บันทึกความทรงจำบทที่ 4 ลองดอนกับการมาถึงของฤดูใบไม้ร่วง
|
 |
วันนึงผมได้รับอีเมลแจ้งเตือนจากทางมหาวิทยาลัยว่ามีพัสดุส่งถึง เป็นของที่ทางบ้านส่งมาให้นั่นเอง ปกติแล้วทางบ้านผมจะส่งพวกอาหารแห้งมาให้ บางครั้งก็เป็นพวกเครื่องปรุงรสต่างๆ เอาไว้ใช้ทำอาหาร ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเพราะผมใช้ซะหมดเกลี้ยงทุกครั้งไป แต่คราวนี้พิเศษหน่อยคือ ผมบอกให้ทางบ้านช่วยซื้อหนังเกาหลีส่งมาให้ด้วย เรื่องอะไรงั้นเหรอครับ หากยังจำได้ ตอนที่ผมฟังยุน จี เล่นเปียโน เพลงนั้นมาจากหนังเรื่อง My Sassy Girl เธอเลยแนะนำให้ผมดู พอได้แผ่นมาปุ๊บ ผมก็เปิดดูในทันที แล้วก็ไม่ผิดหวัง หนังเรื่องนี้สนุกกว่าที่คิด เพลงประกอบเพราะดี ชื่อ I believe (เป็นหนังเกาหลีเรื่องแรกที่ผมดูครับ แล้วก็เป็นเพลงเกาหลีเพลงแรกที่ผมได้ฟัง) ตลกความโหดของนางเอก แล้วก็ความเจี๋ยมเจี้ยมของพระเอก เพื่อนญี่ปุ่นที่เคยดูเรื่องนี้บอกว่า คาแรกเตอร์ของเกียนอู พระเอกของเรื่องเหมือนผมเป๊ะเลย ตกลงผมควรจะดีใจหรือว่าเสียใจกันแน่ครับ T__T แต่ก็ช่างเหอะ อะไรมันจะไปสำคัญไปกว่าความสนุกของหนังอีกล่ะ หลังจากนั้นปริมาณการดูหนังเกาหลีของผมจึงเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ตอนนี้ผ่านมาถึงครึ่งทางของการเรียนภาษาแล้ว จะเปิดเรียนปริญญาโทอย่างเป็นทางการก็ราวๆกลางเดือนกันยายน ช่วงนั้นจะเป็นฤดูใบไม้ร่วง ช่วงเวลาที่ผ่านมาทางสถาบันภาษาพาเราเดินทางไปเที่ยวเมืองต่างๆหลายเมือง ได้ไปดูสถานที่ถ่ายทำแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ที่อ็อกซ์ฟอร์ดด้วย แต่ที่เห็นจะขาดไม่ได้คือ เราเข้าไปในลอนดอน จำได้ว่าก่อนหน้าที่เราจะไปลอนดอนกันนั้น ยุน จี ทำงานที่ผับ Mercy ได้ระยะนึงแล้วและมีเงินเก็บสำหรับช็อปปิ้งจำนวนนึง เรามานั่งอ่านไกด์บุ๊กสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจกัน ที่เที่ยวในลอนดอนมีอะไรมั่งล่ะ Tower of London the London Eye Hyde Park โซโห ไชน่า ทาวน์ และ the British Museum และที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณผู้หญิงคืออะไรครับ...Oxford Street นั่นเอง!! ที่นั่นเป็นแหล่งช็อปปิ้งสินค้าหลายชนิด พอเอ่ยถึงสถานที่ช็อปปิ้งเธอก็ทำตาเป็นประกาย เหมือนกับในการ์ตูนจุง โคชิกะ มองทำมุมกับท้องฟ้าประมาณ 45 องศาอย่างมีความหวัง แล้วก็พูดออกมาว่า "ห้ามพลาดเด็ดขาด สงครามการช็อปปิ้งกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!!!!" เรื่องสงครามช็อปปิ้งสำหรับผมไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าจะเป็นคนถือของนั่นแหละครับ รับรองได้ว่าหวยมันต้องมาออกที่ผม แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เธอซื้อเสื้อผ้าอย่างเยอะ ถือแทบไม่ไหว ผมเลยต้องหิ้วตามเธอไป แต่ไปลอนดอนคราวนี้ถือว่าไม่เสียเที่ยวเพราะผมเองก็ได้หนังสือดีติดมือมาด้วย เพราะระหว่างทางเราแวะร้านหนังสือ Waterstone หนังสือเกี่ยวกีบการเมืองระหว่างประเทศที่จะใช้เป็นเล่มหลักในการเรียนของผม เธอก็ยินดีไปกับผม แถมยังมีโอกาสไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เชอร์ล็อก โฮมส์ นักสืบคนโปรดของผม ผมเองก็เป็นสมาชิก Sherlock Holmes Society ด้วย ประทับใจมากๆ ตอนหลังกลายเป็นเธอน่ะแหละ ที่เดินตามผมและตามใจผมทุกอย่าง ผมเองก็ยินดีที่จะช่วยเธอถือของ ตอนขากลับพอมาถึงรถ ทุกคนก็ตกใจหลังจากที่เห็นถุงใส่เสื้อผ้าของเธอ (ก็น่าอยู่หรอก 555) ....
เวลามันผ่านไปเร็วมากๆ หลังจากทริปลอนดอน ฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะมาเยือน เราก็ต้องเร่งฝึกฝนตัวเองเพื่อเตรียมตัวสอบภาษาอังกฤษรอบสุดท้าย ขอสารภาพว่าผมเองไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าจะสอบผ่านเพราะมันต้องสอบทั้ง ฟัง พูด อ่าน เขียน พูดง่ายๆ คือ สอบ IELTS นั่นแหละครับ ต้องไปขอความช่วยเหลือจากยุน จี เป็นประจำ แต่เธอก็ไม่ขัดข้อง ช่วยผมฝึกฝนตลอด ส่วนเธอสอบไปก็ไม่มีปัญหาเพราะผลภาษาอังกฤษของเธอดีอยู่แล้ว เลยทำตัวให้เป็นประโยชน์โดยการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อย่างผมนั่นเอง ขอบคุณมากๆ ซาบซึ้งงง
และแล้วการทดสอบก็ผ่านไปได้ด้วยดี ผมสอบผ่านครับ ส่วนคะแนน 5555 ไม่อยากจะคุย ผมได้ x.x จาก 10 คะแนนครับ (อุบไว้เป็นความลับ อิอิ) ส่วนยุน จี น่ะเหรอ เธอได้ 8.5 คะแนน!!!!! คือไม่ต้องสอบใหม่ก็ได้นะตัวเอง 5555 เพื่อนๆ ในกลุ่มเราก็สอบผ่านหมดเหมือนกัน เลยนัดกันเลี้ยงฉลอง นำโดย David อาจารย์ประจำกลุ่มของเรานั่นเอง Felix เพื่อนชาวจีนของเราเลยออกไอเดียเด็ด ไปกินพิซซ่ากันในเมืองโดยใช้เงินของสถาบันภาษานั่นแหละเป็นค่าจัดเลี้ยง ตกลงนัดกันค่ำวันนั้นไปกินกันให้เต็มอิ่ม เตรียมตัวรับภาคเรียนฤดูใบไม้ร่วงที่จะมาถึงในอีก 2 อาทิตย์........
พูดถึงฤดูใบไม้ร่วง คนเรามักจะนึกถึงอะไรบ้างครับ ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีต่างๆ สวยงาม อากาศที่เย็น มีฝนพรำๆ พื้นเกลื่อนไปด้วยใบไม้ แต่มีอีกอย่างนึงที่ขาดไม่ได้ นั่นคือการได้กินของร้อนๆ โดยเฉพาะบะหมี่ ราเม็ง มาม่า หรืออะไรก็ตามแต่ ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นลง สลับกับมีฝน มีเวลาอีก 2 อาทิตย์ก่อนที่ภาคเรียนของจริงจะเริ่ม ผมกับยุน จี จึงชวนกันไปซื้อบะหมี่มากิน พูดง่ายๆก็คือ หามาม่ามากินนั่นแหละ เพราะตั้งแต่มาที่นี่เธอห่างเหินกับมาม่ามาพอสมควร ส่วนผมก็กินมาม่าที่ที่บ้านส่งมาซะเกลี้ยงเลย แล้วจะไปซื้อที่ไหนล่ะ ซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ไม่มียี่ห้ออร่อยถูกปาก แต่ในความมืดยังคงมีแสงสว่าง พวกมาม่า มีขายที่ร้านขายของไทย ในเมือง เราสองคนจึงตัดสินใจไปซื้อกัน
"นี่ๆๆๆ อยากกินอาหารไทยจัง ไหนๆก็ไปร้านขายของไทยแล้วนี่ ซื้อเครื่องปรุงมาทำด้วยสิ" เธอเซ้าซี้ เพราะอยากกินอาหารไทย ตอนอยู่เกาหลีเธอเคยลองกินดูแล้ว ถูกใจอาหารไทยโดยเฉพาะอาหารประเภทต้มยำ คนเกาหลีเป็นพวกชอบอาหารรสเผ็ด เห็นได้จากพวกซุปกิมจิ หรืออาหารชนิดอื่นๆ มีรสเผ็ด แต่สำหรับเธอรสเผ็ดของอาหารไทยทำให้เธอรู้สึกแตกต่างไปจากความเผ็ดของอาหารเกาหลี มันเป็นความแปลกใหม่ที่น่าลิ้มลอง (วันหลังกระทรวงที่เกี่ยวข้อง กรุณาโปรโมทอาหารไทยประเภทอื่นมั่งนะครับ ไม่ใช่โปรโมทแค่พวกต้มยำกุ้ง ผัดไทย แกงเขียวหวาน กับส้มตำ 555)
"ก็ได้ๆๆๆ ซื้อมาแน่ แล้วจะทำให้กิน อร่อยรึเปล่าไม่รู้นะ ทำแล้วก็ต้องกินให้หมดด้วยล่ะ"
"รับทราบ!!!" เธอยืนยันเสียงหนักแน่นพร้อมทำท่าวันยาหัตถ์
วันนั้นเลยตกลงกันว่า มื้อกลางวันเราจะกินมาม่ากัน ส่วนมื้อเย็นผมจะทำอาหารไทยเลี้ยงเธอ!!! ก็ดีนะครับ มีความสุขดี (แต่คนทำอาหารเหนื่อย T^T)
เรานั่งรถเมล์ไม่นานก็ถึงตัวเมือง เราเดินต่อไปยังถนนเล็กแถวๆ ห้างสรรพสินค้า แล้วทะลุออกไปยังร้าน Sweet Chilli เดินต่อไปอีกซักพัก แต่โทษที ร้านรวงรอบๆ บางร้านเป็นร้าน Sex Shop ครับ คือจะว่าไงดีล่ะ ผมกับเธอหยุดเดินแล้วมองเข้าไปในร้านที่ว่านั่น โอ้โห นี่เหรอคือ Sex shop มีชุดโน่น ชุดนี่ ตุ๊กตาเอย ของเล่นเอย อื้อหืออออ พอดีมีฝรั่งเดินผ่านมา มองเราสองคนแล้วอมยิ้มนิดๆ แสดงว่ามันคงคิดอกุศลเป็นแน่ ยุน จี ไม่ว่าอะไร รีบกระชากแขนผมแล้วเดินต่อไปยังร้านขายของไทย 5555
ร้านขายของไทยเป็นร้านเล็กๆ อยู่ริมถนน ตกแต่งภายในร้านแบบธรรมดา มีของขายเยอะแยะ ขิง ข่า ตะใคร้ ใบมะกรูด ข้าวหอมมะลิ ผลไม้ไทย ขนมขบเคี้ยวหลายชนิด ผงปรุงโลโบ คะนอซุปก้อน ฯลฯ ที่ขาดไม่ได้เลยคือ มาม่า!!!!!! เราซื้อมาม่า และเครื่องปรุงหลายชนิดกลับไป เพื่อเตรียมทำอาหารเย็น ส่วนวัตถุดิบอื่นๆ คงไม่ต้องเพราะเราไปซื้อกันมาแล้วก่อนหน้านี้ สรุปว่าเย็นนี้ผมจะทำต้มยำกุ้งครับ (น่าเบื่อจริงๆ โปรโมทกันอยู่ได้ไอ้ต้มยำกุ้งเนี่ย 555) ช่วงหลังๆนี่ ผมมักจะประยุกต์ทำฟูซิลี่ต้มยำกุ้งครับ ทำง่ายดี
ถึงหอพักปุ๊บ เรารีบตรงไปยังห้องครัวในทันที โอกาสเหมาะแล้ว ยังไม่มีแฟลทเมทคนอื่นๆ มาทำอาหารกลางวันกัน งั้นลุย!!!! ผมเป็นคนต้มน้ำในหม้อขนาดพอประมาณ เธอรับหน้าที่ฉีกซองมาม่า วันนี้เราซื้อมาม่าหมูสับมาหลายซองครับ เธอฉีก 5 ซอง กะกินกันให้ตายกันไปข้างเลยว่างั้น แล้วเธอก็นั่งมองผมสับหมู หั่นผัก
"หิวแล้วนะ!! ทำอะไรชักช้า อืดอาด" เธอพูดแบบลอยหน้าลอยตา แล้วทุบโต๊ะ
"ครับๆๆๆ ทราบแล้วครับ ถ้าอยากให้เร็วล่ะก็ผมก็ไม่ว่าอะไรล่ะนะถ้าจะมาช่วยกัน" พอผมพูดแค่นี้เธอก็เงียบๆป 555
แล้วผมก็ลวกเส้น ใส่หมูใส่ผักลงไป คนๆๆๆ ซักพักนึงก็เสร็จ ยกหม้อลงกะจะแบ่งใส่ชอบ
"Stoppppp!!!!!!!" เธอสั่งการ
"ทำไมล่ะ"
"มันต้องกินหม้อเดียวกันสิถึงจะอร่อย"
"เอางั้นก็ได้" ผมเลยจัดแจงเอาผ้ามารองหม้อเพื่อตั้งบนโต๊ะ เอาตะเกียบมาคนละคู่ แล้วเริ่มกินกัน พอจะก้มลงกินเท่านั้นแหละครับ เสียงดังโป๊กเกิดขึ้น ผมรู้สึกเจ็บที่หัว ไม่ต้องสงสัยครับ หัวของเราโขกกันตอนก้มลงกินนั่นแหละ เรานั่งกินกันอย่าางสนุกสนาน แต่คนที่กินเยอะไม่ใช่ผมนะ พอดี อาคีฟ เพื่อนชาวตุรกีเดินเข้ามาชงกาแฟพอดี
"ทำอะไรกัน!!!" มันถามพลางทำหน้าเหมือนหมาสงสัย
"กินมาม่ากันอยู่ค่ะ" ยุน จี ตอบซื่อๆ
"โอ้ น่าสนุกดีนี่" อาคีฟ พูดพลางเดินเข้ามาดู แล้วหัวเราะ "นี่พวกยูกินหม้อเดียวกันเนี่ยนะ!!!" พูดยังไม่ทันขาดคำ แฟลทเมทคนอื่นประมาณ 2-3 คนก็ทะยอยเดินเข้ามา มองเราสองคนแล้วพูดกันว่า
"แหม สองคนนี้สนิทสนมกันเหลือเกินนะ พวกยูเดทกันอยู่เหรอ"
"หึ หึ หึ หึ หึ" ยุนจี หัวเราะแบบมีเลศนัย ผมตีความไม่ออก หมายความว่างไกันแน่!!!! ส่วนผมน่ะเหรอ หวเราะก๊ากออกมาแก้เก้อ
เราสองคนรีบโซ้ยมาม่าที่เหลืออยู่ทันที รีบล้างจาน แล้วเดินกลับห้องอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด
นั่นคือความทรงจำในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงของผมก่อนหน้าที่จะเปิดเรียนไม่นาน แต่หลังจากนี้มันเกิดเรื่องที่ผมไม่เข้าใจตัวเอง และทำให้ผมรู้สึกแปลกๆกับความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคน.........
จากคุณ |
:
Red Boomer
|
เขียนเมื่อ |
:
29 ส.ค. 54 07:16:06
|
|
|
|