาระรานไม่ได้นะครับ” เขาย้ำอีกครั้ง

ธณัญญาได้แต่ถอนใจ หยิกแขนตัวเองเบา ๆ ซ้ำอีกครั้งพอให้แน่ใจว่าไม่ใช่ความฝัน แล้วก้มหน้าพึมพำบอก “ก็ถ้าไม่มาก่อกวนให้วุ่นวายนัก...คงไม่มีใครว่ามั้งคะ”

ร่างบางในชุดเสื้อกาวน์สั้นสีขาวกับกระโปรงผ้าฝ้ายรีบลุกขึ้นยืนบอก “ฉันต้องรีบไปทำงานแล้ว...ขอตัวก่อนนะคะ”

“ตามสบายครับ แต่ให้โอกาสผม...เดินไปส่งได้ไหม” เขาลุกขึ้นยืนตาม เอ่ยถามอย่างจริงจัง

หญิงสาวยืนคิดอยู่เพียงอึดใจ ก็พยักหน้ารับแล้วรีบก้มหน้าด้วยความเขินอาย ขณะที่ชายหนุ่มผายมือไปเบื้องหน้าให้เธอเดินไปก่อน แล้วเขาก็ก้าวเท้ายาว ๆ มาเดินเคียงข้าง

ธณัญญาเหลือบมองร่างสูงที่เดินคู่กับเธอ รอยยิ้มบาง ๆ ค่อยคลี่ออกมาบนหน้า

จะมากไปไหม...ถ้าเธออยากจะเดินไปกับเขา เรื่อย ๆ ไป

จากคุณ : Argent
เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 20:13:28




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com