3.
ในห้องทำงานผู้อำนวยการโรงเรียนชลพิทักษ์มีแขกเป็นหญิงวัยห้าสิบ ทั้งคู่พูดคุยกันด้วยท่าทางสบาย ๆ เหมือนอากาศยามเช้า คเชนทร์เลือกเปิดหน้าต่างกับพัดลมเพดานตามคำขอของผู้มาเยือน ซึ่งไม่ชอบความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ กระนั้นสายลมก็พัดโชยจนม่านปลิวไหวนำความสดชื่นเข้ามาได้
คุณหงส์ดูเอกสารแล้วส่งกลับคืนให้เจ้าของโต๊ะ
“ทุกอย่างเริ่มดีขึ้นแล้วนะคะ”
“ครับ คิดว่าหลังปรับโครงสร้างหนี้ครั้งนี้แล้ว สภาพคล่องการกิจการคงดีขึ้น” คเชนทร์ยิ้ม “ขอบคุณอีกครั้งนะครับที่สนับสนุนโรงเรียนมาตลอด ถ้าไม่ได้คุณหงส์ช่วยในหลาย ๆ เรื่อง ผมคงถอดใจไปแล้ว”
“หลานฉันเองก็เป็นลูกศิษย์ผอ. คิดว่ายังไงซะก็ทำเพื่อลูกหลานบ้านเรา”
“ขอบคุณจริง ๆ ครับ” คเชนทร์ผงกศีรษะ
คุณหงส์ยกแก้วน้ำขึ้นจิบ ผู้อำนวยการโรงเรียนรู้จักกับหญิงวัยห้าสิบมาหลายปี อาจจะเรียกได้ว่าตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียน ทั้งคู่มีเจตนาและความตั้งใจตรงกันในเรื่องรับช่วงต่อมรดกของครอบครัวจึงคุยกันได้ถูกคอ รวมทั้งพอได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากเศรษฐินีแห่งบ้านน้ำทอง จึงทำให้คุณคเชนทร์ให้เกียรติเธอเสมือนที่ปรึกษาคนหนึ่ง และให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนโดยไม่ปิดบัง
“แล้วเรื่องที่จะซ่อมอาคารชั่วคราวล่ะคะ”
อีกฝ่ายดึงแฟ้มออกมาส่งให้ เธอรับมาดู หูฟังคำอธิบาย “ผม...มีแผนที่จะรื้อแล้วสร้างเป็นยิมเนเซียมใหม่เต็มรูปแบบครับ ด้านล่างเป็นห้องเรียนหรือลานอเนกประสงค์ ชั้นสองสาม คิดว่าจะเป็นสนามวอลเล่ย์บอลกับบาสเกตบอล”
ผู้มาเยือนดูแบบคร่าว ๆ สมองประมาณตัวเลขในสมองทันควัน
“อาคารแบบนี้ต้องใช้เงินสูงนะคะ ไม่น่าจะต่ำกว่าสามสิบล้าน ขอโทษนะคะ ฉันไม่คิดว่าผอ.จะไหว”
คเชนทร์ผมยิ้มกับความตรงไปตรงมา หญิงสาวบริหารงานเองตั้งแต่เสียผู้เป็นพ่อไปในวัยไม่ถึงสามสิบ แยกทางกับสามี และเลี้ยงลูกน้อยอีกหนึ่ง ฉายา “เจ๊แกร่ง” ไม่ได้มาเพราะบังเอิญ เพราะปัญหาทุกอย่างถูกแก้ได้อย่างไม่มีอะไรบุบสลาย
เขมรัฐลูกชายคนเดียวซึ่งออกนอกลู่จนหอบหิ้วหลานชายกลับมาตั้งแต่วัยรุ่น เธอก็จับมาเป็นลูกจ้างแพปลาจนเก่งถึงขั้นขยายงานออกไปเป็นฟาร์มปูนิ่มและสามารถดึงให้เขาควบงานบริหารต่อ ขณะที่ตัวเองก็ไปเปิดร้านอาหารริมทะเลทำเอาสนุกเพราะลำพังเงินจากกิจการสองอย่างก็อยู่กินสบายได้อีกหลายปี
“คุณเอื้อเธอแนะนำน่ะครับ บอกว่าถ้ามีอาคารยิมเนเซียมจะเป็นเหมือนจุดขายทำให้นักเรียนเข้ามาเรียนได้อีก โรงเรียนจะได้ไม่เด่นแต่ด้านวิชาการ แต่สนับสนุนกีฬาด้วย”
“ฉันเข้าใจนะคะ แต่เรื่องสันทนาการมันไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ในความเห็นฉันเอง ฉันว่าผอ.เปลี่ยนเป็นแผนปรับปรุง อาจจะใช้งบไม่น่าจะเกิน 3 หรือ 5 ล้าน ใช้เล่นกีฬาในร่มได้ แล้วมาเน้นเรื่องคัดเลือกครูที่จะมาสอนดีกว่า ครูต้องมีดีและมีพอ ตรงนี้ก็เอาไปสร้างความเชื่อมั่นผู้ปกครองเด็กได้เหมือนกัน”
คนพูดเว้นจังหวะเล็กน้อย
“อีกอย่าง โรงเรียนยังไม่มีชั้นม.ปลาย ความต้องการเรื่องกีฬายังไม่ถึงกับต้องโดดเด่นมากก็ได้นะคะ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่ามีแต่อาคาร แต่ไม่มีนักกีฬาซะเปล่า ๆ”
คเชนทร์นิ่งไปครู่หนึ่ง แววตาอ่อนแสงลง
“ถูกของคุณหงส์นะครับ ผมคิดแง่เดียวไม่ทันดูว่าเรื่องนี้ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ บางทีผมจะเอาเข้าที่ประชุมใหม่” เขาทำท่าตกลงใจกับตัวเอง
“นั่นเป็นแค่ความเห็นของฉันซึ่งเป็นคนนอกเท่านั้นนะคะ ไม่จำเป็นต้องเชื่อก็ได้”
“ไม่หรอกครับ ถึงคุณจะไม่มีตำแหน่งอะไร แต่สำหรับผมคุณหงส์ถือเป็นผุ้อุปการะที่สำคัญ”
คุณหงส์จุดยิ้ม “แล้วแบบนี้ คุณเอื้อเธอจะไม่เคืองแย่เหรอคะ ฉันจะข้ามหน้าข้ามตาเปล่า ๆ”
คเชนทร์ผ่อนลมหายใจ “ไม่หรอกครับ เพราะท้ายที่สุดการตัดสินใจก็อยู่กับคณะกรรมการโรงเรียน แล้วก็ผมเอง เธอเข้าใจ”
คุณเอื้อ หรือ สกุณี ถูกจ้างเป็นที่ปรึกษาในโรงเรียนได้สามปีแล้ว แต่ผลงานยังไม่ถึงความคาดหวังของเจ้าของ คเชนทร์เคยเปรยกับคุณหงส์ ความที่เป็นผู้ดีเก่า เจ้ายศศักดิ์ คุณเอื้อจึงดูดีแค่เปลือกนอก คราแรกที่เขาให้เธอเป็นหัวหน้าแผนกอนุบาลเพราะเห็นว่าหญิงวัยหกสิบน่าจะใจเย็นเป็นที่รักของเด็ก กลับกลายเป็นว่าเธอดุจนเด็ก ๆ พากันกลัว ท้ายสุดคเชนทร์จึงให้เธอนั่งตำแหน่งที่ปรึกษา ทำหน้าที่เสมือนผู้ตรวจงานรับเงินเดือนค่าเข้าประชุม ซึ่งเป็นทางออกในการไม่ให้เข้ามาบริหารกิจการอย่างสุภาพ
พอคุณหงส์ทัก คเชนทร์ก็อดคิดไม่ได้ ตอนแนะนำโครงการ คุณสกุณีมีท่าทีกระตือรือล้นกว่าครั้งไหน ๆ ถึงกับเสนอว่าจะให้ลูกชายซึ่งเป็นวิศวกรมาช่วยงานให้เป็นพิเศษ เสียงเคาะประตูดัง เขาหลุดจากภวังค์
“เชิญครับ”
ประตูเปิดออก ร่างหญิงสาวสูงโปร่งเดินเข้ามา เธอชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีแขกอยู่ก่อนแล้ว
ปุริมาลังเลระหว่างทำเคารพหญิงสูงวัยกับทักทายเจ้าของห้องซึ่งเชิญเธอมา ท้ายที่สุดก็เลือกเอาอย่างหลัง
“ผอ.เรียกหนู...”
“ไม่มีอะไร” เขาบอกให้เธอนั่ง หญิงสาวทำตามทันทีเพราะเห็นสายตาพิจารณาจากอีกฝ่าย
“อยากจะแนะนำให้เป็นทางการอีกครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง คุณหงส์ นี่ปุริมาครับ”
หญิงสาวยกมือไหว้อีกครั้ง คนอายุมากกว่าประนมมือรับ อมยิ้มนิด ๆ “หน้าตาน่ารัก หุ่นดีเชียว”
คนถูกชมได้แต่พึมพำขอบคุณ
“อย่างที่เคยเล่าให้ฟัง คุณหงส์ถือเป็นผู้ใหญ่ที่เคารพของคนที่นี่ เป็นผู้มีอุปการะคุณต่อโรงเรียนหลาย ๆ ด้าน อยากให้ปูนิ่มรู้จักไว้ มีอะไรก็ไปปรึกษาได้”
“ปูนิ่ม ?”
“ผอ. อีกแล้วนะคะ ก็หนู...”
คเชนทร์หัวเราะแผ่ว “ขอโทษทีนะ มันติดปาก เขาไม่ค่อยชอบให้ผมเรียกชื่อเล่นนะครับ” “ทำไมล่ะ น่ารักดีนะ บังเอิญจัง ที่บ้านฉันทำฟาร์มปูนิ่มซะด้วย”
ก็เพราะเหตุนี้แหละ ปุริมาตอบในใจ เมื่อคนที่นี่รู้จักคุณหงส์ และเมื่อคนที่นี่รู้จักชื่อเล่นเธอ เธอ...จะถูกล้อทั้งวันทั้งคืน ถูกเหมารวมไปไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง มันเป็นเรื่องตลกร้ายที่ขำไม่ออก พ่อตั้งชื่อเล่นเธอเป็นปูลอกคราบ ต้องระเห็จมาทำงานในเมืองที่เมนูปูลอกคราบขึ้นชื่อ อีกหน่อยจะโดนลอกคราบไปซะด้วยก็ไม่รู้
“ได้ยินว่าปูนิ่ม เอ่อ ขอเรียกปูนิ่มนะ”
ปุริมาไม่รู้จะทำอะไรนอกจากพยักหน้า
“ได้ยินว่าจบปริญญาโท สาขาอะไรเหรอ”
อีกฝ่ายบอกชื่อคณะวิชาและมหาวิทยาลัย พร้อมด้วยเหตุผลว่าทำไมถึงเลือกเรียกอีกสองสามประโยค ปุริมาเหลือบมองคเชนทร์เชิงไม่เข้าใจว่าทำไมจึงต้องถูกถาม
“ปูนิ่มไม่อยากมาเป็นครูเท่าไร”
“หนูไม่ได้บอกว่าไม่อยากเป็น แค่ไม่แน่ใจเพราะหนูไม่ได้จบครูมา พื้นฐานการสอนก็ไม่มี” เธอรีบปฏิเสธเมื่อคเชนทร์เปรยความคิดอ่านในแง่ลบ “ไหนผอ.บอกให้เป็นผู้ช่วยไงคะ มัดมือชกนี่นา”
เธอบ่นอุบอิบ คุณหงส์หัวเราะชอบใจ แอบสังเกตกริยาปั่นปึงบวกสายตาตัดพ้อแล้วเผยอยิ้ม ชีวิตหนุ่มโสดของผอ.โรงเรียนชลพิทักษ์คงจะมีสีสันมิใช่น้อยเมื่อได้หญิงสาวมาร่วมบ้านเช่นนี้
“ลองดูก่อนสิ ไม่มีอะไรไม่รู้จนกว่าเราจะได้ลองทำหรอก ไม่แน่นะ หนูอาจจะชอบงานนี้ก็ได้ ของบางอย่างรูปลักษณ์มันอาจไม่ต้องตา แต่ถ้าลองได้สัมผัส ได้รับรู้แล้ว ถึงตอนนั้นจะปฏิเสธก็ไม่สายเกินไปหรอก”
ปุริมาได้แต่ตอบค่ะ ถึงอยากจะค้านว่า ถ้าไม่ชอบจะไปเสียเวลากับมันทำไมแต่ก็ไม่โต้ เธอเป็นเด็ก คุณหงส์ดูเป็นผู้ใหญ่น่าเกรงขาม น้ำเสียงเปิดเผยใจดี ถึงความหมายเชิงสั่งสอนแต่ไม่ซอกแซก
พูดคุยอีกสองสามคำเธอก็ขอตัว ทั้งสองคนเดินตาม
“ไม่ต้องส่งหรอกค่ะ ไม่เป็นไร”
“ขับรถมาเองเหรอครับ”
คนถูกถามพยักหน้า “เดี๋ยวจะไปที่ร้านต่อน่ะค่ะ วันหลังพาปูนิ่มไปชิมนะคะ เผื่อจะได้รู้ว่าปูนิ่มจริง ๆ นะอร่อยแค่ไหน”
ปุริมาหน้าร้อนอีกระลอก ถึงเป็นหญิงวัยห้าสิบ แต่เพราะดวงตาแพรวพราวทำให้เธอรู้สึกแปลก ๆ ว่าเป็นสายตาแบบเดียวกับนายคนนั้นซึ่งเป็นลูกชายของเธอ
คุณหงส์เห็นหญิงสาวขมวดคิ้วนิด ๆ จึงผ่อนคลายบรรยากาศ
“หรือเป็นเพราะยังโกรธเรื่องที่ถูกลูกชายฉันแซวอยู่”
“เอ้อ...” ปุริมาร้อนวาบ “เปล่าค่ะ ไม่ใช่”
“ฉันขอโทษแทนเขาด้วยแล้วกันนะ นายเข้น่ะปากเสีย เขารู้แล้วล่ะว่าหนูทำงานกับผอ.คงไม่กล้าแล้วล่ะ”
ปุริมายิ้มแหย แอบเหลือบมองผู้เป็นพ่อ ณ ที่นี่เธอไม่ได้บอกฐานะที่แท้จริง ทุกคนไม่เคยรู้ว่าผอ.คเชนทร์มีครอบครัว หญิงสาวใช้นามสกุลพ่อเลี้ยง อาจจะจริงแบบที่คุณหงส์บอก เมื่อวานที่ได้เจอท่าทางเขาดูเป็นทางการกว่าเคย รวมทั้งรู้สึกมีกลิ่นไอแปลก ๆ อยู่เหมือนกันเมื่อเดินผ่านกลุ่มครู
คุณหงส์บอกลาแล้วเดินลงบันได บนอาคารมีระเบียง ทั้งสองยืนมองผู้มาเยือนเดินไปยังลานจอดรถ เปิดประตูรถกระบะคันใหญ่สีดำก่อนจะขับเคลื่อนออกไป
“ขับเองซะด้วยนะ”
คเชนทร์พูดลอย ๆ ปุริมาเห็นด้วยและทึ่ง เพราะยานพาหนะรุ่นนั้นยกตัวถังขึ้นสูง ดูแทบจะไม่เหมาะกับหญิงรูปร่างกระทัดรัด แต่พอคิดว่าเธอเป็น ‘เจ๊” ก็ไม่แปลกใจ รถลูกชายก็คงเป็นผลพวงจากรสนิยมที่คล้ายกัน
“คิดถึงแม่ไหม”
ปุริมาสบตาคนถาม “ทำไมถามแบบนั้นคะ”
ผู้เป็นพ่อยิ้ม “เห็นหนูมองคุณหงส์พ่อเลยคิดว่าหนูจะนึกถึงแม่มาบ้างน่ะสิ”
เธอโคลงศีรษะยิ้ม ๆ “ในแง่ผู้หญิงเก่งน่ะใช่ค่ะ แต่บุคลิก...ต่างกัน”
“แล้วนี่โทรหาแม่บ้างหรือเปล่า”
คเชนทร์ถามขณะที่หญิงสาวกำลังจะก้าวออกไป เธอชะงัก หันมามองด้วยสายตาระแวดระวัง “แม่...โทรหามาหาพ่อเหรอคะ”
คนเป็นพ่อกอดอก กลับสู่บทบาทเดิม “ปูนิ่มก็เป็นซะแบบนี้...”
“พ่อคะ” ลูกสาวอ้าปากแย้งเพราะกำลังถูกคาดโทษที่ไม่ยอมรับสายผู้เป็นแม่จนเธอติดต่อคำฟ้องไปที่พ่อ “แม่ไม่เคยถามสักคำว่าหนูสบายดีไหม ทำอะไรอยู่ มีแต่ตามให้กลับ ๆ หนูเบื่อ กลับไปก็ไม่พ้นต้องไปตามออกงาน ปั้นหน้ายิ้มแฉ่งเป็นนางงาม ไม่ชอบ”
“ไหนว่าชอบเป็นนางแบบ”
“ไม่เหมือนกันเลย นางแบบเป็นอาชีพ แต่การตามแม่ไปงานมัน...ไร้สาระชัด ๆ”
คเชนทร์ยิ้มที่ความคิดของลูกตรงใจ “แต่หนูก็ไม่อยากเป็นครูนี่นา”
“ถ้าให้ต้องเลือกหนูสอนหนังสือดีกว่า อีกอย่างได้อยู่กับพ่อด้วย” เธอกอดแขนเขาซบบ่าเชิงอ้อน อีกฝ่ายมองรอบตัวเล็กน้อย หญิงสาวเข้าใจจึงถอยออก ถูกเตือนแล้วว่าเมื่อไม่บอกฐานะที่แท้จริงให้คนอื่นรู้ ต้องระวังการแสดงกริยาฉันท์พ่อลูก เพราะมันจะกลายเป็นอย่างอื่นในสายตาคนทั่วไปทันที
ปุริมาโดนดุมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่เธอดีใจเนื่องจากพ่อจะซื้อรถมอเตอร์ไซค์คันเล็ก ๆ ไว้ให้ใช้งาน ซึ่งเป็นสิ่งที่อยากได้มานานแล้วแต่ถูกแม่คัดค้านตลอดเวลา จึงเผลอตัวไปหอมแก้มฟอดใหญ่ เธอเถียงว่าอยู่ในห้องทำงานแต่ก็ไม่วายถูกพ่อทำหน้าเครียดใส่
“ทำไมคะ กลัวใครมาเห็นจะเข้าใจผิดเหรอ”
“ไม่ใช่” เขาพูดช้า “พ่อน่ะห่วงหนูมากกว่า เดี๋ยวจะไม่มีหนุ่มมาจีบ”
ปุริมาพ่นลมหายใจ “หนุ่มที่ไหนกันคะ ต่างจังหวัดเห็นแต่คนมีอายุกับเด็ก ๆ อีกอย่าง...” เธอทำท่าจะพูดอะไรแต่ยั้งไว้
“อีกอย่างหนุ่มที่นี่ไม่ใช่สเป็คปูนิ่มล่ะสิ พ่อรู้นะ ลูกสาวพ่อชอบคนขาว ๆ สะอาด ใส่สูธผูกไทด์หล่อเนี๊ยบ”
“พ่อคะ!” หญิงสาวหน้าแดง
“ถึงไม่สนใจเพราะหนุ่มแถวนี้มีแต่เข้ม ๆ”
“พ่อ!!”
คเชนทร์หัวเราะชอบใจ ขณะที่ปุริมาค้อนให้วงใหญ่แล้วเดินปึง ๆ ออกไป
(ต่อค่ะ)
จากคุณ |
:
BabyRed
|
เขียนเมื่อ |
:
25 ส.ค. 54 10:38:00
|
|
|
|