Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรื่องของชายที่ไม่ได้เรื่องที่สุด! ติดต่อทีมงาน

เย็นวันหนึ่ง

สายฝนโปรยปรายจากฟากฟ้า เม็ดฝนเล็กๆ ค่อยๆ หยดจากฟากฟ้าลงสู่ผืนดิน มันเป็นสายฝนปรอยๆ ที่ใครหลายคนรู้สึกรำคาญ บางคนว่าตกแบบนี้อย่าตกเสียดีกว่า เพราะ้ค้าขายอันใดไม่ได้เลย สู้ตกแรงๆ ให้รู้แล้วรู้รอดไปทีเีดียวยังจะสาแก่อารมณ์เสียกว่า

ข้าพเจ้าเป็นพวกชอบทำอะไรที่ประชดชีวิต ขณะที่คนอื่นรำคาญสายฝน วิ่งเข้าหาที่รมเพื่อกำบังกายมิให้เปียกปอน ข้าพเจ้ากลับเลือกที่จะวิ่งฝ่าสายฝนโดยไม่พึ่งพารถโดยสารใดๆ โดยเฉพาะเวลาหลังเลิกงาน และฟ้าก็ดูเหมือนจะเป็นใจที่ไม่ปล่อยให้ฝนตกหนักไปมากกว่านี้ สายฝนปรอยๆ ช่วยทำให้ข้าพเจ้าสามารถวิ่งได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยนัก

" คนพวกนี้มีประโยชน์อะไรบ้าง มีแต่ตีกันฆ่ากัน ไม่สนใจพ่อแม่จะร้องไห้ ไม่ห่วงว่าคนอื่นจะโดนลูกหลง "

ข้าพเจ้านึกถึงกระแสประณามนักเรียนนักเลงตีกันบนโลกไซเบอร์ในหลายๆ เว็บบอร์ด คนเหล่านั้นก่นด่าและสาปแช่งบุคคลที่ถูกเรียกว่า " นักเลง " , " อันธพาล " " เด็กแว้นซ์ " หรือเรียกรวมๆ ว่าวัยรุ่นกวนเมืองทั้งหลาย น่าแปลกที่ข้าพเจ้ากลับรู้สึกแตกต่างกันออกไป

ข้าพเจ้ามองว่าคนพวกนี้มีชีวิตที่น่าอิจฉายิ่งนัก?

เกือบยี่สิบปีก่อน

" แกมันอ่อนแอ ขี้ขลาด ดูสิ พูดจาจีบปากจีบคอแบบนี้ โตขึ้นไปมันต้องเป็นตุ๊ดเป็นกระเทยแน่ "

นับตั้งแต่ข้าพเจ้าจำความได้ ข้าพเจ้าเป็นเด็กที่บุคลิกและสภาพร่างกายอ่อนแอที่สุดในหมู่วงศาคณาญาติ ดังนั้นเมื่อมีการรวมญาติไปท่องเที่ยว ข้าพเจ้ามักถูกผู้ใหญ่หลายๆ คนโดยเฉพาะในวงเหล้าพูดจากกระทบกระเทียบอยู่เสมอ อาจเป็นเพราะข้าพเจ้านั้นเป็นคนที่บุคลิกแปลกไปจากเด็กทั่วไปก็ได้ นอกจากการเล่นวีดีโอเกม 8 บิทที่เป็นที่นิยมในยุคนั้นแล้ว ข้าพเจ้ากลับไม่สนใจกีฬาหรือการละเล่นที่ใช้ร่างกายเลย ตรงกันข้ามข้าพเจ้าสามารถใช้ชีวิตคนเดียวกับหนังสือประเภทต่างๆ ไล่ตั้งแต่สารคดียันหนังสือพิมพ์ ข้าพเจ้าอ่าน อ่าน และอ่าน แม้แต่การ์ตูนที่ผู้ใหญ่มองว่าไร้สาระ ข้าพเจ้าก็อ่านมันและจับใจความของมันได้ตั้งแต่ข้าพเจ้ายังไม่ถึงสิบขวบดีนัก และผลการเรียนของข้าพเจ้าสมัยประถมอยู่ในเกณฑ์ดีมาก จนใครหลายคนยุให้ไปสอบข้ามระดับชั้น แน่นอนข้าพเจ้าปฏิเสธเพราะไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์อย่างไรในเวลานั้น

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการ!

" จั่กๆๆ "

เม็ดฝนเริ่มใหญ่ขึ้นแม้มันจะยังคงตกไม่แรงเช่นเดิม ตะวันเริ่มลับขอบฟ้า รถราที่แล่นอยู่บนถนนเริ่มเปิดไฟเช่นเดียวกับเสาไฟฟ้าส่องทางก็เช่นกัน ข้าพเจ้าตัดสินใจประชดชีวิตมากขึ้นอีก ด้วยการออกไปวิ่งบนขอบทางที่ทาสีแดงสลับขาว ขอบทางนั้นมีความกว้างเพียงไม่ถึงสามสิบเซนติเมตรเสียด้วยซ้ำไป ใช่แล้ว! ข้าพเจ้าเลียนแบบการฝึกทรงตัวของพวกจอมโจรย่องเบาในหนังสือการ์ตูนที่เคยอ่านในวัยเด็ก และภาพยนตร์แอ็คชั่นทั้งหลายในช่วงวัยรุ่น

11 ปีก่อน

" แกทำทำไม หา! แกทำทำไม....พลั่ก! "

นั่นเป็นหนแรกๆ ที่ข้าพเจ้าดื่มเหล้าจนเมามาย วันนั้นข้าพเจ้าอายุได้เพียงสิบห้าปีเท่านั้น เป็นปีที่ข้าพเจ้ารู้จักกับคำว่า " หลงรัก " และ " อกหัก " ข้าพเจ้าเสียใจและโกรธจนแทบเสียสติ และนั่นเป็นหนแรกที่ข้าพเจ้าทำร้ายตัวเองด้วยการใช้มีดกรีดลงบนหลังมือจนเป็นแผลเป็น แน่นอนว่าญาติผู้พี่มาเห็นเข้าพอดี จึงซัดข้าพเ้จ้าเสียกระเด็น

" ..... "

น่าแปลกไม่มีเสียงร้อง ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้ายอมรับว่าข้าพเจ้ากลัวมาก ญาติผู้พี่ของข้าพเจ้ารูปร่างสูงใหญ่ราวกับนักมวยปล้ำ และไม่ได้อ้วนจนลงพุง ขณะที่ข้าพเจ้านั้นตัวผอม และยังไร้ซึ่งสัญชาตญาณการต่อสู้ หากข้าพเจ้าคิดสู้ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่จะชนะ และอาจจะถึงกับสลบหรือตายไปเลยก็เป็นได้

" ซู่ว! "

รถคันหนึ่งวิ่งแฉลบมาทางซ้ายของขอบทางที่ข้าพเจ้ากำลังวิ่งพอดี มันแล่นผ่านแอ่งน้ำและกระเด็นเข้าใส่ขากางเกงของข้าพเจ้า

" แกจำไว้ คนอย่างแกไม่มีทางมีแฟนได้อย่างใครเขาหรอก "

นั่นเป็นถ้อยคำสุดท้ายที่ญาติผู้พี่ของข้าพเจ้าฝากไว้ก่อนจะเลิก " สั่งสอน " ข้าพเจ้าในคืนอันมืดมิดนั้น ความเจ็บปวดทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกกลัวมากขึ้น ใช่! ข้าพเจ้ามันอ่อนแอจริงๆ ถ้อยคำนั้นยังคงอยู่ในความคิดของข้าพเจ้าจนเวลาปัจจุบัน

" ใช่! เขาพูดถูก "

สิบปีก่อน

" อะไร? ทนเจ็บแค่นี้ไม่ได้หรือไง? "

วันนี้ข้าพเจ้าอายุได้สิบหกปี มันเป็นช่วงเวลาที่ต้องหวาดกลัวอีกครั้ง ข้าพเจ้าถูกญาติผู้พี่คนเดิมกดดันให้ต้องเคยชินกับความเจ็บปวดจากการต่อสู้ ในระยะแรกๆ มันก็สนุกดีอยู่ ข้าพเ้จ้ายังพอมีความหวังว่าจะเรียนรู้อะไรได้บ้าง แต่ท้ายที่สุด ข้าพเจ้าก็เป็นฝ่ายหนี ข้าพเจ้าละทิ้งการฝึกนั้นไปในที่สุดเพราะทนต่อความเจ็บปวดไม่ไหว มิหนำซ้ำข้าพเจ้าไม่รู้สึกเลยว่าทักษะการต่อสู้ของตัวเองเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด?

แน่นอนว่านั่นเป็นตราบาปหนหนึ่งของข้าพเจ้า ที่แม้แต่ทุกวันนี้ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นยังคงเอามาเสียดสีข้าพเ้จ้าอยู่เสมอ แต่ในเวลานั้น ดูเหมือนข้าพเจ้าจะไม่ได้สนใจเอาเสียเลย ข้าพเจ้าพบหนทางใหม่นั่นคือ " โลกไซเบอร์ "

หลายปีหลังจากนั้น ข้าพเจ้ากลายเป็นผู้ทะนงตน แม้ในชีวิตจริงข้าพเจ้าไม่่ต่างจากสุนัขขี้เรื้อนไร้ค่าไร้ราคา แต่ในโลกเสมือนข้าพเจ้านั้นราวกับเป็นปราชญ์เป็นผู้รู้ บทความและกระทู้มากมายในรอบหลายปีนั้นทำให้ข้าพเจ้าลืมความเจ็บปวดในโลกแห่งความเป็นจริง ที่ๆ ข้าพเจ้าจะมีตัวตน มันก็เท่านั้น

ในที่สุดฟ้าก็มืดสนิท ข้าพเจ้าวิ่งมาเกินครึ่งทางแล้ว สายฝนและความมืดเป็นอุปสรรคต่อการมองทางอยู่พอสมควร แต่ข้าพเจ้าก็ยังประชดชีวิตวิ่งต่อไป บางครั้งข้าพเจ้าก็แหงนหน้ามองฟ้าและคิดในใจ " จะผ่าก็ได้นะ เอาเลย " มันเป็นเรื่องที่โง่ ตลกและไร้สาระิสิ้นดี ข้าพเจ้าน่ะกลัวตายเป็นที่สุด เพราะรู้ว่าตายไปมีแต่นรกเท่านั้นที่จะรับ ขนบธรรมเนียมไทยนั้นลูกไม่มีสิทธิ์เถียงพ่อแม่ ยิ่งถ้าเถียงแล้วพ่อแม่ไม่สบายใจ ให้ทำดีเรื่องอื่นอย่างไร คนๆ นั้นตายไปก็ต้องไปนรกอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ข้าพเจ้าไม่ชอบการสั่งการแบบไร้เหตุผล การถือว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ เป็นครู เป็นพี่ เป็นพ่อแม่แล้วจะสั่งอะไรก็ได้ ข้าพเจ้าไม่เคยชอบเลย มารดาข้าพเจ้าเป็นคนประเภทนั้น ส่วนบิดาข้าพเจ้านั้นเน้นเหตุผล และแทบไม่เคยอ้างความเป็นบิดามาบังคับ ข้าพเจ้าโตมาในสภาพ 2 ขั้วที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงเช่นนี้ นับตั้งแต่จำความได้ แน่นอนว่าข้าพเ้จ้ามักจนด้วยเหตุผลของบิดาและยอมรับ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยชอบใจมารดาของข้าพเจ้าเลย ด้วยเพราะแค่ชี้แจงเหตุผล ก็หาว่าเถียง ไม่เคารพเสียแล้ว และท่านก็มักจะพูดเสมอว่าข้าพเจ้าต้องตกนรกแน่นอนเพราะชอบเถียงพ่อแม่เสมอๆ

ห้าปีก่อน

" อะไรวะ แค่นี้ไม่กล้าสู้หรอ? "

" ก็บอกแล้ว พวกนี้มันดีแค่คิด ดีแต่พูด พอต้องทำจริงๆ ก็แหย ก็ป๊อด "

ในที่สุด โลกแห่งความฝันของข้าพเจ้าก็ถูกทำลาย ในช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าขึ้นสู่จุดสูงสุดในโลกเสมือนแห่งนี้ วันที่มีผู้นับถือ มีคนยกย่องได้จบสิ้นลง เมื่อข้าพเจ้าทนต่อการกดดันไม่ไหว จนสารภาพออกไปเอง

" เออ ข้ามันต่อยตีใครไม่เป็น สมองข้ามันช้ากว่าร่างกายร่วมสองวินาที "

ปีศาจแห่งฝันร้ายกระชากข้าพเจ้าออกจากโลกฝันที่สวยงามกลับมาสู่โลกจริงที่เจ็บปวด ใช่! ในความเป็นจริงข้าพเจ้าวิ่งหนี หนี และหนี หากข้าพเจ้าคิดสู้ ข้าพเจ้าจะต้องแพ้เสมอ ครั้งแล้วครั้งเล่า จนความกลัวได้เกาะกินไปทุกอณูสมองและรูขุมขนของข้าพเจ้า ในโลกเสมือนข้าพเจ้าเคยเป็นผู้ให้แสงสว่าง แต่ใครจะรู้ว่าข้าพเจ้านั้นปากกล้าขาสั่นเพียงใด

" ใช่! ข้ามันเป็นชายไม่เต็มชาย "

ข้าพเจ้าหวนคำนึงถึงความหลังอีกครั้ง ข้าพเจ้ายอมรับว่าข้าพเจ้าเป็นพวกเหยียดเพศในบางเรื่อง ข้าพเจ้านั้นเชื่อว่าบุรุษนั้นเหนือกว่าสตรี และยิ่งเหนือกว่าพวกเพศที่สามอื่นๆ แต่เพราะความเหนือกว่า ภาระจึงต้องมากกว่า

ลูกผู้ชายไม่มีสิทธิ์ร้องไห้ แม้จะเศร้าโศกหรือเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม!

ลูกผู้ชายเกิดมาเพื่อรบเพื่อต่อสู้ ลูกผู้ชายไม่ได้เกิดมาเพื่อหลบหนี!

มันผู้ใดที่ประพฤติผ่าเหล่าไปจากนี้ มันไม่ใช่ลูกผู้ชาย เป็นได้แค่เพียงเพศที่สามที่อาศัยร่างบุรุษอยู่เท่านั้น หาได้มีเกียรติอันใดทั้งสิ้น ข้าพเจ้าเคยชินกับความรู้สึกเช่นนี้ตลอด

อิสตรีบางท่านพยายามจะเปลี่ยนความคิดของข้าพเจ้า แต่อย่าดีกว่า เรื่องของบุรุษ สตรีไม่มีวันเข้าใจ และจะไม่มีทางเข้าใจ

สตรีร้องไห้ได้ อ่อนแอได้ ขอความช่วยเหลือได้ เป็นเรื่องธรรมดา และถ้าสตรีคนใดเข้มแข็ง รบได้ ต่อสู้ได้ สตรีคนนั้นคือยอดหญิงแห่งแผ่นดินที่จะถูกยกย่องสรรเสริญ

ส่วนบุรุษนั้นเล่า เข็มแข็ง กล้าหาญยามออกรบออกต่อสู้ ปกป้องผู้ด้อยกว่าเป็นเรื่องปกติสามัญที่ต้องทำ นั่นคือเสมอตัว แต่หากใครที่เผลออ่อนแอ ร้องไห้ หนีการต่อสู้ ไม่กล้ารบ บุรุษนั้นจะถูกประณามหยามเหยียดให้จมธรณีราวกับมันไม่ใช่มนุษย์

" เฮ้ย! "

" 'โทษครับๆ "

ข้าพเจ้าวิ่งผ่านแยกที่รถเลี้ยวเข้าหมู่บ้าน จิตของข้าพเจ้าจดจ่ออยู่กับปลายเท้าที่ทรงตัวบนทางแคบๆ มากไปหน่อย ข้าพเจ้าหมุนพลิกตัวตัดหน้ารถเก๋งคันหนึ่ง ข้าพเจ้าเหมือนได้ยินคนในรถจะด่าว่าข้าพเ้จ้าที่ทำอะไรคะนองเช่นนั้น จึงหันกลับไปตะโกนขอโทษก่อนจะวิ่งต่อไป ลึกๆ แล้วก็กลัวเช่นกันว่าคนในนั้นจะวิ่งตามมา หรือชักปืนยิงข้าพเจ้าหรือไม่? แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ข้าพเจ้าไม่โทษใครนอกจากตัวเอง มีเหตุการณ์ๆ หนึ่งที่ข้าพเจ้าไม่เคยลืม เหตุการณ์แรก ข้าพเจ้าถูกชักชวนให้เล่นฟุตบอลในตำแหน่งผู้รักษาประตู ข้าำพเจ้าเมื่อเืกือบสิบปีก่อนนั้นมิได้ใส่แว่นตา แต่ใส่คอนแทคเลนส์เพื่อให้คล่องตัว ในการตระเวณแข่งกระชับมิตร ข้าพเ้จ้ารู้สึกเชื่อในฝีมือตัวเอง ทว่ามันหาได้เป็นเช่นนั้นไม่! เมื่อทีมของเพื่อนๆ ข้าพเจ้าลงแข่งใน Tournament เป็นทางการ มันเป็นความอับอายอย่างที่สุดเมื่อเราแพ้แบบเละเทะ และนั่นเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องรับผิดชอบ

" ควั่บ! "

เมื่อลับตาคน คมมีดถูกกรีดเ้ข้าที่แขนขวาของข้าพเจ้าด้วยมือของข้าพเจ้าเอง ในเมื่อเพื่อนให้โอกาสคนที่ไม่ควรจะมีเพื่อนแม้สักคนเดียวเช่นข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าทำให้เสียเรื่องเช่นนี้ นี่คงเป็นการลงโทษตัวเองที่น้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ แน่นอนว่าหลังจากนั้นข้าพเจ้ากลายเป็นคนเสพติดความเจ็บปวด หลายครั้งที่ทำอะไรผิด หรือมีเรื่องไม่สบายใจ ข้าพเจ้าจะหาที่ลับตาคนและใช้มีดกรีดไปตามร่างกาย จนคนอื่นเ้ข้าใจว่าข้าพเจ้าเสียสติบ้าง เสพยาบ้าง และหลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ไม่กลับสู่สนามฟุตบอลอีกเลย

ข้าพเจ้าไม่โทษใคร ดูเหมือนข้าพเจ้าจะไม่สามารถชนะโชคชะตาได้ ข้าพเจ้ามีโอกาสได้ทำอะไรอีกหลายอย่างในช่วงที่ข้าพเจ้ามีชื่อเสียงบนโลกไซเบอร์ รวมไปถึงการได้เข้าไปอยู่ในการฝึกการต่อสู้อีกครั้ง

แต่ช้าไปเสียแล้ว ความทะนงตัว ทั้งการเรียนและการเขียนนั่นตอบนี่บนโลกเสมือน ทำให้ข้าพเจ้าเริ่มเกียจคร้านไม่ใส่ใจการฝึก จนถึงเมื่อห้าปีก่อน วันที่ข้าพเจ้าอายุได้ยี่สิบเอ็ดปี ข้าพเจ้าก็ได้ถูกกระชากกลับมาอยู่กับความเป็นจริงที่ปวดร้าวอีกครั้ง

" มันสายไปแล้ว สายไปแล้วจริงๆ "

เวลานั้นจนปัจจุบัน ข้าพเจ้าต้องทำงานและเรียนต่อ มิหนำซ้ำพื้นที่บ้านก็มีจำกัด และข้าพเจ้าไม่สามารถขอเงินจากทางบ้านไปเรียนอะไรแบบนี้ได้อีกเหมือนเืมื่อสมัยข้าพเจ้ายังอยู่ชั้นมัธยมปลาย ถึงอย่างไรข้าพเ้จ้าก็เกรงใจทางบ้าน พยายามช่วยออกค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนเท่าที่ทำได้อยู่เสมอ จะให้แบมือขออย่างเดียว ข้าพเ้จ้าไม่อาจทำได้จริงๆ ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงไม่อาจจะมีทั้งเงินและเวลาไปทำอย่างอื่นอีกต่อไป

" ยามมีโอกาสกลับคิดไม่ได้ ยามสิ้นโอกาสคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว "

ใครบางคนกล่ววไว้เช่นนั้น ข้าพเจ้าดูเหมือนจะรู้ซึ้งถึงคำๆ นี้มากที่สุด

ข้าพเจ้าไม่ต่างอะไรกับพวกเกเร โดดเรียน แล้วพอโตขึ้นก็ทำงานค่าแรงต่ำๆ ทั้งๆ ที่พ่อแม่ก็เตือนแล้วว่าขยันเรียนนะลูก โตไปจะได้ทำงานสบายๆ ค่าแรงสูงๆ

อายุยี่สิบหกปี หากเป็นคนสมัยก่อนอาจจะกลายเป็นยอดคนผู้ยิ่งใหญ่ เป็นจอมคน เป็นผู้นำ ความจริงหากข้าพเจ้าไม่เกียจคร้าน หรือคิดได้ตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน ข้าพเจ้าคงเข้าใกล้สถานะนั้นได้บ้างไม่มากก็น้อย

" วันนี้มีแต่ห่างไกล จนแทบไม่เหลือเกียรติในฐานะที่เกิดมาเป็นผู้ชาย "

วันนี้ข้าพเจ้าไม่ต่างกับสุนัขขี้เรื้อนตัวหนึ่ง ไร้ประโยชน์ ไร้คุณค่า ความกลัวได้เกาะกุมกายและใจราวกับโรคร้ายที่เรื้อรังไม่อาจรักษาให้หาย มันเป็นเรื่องน่าหัวร่อและน่าเย้ยหยันยิ่งนัก ผู้ึคนในละแวกที่ข้าพเจ้าทำงานอยู่นั้นคิดว่าข้าพเจ้าแข็งแรงและมีวรยุทธ์ติดตัว เพราะข้าพเ้จ้ามักจะประสานการออกกำลังกายและการหายใจเข้ากับการทำงานเสมอ พวกนั้นเห็นข้าพเจ้ามีชีวิตชีวาไม่เหนื่อยง่าย

แต่ใครจะรู้เล่า! ข้าพเจ้าไม่กล้าที่จะต่อสู้เลยสักครั้ง เพราะสู้ไปยังไงก็แพ้ ข้าพเจ้าหนีโลกมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่กล้าพบเจอใคร ไม่กล้าแม้กระทั่งสบตาผู้คน เพราะกลัวจะมีเรื่องแล้วป้องกันตัวไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่ตลกร้ายที่สุด หากคนๆ หนึ่งศึกษาการเคลื่อนไหวเชิงบู๊เพื่อ " หนี "

ญาติๆ ทั้งหลายพูดถูก " คนอย่างแกมันไม่แมน คนอย่างแกมันเป็นตุ๊ด "

พวกเขาชนะ และข้าพเ้้จ้าพ่ายแพ้ แน่นอนข้าพเจ้าไม่เคยพบกับความสมหวังในความรักสักครั้ง

ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจ ทำไมข้าพเจ้าถึงอิจฉาพวกที่ถูกสังคมประณามว่าเป็นพวกกุ๊ย อันธพาล เดนสังคมเหล่านั้น เพราะอย่างน้อยคนพวกนี้ยังกล้าต่อสู้ ยังกล้าใช้ชีิวิตเสี่ยงๆ แบบที่ลูกผู้ชายทุกคนควรทำ ไม่ว่าจะทำมันเพื่ออะไรหรือเพื่อใครก็ตาม มิใช่คนที่หลบอยู่แต่หลังหน้าจอ มีเรื่องก็เอาแต่หนี คนแบบนั้นถือว่าไม่ควรเป็นลูกผู้ชาย

" แปะๆๆ "

สายฝนซาลง ข้าพเจ้าวิ่งถึงที่หมาย แหงนหน้ามองฟ้า พลางบอกกับตัวเองในใจ

" คงจะมีสักวัน ที่ข้าพเจ้าจะกล้าแลกชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องใครหรืออะไรสักอย่าง และเดินลงนรกอย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัว "

คงจะมีสักวัน ที่ข้าพเจ้าจะสามารถรู้สึกไ้ด้ว่าตัวเองเป็น " ลูกผู้ชาย " ได้อย่างเต็มตัว

คงมีสักวัน

คงมีสักวัน

..............................

By : TonyMao_NK51

E - Mail : tonymao_nk51@hotmail.com

จากคุณ : TonyMao_NK51
เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 54 00:54:34




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com