Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Bitter Sweet – เพราะเธอ ..... หัวใจจึงพบรัก (ตอนที่ 4) ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10941594/W10941594.html (ตอนที่ 1 )

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10952213/W10952213.html (ตอนที่ 2)

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10965250/W10965250.html (ตอนที่ 3)

โอ๊ย จะงงอีกนานไหมเนี่ย เมษา ฉันค่อยๆ หมุนลิปกรอสออกจากหลอด กลิ่นสะตอเบอร์รี่ลอยขึ้นมาเตะจมูก ฉันสูดกลิ่นหอมชื่นใจนั้น แล้วก็หมุนกลับเก็บเข้าไปเหมือนเดิม พรุ่งนี้เช้าค่อยถามอีกทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ก๊อกๆๆๆๆๆ
เสียงอะไรนะ

ก๊อกๆๆๆๆๆ
ฉันงัวเงียกดดูนาฬิกาที่มือถือ ตีห้ายี่สิบ ฉันเอาหมอนปิดหู

ก๊อกๆๆๆๆๆ
....................................
ก๊อกๆๆๆๆๆ
โอ๊ย อะไรกันนักหนา

ฉันงุ่มง่ามลงจากเตียง เดินไปเปิดประตู เด็กบ้าอุ้มแมวยืนสิงอยู่ที่ประตู
“บอกเหตุผลที่เคาะเรียกเวลานี้มาสักข้อ น้ำท่วม ไฟไหม้ แผ่นดินไหว หรือว่าโจรปล้น”
“ไปวิ่งออกกำลังกายกัน” มันตอบเสียงเรียบ

“...........ไม่” ฉันผลักบานประตูจะปิด เจ้านั่นเอาเท้ายันไว้ “ฉันจะนอน” ฉันประกาศเจตจำนง ฉันพยายามปิดประตูจนสำเร็จ ล้มตัวลงที่นอนอันแสนนุ่ม
ก๊อกๆๆๆๆๆ
ก๊อกๆๆๆๆๆ
ก๊อกๆๆๆๆๆ
ก๊อกๆๆๆๆๆ

ฉันได้ยินเสียงสติฉันขาดดังผึง

โดยไม่ทันรู้ตัว ชั้นมานั่งอยู่ที่เก้าอี้สวนสาธารณะ มีวัยหวานเดินสำรวจพื้นหญ้าอยู่ไม่ไกล เจ้าเด็กบ๊องยืนยกแขนไปมาอยู่ริมน้ำ ฟ้ายังไม่ทันสว่างดี ฉันมาทำอะไรที่นี่ แต่จะว่าไป อากาศสดชื่นดีจัง ลมโชยอ่อนๆ หญ้าเขียวๆ สะบัดตามแรงลม นี่กลางเมืองกรุงมีที่แบบนี้ด้วยเหรอ ฉันหาววอด “ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายซะบ้างสิ คุณป้า เดี๋ยวเส้นเอ็นยึดหมดหรอก” เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนสรรพนามฉันจนไกลสุดกู่ “ทรมาน...ฉันเป็นความดันต่ำ” ฉันโอดครวญ  หมอนั่นเดินตรงมาหา แก้มแดงด้วยเลือดฝาด ลมพัดเปิดผมปลิวไปมา เห็นวงหน้าใสๆ ชัดเจน ฉันสำลักลมหายใจ “ออกวิ่งเหยาะๆ สิคุณป้า นั่งงอมืองอเท้ารอเส้นเลือดในสมองแตกเหรอ” ถ้าปากมันจะสวยเหมือนหน้าตา คงจะดีกว่านี้

ฉันพยายามฝืนสังขารวิ่งตามไปได้สองนาที ฉันก็ทรุดตัวลงนั่งลงบนหญ้า เพราะความที่ไม่มีเสื้อกางเกงสำหรับออกกำลัง ชั้นจึงเสื้อยืดธรรมดากับกางเกงทรงฮาเร็มและรองเท้าผ้าใบธรรมดา เจ้าบ้าพลังวิ่งออกไปไกลโดยมีวัยหวานโผล่หัวออกมาจากเป้ที่เจ้านั่นสะพายอยู่ จะตะโกนเรียกก็ไม่มีแรง รู้สึกเวียนหัว ฉันเอนกายลงนอน ท้องฟ้ายามเช้าสีอมส้มดูสวย แม้จะเคยเห็นมาไม่รู้กี่ครั้งแต่ฟ้าสวยทุกครั้งที่ได้มอง เงาดำๆ ทาบมาบนหน้า เจ้าบ้าพลังกำลังชะโงกตัวมามอง เด็กบ้ายืนค้ำหัวผู้ใหญ่

“เป็นลมเหรอป้า” มันถามหน้านิ่ง เออ สิ ไม่เป็นลมจะเป็นแร้งเหรอ ฉันอุบอิบด่าในใจ “ดื่มน้ำมั้ย” มันส่งน้ำมาให้ ฉันค่อยๆ พยุงกายลุกขึ้นนั่ง ฉันรับน้ำมาเปิดขวดซด เฮือก...ชื่นใจดีจริง เจ้านั่นทรุดนั่งลงข้างๆ วางแมวไว้บนพื้น ฉันกรอกน้ำตามอีกอึกใหญ่ “เอามาดื่มมั่ง” เจ้านั่นคว้าน้ำจากมือฉัน กรอกเข้าปาก

“อร๊าย...............” ฉันร้องเสียงหลง “อะไร” เด็กหนุ่มอุทานเอาแขนเช็ดปาดป้อยๆ ฉันเค้นเสียง“อย่าบอกนะ.......ว่าน้ำขวดนี้ เธอดื่มมาก่อนหน้าแล้ว” เจ้านั่นส่งสายตาระอา โอย....อยากตาย “ทำไม....อย่าบอกนะว่าคิดถึงเรื่องจูบกันทางอ้อมอยู่” เจ้านั่นหัวเราะคิก “จะบ้าเหรอ แหวะ .....สกปรก...” ฉันพ่นลมออกมา “เธอเป็นโรคติดต่ออะไรหรือเปล่าเนี่ย” ฉันเอาแขนเช็ดปาก “เราน่าจะเป็นฝ่ายพูดคำนั้นมากกว่าป้านะ” มันย้อน ฉันคลำริมฝีปาก กลัวว่าจะมีตุ่มหนองโผล่ออกมา พอจับปากก็นึกถึงลิปกลอสขึ้นมาได้ “เอ่อ นี่เธอ ตกลงแป้งกับลิปสติกนั่น เธอให้ฉันเหรอ” เจ้านั่นเหลือบมามองแล้วพยักหน้า “ใจดีจัง ขอบใจนะ” ฉันยิ้มกว้าง
“มันคงจะช่วยให้เรามองหน้าป้าได้บ้าง” หือ...อะไรนะ ที่มันพูดหมายความว่ายังไง สมองกำลังประมวลผลสิ่งที่ได้ยิน “..............ไปยัง” เจ้านั่นลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ” ฉันลุกขึ้นตามอย่างรวดเร็ว แล้วก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่ออยู่ดีๆ โลกก็มืดไปเสียสนิท แต่ว่ารู้สึกเบาสบาย ปลอดโปร่ง เหมือนลอยได้

“ป้า....ป้า....ป้ายังหายใจอยู่มั้ย”

ฉันลืมตา หน้าของเจ้านั่นอยู่ห่างไปนิดเดียว “เกิดอะไรขึ้น” ฉันพยายามลุก “นอนไปก่อน หลับตาอยู่เฉยๆเลย เดี๋ยวเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทัน เป็นลมอีกรอบหรอก” เจ้านั่นเอามือยันหน้าผากไม่ให้ฉันลุกขึ้น ฉันนอนลงอย่างเดิม ความรู้สึกมันบอกว่าหัวไม่ได้อยู่ที่พื้นหญ้า มันเป็นขาคน ขาคนแน่ๆ ถ้าหน้าเจ้าหมอนั่นอยู่ตรงตำแหน่งที่ฉันลืมตาไปแล้วเห็นพอดี แล้วขาที่ฉันนอนหนุนอยู่นี่........ก็ ....คือ..........ตักคุณน่าหนุนนอนตาย .....อุ่นๆ ละม้ายคล้ายหมอน เฮ้ย...จะมัวมาเพ้อฝันอะไรเนี่ย เมษา แต่ว่าฉันไม่กล้าลืมตานี่ เจ้านั่นจะจ้องฉันอยู่รึเปล่านะ มันจะแอบเห็นขนจมูกของฉันรึเปล่า ฉันค่อยๆ เปิดตาข้างหนึ่งขึ้นทีละนิด เห็นแต่คางเจ้านั่น โอ...เจ้าป่าเจ้าเขา ฉันนอนตักเจ้าบ้านี่อยู่จริงๆ ด้วย ฉันรีบปิดตาเหมือนเดิม พยายามหายใจเข้าออกให้เป็นปกติ กลัวว่าใจเต้นแรงแล้วเสียงจะไปเข้าหูหมอนั่น กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ จากตัวเจ้านี่หอมผ่อนคลายดีจัง คาดว่ารูจมูกฉันคงบานเข้าบานออกเพื่อรับกลิ่นสดชื่นนี่

“ถ้าค่อยยังชั่วแล้วก็ลุกเถอะ ตะคริวกินขาแล้ว” เจ้านั่นพูดลอยๆฉันค่อยๆ ฝืนสังขารลุกขึ้นช้าๆ เจ้านั่นลุกขึ้นยืนทำท่าสะบัดแข้งขา แล้วก็ก้มตัวเปิดอ้าเป้สะพายหลัง

“เชอเบท.... มานี้เร็ว” ดูมันเรียกวัยหวานแมวสาวของฉัน อีแมวตัวดีก็รีบเดินมาหาเชียวนะ
“เดินเองได้มั้ยป้า”
“เลิกเรียกป้าสักที เรียกพี่ได้ไหม”
“เดินไหวมั้ยป้า”

กวนประสาทเป็นที่สุด ฉันค่อยๆ ลุกขึ้นยืน อาการมึนหัวน้อยลง เจ้านั่นเดินนำฉันไปอย่างช้าๆ ฉันค่อยๆ ก้าวขาตามไป “เดินไม่ไหวแล้ว” ฉันเริ่มประท้วง “ตามมา...จะพาไปกินอะไรอร่อยๆ” ขาเริ่มมีกำลังวังชาขึ้นมาทีเดียว   ฉันค่อยๆ เดินตามเด็กนั่นไป

เด็กนั่นพาเดินมาข้างๆ สวนสาธารณะ ฉันเพิ่งเห็นว่าตรงนี้มีร้านค้าแต่ยังไม่ได้เปิด เป็นร้านเล็กๆ สองชั้นทำด้วยไม้ทาสีขาวน่ารัก ตัวร้านมีกระจกหลายบาน บริเวณรอบนอกตกแต่งด้วยกระถางดอกไม้เล็กๆ น่ารักเต็มไปหมด มีร่มปักอยู่แต่ไม่ยักมีเก้าอี้ให้นั่ง น่าจะเป็นร้านกาแฟหรือขายขนมเล็กๆ น้อยๆ ส่วนชั้นบนน่าจะมีคนอยู่ อ้าวถ้าร้านยังไม่เปิดฉันก็อดกินน่ะสิ เจ้านั่นยังไม่ชะลอฝีเท้า เดินเลยไปไหนอีกนั่น

เดินเลยร้านนั้นมาไม่ไกลนักมีประตูรั้วเล็ก เจ้านั่นเดินเข้าไปแล้ว บ้านคนหรือเปล่าเนี่ย มันหลอกฉันมาจี้ ปล้น ใครหรือเปล่านะ ฉันหยุดยืนเฉยๆ เจ้านั่นชะโงกตัวผ่านรั้วไม้มาเรียก “ตามมาเร็วๆ”



พอก้าวเข้ารั้วไปเหมือนกับว่าฉันได้ก้าวเข้ามาอีกโลกหนึ่ง ที่ตรงนี้เหมือนเรือนกระจกเล็กๆ มีดอกไม้ต้นไม้นานาพันธ์ทั้งอยู่ในกระถางและปลูกบนดิน สีสันสวยงาม กลิ่นดอกไม้อ่อนโชยเตะจมูก ปลายทางเดินมีบ้านสีฟ้าลักษณะคล้ายๆ ร้านเมื่อกี้ตั้งขวางอยู่ เจ้านั่นยืนรออยู่แล้ว ฉันค่อยๆ ก้าวเดินอย่างระมัดระวังและชื่นชมดอกไม้ใบหญ้าต่างๆรอบตัว กระถางต้นไม้เรียงรายเต็มไปหมด พอเดินเข้าใกล้ตัวบ้าน เจ้านั่นยื่นแก้วน้ำมาให้ “น้ำตะไคร้” เขาแนะนำ ฉันรับมาดื่ม หญิงสูงอายุเดินออกมาจากตัวบ้านพร้อมน้ำตะไคร้อีกแก้วหนึ่งและชามใส่น้ำเปล่า “แล้วแมวละจ๊ะ เอาลงมากินน้ำสิ” เจ้านั่นอุ้มวัยหวานลงจากเป้ คุณยายคนนั้นหันมายิ้มให้ “นั่งก่อนสิหนู ยายอบคุกกี้ไว้” ฉันนั่งลงอย่างว่าง่ายที่เก้าอี้หวายน่ารักๆ หน้าบ้าน คุณยายหายเข้าไปในตัวบ้าน ฉันมองหน้าเจ้านั่น หน้าฉันคงมีเครื่องหมายคำถามติดอยู่ “ไม่เคยเดินออกมาดูโลกข้างนอกก็คงไม่รู้หรอกว่าโลกข้างนอกก็มีอะไรดีๆ แบบนี้” เจริญหูมาก แต่ละคำที่พูดออกมาเจริญหูมาก ฉันกัดฟัน งับปากไม่อยากเถียง แต่ก็ยอมรับว่าจริง

ฉันมองสำรวจที่ผืนนี้ ไม่รู้ว่ามันเรียกว่ากี่ตารางวาหรอกนะแต่มันไม่ได้กว้างขวางมาก แต่ทุกอณูของที่นี่ก็เต็มไปด้วยดอกไม้ใบหญ้า ฉันออกเดินสำรวจสถานที่ อ๋อ คุณยายคนนี้แกปลูกต้นไม้ขาย เพราะพอมองไปแล้ว ต้นไม้ดอกไม้แบ่งเป็นแต่ละชนิด ด้านหน้ามีป้ายปักชื่อต้นไม้และราคา ฉันชะเง้อมองโน่นมองนี่ คุณตาคนหนึ่งกำลังนั่งยองๆ จัดกระถางต้นไม้อยู่ “อ้าว มาแล้วเหรอ” ฉันทำหน้างง ใครมา ฉันมา แล้วยังไง คุณตาลุกขึ้นอย่างคล่องแคล่ว แกปัดฝุ่นผงตามตัว “กินน้ำกินท่าแล้วหรือยังเนี่ย” ฉันพยักหน้าช้าๆ ยังคงสงสัยอยู่ว่าทำไมบทสนทนาของการทักทายจึงเป็น อ้าว มาแล้วเหรอ แทนที่จะเป็น อรุณสวัสดิ์ หวัดดีจ้า ไฮ โคนิจิวะ มอนิ่ง สบายดีหลวงพระบาง เจ้าบ้านั่นมาแตะหลัง ทำเอาความคิดฉันกระเจิง

“พอดีเมื่อวาน เดินมาเจอร้านนี้ ก็เลยบอกตากับยายไปว่าจะพาป้ามา ป้าอย่าทำหน้างงไปมากกว่านี้เลยนะ” เจ้านั่นกระซิบ เออ ก็บอกมาสิ “ท่าทางป้าขาดออกซิเจนมากมาย อยากให้ได้รับอากาศบริสุทธิ์บ้างไรบ้าง” เจ้านั่นทิ้งทวนก่อนจะตบบ่าฉันเบาๆ

ฉันนั่นลงตรงเก้าอี้ที่เดิม เพิ่งสังเกตเห็นที่โต๊ะข้างเก้าอี้มีเมนูอยู่ จึงหยิบมาอ่าน เป็นรายการน้ำสมุนไพรต่างๆ ราคาย่อมเยาเหลือเชื่อ ขายแบบนี้ให้ฟรีเลยดีกว่า “ยายเขาทำแก้เบื่อน่ะ” คุณตาคนเดิมเอ่ยลอยๆ เขาส่งหนังสือพิมพ์ส่วนที่เป็นหน้ากีฬาให้เจ้านั่น หมอนั่นรับไปยืนอ่าน วัยหวานไปสีคุณตา นังนี่ท่าจะเห็นเพศผู้ไม่ได้ “ดอกไม้สวยมากๆ เลยค่ะ” ฉันคิดว่าฉันคงต้องเอ่ยอะไรออกมาบ้าง  คุณตายิ้ม “อะไรที่เราทำด้วยใจ ทำด้วยความรัก ผลของมันต้องออกมาดีอยู่แล้ว” คุณยายเดินออกมาในมือมีถาดใส่คุกกี้ คุณตาเดินไปรับ “คุกกี้ขิง” คุณยายประกาศชื่อ ฉันกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ เกลียดขิงที่สุดในโลก อยากตาย ต้องกินไหม ต้องทำท่าชิมไหม จะอ้วกไหม ต้องทำท่าเหมือนอร่อยด้วยรึเปล่า ตายแน่ๆ เมษา


เจ้านั่นเดินมาหยิบเคี้ยวกรุบกรอบ แล้วถลึงตาใส่ฉันเหมือนประหนึ่งจะสั่งว่า กินเข้าไปเดี๋ยวนี้ ฉันเอื้อมมือไปหยิบชิ้นคุกกี้มามอง เจ้านั่นทำตาโตกว่าเดิมเป็นเชิงบอกว่ายัดเข้าปากไป ฉันอ้าปากอย่างยากเย็น

พระเจ้า มันคือคุกกี้ขิงหรือว่าเป็นคุกกี้อื่นปลอมตัวมา ไม่มีรสเผ็ด ฝาด หรือขมเลย หอมอร่อยหวานมัน ฉันเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยและหยิบเข้าปากอีกหลายชิ้น เจ้านั่นถลึงตาอีกแล้ว อะไรกัน ตะกละก็ผิดด้วยเหรอ “รสชาดดีมากเลยครับ ไม่หวานจนเกินไป รสเผ็ดก็น้อยจนแทบไม่รู้สึก” เจ้านั่นทำเสียงนุ่ม ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าเจ้านี่พูดโทนเสียงนี้เป็นด้วย  เจ้านั่นเหลือบมองฉันอีกแล้ว ฉันหยิบคุกกี้กินอีก แล้วก็สำลัก คุณยายกับคุณตามองหน้ากัน คุณตาเอ่ยขึ้น “ยายไปเอาน้ำมาทั้งกาเลยไป” คุณยายรีบเดินหายไปในบ้าน หน้าหล่อทำหน้าเอือมระอาอีกแล้ว

ฉันนั่งมองดูผีเสื้อบินไปมาจนเพลิน วัยหวานวิ่งผลุบเข้าตรงโน้นออกมาตรงนี้ตามกระถางต่างๆอย่างมีความสุข คุณตากับเจ้านั่นนั่งคุยอะไรเรื่อยเปื่อย ส่วนคุณยายก็นั่งถักไหมพรมหรืออะไรไม่รู้อยู่ไม่ไกล เจ้านั่นลุกขึ้นส่งเงินให้คุณตา “อ้าว จะไปแล้วเหรอ” คุณยายร้องและรีบเดินหายไปในบ้าน ก่อนจะรีบออกมา ในมือมีถุงผ้า “เอาน้ำมะตูมไปไว้ดื่มที่บ้านด้วยลูก” ส่วนคุณตาก็รีบส่งต้นไม้หน้าตาคล้ายกระบองเพชรในกระถางเล็กๆให้ “ดูแลง่ายนะ ประโยชน์ใช้สอยเยอะ” เจ้านั่นกล่าวขอบคุณ แล้วก็เก็บแมว ฉันกล่าวสวัสดีกับคนทั้งสอง คุณยายรีบบอกให้มาอีก ฉันมาแน่

เจ้านั่นส่งกระถางต้นไม้ให้ฉันถือ ฉันมองต้นไม้ในมือ “คุณตากับคุณยายใจดีจัง” ฉันเอ่ย “เขาทำเป็นงานอดิเรกใช่ไหม ราคาน้ำสมุนไพรกับพวกต้นไม้หยั่งกะได้ฟรี” ฉันยังเด่ต่ออีก “ก็เขาทำแก้เหงา....เขารวยจะตาย” เจ้านั่นพูด “เธอรู้ได้ไง” ฉันแย้ง หมอนี่มันจะรู้มากไปหน่อย “นี่เธอไม่เคยอ่านหนังสือพิมพ์เลยเหรอ” เจ้านั่นแขวะ “อ่านแล้วจะรู้เรื่องคุณตาคุณยายคู่นี้เหรอ” ฉันยังเถียง เจ้านั่นถอนหายใจ “ถ้าเธอคิดจะอยู่บนโลกใบนี้นะ เธอเริ่มหัดเปิดรับข่าวสาร รับอะไรๆ บ้างได้แล้ว” อะไรเนี่ย ฉันจะไปรู้จักคุณตาคุณยายคู่นั้นได้ไง ไม่ใช่ญาติโกโหติกาฉันนี่ ทำไมต้องรู้จักล่ะ เขาเป็นคนสำคัญยังไงเหรอ “พวกเขาเป็นใครเหรอ ยังไงก็ไม่รู้อยู่ดี”

“ยัยซื่อบื้อเอ๊ย .....” เจ้านั่นตะเบ็ง ดีนะที่คนในสวนสาธารณะยังน้อยอยู่ จะด่าก็ด่าแล้วช่วยเฉลยด้วยสิ ฉันคิด “เขาเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้า รีสอร์ท โรงแรม” เจ้านั่นยอมเฉลย “จริงเหรอ” ฉันอ้าปากค้าง

ฉันหยุดยืนอยู่ตรงร้านเดิมที่ผ่านมาเมื่อกี้ “คุณตากับคุณยายคงเป็นเจ้าของที่ตรงนี้ด้วยแน่ๆ” ฉันออกความเห็น “เดาส่ง” เจ้านั่นไม่ได้หันหน้ามาแต่ก็หยุดเดิน วัยหวานดิ้นอยู่ในถุงเป้แล้วก็ดีดตัวพรึบออกมา


“เฮ้ย.............” ฉันร้อง “วัยหวาน....” สิ้นคำ เจ้าแมวตัวดีกระโดดหายเข้าไปทางร้านไม้สีขาวนั้น เจ้านั่นหันมามอง “นิสัยเหมือนใครเนี่ย” ขอให้ได้แขวะฉันเถิด มันจะได้หนึ่งบาทจากการแขวะฉันเพื่อไปสมทบทุนสร้างโบสถ์สร้างวิหารอะไรไหม “มันก็ปวดขี้ปวดเยี่ยวเป็นนะ” ฉันแก้ให้ “งั้นป้าเดินไปตามเอง” ฉันมองหน้า “ไม่เอา กลัวงู” ฉันทำเสียงเล็กเสียงน้อย เจ้านั่นถอนใจครั้งที่ห้าในรอบเช้านี้ และเดินดิ่งเข้าไปพร้อมส่งเสียงร้องเรียก  “เชอเบท....กลับมานี่” นังแมวแสบจะงงชื่อตัวเองมั้ยเนี่ย

“แม้ววววว.......” เสียงนังตัวดีร้องอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ ฉันยังก้มๆ เงยๆ อยู่แถวๆ พุ่มไม้หน้าร้าน พอเงยหน้าดูก็เห็นเขียนว่า “ร้านขจิตฟลอร่า” แอบมองผ่านกระจกเข้าไปภายในร้านตกแต่งเป็นเคาน์เตอร์และชั้นวางของสวยงาม มีผ้าพลาสติกคลุมโซฟาและโต๊ะกลางอยู่ ฉันเอาหัวแนบกระจกแอบพินิจพิเคราะห์ของด้านใน วินเทจแน่ๆ ร้านนี้ต้องตกแต่งแบบวินเทจแน่ๆ ฉันเพ่งดูภายในร้าน ถัดจากเคาน์เตอร์เป็นห้องเล็กๆ มีตู้กระจกวางอยู่ข้างหน้าห้องนั่น “ร้านกาแฟอะไร ชื่อขจิตฟลอร่า” ฉันบ่น “วิชั่นแคบมาก ร้านดอกไม้ยังดูเป็นร้านกาแฟ” เสียงทุ่มต่ำดูถูกดูแคลนดังขึ้นอีกแล้ว เจ้านั่นเก็บวัยหวานไว้ในกระเป๋าเป้แล้ว บนหัวมีใบไม้ติดเต็ม ฉันเกือบจะหัวเราะออกมา ฉันเอื้อมมือไปหยิบใบไม้ที่ติดแซมอยู่ตามผมสีน้ำตาลอ่อน ทีละใบสองใบ ด้วยความที่เจ้านี่สูง ฉันต้องเขย่งเท้าถึงจะทำได้ถนัด “ไปมุดหาแมวตรงไหนเนี่ย” ฉันเอื้อมหยิบใบที่อยู่เกือบกลางกระหม่อม สายตาปะทะกับตาของเจ้านั่นพอดี หน้าฉันอยู่เกือบระดับเดียวกับหน้าเจ้านี่ กลิ่นแชมพูบางๆ โชยมาอ่อนๆ ลมหายใจฉันขาดเป็นห้วงๆ ฉันตะลึงทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ตาค้างจ้องความงามที่อยู่ตรงหน้า มือไม้ค้างอยู่ท่าเดิม

จากคุณ : Sexy Peachy
เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 54 11:41:34




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com