Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลำนำรักใต้แสงจันทร์ ตอนที่ 13 ติดต่อทีมงาน

ตอนที่ 13 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10936531/W10936531.html

คุณ Tyra: ห้องเยอะไปหน่อยสินะคะ (อายจัง) นี่ห้องสุดท้ายแล้วค่ะ อยากรู้ว่าเป็นห้องอะไร ตามไปอ่านได้เลยค่ะ

============================================================

       ซิสรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงร้องของเจ้าหญิงกาอิยาห์ตอนที่วิ่งมาถึงทางเข้าวิหารจันทราพอดี เสียงนั้นสะท้อนก้องขึ้นเพียงครั้งเดียวแล้วเงียบหายจนเขาไม่แน่ใจว่าตนเองหูฝาดไปหรือเปล่า เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีกนิดขณะก้าวผ่านซุ้มประตูโค้งเข้าสู่ห้องโถงกว้าง

       สัมผัสเย็นชื้นของอากาศแทรกทะลุเสื้อทูนิกเนื้อบางลงกระทบผิวกาย กลิ่นเหม็นอับอันบ่งบอกถึงความเก่าแก่ของสถานที่โชยมาปะทะจมูก ซิสก้าวเดินลึกเข้าไปด้านในด้วยความมุ่งมั่น ไม่ยอมแม้แต่จะเสียเวลาปรับสายตาให้ชินกับแสงสลัวรอบด้าน ดวงตาคมทั้งคู่เพ่งฝ่าความมืดมองหาเจ้าของร่างบางที่คงจะหลบซ่อนอยู่ตรงไหนสักแห่ง ทว่านอกจากเงาทะมึนของเสาศิลาไม่กี่ต้น ซิสก็ไม่เห็นวี่แววว่าจะมีใครอื่นอยู่ในที่นั้นอีกเลย

       เด็กหนุ่มอดแปลกใจไม่ได้เพราะแน่ใจว่าตนไม่ได้ตาฝาด เขาเห็นยัยเจ้าหญิงม้าดีดกะโหลกวิ่งนำหน้าเข้ามาในวิหารกับตา แล้วทำไมเวลาแค่ไม่ถึงอึดใจนางจึงหายตัวไปได้อย่างไร้ร่องรอย ทั้งที่อยู่ในห้องโล่งกว้างมีแต่เสากับกำแพงเช่นนี้

       “เฮ้ เจ้าหญิง”

       เด็กหนุ่มลองส่งเสียงเรียก หากนอกจากเสียงสะท้อนของตนเองที่ได้ดังอยู่แว่วๆ แล้ว คำตอบที่ได้รับคือความเงียบ

       “เฮ้ กาอิยาห์ เจ้าอยู่ในนี้หรือเปล่า”

       เงียบ...

       “ข้ารู้นะว่าเจ้าอยู่ในนี้ ออกมาซะดีๆ เถอะน่าเจ้าหญิง”

       ไม่มีเสียงตอบ...

       ไม่ว่าเขาจะร้องเรียกอีกสักกี่ครั้ง คำตอบที่ได้กลับมายังคงเป็นความเงียบอยู่เช่นเดิม ซิสเริ่มหมดความอดทน เขาเดินย่ำสวบๆ ไปทั่วห้องโถง พยายามมองหาตามหลังเสาและซอกผนังที่คิดว่ามีหลืบช่องพอจะให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเข้าไปซ่อนตัวอยู่ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็พบเพียงความว่างเปล่า

       “มันยังไงกันนะ” เด็กหนุ่มเริ่มหัวเสีย “เจ้าหญิง...เจ้าอยู่ในนี้หรือเปล่า”

       อีกครั้งที่คำตอบยังคงเป็นความเงียบ...

      ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงเรื่อยๆ แสงแดดยามบ่ายลบเลือนไปมากแล้วทำให้บรรยากาศในวิหารจันทรายิ่งครึ้มเย็นลงอีก ซิสกระแทกเท้าใส่แผ่นหินพุ่งตรงไปยังส่วนสุดท้ายของห้องโถงซึ่งเขายังไม่ได้เข้าไปสำรวจ บริเวณนั้นเป็นเพียงพื้นเรียบโล่งหน้าแท่นหินขนาดใหญ่ ไม่มีอะไรกำบัง ลักษณะของแท่นหินก็ดูธรรมดาไม่ต่างไปจากแท่นบูชาที่พบเห็นได้ตามวิหารทั่วไป ผิดกันแต่ว่า บนแท่นบูชานี้ว่างเปล่าปราศจากเครื่องสักการะ แม้กระทั่งโถกำยานหรือเชิงเทียนสักอันก็ไม่มีให้เห็น พวกนักบวชคงไม่ค่อยได้เข้ามาใช้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้บ่อยนัก หรือบางทีพวกเขาอาจไม่เคยย่างเท้าเข้ามาเลยก็เป็นได้ หญิงรับใช้ประจำวิหารจึงถือโอกาสละเลยหน้าที่ของนาง

       ยิ่งเดินเข้าใกล้แท่นบูชา เด็กหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินเสียงครูดบดกันของก้อนหินดังผะแผ่วแทรกอยู่ในความเงียบของบรรยากาศ เท้าที่ย่ำด้วยแรงอารมณ์ผ่อนชะลอลงโดยที่เจ้าตัวไม่ทันรู้สึก

       บนพื้นเบื้องหน้าห่างออกไปไม่ถึงสามก้าว มีช่องสี่เหลี่ยมกว้างประมาณหนึ่งแผ่นหินยาวสามศอกเศษปรากฏอยู่ เด็กหนุ่มยังนึกไม่ออกว่าเจ้าช่องน่าอันตรายนี้มาอยู่ในที่ที่ไม่ควรจะอยู่อย่างที่สุดได้อย่างไร แต่ที่แน่ๆ แผ่นหินอ่อนปูพื้นกำลังขยับเคลื่อนเข้าบดบังช่องว่างนั้นเอาไว้จากสายตาของเขาทีละน้อย

       ...นี่เองที่มาของเสียงประหลาด...

      ซิสอดชะโงกมองลงไปในช่องว่างตรงหน้าไม่ได้ แรกทีเดียวเขาไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืด หากต่อมาเมื่อสายตาเริ่มชิน จึงค่อยสังเกตเห็นพื้นศิลาหยาบหนาเบื้องล่างเป็นเงาๆ ดูเหมือนในนั้นจะมีวัตถุบางอย่างวางอยู่ สีขาวของมันแลดูหม่นมัวอยู่ท่ามกลางแสงสว่างอันน้อยนิด เขาพยายามเพ่งมองจนปวดลูกตา กว่าจะรู้ว่าแท้จริงแล้ววัตถุที่เห็นคือร่างโปร่งบางของเด็กสาวในชุดกระโปรงยาวกรอมเท้า

       ยัยเจ้าหญิงม้าดีดกะโหลกคนนั้น!!

      ซิสไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง แต่เมื่อลองใคร่ครวญดู ถ้าไม่ใช่นางแล้วจะเป็นใครได้อีก

      “เฮ้ เจ้าหญิง นั่นเจ้าใช่มั้ย ได้ยินข้าหรือเปล่า...”

       เด็กหนุ่มป้องปากตะโกนเรียก หากผู้ที่นอนอยู่ไม่มีทีท่าว่าจะรับรู้หรือได้ยินเสียงของเขาแม้แต่น้อย ซิสลองเรียกชื่อนางซ้ำอีกหลายครั้ง เด็กสาวก็ยังนอนเฉยจนเขาชักใจคอไม่ดี

       ...หรือว่ายัยม้าดีดกระโหลกจะได้รับบาดเจ็บ?

      ซิสถอนสายตาจากภาพตรงหน้าเพื่อมองดูขนาดความกว้างของปากทางเข้า มันบีบแคบลงมากจนน่าตกใจ เขาคงต้องรีบลงมือทำอะไรสักอย่างก่อนที่ปากทางเข้าจะยิ่งแคบลงไปกว่านี้ ไม่มีเวลาเหลือให้คิดลังเลใจได้อีก เด็กหนุ่มคว้าคบไฟจากเสาต้นที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วกลั้นใจกระโจนพรวดลงสู่อุโมงค์ลึกเบื้องล่าง ทันเวลาก่อนที่ทางเข้าจะเลื่อนชิดกันจนไม่เหลือที่ว่างพอให้ใครแทรกกายผ่านลงไปได้อีก...




       เจ้าชายกันนาร์ตวัดพระองค์ลงจากหลังเจ้าม้าตัวผู้สีเทาเมื่อเวลาล่วงเลยไปเกือบค่อนคืน พระองค์ยื่นสายบังเหียนส่งให้ทหารผู้ติดตาม  ก่อนจะทรงพระดำเนินตัดลานหินตรงไปทางตำหนักหลวงด้วยฝีพระบาทสม่ำเสมอ ไม่รีบร้อน คำรับปากอย่างแข็งขันของที่ปรึกษาฝ่ายทหารว่าจะส่งลูกน้องฝีมือดีและไว้ใจได้ตามไปอารักขาองค์ราชาที่เมืองลัสเตอร์สโตน ทำให้พระองค์ค่อยคลายความกังวลในพระทัยลงได้บ้าง แม้จะไม่ทั้งหมด หากเป็นไปได้เจ้าชายอยากจะเสด็จไปลัสเตอร์สโตนด้วยพระองค์เองมากกว่า แต่ถ้าพระองค์ไม่อยู่สักคน ใครเล่าจะคอยรักษาความลับเรื่องอาการประชวรขององค์ราชา กาอิยาห์น่ะหรือ ขืนปล่อยให้นางรับภาระนี้มีหวังความแตกตั้งแต่พระองค์ยังย่างพระบาทไม่พ้นกำแพงปราสาทละมั้ง แล้วที่สำคัญ นางไม่มีวันยอมปล่อยให้พี่ชายเดินทางไปลัสเตอร์สโตนคนเดียวโดยไม่ร่ำร้องขอติดตามไปด้วยแน่ ...เพียงแค่คิด พระองค์ก็เห็นความยุ่งยากลอยมาแต่ไกลแล้ว

       เจ้าชายกันนาร์ถอนพระทัยเฮือกพลางเสด็จไปตามระเบียงเชื่อมอาคารแฝดทั้งสองหลังของตำหนักหลวง ที่สุดปลายระเบียง ทหารออกเวรสามสี่นายกำลังจับกลุ่มสนทนากันอยู่อย่างออกรส พอหนึ่งในนั้นเหลียวมาเห็นพระองค์เข้าก็ถวายคำนับลงอย่างต่ำ พวกที่เหลือจึงพลอยหันมามองแล้วกระทำตามบ้าง

       เจ้าชายกันนาร์พยักพระพักตร์รับการทำความเคารพของเหล่าทหาร ก่อนเสด็จเลยไปยังห้องส่วนพระองค์ของประมุขแห่งกรีนแลนด์

       “ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่มั้ย” ทรงเอ่ยถามทหารที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง

       “พ่ะย่ะค่ะ”

       “ตอนที่ข้าไม่อยู่มีใครมาขอเข้าเฝ้าองค์ราชาบ้างหรือเปล่า”

      “เอ่อ...”

       นายทหารหนุ่มมองหน้ากันเองอย่างลังเลคล้ายต่างฝ่ายต่างก็เกิดไม่แน่ใจขึ้นมา

       “ว่ายังไง มีใครมาขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทหรือเปล่า”

      “เอ่อ...ไม่...ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”

       เจ้าชายกันนาร์พยักพระพักตร์อย่างพอพระทัย แล้วสาวพระบาทผ่านนายทหารทั้งคู่ไปยังบานประตูที่ปิดสนิท

       ทันทีที่ล่วงเข้าสู่ห้องบรรทม สายพระเนตรของพระองค์ก็พุ่งปราดไปยังพระแท่นสี่เสาเป็นอันดับแรก พระวิสูตรกำมะหยี่สีน้ำเงินชั้นนอกสะท้อนแสงเทียนแลเห็นเป็นเงาเลื่อมระยับ ชายยาวระพื้นรวบผูกไว้กับเสาเตียงด้วยเกลียวไหมทอง เผยให้เห็นพระยี่ภู่ปูลาดด้วยผ้าแพรเนื้อนิ่มสีอ่อนใต้กองพระเขนยนุ่มหลากสี ทว่าไม่มีร่างของประมุขแห่งกรีนแลนด์!

       เจ้าชายกันนาร์ก้าวพรวดเดียวเข้าไปยืนจนชิดขอบเตียงด้วยความงุนงงกึ่งตกพระทัย ไม่มีใครรู้ว่าราชาเอลเบอเรธที่บรรทมอยู่บนพระแท่นนี้เป็นเพียงตุ๊กตาไร้ชีวิต นอกจากพระองค์กับน้องสาว จึงไม่มีทางที่ ‘องค์ราชา’ จะลุกขึ้นเดินหายไปเองได้ นอกเสียจากว่าเวทมนตร์ของกาอิยาห์เกิดเสื่อมขึ้นมากะทันหัน

      ภาพตุ๊กตาไม้ฝีมือแย่ที่ซุกอยู่ข้างพระเขนย ทำให้เจ้าชายหนุ่มเกือบจะเผลอหัวเราะออกมาด้วยความโล่งอก ถ้าหากว่าสายพระเนตรจะไม่เหลือบไปเห็นเสียก่อนว่ามันถูกฟันขาดเป็นสองท่อน ความรู้สึกหนาวเยือกแผ่ซ่านลงมาตามท้ายทอยของเจ้าชายกันนาร์ราวกับถูกนาบด้วยก้อนน้ำแข็งเย็นเฉียบ

       ...มีคนลอบเข้ามาในห้องบรรทมเพื่อปลงพระชนม์องค์ราชา!!

      เจ้าชายกันนาร์ทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ใกล้ที่สุดด้วยอาการคล้ายคนหมดสิ้นเรี่ยวแรง ทรงพยายามอย่างหนักที่จะคิดให้ออกว่าคนร้ายลอบเข้ามาถึงห้องพระบรรทมของประมุขแห่งกรีนแลนด์ได้อย่างไร ด้วยวิธีไหน แล้วเหตุใดราชองครักษ์เวรทั้งสองจึงไม่รู้ระแคะระคายแม้สักนิด ที่สำคัญ คนร้ายผู้นั้นเป็นใคร ในเมื่อเจ้าชายดิเร็กซ์เพิ่งจะเสด็จกลับทาเนียร์ไปเมื่อสามวันก่อน  

       ชายหนุ่มชะงักงันไปกับคำถามใหม่เอี่ยมที่เพิ่งผุดขึ้นในสมอง ...จริงหรือที่เจ้าชายพระองค์นั้นเสด็จกลับไปแล้ว ถ้าหากเจ้าชายดิเร็กซ์ไม่ได้เสด็จกลับทาเนียร์ แต่ทรงซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบอยู่ในกรีนแลนด์เพื่อรอโอกาสเหมาะๆ เล่า อะไรจะเกิดขึ้น

       คำตอบก็คงเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ...

       โชคดีเหลือเกินที่เหยื่อของคมดาบในวันนี้เป็นเพียงตุ๊กตา ไม่ใช่ประมุขแห่งกรีนแลนด์ตัวจริง  

       เจ้าชายกันนาร์ทรงผุดลุกขึ้น เสด็จย้อนกลับไปที่ห้องทรงพระสำราญด้านนอกอย่างเร่งด่วน นี่ไม่ใช่เวลาจะมานั่งเจ็บใจกับเรื่องที่ผ่านไปแล้ว สิ่งที่พระองค์ต้องรีบลงมือทำคือสร้างตุ๊กตาของประมุขแห่งกรีนแลนด์ขึ้นมาใหม่ ก่อนที่ใครต่อใครจะพากันแตกตื่นเพราะได้เห็นภาพที่ไม่น่าดูนี้เข้า

       ชายหนุ่มสั่นกระดิ่งเรียกมหาดเล็กรับใช้แล้วออกคำสั่งทันที

       “เฟรด เจ้าไปทูลเชิญเจ้าหญิงกาอิยาห์มาพบข้า ไปเดี๋ยวนี้เลย บอกพี่เลี้ยงของนางว่านี่เป็นเรื่องเร่งด่วน”

      เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาฉงนฉงายของอีกฝ่าย กล่าวสืบไปว่า

       “นี่เป็นเรื่องเฉพาะระหว่างเราสองคนพี่น้อง เจ้าคงรู้ใช่มั้ยว่าควรจะทำยังไง”

       “พ่ะย่ะค่ะ”

       “ดี งั้นรีบไป”

       มหาดเล็กหนุ่มถวายคำนับลงอย่างต่ำด้วยสีหน้างงงัน ก่อนจะรีบร้อนถอยหลังออกจากห้องจนเกือบลืมปิดประตูลงตามเดิม




       สาวน้อยผู้ที่เจ้าชายกันนาร์มีพระประสงค์ให้ตามตัว ค่อยขยับกายฟื้นขึ้นหลังจากนอนสิ้นสติอยู่บนพื้นหินเย็นเยียบเป็นเวลานาน สัมผัสอันสากระคายของก้อนศิลาที่แนบอยู่กับผิวแก้มทำให้นางต้องรีบลืมตาขึ้นทันที  เด็กสาวพยายามกัดฟันข่มความเจ็บปวดจนทรงกายลุกขึ้นนั่งได้สำเร็จ แล้วจึงตั้งสตินึกทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา จำได้ว่าตนเองกำลังวิ่งไปที่ช่องทางลับ แล้วจู่ๆ ก็พลัดตกลงมาข้างล่าง...

       เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงเหลียวซ้ายแลขวาทอดพระเนตรไปรอบพระวรกาย แต่ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดมิดน่าหวาดหวั่นที่ทำให้รู้สึกพระทัยเสียหนักขึ้นไปอีก

       “ฟื้นแล้วหรือ?”

       เสียงห้าวๆ ที่ดังขึ้นใกล้ตัวทำให้พระองค์สะดุ้งโหยง ร้องถามออกไปทันควัน

       “นั่นใครน่ะ?”

       มีเสียงถอนหายใจแรงๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนคำตอบหงุดหงิดจะตามมา

       “ข้าเอง.. ซิส”

       “ฮะ...” เจ้าหญิงทรงอุทานเสียงแหลม พระทัยที่เริ่มพองฟูเมื่อครู่ยุบแฟบลงเล็กน้อย
       
       ...ที่แท้ก็เจ้าเด็กเลี้ยงม้านี่เอง สงสัยเทพเจ้าคงจะกลัวพระองค์เหงาปาก จึงได้ส่งหมอนี่มาเป็นเพื่อนทะเลาะก่อนตาย

       “นี่เจ้าซุ่มซ่ามจนตกลงมา...หรือว่าคิดจะตามเอาเรื่องข้าไม่ยอมเลิกกันแน่ เอ้า ข้ายอมรับก็ได้ว่าแอบหยิบหวีของเมลออกมาจริงๆ ขโมยรับสารภาพแล้ว เป็นอันว่าเจ้าชนะ พอใจหรือยัง”

       “ช่างเถอะเรื่องนั้น...” ซิสไม่อยากจะต่อความด้วยจึงตัดบทดื้อๆ แล้วเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น

       “เจ้าฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้ว รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างล่ะ เจ้าสลบไปนานมากรู้มั้ย”

       “ข้าก็เจ็บไปหมดทั้งตัวน่ะสิ ถามได้ หัวงี้ร้าวยังกะจะแยกออกมาสักเจ็ดเสี่ยง”

       เจ้าหญิงกาอิยาห์ลุกขึ้นยืนสะบัดแข้งสะบัดขา สำรวจว่ามีส่วนไหนของพระวรกายได้รับบาดเจ็บอีกหรือเปล่า หากนอกจากอาการเคล็ดขัดยอกทั่วๆ ไปแล้ว นับว่ายังโชคดีที่ไม่มีอวัยวะส่วนไหนแตกหักเสียหาย ยกเว้นพระเศียรเท่านั้นที่บวมปูดเป็นลูกมะนาว พระองค์หันไปพยายามจ้องหน้าอีกฝ่ายแม้จะแทบมองไม่เห็น นึกเป็นห่วงอาการของเขาขึ้นมาบ้าง

       “แล้วเจ้าล่ะ?”

       “...”

       เมื่อไม่ได้รับคำตอบ คนเป็นเจ้าหญิงก็ตัดสินพระทัยขยับเข้าไปใกล้เด็กหนุ่ม พระองค์สะดุดท่อนอะไรสักอย่างจนพระพักตร์เกือบคะมำ เสียงสบถห้าวๆ ที่ตามมา ทำให้ทรงทราบว่าเป็นขาของซิสนั่นเอง ดูเหมือนเขาจะนั่งพิงกำแพงโดยพับขาไว้ข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างเหยียดชี้ไปด้านหน้า

       “เจ้า... ขาหักหรือ?”

       “เปล่า”

       คำปฏิเสธห้วนสั้นของซิส ทำเอาเจ้าหญิงกาอิยาห์แทบจะหมดความอดทน พระองค์ต้องพยายามนับหนึ่งถึงสิบอยู่ในพระทัยหลายเที่ยว เพื่อไม่ให้เผลอย่ำพระบาทลงไปบนขาข้างนั้นแรงๆ เพราะความหมั่นไส้

       “ข้าอุตส่าห์ถามด้วยความเป็นห่วงนะ”

       “ถ้าอย่างนั้นก็ขอบใจ แต่ไม่ต้องลำบากมาห่วงข้าหรอก ห่วงตัวเจ้าเองก่อนเถอะ รู้หรือเปล่าว่าเราสองคนติดแหง็กอยู่ในห้องนี้เสียแล้ว ทางออกเดียว...” เด็กหนุ่มบุ้ยใบ้ไปด้านบน แม้จะรู้ว่าเจ้าหญิงมองไม่เห็น

       “อยู่บนโน้น ก็ปิดตายไปเรียบร้อย”

       “ข้ารู้” เจ้าหญิงตอบเสียงอ่อย “แต่ข้าไม่อยากจะคิดถึงมันนี่นา”

       “งั้นเจ้าอยากจะติดอยู่ในนี้จนตายหรือไง”

       เด็กสาวส่ายหน้า ก่อนจะนึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเห็นจึงเปลี่ยนเป็นตอบปฏิเสธเสียงเบา

       “ไม่อยาก”

       “ถ้าไม่อยาก ก็ช่วยกันคิดหาวิธีออกไปจากที่นี่สิ”

       “ก็จะให้ช่วยยังไงเล่า ในนี้มันมืดจะตาย มองอะไรก็ไม่เห็นสักอย่าง”

       “ข้ามีคบไฟ” ซิสหยิบท่อนไม้ยาวๆ ยื่นพรวดมาตรงหน้าคนเป็นเจ้าหญิง

       “อย่างน้อยถ้าจุดมันขึ้นมาได้ เราก็จะมองเห็นสภาพรอบตัวได้ชัดขึ้น”

       “จุดคบไฟในห้องปิดทึบเนี่ยนะ เจ้าจะฆ่าตัวตายหรือไง”

       ซิสถอนใจอย่างรำคาญ “เจ้าไม่สังเกตบ้างหรือเจ้าหญิงว่าในนี้มีอากาศไหลเวียน ปกติถ้าอยู่ในห้องปิดทึบใต้ดิน เจ้าต้องรู้สึกอึดอัดจนอกแทบจะระเบิดไปแล้ว แต่นี่...” เด็กหนุ่มหยุดพูดเพื่อสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด แล้วผ่อนออกมาช้าๆ “เรายังหายใจได้เกือบจะปกติ แสดงว่าต้องมีช่องลมอยู่ที่ไหนสักแห่ง อากาศถึงยังถ่ายเทได้”

       เจ้าหญิงกัดริมพระโอษฐ์อย่างชั่งพระทัยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นพระหัตถ์ไปตรงหน้าเด็กหนุ่ม

       “ก็ได้ ข้าจะลองเชื่อเจ้าดูสักครั้ง ส่งคบไฟมาสิ”

       ซิสยื่นคบไฟในมือส่งให้เด็กสาว นางรับไป แล้วคลำทางจนสามารถเดินไปทรุดลงนั่งพิงกำแพงไม่ห่างจากอีกฝ่ายได้สำเร็จ

       “ข้าไม่รับปากนะว่ามันจะได้ผล”

       เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงหลับพระเนตรรวบรวมสมาธิ ท่องอะไรขมุบขมิบด้วยภาษาแปร่งแปลกที่เด็กหนุ่มฟังไม่รู้เรื่อง เพียงครู่เดียวก็เป่าลมพรูลงที่ปลายคบ ทว่า...ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

       “ทำอะไรของเจ้า” ซิสเห็นเด็กสาวเงียบไปนานก็อดปากเอาไว้ไม่อยู่

       “เวทมนตร์ไงล่ะ ข้ากำลังจะท่องคาถาเจ้าอย่ารบกวน”

       เจ้าหญิงหลับพระเนตรลงอีกครั้ง คนถามก็เลยต้องหยุดพูดแล้วรอดูผลอยู่เงียบๆ ทั้งที่ยังไม่หายสงสัยแล้วก็ไม่ค่อยจะเชื่อถือนั่นแหละ

       ลมเย็นจากเรียวโอษฐ์บางจิ้มลิ้มพรูผ่านไปบนคบไฟอีกหน...แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ดี

       “ข้าว่าหาวิธีอื่นดีกว่ามั้ง เจ้าหญิง”

       เจ้าหญิงกาอิยาห์ส่งค้อนไปทางคนพูดขณะพยายามอีกเป็นคำรบสาม คราวนี้ทรงตั้งพระทัยเป็นพิเศษ...ทันทีที่กระแสลมบางเบาจากพระโอษฐ์สัมผัสปลายคบ เปลวไฟสีส้มแดงก็ลุกพรึบขึ้น แสงสว่างนวลตาสาดกระจายออกไปโดยรอบ ขับไล่ความมืดมิดให้ปลาสนาการไปได้ชั่วคราว

       “เจ้าใช้เวทมนตร์ได้จริงๆ ด้วย” ซิสพึมพำด้วยความประหลาดใจแกมทึ่ง ขณะยื่นมือไปรับคบไฟกลับคืนมาถือไว้

       “ก็ต้องได้อยู่แล้วล่ะ เวทมนตร์พื้นฐานง่ายๆ แค่นี้”

       เจ้าหญิงแย้มพระสรวล เกทับอีกฝ่ายทันที แสงจากคบไฟสาดจับดวงพักตร์นวลใสที่บัดนี้มอมไปด้วยฝุ่นและรอยถลอก ให้กลายเป็นสีเหลืองอมส้มดูแปลกตา  

        เด็กหนุ่มถอนสายตากลับมาจากใบหน้าของสาวน้อยสูงศักดิ์โดยไม่ได้พูดอะไรอีก เขาใช้มือข้างที่ยังว่างอยู่ยันกายลุกขึ้น อาศัยกำแพงหินเป็นที่เกาะพยุงตัวเดินเลาะไปเรื่อยๆ ขาข้างที่เหยียดอยู่กับพื้นเมื่อครู่ก่อนยังเจ็บอยู่มาก จึงไม่อาจทิ้งน้ำหนักตัวลงไปได้เต็มที่

        “ขาของเจ้า...ไม่หักแน่นะ” เจ้าหญิงตรัสถามย้ำอีกครั้งให้แน่พระทัย

        “ไม่หักหรอก แค่แพลงเท่านั้น...”

        เด็กหนุ่มชูคบไฟขึ้นสูง ภาพที่เห็นสว่างอยู่ต่อหน้า คือห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ผนังและพื้นห้องก่อด้วยหินก้อนโตสกัดอย่างหยาบๆ มีคราบราและตะไคร่เกาะกระจายอยู่เป็นหย่อม บนพื้นห่างออกไปไม่ไกลนัก คือกองเชือกและเศษไม้ผุร่วนสีดำคล้ำยากจะสังเกตเห็นได้ในความมืด ซิสเดินลากขาเข้าไปดูจนใกล้ แล้วเลยมองขึ้นไปยังผนังซึ่งอยู่ติดกัน นอกจากรากไม้และคราบสกปรกที่เห็นอยู่ทั่วไปแล้ว ยังมีหมุดทองเหลืองสองตัวตอกตรึงติดแน่นอยู่ในแผ่นหินอีกด้วย ที่หมุดนั้นมีซากของบันไดเชือกเก่าๆ ห้อยร่องแร่งอยู่บางส่วน เด็กหนุ่มค่อยใจชื้นขึ้นมาบ้าง ถ้ามีบันไดก็แปลว่าต้องเคยมีคนลงมาที่นี่ เพราะฉะนั้นห้องนี้อาจจะมีทางออกอยู่อีกทาง

        เขาชูคบไฟไล่สำรวจไปตามผนังอีกสามด้านที่เหลือ ทุกด้านล้วนถูกปกคลุมไปด้วยคราบตะไคร่สลับกับรากเหี่ยวแห้งของต้นไม้เหมือนๆ กันหมด ยกเว้นผนังห้องฝั่งตรงข้ามกับซากบันไดที่แทบจะไม่มีรากไม้ให้เห็นจึงดูสะอาดตากว่าด้านอื่นเล็กน้อย

       “นั่นหรือเปล่า ช่องลมที่เจ้าว่า”

       เจ้าหญิงกาอิยาห์ชี้ให้เด็กหนุ่มดูช่องรูปกากบาทเล็กๆ ซึ่งอยู่สูงขึ้นไปจนเกือบจะจดเพดานด้วยอาการตื่นเต้น

       ซิสมองตามพระหัตถ์ของเจ้าหญิง แล้วรีบหันไปเปรียบเทียบภาพที่เห็นกับผนังที่อยู่ติดกันทันที เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ไม่พบช่องลมในลักษณะเดียวกันปรากฏอยู่ที่ผนังด้านอื่นอีก เขายื่นคบไฟส่งให้เจ้าหญิงถือไว้ ส่วนตัวเองก้มลงปลดมีดสั้นที่เหน็บซ่อนอยู่ด้านในของรองเท้าออกมา

       “เจ้าช่วยส่องไฟให้ข้าที”

        เด็กเลี้ยงม้าสั่งคนเป็นเจ้าหญิง พลางเดินลากขาเข้าไปหาผนังด้านที่มีช่องลม ใช้ด้ามมีดเคาะเบาๆ ที่แผ่นหิน แล้วลองฟังเสียง ก่อนจะหันไปทำเช่นเดียวกันกับผนังทางซ้ายและขวามือ เขาหันกลับมาพร้อมด้วยรอยยิ้มเป็นครั้งแรก ดวงตาสีน้ำตาลคมกล้าเปล่งประกายสุกใสชวนมอง

       “หลังผนังด้านนี้น่าจะมีที่ว่าง”

        “หา..เจ้ารู้ได้ไงกัน”

        “เสียงไงล่ะ แล้วก็ช่องลม รากไม้ ทุกอย่างนั่นแหละ เจ้าหญิง เจ้าไม่สังเกตเห็นบ้างเลยหรือว่ากำแพงด้านนี้ต่างกับอีกสามด้านน่ะ”

        เจ้าหญิงกาอิยาห์ส่ายพักตร์จนผมกระจาย “ไม่เลย”

       พระองค์ขยับเข้าไปทอดพระเนตรผนังด้านนั้นจนชิด ในขณะที่ซิสยังคงง่วนอยู่กับการพยายามใช้ปลายมีดเซาะเข้าไปในร่องระหว่างหินแต่ละก้อน เจ้าหญิงสังเกตเห็นรอยขีดแปลกๆ หลายรอยบนแผ่นหินจึงลองใช้พระหัตถ์ลูบเช็ดคราบสกปรกที่จับหนาอยู่ด้านบนออก แล้วก็ต้องตกตะลึงตาค้างจนเผลออุทานออกมาเสียงดัง

        “อักษรรูน!”  

        “หือ.. เจ้าว่าอะไรนะ” เด็กหนุ่มหันขวับมามอง

       “อักษรรูนไงล่ะซิส บางทีนี่อาจจะเป็นประตูทางออกก็ได้ ขอข้าคิดก่อนนะ...ข้าเคยเห็นกำแพงแบบนี้ที่วิหารหลวงในแลมพ์ตัน มีแต่ตัวอักษรเต็มพรืดไปหมด แล้วพอท่านนักบวชกดลงไปบนตัวอักษรตัวหนึ่ง ประตูก็เปิด...ใช่แล้ว แบบนี้แหละ”

       “ถ้างั้นก็ลองดูเลยสิ เวลาเรามีไม่มากนักนะ ถ้าคบไฟมอดหมดก็จบกัน”

       เจ้าหญิงกาอิยาห์ทอดพระเนตรตัวอักษรเลือนลางบนแผ่นผนัง แล้วส่ายพระพักตร์

       “ไม่ไหวหรอก มันสกปรกจนมองไม่รู้ว่าตัวอะไรเป็นตัวอะไร คงต้องกำจัดคราบตะไคร่พวกนี้ออกไปให้หมด ถึงจะเห็น”

       “งั้นเจ้าถอยไปก่อน”

       เด็กหนุ่มดันร่างของเจ้าหญิงออกห่าง ตัวเขาเองลงมือใช้ปลายมีดค่อยๆ ขูดลอกคราบตะไคร่ออกจากผนังทีละนิดอย่างอดทน เสียเวลาไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีเมื่อมือนุ่มๆ แตะลงบนท่อนแขน

       “พอแล้วละ ขอข้าดูหน่อย”

       ซิสเบี่ยงกายหลีกทางให้เจ้าหญิงกาอิยาห์ โดยการถอยออกมายืนข้างหลังพลางคว้าคบไฟมาถือเอาไว้เสียเอง สายตาของเด็กหนุ่มจับจ้องอยู่ที่พระหัตถ์ขาวนวล ซึ่งเคลื่อนผ่านไปเหนือตัวอักษรโบราณบนแผ่นผนังตัวแล้วตัวเล่า ในที่สุดก็ได้ยินเสียงใสๆ ร้องออกมาด้วยความยินดี

        “เจอแล้ว น่าจะเป็นตัวนี้แหละ”

       ทันทีที่เด็กสาวออกแรงกดลงไปบนอักษรตัวนั้น ก็มีเสียงดังครืดเกิดขึ้นพร้อมกับอาการสั่นสะเทือนที่พื้น เพียงอึดใจเดียวบานประตูที่ซ่อนอยู่อย่างแนบเนียนจนแลเห็นเป็นเนื้อเดียวกับผนังศิลาก็หมุนพลิกเปิดเป็นช่อง กว้างพอให้คนตัวไม่ใหญ่นักสองคนก้าวผ่านเข้าไปได้ทีเดียวพร้อมๆ กัน

(อ้าว แก้ไขหัวข้อกระทู้ไม่ได้เหรอคะ พอดีเห็นว่าตอนนี้สั้นมาก เลยจะลงเพิ่มอีกตอน T_T)

แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 54 23:23:43

จากคุณ : akihiro
เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 23:20:19




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com