Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
บันทึกความทรงจำเรื่องแรก ผมและเธอ ติดต่อทีมงาน

สิ่งที่จะเขียนต่อไปนี้ไม่ใช่บทความ เรื่องสั้น หรือนิยาย แต่ผมคิดว่ามันเป็นบันทุกความทรงจำเรื่องนึงของผม อาจไม่มีระเบียบแบบแผนในการเขียน ภาษาที่ใช้อาจไม่สวยงาม หรืออาจมีโดดมีข้าม วกวนบ้าง ผู้รักภาษาไทยทุกท่านอาจไม่ชอบเท่าไหร่ หรือผู้นิยมความคิดแบบตรรกะก็อาจจะไม่ชอบเท่าไหร่เช่นกัน แต่นี่คือความทรงจำต่อเนื่องที่ผมคิดว่าน่าจะเอามาแบ่งปันกันได้ สิ่งนี้เป็นเพียงเหตุผลเดียวที่ตอบคำถามสำหรับตัวผมเองว่าทำไมผมถึงชอบความเป็นเกาหลี ก่อนหน้าที่กระแสเกาหลีจะเกิดขึ้นในเมืองไทย...

ผมจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่ร้อนอบอ้าววันนึง หลังจากที่ผมเดินทางถึงประเทศอังกฤษได้ประมาณ 1 อาทิตย์ เพราะผมต้องเตรียมตัวเข้าเรียนภาษาเป็นเวลา 2 เดือน ก่อนที่จะเข้าเรียนปริญญาโท ผมคิดว่าอย่างน้อยการไปเรียนภาษามันทำให้ผมคุ้นเคยกับสำเนียงคนอังกฤษ คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม และรู้จักเพื่อนใหม่ๆ ผมอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย ห้องที่เป็นส่วนตัวสะดวกสบาย มาได้ 1 อาทิตย์ก็ทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมได้อย่างรวดเร็ว ตอนที่ผมเข้าพัก ในแฟลทมีคนอยู่แค่ 2 คน เป็นคนเม็กซิกัน กับคนใต้หวัน แต่ก็เริ่มมีคนทะยอยเข้ามาเรื่อยๆ (ลืมบอกไป แฟลทนึงมีคนอยู่ได้เต็มที่ 10 คน ครับผมอยู่ห้องในสุด)

ระหว่างที่ผมเดินจากหอพักไปที่ซุปเปอร์มาเก็ตในมหาวิทยาลัย บังเอิญเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนนึงนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ ตรงริมทาง (มหาวิทยาลัยนี้มีพื้นที่สีเขียวเยอะ ต้นไม้ก็เยอะมากๆ สดชื่นครับ) เธอใส่เสื้อยืดสีขาว ใส่กางเกงยีนท่าทางทะมัดทะแมง นั่งเหม่อมองที่ท้องฟ้าสีครามสวย เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ที่สะดุดตาผมก็คือ เธอเป็นผู้หญิงที่น่าตาน่ารัก ผิวขาว ผมยาวถึงกลางหลัง ผมยืนมองเธอเหมือนถูกมนต์สะกด จนเธอรู้ตัว หันมามองผมเหมือนกัน ผมได้แต่ยิ้มแหยๆ แล้วทักทาย เธอยิ้มให้ ดูน่ารักยิ่งขึ้นไปอีก เธอทักทายตอบ ผมจึงเดินเข้าไปพูดคุยทำความรู้จัก เธอชื่อ ลี ยุน จี ครับ (จริงๆ ต้องออกเสียงว่า อี ยุน จี แต่กลัวว่าจะเอาไปรวมกับคำว่า อีนั่น อีนี่)
เธอเป็นสาวเกาหลีที่หน้าตาน่ารัก น่าหยิก ผิวขาวเหมือนคนเกาหลีอย่างที่เราเห็นกันในทีวี ตัวสูงราวๆ 170 ซม. ยิ้มหวาน ดูร่าเริง หลังจากที่คุยกันได้ซักพัก ได้ความว่า เธอมาเรียนดนตรีที่นี่ เครื่องดนตรีที่เธอเล่นคือ เปียโน ครับ ก็เพิ่งรู้อีกเช่นกันว่า เดี๋ยวนี้เค้ามีเรียนเปียโนกันถึงระดับปริญญาแล้ว

คุยกันไปซักพักผมก็ชวนเธอไปซื้อของที่ซุปเปอร์ด้วยกัน เราซื้อของหิ้วกันพะรุงพะรังกลับหอพัก บังเอิญเหลือเกินที่เราอยู่หอพักเดียวกัน แฟลทเดียวกัน แถมห้องติดกันอีกต่างหาก!!!

หลังจากที่นิ่งอึ้งไปพักใหญ่หลังจากที่รู้ว่าเราพักอยู่ห้องติดๆกัน ด้วยความที่ผมเป็นคนอยากรู้อยากเห็น จึงขอดูภายในห้องของเธอ อย่าคิดว่าผมละลาบละล้วงนะครับ คือผมอยากรู้ว่าห้องของเธอเป็นยังไง ต่างจากห้องของผมแค่ไหน เธอได้แต่ทำสีหน้าแปลกๆ ตอนที่ผมขอ แต่ก็ยินดีให้เข้าไปดูได้ ห้องของเธอกไม่ต่างจากห้องของผมเท่าไหร่จัดวางของเป็นระเบียบ ดูสะอาดสะอ้านแต่สิ่งที่สะดุดตาผมที่สุดคือ เปียโนไฟฟ้าตัวนึงที่ตั้งอยู่ ใกล้ๆกับเตียงของเธอ เธอคงเอาไว้ซ้อมเล่นนั่นเอง หลังจากที่ผมดูเสร็จ เธอก็เอ่ยปากชวนผมไปสำรวจเมืองกัน ผมก็เห็นด้วย เพราะว่าตลอด 1 อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย ถนนหนทางก็ไม่เคยได้ไปสัมผัส ส่วนมากจะยุ่งกับการจัดข้าวของ เวลากินข้าวก็ซื้อของกินจากซุปเปอร์มาเก็ตของมหาวิทยาลัยเท่านั้น ผมเลยตอบตกลงไปในทันที อย่างน้อยก็มีเพื่อนไปด้วยคนนึงล่ะ ถ้าหลงจะได้หลงด้วยกัน 5555

ป้ายรถเมล์อยู่ในมหาวิทยาลัยเลย เพียงแค่เดินออกมาทางด้านหลังของหอพักเท่านั้น รถเมล์ที่เข้าเมืองมีอยู่ 3 สายด้วยกัน เรานั่งรอกันอยู่ซักพักรถเมล์ก็มา ขอบอกว่าตรงเวลามาก บอกจะมา 4 โมงครึ่ง ก็มาจริงๆ ถ้าเป็นเมืองไทยล่ะก็ รอไปเหอะ รอจนขนรักแร้หงอกนั่นแหละ มันถึงจะมา ที่ช้าเพราะรถในเมืองไทยมันติดวินาศสันตะโร แถมรถแท็กซี่ กับรถตู้ชอบจอดแถวป้าย รถเมล์เลยเข้าป้ายไม่ได้ รถมันยิ่งติดเข้าไปใหญ่ นี่ผมชักจะนอกเรื่องไปกันใหญ่แล้ว

เราเลือกขึ้นไปนั่งชั้นบน เก้าอี้แถวหน้าสุด เพราะตรงนั้นจะเป็นที่ๆเห็นวิวรอบๆตัวได้ดีที่สุด คนบนรถก็น้อยทำให้รู้สึกสบายๆ ตอนนี้เราก็พร้อมออกเดินทางสำรวจเมืองกันแล้ว โย่วว....รถคล่อยๆเคลื่อนตัวไป รู้สึกโคลงเคลงนิดหน่อย แต่ก็ยังรู้สึกสนุกอย่างบอกไม่ถูก เห็นต้นไม้ริมทางต้นใหญ่สีเขียวสด ถนนสองเลนพอให้รถวิ่งสวนกันได้ บ้านเมืองสงบเงียบ เห็นคนแก่จูงหมาเดินตามทาง โดยมีบ้านอิฐสีแดงเป็นฉาก ทำให้รู้สึกได้อารมณ์ของความเป็นอังกฤษขนานแท้ แล้วจุดหมายปลายทางของเราล่ะ จะเป็นที่ไหน??? ผมจึงถามยุน จี ว่าเราจะลงที่ไหนดี เธอบอกว่า เราจะลงแถวๆ City Center ดีกว่า แล้วค่อยเดินสำรวจเมือง เธอเอาแผนที่ติดตัวมาด้วย ระหว่างทางผมชวนเธอคุยโน่นคุยนี่ ได้ความว่าเธอเป็นสาวกรุงโซล จบมาทางด้านดนตรี แล้วอยากเดินทางมาเรียนดนตรีที่ยุโรป (ทำไมไม่ไปเรียนที่ออสเตรียหว่า ผมสงสัยแต่ไม่อยากถาม) เธอบอกว่าที่เกาหลีพ่อแม่มักอยากจะให้ลูกเรียนดีๆ ทำงานบริษัทดีๆ เพราะประเทศของเธอการแข่งขันสูงมาก แต่เธอรักในเสียงดนตรี แล้วก็ฝันอยากเป็นนักดนตรี เธอจึงเลือกเรียนทางนี้ (คาดว่าบ้านคงรวย เพราะสังเกตจากการแต่งตัวและข้าวของที่ใช้ เลยไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีกิน) ตัวผมเองไม่ได้รู้จักเกาหลีเลยซักนิด รู้แต่ว่าช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 คนเกาหลีเอาทองออกมาขายช่วยชาตินั่นแหละ หนังเอย ซีรีย์เอยก็ไม่เคยดู เพลงก็ไม่เคยฟัง อาหารก็ไม่เคยกิน ผมก็เล่าเรื่องของผมให้เธอฟัง เธอฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ รอยยิ้มปรากฎเป็นระยะๆ เธอบอกว่าอย่างน้อยมีผมเป็นเพื่อนก็ไม่รู้สึกเหงาแล้ว ผมเองก็เช่นกัน............

ในทีสุดเราก็มาถึงในตัวเมือง พอดีเหลือบไปเห็นร้านขายแฮมเบอร์เกอร์ ผมจึงชวนเธอเข้าไปโดยทันที มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง หิวจะแย่อยู่แล้ว ถือว่าเป็นข้าวเย็นเลยละกัน เพราะมันก็ใกล้จะ 5 โมงแล้วผมเป็นพวกหิวเร็วซะด้วย เราสั่งชีสเบอร์เกอร์มากิน ผมกินอย่างรวดเร็ว เธอมองผมกินแล้วหัวเราะ แถมบอกอีกว่าไม่เคยเห็นใครกินเร็วแบบนี้มาก่อน
(จะหาว่ามูมมามก็บอกมาเหอะ) หลังจากอิ่มท้องแล้วผมเลยมีแรงเดินต่อไป ช่วงเย็นๆในตัวเมืองไม่ค่อยคึกคักเท่าไหร่ เพราะคนทยอยกลับบ้านกันหมด แต่ยังมีร้านค้าเปิดอยู่ เราเดินลัดเลาะตามตรอกซอกซอย ผ่านโบสถ์สไตล์โกธิกที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง ผ่านป้อมปราการโบราณ พื้นถนนปูด้วยก้อนหินเล็กๆขรุขระ แต่สวยงาม บรรยากาศแบบยุโรปจริงๆ สายลมในฤดูร้อนพัดผ่านเข้ามา รู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก ชอบบรรยากาศแบบนี้จริงๆ ยุนจีเอากล้องถ่ายรูปดิจิตอลออกมาจากกระเป๋า เก็บภาพในเมืองเอาไว้ เธอเลือกถ่ายมุมสวยๆหลายมุม ฝีมือการถ่ายภาพของเธอไม่เบาทีเดียว เหมือนมืออาชีพมากๆ เอาไว้จะลองฟังเธอเล่นเปียโนซักทีดีกว่า เพราะดูจากนิ้มมืออันเรียวยาวแล้ว คิดว่าเธอคงเล่นเปียโนเก่งไม่แพ้ถ่ายภาพแน่ๆ เราเดินสำรวจเมืองกันไปซักพักจนเกือบทุ่มนึง แต่ท้องฟ้ายังสว่างหมือนตอนบ่ายเพราะเป็นหน้าร้อน แปลกดีแฮะ ยุนจี จึงชวนผมกลับบ้าน เราข้ามถนนไปขึ้นรถเมล์สายเดิมที่ฝั่งตรงข้าม....

กลับมาถึงหอพัก รู้สึกว่าเราจะมีสมาชิกใหม่เข้ามาพักที่แฟลท เป็นหญิงสาวชาวใต้หวัน ดูเปรี้ยวๆ แต่ก็เป็นมิตร รู้สึกดีมากที่อย่างน้อยก็มีคนมาเพิ่มแล้ว ผมกับยุนจีแยกย้ายกันเข้าห้องใครห้องมัน ผมอาบน้ำ เตรียมเข้านอน ในใจรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก อีก 1 สัปดาห์ก็จะเข้าเรียยนภาษาแล้ว เพื่อนๆในคลาสจะเป็นยังไงนะ อาจารย์จะเป็นยังไง จะเรียนยากมั้ย แล้วผมจะเข้ากับคนอื่นๆได้รึเปล่า คำถามเหล่านี้ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของผมไม่ขาดระยะ จะมีอะไรเกิดขึ้นอีกก็คงไม่กลัว เพราะว่าตอนนี้ผมได้รู้จักกับผู้หญิงที่ชื่อ ลี ยุน จี แล้ว..........

จากคุณ : Red Boomer
เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 54 10:32:43




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com