2.
เขมรัฐตื่นเพราะแสงสว่างที่ลอดจากม่าน เขาปรือตาอย่างเกียจคร้าน ค่อย ๆ ยกข้อมือดูนาฬิกา ตีห้าทำไมสว่างจัง...ความจริงมันน่าจะหกโมงมากกว่า
หกโมง!!
ซวยแล้ว!!
เขากระเด้งผึง ผลุนผลันลนลานลงจากเตียงจนทำให้คนนอนข้าง ๆ พลอยสะดุ้งตื่น
“จะรีบไปไหนพี่ ยังเช้าอยู่เลย” หญิงสาวผมยาวหน้าตาสวยเข้มขยับร่างมาหา คล้องมือกอดเอวขณะชายหนุ่มนั่งหมิ่น ๆ บนขอบเตียงเพื่อสวมถุงเท้า
“จะไปรับลูกบังเกิดเกล้า”
“หา!”
หญิงสาวเปลี่ยนท่าทางทันควัน เขาไม่ทันสนใจคว้าเสื้อยืดมาสวม มาชะงักเมื่อเสียงเธอกรีดร้อง
“พี่มีลูกแล้วเหรอ!!”
เขมรัฐพยักหน้าส่ง ๆ นึกไม่ออกแต่ไม่พยายามนึกว่า ค่ำคืนที่มาผ่านได้บอกรายละเอียดอะไรกับสาวเจ้าไปบ้าง แค่เกี้ยวพาบวกมองตาไม่กี่นาทีธุรกิจก็เป็นอันตกลง
“ตายแล้ว! ทำไมพี่ไม่บอกหนูก่อน แบบนี้หนูก็ซวยพอดีสิ โอ้ย ตายจริง! ตาย ๆๆ” หน้าสวยบูดเบี้ยว มือทึ้งเส้นผมจนเขมรัฐปราดมาจับมือห้ามไว้
“เดี๋ยว ๆ อย่าเพิ่งตาย ไม่มีใครตายซะหน่อย”
“พี่โกหกหนูนี่ แบบนี้ถ้าเมียพี่เอาน้ำกรดมาสาดหรือจ้างคนมากรีดหน้าหนูทำไงล่ะ บ้าจริงเลย”
เขมรัฐยิ้มแหย เดาได้ว่าหญิงสาวต้องเป็นแฟนละครหลังข่าวถึงได้วิตกเป็นตุเป็นตะแบบนี้ มองให้ดีหน้าตาเธอตอนไร้เครื่องสำอางค์ไม่ต่างกับตอนประทินโฉนนัก ไม่ได้จัดอยู่ในประเภท สวยไม่สร่างแต่สว่างไม่สวย สายตาเขายังเฉียบคมเหมือนเคย
“ไม่ได้โกหก เออ พี่บอกว่ามีลูก แต่ไม่เคยพูดว่ามีเมีย”
เธอย่นคิ้ว
“ลูกน่ะมี แต่เมียไม่มี” เขาย้ำ
“จริงนะ”
เขายิ้มให้ “ไม่เชื่อไปถามกิ๊กสิบกว่าคนของพี่ได้ ไม่เห็นมีใครโดนน้ำกรดสาดหน้าสักคน” เขมรัฐผละออกมา หยิบกระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์
“ไปก่อนนะ คิดถึงก็โทรมานะจ้ะ”
เขาโน้มตัวหอมแก้มอีกฝ่ายก่อนจะเดินตัวปลิวออกไป ทิ้งหญิงสาวให้นั่งจ่อมอยู่ลำพังเนิ่นนานก่อนจะค่อย ๆ เผยรอยยิ้ม ถึงความจริงเขาจะมีพันธะ หากรสสัมผัสไม่ธรรมดาที่ได้รับมาค่อนคืนก็ทำให้คิดได้ว่า บางที...มันก็คุ้มที่จะเติมสีสันให้ชีวิตเหมือนกัน
เขมรัฐจอดรถจี๊บแรงเลอร์โฟว์วีลสีดำไว้ข้างอาคารคล้ายโกดัง แล้วเดินอ้อมไปด้านหน้า ทิวทัศน์โดยรอบเป็นท่าเรือ มองเห็นเรือน้อยใหญ่จอดเทียบสะพานปลา ทะเลแผ่ตัวจรดภูเขาอยู่ลิบ ๆ เขาหรี่ตามองฝ่าแสงรุ่งอรุณก่อนจะหันกลับมา บริเวณหน้าจั่วของหลังคามีป้ายไม้ขนาดใหญ่เขียนชื่อ ‘แพเจ๊หงส์” กำแพงก่อกันลมด้านเดียว อีกสามฝั่งเปิดโล่งมีเพียงเสาปูนค้ำหลังคา พื้นเปียกเนื่องเนื่องจากคนงานวัยรุ่นสามสี่คนกำลังใช้แปรงกวาดไล่น้ำลงท่อ กลิ่นเค็มคาวความสดอบอวล ตระกร้าพลาสติกต่างขนาดวางซ้อนอยู่มุมหนึ่ง ชายหนุ่มเดินโหย่ง ๆ ไปอีกฝากของบริเวณ
มุมนั้นมีตู้คอนเทนเนอร์สำนักงานตั้งอยู่ ด้านหน้ามีโต๊ะไม้ตัวใหญ่ ชายวัยหกสิบตัวเล็กผอมกำลังตรวจเช็คเอกสารง่วน
“ลุงโพ”
“นายเข้” อีกฝ่ายละสายตา พยายามคลายคิ้วขมวด แล้วพูดต่อด้วยรอยยิ้มกึ่งตำหนิ “มาสายนะเนี่ย”
เขมรัฐโคลงศีรษะ “ผมไม่ได้นอนมาสองคืนเพราะลุงยังไม่บ่นเลย” “ผมไม่ได้แกล้งนี่”
คนอายุน้อยกว่ายิ้ม “ล้อเล่นน่า เป็นไงบ้าง มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
คนตรวจงานส่ายหน้า ไม่ถือสาคำหยอกจากเจ้านายรุ่นลูก ความที่ทำงานให้อีกฝ่ายมาเกือบทั้งชีวิต ได้รับการอุปการะช่วยเหลือกันทั้งครอบครัว ลูกชายเขาก็เป็นผู้ช่วย ‘นายเข้’ อยู่ที่ฟาร์มปูนิ่ม พวกเขาสนใจกับปัญหาหนักกว่านี้ เพราะอย่างไรเสียความรับผิดชอบในตำแหน่งหัวหน้าย่อมมีมากกว่า สองวันที่ชายชราหยุดไปเพราะป่วยเขมรัฐก็ต้องมาค้างคืนและดูงานประมูลปลาด้วยตัวเอง
“ก็ไม่มีอะไร แต่ปูไม่ค่อยมี กบมันซื้อปูพวกพม่ามาเพิ่ม เห็นว่าจะคุยกับนายเข้เรื่องนี้อยู่”
เจ้านายพยักหน้ารับ กิจการเลี้ยงปูนิ่มของเขากำลังไปได้สวยทั้งเรื่องยอดขายและการเติบโต ตั้งแต่เริ่มเมื่อสี่ปีก่อน ปัญหาที่รับรู้มาตลอดคือการลดลงของปูในทะเลไทย ต้องนำเข้าปูจากประเทศเพื่อนบ้านเพื่อนำมาเลี้ยงต่อ คนทำธุรกิจฟาร์มปูเล็ก ๆ เลือกวิธีซื้อเท่านั้น ขณะที่เขาเองยังพอหาปูจากธรรมชาติได้เนื่องจากมีแพปลาและเรือประมง แต่คงต้องเริ่มคิดวิธีแก้ปัญหานี้จริงจังตั้งแต่เนิ่น ๆ เสียแล้ว
“ฝากลุงดูก่อน บ่าย ๆ ผมจะมาใหม่”
“เย็นเลยก็ได้ ไปงีบเอาแรงเถอะ ผมหายดีแล้ว ถ้าป่วยบ่อยนายเข้ต้องมาดูงานแทน ผมรู้สึกผิด”
ชายหนุ่มยกคิ้ว รู้สึกมีอะไรแอบแฝง ชายชรายิ้มจนหน้าย่น
“จะไม่มีเวลาไปดูเด็ก ๆ”
เขมรัฐกรอกตาส่งยิ้มเชิงหมายหัว หากก็เดินผละออกไปโดยไม่โต้เถียงใด ๆ นอกจากจะเป็นลูกชายเจ๊หงส์เจ้าของแพปลาแห่งบ้านน้ำทองแล้ว ใครก็รู้ว่า ‘นายเข้’ เป็นหนุ่มหล่อเจ้าเสน่ห์ประจำตำบล จนมีบางคนพูดว่าถ้าคนแปลกหน้ามาถามหาคนชื่อนี้ ให้เลือกถามสาวสวยแทนที่จะเป็นผู้ใหญ่บ้านจะมีโอกาสได้เจอตัวมากกว่า
ชายหนุ่มทักทายกับคนงานขณะก้าวยาว ๆ มาที่รถเพราะเห็นเวลาเดินไม่รอ เขามีภาระกิจประจำคือต้องไปส่งลูกชายที่โรงเรียนทุกวัน ถึงตอนเย็นอาจจะไม่ได้รับกลับ แต่คำสัญญาต่อตัวเองคือต้องได้เห็นหน้าเจ้าโขงตอนเช้า
ต่อให้ไปเมาหัวทิ่มหรือค้างกับผู้หญิงที่ไหนก็ตามเขาจะไม่ลืม สิ่งนี้ช่วยเตือนตลอดสิบกว่าปีว่าตัวเองเป็นใครและหน้าที่อะไรต้องมาก่อน โดยจะใช้เวลาช่วงขับรถนั้นพูดคุยเติมพลังใจให้กัน
ถึงจะเป็นความผิดพลาดจนต้องสูญเสียชีวิตสนุกสนานช่วงเวลาวัยรุ่น แต่ชีวิตที่ได้ดีทุกวันนี้ เกิดได้เพราะ ‘ลูกชาย’ โดยแท้
โขงทำให้เขาเป็น ‘พ่อ’ และเข้าใจความเป็น ‘ลูก’ ที่ทำให้แม่ผิดหวัง ซึ่งชายหนุ่มได้แก้ไขทุกอย่างจนหมดจด ทำให้โขงเติบโตขึ้นท่ามกลางความอบอุ่น
แม้จะไม่มีแม่ก็ตาม...
เขมรัฐหยุดความคิดไว้เท่านั้น เพราะรถมาถึงจุดหมาย เขากระโดดลง เดินผ่านโถงบ้านตรงไปยังครัว เหลือบมองนาฬิกายังไม่เจ็ดโมงก็เป่าปากโล่งใจ พอมีเวลาได้จัดการตัวเองและละเลียดกาแฟสักแก้ว
“เข้”
“อย่าเพิ่ง ขออาบน้ำก่อน”
เขารีบตัดบทก่อนที่ผู้เป็นแม่ก่อนจะใส่ประโยคยืดยาวและทำให้เสียเวลา เผ่นขึ้นห้องบนชั้นสอง หลังจากอาบน้ำเสร็จ จะแปรงฟันต่อเหลือบมองตัวเองในกระจกเห็นเคราครึ้มรอบหน้าจึงหยิบที่โกนหนวด
“มันหน้าที่ลูกจ้าง...”
รอยยิ้มจุดขึ้นบนใบหน้าคม บ่ายวันก่อนเขาเพิ่งกลับจากแพด้วยสภาพสะโหลสเหลไม่ได้นอน แม่สาวสวยคนนั้นจึงตีความว่าเขาเป็นคนงานธรรมดา พอได้เจอกันอีกครั้งและรับรู้เรื่องราวในอีกฐานะแววตาจึงซ่อนความตกใจไม่มิด
ถึงจะมีรอยไม่เชื่อแต่เขาก็จับความเขินอายในสีหน้าได้ ได้ยินว่าหญิงสาวจะมาทำงานที่โรงเรียน อาจจะไม่ใช่ครูหรือว่าใช่ แต่ภาพของเธออยู่บันทึกลงเมมโมรี่นายเข้ไปเรียบร้อยแล้ว
ท่าทางถือตัวแบบคุณหนูนิด ๆ เร้าใจผู้ชาย ท้าทายให้จีบ บางทีวันนี้อาจจะบังเอิญได้เจอ ดูหล่อไว้ก่อนดีกว่า
เขมรัฐเดินลงมาที่ครัวอีกครั้ง คราวนี้ที่โต๊ะอาหารมีเด็กชายวัยรุ่นสวมเครื่องแบบนักเรียนเรียบร้อยนั่งอยู่ เขากำลังจัดการกับมักกะโรนีหมูสับเป็นอาหารเช้าฝีมือผู้เป็นย่าเหมือนทุกครั้ง ชายหนุ่มแตะศีรษะอีกฝ่ายเชิงทักแล้วก้าวเลยไปหยิบแก้วกาแฟ
“ทำไมชอบตบหัวจังพ่อ โง่ไปทำไงเนี่ย”
“ตบตรงไหน อย่ามาเว่อร์ แค่นี้กะทิไม่ล้นออกมาหรอกน่า” ได้กาแฟเสร็จเรียบร้อยก็เดินมานั่งข้างกัน มองซ้ายขวา กระซิบกับลูกชาย “ย่าไปร้านแล้วเหรอ”
“ยัง”
คุณหงส์ตอบพร้อมเดินออกมา เขมรัฐเกือบสำลักกาแฟ โขงหัวเราะ
“ทำไมต้องทำตกใจขนาดนั้น มีอะไรปิดบังหรือไง”
“เปล่าซะหน่อย” ชายหนุ่มตอบอุบอิบ “ทำอย่างกับว่าจะปิดได้ยังนั้นแหละ”
“เข้”
“ครับ คุณนาย”
คุณหงส์เดินมา ตบไหล่ลูกชายตัวโตหนัก ๆ ทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างแต่แล้วก็หยุด หรี่ตา “ได้กลิ่นอะไรไหมโขง”
“อะไรครับย่า” โขงทำตาใส แต่ส่องประกายวิบวับ
“กลิ่นใครบางคนที่...”
“พอเลย เออ ไปค้างที่แพมาสองวัน อยากตัวหอมบ้างอะไรบ้างไม่ได้เหรอครับ จะให้พกน้ำหอมกลิ่นคาวปลาเข้าโรงเรียนหรือไง” ชายหนุ่มทำเสียงฉุน ๆ กลบเกลื่อนที่ถูกรู้ทัน
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ แค่จะบอกว่าหอมดี ได้เห็นลูกชายหล่อเต็มรูปแบบ ดูพ่อสิโขง เสื้อใหม่ กางเกงไม่ขาด โกนหนวดด้วย” คุณหงส์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ โขงพลอยสนุก
“สงสัยจะเป็นเพราะเจ๊ เอ้ย คุณครูคนใหม่มั้งครับย่า”
“โขง วันนี้จะเดินไปโรงเรียนเองใช่ไหม”
โขงคอหด คุณหงส์หัวเราะชอบใจ บทสนทนาหยอกเย้ามีเป็นประจำทุกเช้า ส่วนใหญ่ไม่พ้นวีรกรรมของผู้ชายสองคนสองวัย แต่ไม่มีใครเข้าข้างใคร บางทีโขงก็แหย่พ่อตัวเอง บางทีก็ดักคอ แม้จะเล็กน้อยแต่สร้างความสุขและความอบอุ่นให้กับเธอมหาศาล
“ตกลงมีอะไรจะใช้” เขมรัฐลุกไปเปิดตู้เย็นหลังจากกาแฟหมดแก้ว
“ไปเอาสมุดเช็คที่ธนาคารให้หน่อย”
“สาย ๆ แล้วกัน” ชายหนุ่มดื่มน้ำหมดแก้วแล้ววางทิ้งในอ่างล้างจาน ถามต่อ “แล้วแม่จะไปไหน”
“เล่นไพ่” คุณหงส์ตอบห้วน ๆ แล้วเดินออกไป เขมรัฐไหวไหล่ คำตอบแบบนี้เป็นอันรู้กัน เธอมักจะเลือกตอบอะไรที่เป็นไปไม่ได้ชวนให้ตลก เพราะความจริงคนเป็นลูกรู้ดีอยู่แล้ว
โขงกินมื้อเช้าเสร็จแล้ว คว้ากระเป๋าไปนั่งรอในรถ เขมรัฐหยิบกุญแจเดินตาม ตัวเขาเองก็ไม่ต่างจากโขงในตอนนี้ที่ไม่ได้มีพ่อกับแม่ครบคู่ รู้สึกว่าปัญหาจะเริ่มตอนเข้าโรงเรียน พ่อเป็นลูกชายคนโตที่มีภาระต้องดูแลน้องสองคนและรับช่วงธุรกิจของปู่ในกรุงเทพ ขณะที่แม่ก็เป็นลูกคนเดียวของตาซึ่งทำแพปลาริมทะเลมาตั้งแต่ยังหนุ่ม ต่างฝ่ายต้องการจะรักษามรดกนี้จึงไม่อาจจะทิ้งกิจการเพื่อไปอยู่ร่วมกันได้
ตอนนั้นเขมรัฐรู้เพียงว่าพ่อไม่ได้อยู่บ้านตลอด จนสองสามปีล่วงไปจึงเข้าใจอย่างเป็นทางการว่าทั้งสองแยกทางกันแล้ว แต่ก็เป็นการแยกที่แปลกประหลาดสำหรับเด็กสิบขวบ เมื่อภาพจากละครทำให้ฝังใจว่าครอบครัวแตกแยกคือบุพการีต้องมีปากเสียงกัน เท่าที่จำได้ พ่อแม่ของเขานั่งคุยกันเงียบ ๆ ในครัวเท่านั้นเอง
หลายปีต่อมาเขมรัฐจึงเรียนรู้เพิ่มว่า คนที่รักไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน พ่อกับแม่ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอ เขาได้ไปอาศัยอยู่กับพ่อช่วงเรียนมัธยมปลาย ก่อนจะก่อปัญหา ตอนนั้นเองที่เขากลับบ้านมาและได้เห็นแววตาของพ่อแสดงความขอโทษต่อแม่ที่ไม่อาจดูแลลูกชายได้ดีเท่าที่เธอทำ
ทุกวันนี้ถ้ามีเวลาเขาก็จะพาโขงไปหาปู่ คุณนายหงส์ก็ยังไปหาคุณพยัคฆ์เสมอ เหมือนวันนี้ รถแล่นมาตามถนน ใช้เวลาราวสิบนาทีจะถึงโรงเรียน
“เป็นไงบ้าง”
“สวยดีครับ ไม่รู้เจ๊แกชื่ออะไร”
เขมรัฐหันมาหน้าตึงใส่คนนั่งข้าง “ไม่ได้ถามเรื่องนี้ซะหน่อย”
เด็กชายแกล้งยิ้ม “แต่พ่อก็อยากรู้ใช่ไหมล่ะ”
“โขง” เขาเอื้อมมือมาโยกศีรษะลูกชาย อีกฝ่ายหัวเราะ “ไม่มีอะไรน่าพ่อ เพิ่งเปิดเทอมสองไม่กี่วัน ยังไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
“ยังไม่ได้ ‘ก่อ’ ปัญหาอะไรต่างหาก”
โขงมองไปนอกหน้าต่าง เห็นมอเตอร์ไซค์แล่นตีคู่กันไป บางคันคนขับคือเพื่อนวัยเดียวกับเขา
“เมื่อไรพ่อจะซื้อมอเตอร์ไซค์ให้โขงซะที”
“แล้วพ่อมาส่งนี่มีปัญหาอะไร”
“เปล่า” เด็กชายอุบอิบตอบ
“หรือกลัวเพื่อนแซวว่าต้องให้พ่อมาส่ง”
“ไม่ใช่หรอก” เขาโยกศีรษะ ความจริงเด็กชายก็ไม่อึดอัดอะไรกับการมีพ่อมาส่งทุกเช้า ได้ยินใครพูดเสมอว่าพ่อของเขารูปหล่อ ขับรถเท่ห์กว่าใคร เพียงแต่บางครั้งก็รู้สึกอยากเห็นตัวเองบังคับยานพาหนะบ้าง
“ให้ไปช่วยย่าแกยังไปไม่สม่ำเสมอเลย เก็บเงินได้กี่บาทแล้วพอซื้อกีตาร์ตัวใหม่หรือยังมาขอมอเตอร์ไซค์เนี่ย”
โขงทำหน้าบูด บรรยากาศเช้านี้ชักเริ่มไม่สดใส คนเป็นพ่อยิ้มบาง
“ทุกอย่างมันเป็นของเราทั้งนั้นแหละ ถ้าถึงเวลา แต่มันก็ต้องใช้เวลา แกไม่ใช่เด็กเอาแต่ใจนะโขง แกโตแล้วค่อย ๆ คิดดู”
ป้ายชื่อโรงเรียนอยู่ตรงหน้า “มีอะไรบ้างที่พ่อไม่ได้ซื้อให้ หืม”
คนเป็นลูกคลายคิ้วที่ขมวด เตรียมกระเป๋า พ่อพูดถูก เขาได้รับจากพ่อและย่าไม่เคยขาด แต่มาด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ กัน เวลา การเรียน นานหน่อยแต่ก็ได้ เขาชอบกีตาร์พ่อก็ซื้อให้ เล่นจนเก่าขอใหม่พ่อก็รับปากแต่มีข้อแม้ เพื่อนหลายคนเคยพูดคำอิจฉาให้ได้ยิน โขงพอจะเข้าใจความรู้สึก จึงไม่เถียงอะไรจนรถเลี้ยวเข้าโรงเรียนจึงหันมามองคนขับ
“ทำไมวันนี้...”
“พ่อจะคุยกับผอ.”
เด็กชายตาเหลือก นึกถึงเรื่องวันเสาร์ “เรื่องของย่าน่ะ ไม่เกี่ยวกับแก อย่าทำร้อนตัวเหมือนกันสิวะ”
คนฟังยิ้มแหย “ก็โขงลูกพ่อนี่”
ทั้งคู่ลงจากรถ เดินมาบริเวณที่จอดด้านหน้าซึ่งกันไว้สำหรับผู้มาติดต่อและผู้บริหารเท่านั้น เขมรัฐไม่ต้องรอเพราะรถฮอนด้าซีวิคซึ่งเขารู้ว่าเป็นของผอ.แล่นเข้ามาจอด ตั้งใจจะรีบไปทักทายจะฝากคำบอกจากผู้เป็นแม่แต่ชะงักเมื่อเห็นร่างสูงโปร่งเปิดประตูฝั่งคนโดยสารลงมาพร้อม ๆ กัน
ปุริมา
(มีต่อค่ะ)
แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 54 09:52:23
จากคุณ |
:
BabyRed
|
เขียนเมื่อ |
:
19 ส.ค. 54 09:51:13
|
|
|
|