Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ภาพเขียนสีตะแบก ตอนที่2 ติดต่อทีมงาน

ตอนที่1 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10980646/W10980646.html

       

         ตอนเช้าของวันจันทร์ที่อากาศค่อนข้างแผดจ้าแสงแดดส่องแรงตั้งแต่เช้า ทั้งวสีและถีรดาตื่นนอนนานแล้วเพราะวันนี้เป็นเริ่มงานวันแรกของผู้จัดการร้านกาแฟคนใหม่ และเป็นวันเริ่มงานวันแรกของสัปดาห์อีกเช่นกันสำหรับสาวหน้าขาวนวลในชุดกระโปรงค่อนเข่ากับเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว ที่ตอนนี้กำลังเดินกึ่งวิ่งไปใส่รองเท้า


“แกไม่ให้ฉันไปส่งแน่นะ”
วสีถามย้ำคนเป็นเพื่อนอีกครั้ง


“ไม่ต้องหรอก แกรีบไปเถอะไหนบอกว่าวันนี้มี นักเรียนมาทัศนาจรที่สถาบันแก่ไงละ เดี๋ยวก็ไปสายหรอก”


“งั้นฉันไปละ เจอกันตอนเย็นนะ”
พูดจบหญิงสาวก็ผลุบออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ถีรดาได้แต่มองร่างนั้นวิ่งหายลงบันไดไปก่อนที่ตัวเองจะปิดห้องเดินออกตามหลังไปบ้าง


       วสีมาถึงที่ทำงานตอนเวลาเกือบแปดโมงครึ่งเธอรีบเข้าประจำตรงซุ้มที่ตัวเองรับผิดชอบในการให้ความรู้แก่เหล่านักเรียนที่มาทัศนาจร บรรยากาศช่วงเช้าเริ่มมีนักเรียนเดิมชมงานบ้างแล้วแต่ซุ้มของวสียังปลอดคน ภาพนักเรียนที่เห็นทำให้หญิงสาวนึกถึงครั้งที่ตัวเองไปทัศนะศึกษางานวิทยาศาสตร์ทำนองนี้เมื่อคราวที่ตัวเองอยู่ในวัยกระโปร่งบานขาสั้น



งานวันวิทยาศาสตร์ปีนี้ทางจังหวัดจัดได้ใหญ่โตที่เดียว เด็กๆพากันสนุกสนานกับกิจกรรมน่ารู้ที่ตัวเองสนใจ สาวน้อยหน้าขาวนวลกับเพื่อนหญิงอีกสองสามคนพาตัวเองมาหยุดอยู่ตรงซุ้มการทดลองทางวิทยาศาสตร์หลังจากเสร็จจากการแข่งขันตอบปัญหาทางวิทยาศาสตร์ แม้ว่าจะไม่ติดตำแหน่งหนึ่งในสามแต่ลำดับที่สี่จากคะแนนการแข่งขันก็เป็นที่น่าภูมิใจอยู่มากทีเดียวสำหรับโรงเรียนเล็กๆแห่งหนึ่ง


“ไปดูเขาประกวดวาดภาพกันไหม”
เด็กชายอ้วนป้อมกับเพื่อนตัวสูงยาวที่เพิ่งเดินมาถึงทีหลังออกปากชวนเพื่อนๆ


“ไปสิ จะได้ไปเชียร์นายชาติด้วย”
เด็กหญิงผิวคล้ำตาคมโพล่งคำพูดขึ้นเป็นการตอบรับก่อนที่ทั้งหมดจะพากันเดินออกมาจากบริเวณซุ้มแสดงการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เพื่อตรงไปยังลานประกวดภาพวาดที่ตอนนี้มีผลงานที่เสร็จแล้วมาวางโชว์กลาดเกลื่อนไปทั่วทั้งลาน บางส่วนก็กำลังเร่งมือให้ผลงานเสร็จทันเวลาและสวยถูกใจกรรมการ ผลงานแต่ละภาพสวยงามโดดเด่นและมีเอกลักษณ์สื่อถึงเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ได้ชัดเจน สาวน้อยหน้าขาวนวลกวาดสายตามองดูงานศิลปะเบื้องหน้าอย่างตั้งใจ


‘ภาพสวยๆทั้งนั้นเลย แล้วนายชาติจะติดอันดับกับเขาไหมนี่’
สาวน้อยบ่นงุบงิบกับตัวเองเบาๆ


“สวยมากเลยเหนอะ ฉันว่างานนี้นายชาติต้องชวดรางวัลแน่ มีแต่คนเก่งๆทั้งนั้นเลย”
สาวน้อยผิวคล้ำตาคมแอบกระซิบเพื่อนสนิทเบาๆ


“อือ ฉันก็ว่างั้นแหละ”
เด็กสาวออกเสียงรับคำเพื่อนเบาๆในลำคอ  


“นั้นไงไอ้ชาติเดินออกมานั้นแล้วสงสัยเสร็จแล้วมั่ง”
เพื่อนผู้ชายหุ่นอ้วนป้อมร้องบอกเพื่อนๆ


“ไงเพื่อนเรียบร้อยไหม”
เด็กชายรังสรรค์หุ่นอ้วนป้อมคนเดิมกล่าวทักผู้เพิ่งมาถึง


“อือ”  คำตอบรับสั้นๆอย่างไม่มั่นใจหลุดจากปากก่อนที่จะกล่าวประโยคต่อไป


“ไปดูอะไรกันหรือยัง”


“ไปมาจะทั่วแล้ว”  เสียงตอบจากเพื่อนชายอีกคนที่สูงยาวสมส่วน  


“ฉันกับรังสรรค์ไปเดินสำรวจกันมารอบหนึ่งแล้วแต่ถีรดากับวสียังไม่ได้ไปไหนเหมือนกัน”  เจตพงศ์เด็กชายคนเดิมกล่าวต่อ


“มีอะไรน่าดูบ้างพาไปดูหน่อยสิ ”
คนมาทีหลังพูดพร้อมกับก้าวเดินนำหน้าเพื่อนๆออกไป


        เด็กๆพากันเดินชมนั้นดูนี่ให้ความสนใจกิจกรรมต่างๆในงาน ทุกที่ที่ไปจะต้องจับกลุ่มกันเดินไม่ลืมทิ้งเพื่อนคนใดคนหนึ่งไว้  จนมาถึงซุ้มกิจกรรมการทดลองเกี่ยวกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่ดูเหมือนพวกผู้ชายจะพากันสนใจเป็นพิเศษ  มีคนมากมายยืนล้อมวงจ้องมองวิทยากรสาธิตการทดลองอย่างจดจ่อ  เด็กหญิงหน้าขาวนวลได้แต่เดินวนไปวนมาเพราะหาตำแหน่งที่ลงไม่ได้สักที ก่อนจะมาหยุดยืนนิ่งๆตรงหลังเด็กชายศิลปินหนุ่มน้อยอย่างอ่อนใจต่อความพยายาม


“มองไม่เห็นเหรอ” เด็กชายหันมาถามสาวน้อยผู้เป็นเพื่อนเสียงอ่อน


“อือ” สาวน้อยรับคำสั้นๆ


“มายืนที่ฉันสิ” เด็กชายชยินว่าพรางถอยกายออกมาให้เพื่อนหญิงก้าวไปยืนที่ตำแหน่งตัวเองแทน


“ขอบใจมาก แล้วเธอละมองเห็นไหม” เด็กหญิงหันกลับมาถามคนข้างหลังด้วยอาการเอื้อเฟื้อไมตรี


“เห็น”  เมื่อไม่มีอะไรให้ต้องห่วงเด็กหญิงจึงหันไปดูการทดลองอย่างใจจดจ่อ แต่สำหรับคนข้างหลังนั้นแทบไม่เหลือสมาธิในการรับชม เพราะร่างเล็กแบบบางที่ถูกเบียดเข้ามาใกล้กันจนสัมผัสถึงไออุ่นได้  


     หลังเสร็จจากกิจกรรมที่ตัวเองรับผิดชอบและได้เดินเที่ยวชมงานจนทั่วแล้วเด็กๆถูกเรียกให้มารับข้าวกล้องเพราะถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว กับข้าวมื้อเที่ยงวันนี้คือกระเพราไก่ไข่ดาวอาหารจานด่วนยอดนิยม เด็กๆนั่งล้อมวงกินข้าวและพูดคุยกันเบาๆถึงกิจกรรมที่ได้สัมผัสมา เด็กหญิงหน้าขาวนวลแม้จะไม่ได้สนทนาหนาหูแบบคนอื่นๆแต่เจ้าตัวก็ยังช้ากว่าเพื่อนๆอยู่ดีในการจัดการกับอาหารมื้อเที่ยงในมือ


“ไม่กินไข่ดาวเหรอ”
หนุ่มน้อยที่นั่งข้างๆเอ่ยถามเพราะเห็นไข่ดาวในจานของอีกฝ่ายยังคงรูปสวยเหมือนเดิม


“กินสิ”  สาวน้อยกล่าวตอบ


“แล้วทำไมยังไม่กิน เดี๋ยวก็แย่งเสียหรอก”  
พูดพลางทำท่าจะตักไข่ดาวในกล้องข้าวของอีกฝ่าย


“เธอนี่ ขี้โกงนี่”  เจ้าของไข่โพล่งเสียงดัง อีกฝ่ายจึงดึงมือตัวเองกลับ


“ไม่อิ่มเหรอ”


“เปล่า”


"เอา  แบ่งให้"   สาวน้อยพูดพร้อมกับตักไข่ดาวครึ่งหนึ่งใส่ให้คนที่นั่งข้างๆ


“ไม่เอาหรอก ไม่อยากแย่งใครกิน”
ไม่ทันที่หนุ่มน้อยจะตักไข่ส่งคืนสาวเจ้าก็ปิดกล้องข้าวแสดงถึงอาการไม่ยินดีรับคืนก่อนที่เจ้าตัวจะลุกเดินจากไป คนที่ยังนั่งอยู่จึงจำต้องกินไข่ดาวที่ได้มาจนหมดเกลี้ยง  


        หลังอาหารกลางวันยังมีเวลาเหลือเล็กน้อยก่อนถึงเวลานัดขึ้นรถกลับ พวกผู้ชายแยกตัวไปเดินหาของหวานล้างปาก ส่วนผู้หญิงบางก็จับกลุ่มพูดคุยรอเวลาขึ้นรถ อีกส่วนก็เดินดูร้านค้าบริเวณใกล้จุดนัดหมาย


“ดาแกเห็นนั้นไหม”
สาวหน้าขาวนวลร้องบอกเพื่อนพร้อมกับชี้นิ้วไปที่โถน้ำดินเผารูปร่างต่างๆที่บรรจุน้ำสมุนไพรไว้ข้างใน


“อยากกินจังอยากได้โถนั้นด้วยน่ารักดีเหนอะ”
สาวน้อยคนเดิมพูดกับเพื่อน


“อือ แต่คงไม่ทันแล้วละ รถจะออกแล้ว”
เพื่อนสาวผิวเข้มกล่าวทัดทาน


“เดี๋ยวเดียวเองวิ่งไปคงทันแหละ”


“อ้าว...เด็กๆได้เวลาขึ้นรถแล้วเร็วเข้า”
ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าเด็กสาวทั้งสองต้องชะงักเพราะเสียงเรียกของอาจารย์ ทั้งคู่ได้แต่ยืนระล้าระลังยังตัดสินใจไม่ได้


“อยากได้โถเหรอ     เอาให้”
คนที่ยืนมองสถานการณ์อยู่นานแล้วกล่าวแสดงน้ำใจพร้อมทั้งยื่นโถน้ำดินเผารูปแมวเหมือนในการ์ตูนญี่ปุ่นส่งให้เด็กหญิงหน้าขาวนวล


“ให้จริงเหรอ”   สาวน้อยทำสีหน้าดีใจ


“ก็เห็นพูดว่าอยากได้”


“ขอบใจมากนะ”   เด็กหญิงกล่าวพร้อมๆกับยื่นมือไปรับของ


“จ่ายมาห้าบาทด้วย”  


“ค่าอะไร”   คนรับของยืนงง


“น้ำนี่มันสิบบาท ฉันกินน้ำเธอได้โถก็จ่ายคนละครึ่งไง ยุติธรรมดีออก”
เจ้าของโถอธิบายหน้านิ่ง


“ขี้งก”    พูดเสร็จสาวน้อยก็หมุนตัวเดินกลับขึ้นรถไปไม่ได้จ่ายเงินห้าบาทดังที่อีกฝ่ายร้องขอ ปล่อยให้หนุ่มน้อยยืนมองร่างนั้นหายขึ้นไปบนรถก่อนที่ลอยยิ้มน้อยๆจะผุดขึ้นบนใบหน้าเรียวยาว  ตาคมภายใต้คิ้วหนาคู่นั้นฉายแววมีประกาย
           


               วสีล่องลอยไปกับความคิดของตัวเอง นานเท่านานจนลืมใส่ใจกับหน้าที่เสียงเด็กที่พากันพูดคุยเซ้งแส้จอแจเอ่ยถามคำถามจุกจิกทำให้หญิงสาวเรียกสติตัวเองกลีบคืนมาอีกครั้ง


“พี่ครับผมถามพี่สามรอบแล้วนะครับว่าอันนี้มันคืออะไร”
เสียงเด็กชายคนหนึ่งร้องถามด้วยน้ำสียงแข็งๆ


“หรือจ๊ะขอโทษที”
วสีกล่าววาจาสนทนาตอบก่อนจะเริ่มทำหน้าที่วิทยากรประจำซุ้ม            


          ตอนบ่ายหลังจากอาหารมื้อเที่ยงจำนวนผู้เข้าชมงานเริ่มบางตาขึ้น  
แต่บริเวณการจัดประกวดสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ยังคงหนาแน่นไปด้วยผู้ชม ผู้เข้าแข่งขันและเหล่าคณะกรรมการเพราะใกล้เวลาประกาศผลการแข่งขันเต็มที  


“วสีไปดูเขาประกาศผลรางวัลกิจกรรมต่างๆไหม”
เพื่อนร่วมงานเอ่ยถามขึ้น


“เธอไปเถอะฉันจะอยู่เฝ้าซุ้ม จะได้เริ่มทยอยเก็บของไปก่อนด้วย”


“งั้นฝากด้วยนะ”
เจ้าของเสียงเดินหายไปนานแล้วแต่คนฟังเหมือนไม่ได้ยินคำกล่าวตอบโต้ใดๆได้แต่ยืนเหม่อลองล่อยไปกับความคิดของตัวเอง



           เช้านี้อากาศสดใสนักเรียนชายหญิงเดินพาตัวเองมาเข้าแถวหน้าเสาธงเพื่อประกอบพิธีสวดมนต์เคารพธงชาติเช่นที่ทำทุกวัน


       หลังจากพิธีสวดมนต์จบไป อาจารย์ผู้ชายท่านหนึ่งได้ขึ้นกล่าววาจาสาธยายความต่างๆซึ่งใช้เวลาไม่มากในการพบปะให้โอวาทแต่เนินนานนักสำหรับนักเรียนที่ค่อยฟัง ทุกคนต่างโล่งใจเสียได้เมื่ออาจารย์ท่านเดิมกล่าวประโยคบอกสิ้นสุดการปาฐกถาหน้าแถว  ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกลับเข้าห้องเรียนมีอาจารย์ผู้ชายอีกท่านขอแทรกรายการขึ้น  


“จากการจัดประกวดเขียนภาพวันวิทยาศาสตร์ทางโรงเรียนเราได้ส่งนักเรียนเข้าร่วมแข่งขันด้วย”
คนเป็นครูเท้าความก่อนกล่าวรายละเอียดต่อ


“และเราก็ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอับดับสองจากผลงานของ นายชยิน  ณรงค์ศิลป์”
อาจารย์ท่านเดิมเอ่ยนามเจ้าของรางวัลเสียงดังฟังชัด ทำให้สาวน้อยหน้าขาวนวลที่ยืนฟังอยู่ในแถวนิ่งอึ้งกับชื่อบุคคลที่ได้ยิน


“เชิญท่าน ผอ. มอบรางวัลและเกียรติบัตรแก่นักเรียนด้วยครับ”  
สิ้นเสียงอาจารย์ เจ้าของรางวัลก็วิ่งขึ้นตรงไปยังหน้าเสาธง


เสียงปรบมือดังขึ้นหลังจากเกียรติบัตรและรางวัลได้รับการส่งมอบสู่มือนายชยินเรียนร้อยแล้ว  


“นายนี่ก็มีฝีมือไม่เบาเหมือนกันสงสัยคงต้องเปลี่ยนความคิดเสียแล้วเรา” เด็กสาวหน้าขาวนวลอุบอิบกับตัวเองเบาๆ


“วสีแกเห็นนายชาติไหม ยิ้มหน้าบานเชียว”
หญิงหญิงผิวคล้ำตาโตสาธยายถึงลักษณะของนายชยินเสียเกินจริง


“ไม่เห็นเขาจะหน้าบานอะไรเลย   คนได้รับรางวัลก็ต้องดีใจเป็นธรรมดา” สาวน้อยพูดเพราะคนที่ถูกเอ่ยถึงไม่ได้แสดงอาการดี๋ด๋ากับรางวัลมากเกินไปดั่งที่เพื่อนสาวกล่าว


“ฉันคิดว่านายชาติจะไม่ได้อะไรติดมือเสียแล้วงานนี้ แสดงว่านายนี่ก็เก่งไปเบาเหมือกัน”
เพื่อนสาวคนเดิมยอมรับต่อความสามารถของอีกฝ่ายจากใจจริง


       สาวน้อยลอบกวาดสายตาไปมองใบหน้านั้นนิดหนึ่งพร้อมๆกับจังหวะที่อีกฝ่ายมองตรงมาพอดี สายตาคู่นั้นของเขาสุกใสเหมือนมีแววอะไรบางอย่าง สาวน้อยหน้าขาวนวลรีบหันหน้ากลับทันทีเกรงว่าเขาจะรู้ความคิดตนว่าครั้งหนึ่งเธอเคยประหม่าเขาไว้อย่างหมิ่นแคลน



         อาหารมื้อเย็นถูกจัดอย่างสวยงามวางเรียงรายอยู่กลางโต๊ะอาหารจากฝีมือของแม่ครัวเจ้าของห้องที่ตอนนี้เจ้าตัวกำลังจัดแจงจานชามช้อนส้อมรอค่อยการกลับมากินมื้อเย็นพร้อมกันของสมาชิกอีกคน


“กลับมาพอดีกำลังรอกินข้าวอยู่เลย”  
คนเป็นแม่ครัวกล่าวทักทายทันทีที่อีกฝ่ายเปิดประตูห้องเข้ามา


“หิวมากไหม ไปล้างมือสิกับข้าวเสร็จแล้ว”


“เอานี่ของที่แกสั่งไว้”
คนเพิ่งมาถึงพูดพร้อมวางเศษกระดาษใบเล็กๆลงบนโต๊ะกินข้าว


“อะไรของแก”
วสีขมวดคิวเล็กๆอย่างสงสัยก่อนจะหยิบแผ่นกระดาษขึ้นมาดู


“ขอบใจแกมากถีรดาเพื่อนรัก”
ไม่บ่อยนักที่วสีจะเรียกชื่อเพื่อนเต็มๆ แต่เพราะตัวเลขบนกระดาษทำให้เจ้าหล่อนตื้นเต้นจึงแกล้งหลุดชื่อจริงของเพื่อนพร้อมเสียงใสๆอย่างดีใจ


“แต่ทำไมได้เร็วจัง”    คนเป็นแม่ครัวยิงคำถามต่อ  


“ถือว่าเป็นโชคดีของแกนะวสี”    ถีรดาพูดพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม


“วันนี้พี่แดนมาหาฉันที่ร้าน ฉันเลยเค้นให้โทรหาพี่ชมเสียเดี๋ยวนั้นเลย แล้วก็ได้มาอย่างที่แกเห็น”
ใบหน้านั้นมีแววภูมิใจเล็กๆกับผลงานของตัวเอง



          หญิงสาวผมยาวดำขรับในชุดนอนกำลังนั่งผลิกกระดาษแผ่นเล็กกลับไปกลับมาเหมือนกำลังชั่งใจอะไรบางอย่าง ในมืออีกข้างกำโทรศัพท์มือถืออย่างหลวมๆ


          นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับการติดต่อสื่อสารผ่านสายโทรศัพท์  ครั้งหนึ่งเธอเคยได้เบอร์ติดต่อของคนคนเดียวกันนี้จากเพื่อนคนหนึ่ง ครั้งนั้นเธอทำได้เพียงกดโทรศัพท์สาธารณะไปยังปลายสายเพื่อฟังเสียงอีกฝ่ายกล่าวคำสวัสดีโดยที่ตัวเองไม่ได้กล่าววาจาใดๆตอบโต้บ่อยครั้งที่เธอทำอย่างนี้เพียงเพื่อให้ได้ฟังเสียงเล็กๆจากคนที่เธอรอคอย  เนินนานอยู่เหมือนกันกว่าเธอจะรวบรวมความกล้ากดเบอร์ไปกล่าววาจาพูดคุย แต่เสียงจากปลายสายที่ได้ยินในครั้งนั้นกลับกลายเป็นเสียงใสๆของผู้หญิงแทนเธอกล่าววาจาสนทนาเพียงคำว่า


“ขอโทษค่ะโทรผิด”
ก่อนที่จะตัดสินใจลบเบอร์นั้นออกจากความทรงและเครื่องมือสื่อสารประจำกาย


   แต่วันเวลาพิสูจน์แล้วว่าเหตุการณ์และการกระทำนั้นไม่ได้ทำไห้เธอลืมเขาได้


“อ้าวยังไม่โทรหานายชาติอีกหรอ”
เสียงพูดจากคนที่เพิ่งก้าวออกมาจากห้องน้ำ


“จะโทรไปบอกว่าไงละ เขาจะจำฉันได้เหรอ”
หญิงสาวพลั้งพรูคำถามในหัวสมองออกมา


“ก็บอกเขาไปสิว่าสนใจอยากให้มาช่วยเขียนภาพให้หน่อย แล้วก็บอกเรื่องงานโรงเรียนอะไรของแกไป เดี๋ยวเขาก็จำแกได้เองแหละ”  


“คือฉัน.....ฉันไม่รู้จะเริ่มยังไง”   สีหน้านั้นบอกถึงความไม่มั่นใจ


“ก็เริ่มจากเรื่องงานวันทำบุญครบรอบห้าสิบปีก่อตั้งโรงเรียนนั่นแหละแล้วบอกเขาว่าแกอยากได้รูปจากศิษย์เก่ารุ่นเราไปเป็นของขวัญประจำรุ่นให้โรงเรียนและอยากให้เขาเป็นคนวาดเอง”
ถีรดาพยายามเสนอแนวทางให้เพื่อน  


“แล้วถ้าเขาไม่รับสายล่ะ หรือเขาอาจจะไม่ว่างคุย หรือเขาอาจจะ........”
คำพูดนั้นขาดห้วงไปเพราะหมดเหตุผลที่จะยกมาอ้าง


 “ฉันว่าถ้าแกกลัวขนาดนั้นนะก็อย่าโทรฯไปดีกว่า”  


“ไม่ใช่ฉันไม่อยากโทรฯนะ ยายดา แต่เวลาที่ห่างกันไปมันนานเหลือเกิน นานจนฉันไม่ค่อยมั่นใจ”  
ถีรดามองหน้าเพื่อนสาวเข้าใจความรู้สึก


“แกฟังฉันนะวสี”
คนเป็นเพื่อนก้าวเข้ามานั่งใกล้ๆพร้อมจับไหล่อีกฝ่ายเหมือนเป็นการถ่ายทอดพลัง


“แกอยากทำอะไรแกก็ทำให้ถึงที่สุด เพราะถ้าวันหนึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่เหมือนอย่างที่แกหวังแกจะได้ไม่เสียใจ เพราะแกได้ทำทุกสิ่งดั่งที่ปรารถนาแล้ว”


   พูดเสร็จเจ้าตัวก็ลุกขึ้นเตียงนอนตัวเองไป ปล่อยให้อีกฝ่ายตรึงตรองอยู่กับความคิดของตัวเอง  ความหมายที่หญิงสาวพยายามจะสื่อถึงวสีไม่ใช่แค่เรื่องงานแต่หมายร่วมไปถึงเรื่องอื่นด้วย



           เนินนานเท่าไรแล้วไม่รู้ที่ปลายสายคู่สนทนายุติการเจรจาลง เสียงโทรศัพท์ดังเป็นสัญญาณบอกถึงการถูกตัดสายไปนานแล้ว วสีนิ่งงันเหม่อลอยครุ่นคิด เฝ้าถามคำถามวกวนกับตัวเองถึงการพูดคุยกับคนที่เธอรอคอยมาแสนนาน


“สวัสดีค่ะ ใช่คุณชยินไหมค่ะ”   หญิงสาวกรอกเสียงลงไปตามสาย


“ครับ”   เขาพูดเพียงรับคำสั้นๆ


“ว่างคุยไหมคะ”



“ครับ”    คำพูดคำเดิมถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง


“ ชาติ  จำฉันได้ไหมวสีไง”
หญิงสาวออกตัวเป็นการเตือนความจำด้วยเสียงชัดใส


“.......วสี..... อ๋อ อือพอจำได้”
เขาทิ้งช่วงเหมือนนึกทวนความจำ แต่เสียงที่กรอกตามสายกลับมาราบเรียบเฉยชา


     คำพูดและน้ำเสียงนั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกวาบลึกใบหน้าที่เคยเปี่ยมด้วยรอยยิ้มน้อยๆกลับสลดลง เธอตัดสินใจกล่าวถึงเรื่องราวธุระแทนประโยคคำถามและเรื่องราวที่ตัวเองหมายใจไว้ว่าจะชวนอีกฝ่ายคุย


“ฉันเลิกเขียนรูปไปนานแล้ว”
นี่คือประโยดคำตอบจากการร้องขอของหญิงสาว


“ช่วยหน่อยไม่ได้หรือ เพื่อโรงเรียนของเราไง”
หญิงสาวกลั่นใจพยายามอ้อนวอน


“จะพยายามแล้วกัน”  
คำตอบรับด้วยน้ำเสียงนิ่งเย็นจากอีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวต่อว่า


“ไม่มีธุระอะไรแล้วใช่ไหม   งั้นแค่นี้นะ”
ไม่ทันที่หญิงสาวจะกล่าวล่ำลาอีกฝ่ายก็กดวางสายเสียก่อน  


  วสีวางโทรศัพท์ลงก่อนยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเบาๆ ห้านาทีก่อนหน้านี้เธอเปี่ยมไปด้วยความหวัง  และกำลังใจ คิดว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ครั้งนี้เธอต้องไถ่ถามถึงเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาให้ได้


‘ชยินต้องจำฉันได้แน่ๆเราออกจะสนิทกัน’
หญิงสาวแอบคิดเพราะมั่นใจถึงความผูกพันระหว่างกัน


แต่หลังจากการพูดคุยกันเพียงสองสามประโยคความหวังทุกอย่างกลับสลายลง ไม่เพียงเขาจำเธอไม่ได้ แม้แต่งานเขียนภาพที่เขารักนักรักหนาเขาก็ละทิ้งมันไปเสียแล้ว



‘เกิดอะไรขึ้นกับชยิน’
วสีพร่ำถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอไม่เชื่อหรอกว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนคนอย่างชยินได้ถึงขนาดนี้ ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่มีวันทิ้งงานเขียนภาพที่เขารักเท่าชีวิตได้


‘ต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ ฉันจะต้องรู้ให้ได้’
หญิงสาวมั่นใจกับความคิดของตัวเองและเชื้อมั่นในตัวบุคคลที่เธอนึกถึง



              ใบหน้าเรียวคมเข้มภายใต้ผมดกดำยาวประบ่าดวงตาคู่นั้นดำสนิทแต่มีแววบางอย่างซ้อนอยู่ ปากบางเรียวได้รูปกำลังบ่นงุบงิบอะไรบางอย่างกับเครื่องมือสื่อสารที่อยู่ในมือ


‘วสี’   นามนั้นผุดขึ้นในสมองอีกครั้งหลังจากที่เสร็จสิ้นจากการสนทนา


เขาละสายตาจากโทรศัพท์มือถือ ตาคมคู่นั้นเหม่อลอยครุ่นคิดอะไรบางอย่าง นานแล้วที่เขาไม่ได้ยินชื่อนี้ เขาจำได้แม้นยำว่าสาวน้อยคนนั้นคือใครแต่บางอย่างทำให้เขาต้องยั่งปากในการสนทนาเมื่อครู่


ดวงหน้าเอิบอิ่มขาวนวลที่ปกคลุมด้วยผมสั้นตัดหน้าม้ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นในจำนวนเพื่อนเขาที่มีผิวกายขาวผ่อง เธอคนนั้นซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนเดียวกัน พลันความทรงจำในอดีตก็ห้วนสู่เค้าอีกครั้ง  



           เช้าก่อนวันปีใหม่วันนี้ที่โรงเรียนมีการจัดงานอำลาปีเก่าขึ้น  เขากำลังดีใจกับการได้รับอนุญาตให้นำมอเตอร์ไซด์ขับไปโรงเรียนได้


“โอ๊ย.....ชาติขับดีๆสิ จะตกลงร่องน้ำอยู่แล้ว”
เสียงของพี่สาวที่จำใจยอมซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์มาด้วยร้องบอก เขาต้องตะหวัดหัวรถกลับสู่เส้นทางถนนคอนกรีต


ก็ยายหน้าขาวนวลนั่นแหละทำเขาเสียสติในการควบคุมยานพาหะนะสองล้อคันนี้ เขามัวแต่มองตรงไปยังศาลาไม้ใต้ต้นตะแบกที่ซึ่งเพื่อนผู้หญิงหลายคนกำลังจับกลุ่มทำอะไรบางอย่าง หนึ่งในนั้นคือสาวน้อยหน้าขาวนวลในมือถือถุงขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยกล้องของขวัญหลากสี


‘ยายนั่นได้ของขวัญมากมายมาจากไหน?’   เขาคิดในใจ


‘ยายเฉิ่มนี่คงไม่มีใครให้ของขวัญปีใหม่หรอกเพราะไม่เคยเห็นเดินควงใครสักครั้ง และไม่เคยได้ข่าวว่าจะมีใครมาจีบด้วย’
เขาสรุปความเอาเอง


‘แล้วเอาของขวัญมากมายนั่นมาทำไม?’  
คำตอบที่ได้คือภาพที่เขาเห็นเด็กหญิงกำลังล่วงของขวัญในถุงแจกให้เพื่อนๆ ก่อนที่สายตาคู่นั้นจะหันมาประสบกับดวงตาคมดำของผู้ที่กำลังขับรถเพียงเว็บเดียวที่สายตาคู่นั้นประสานกันแต่เนินนานเหลือเกินสำหรับความรู้สึกของทั้งสองฝ่าย


เขากลับคืนสติอีกครั้งตอนที่คนซ้อนท้ายส่งเสียงกรอกหูนั่นแหละ   ชายหนุ่มสะบัดตัวเองให้หลุดจากห้วงภวังค์ เขาแหนหน้าขึ้นมองดูเวลาตรงนาฬิกาแขวนข้างห้องซึ่งบอกเวลาสามทุ่มเศษ คนร่างสูงในชุดกางเกงยีนเสื้อยืดหมุนตัวไปหยิบเสื้อแขนยาวตังเก่งก่อนจะเดินตรงไปยังประตูนั่งลงสวมรองเท้าแล้วเดินลงบันใดหายไป



             อากาศช่วงหน้าหนาวทำให้บรรยากาศที่ร้านคึกคักเป็นพิเศษแม้ว่าจะเป็นวันเริ่มต้นของสัปดาห์  ชายหนุ่มมาถึงที่หมายเวลาสี่ทุ่ม  เขาตรงไปยังโต๊ะประจำซึ่งบัดนี้รายหน้าไปด้วยสหายรักของเขา  


สถานที่แห่งนี้เป็นจุดนัดพบสำคัญที่แทบไม่ต้องเอ่ยชื่อก็เป็นที่เข้าใจตรงกันในหมู่เพื่อนฝูง   เขามักยึดเอาบันเทิงสถานแห่งนี้และน้ำสีชาสูงค่าดีกรีในแก้วเป็นเพื่อนปลอบประโลมใจทำให้ตัวเองลืมความตรอมตรมในชีวิตลงได้บ้าง  


ส่วนสหายยากมากหน้าที่เห็น บ้างก็คือเพื่อนเก่าตอนเรียนโรงเรียนช่างศิลป์อยู่ที่ต่างจังหวัดและมีโอกาสได้เข้ามาเรียนต่อที่เพาะช่างด้วยกัน ส่วนหนึ่งคือเพื่อนใหม่ที่ได้พบเจอตอนที่เริ่มเข้าเรียนเพาะช่าง  บุคคลเหล่านี้ไม่เคยทอดทิ้งเขาแม้ว่าช่วงที่เขาตกต่ำที่สุดในขณะที่ผองเพื่อนเริ่มเลื่อนขั้นดีขึ้นในชีวิตการงาน  


“อ้าว....ชาติชายนายชยินคิดว่าจะไม่มาเสียแล้ววันนี้”
คนพูดสีหน้าแดงกร่ำแต่น้ำเสียงยังชัดใส บ่งบอกว่ายังไม่เสียสติไปกับฤทธิ์แอลกอฮอล์   ก้องเกียรติเป็นเพื่อนสนิทที่สุดที่เขามีตอนทั้งสองเพิ่งมารู้จักกันที่เพาะช่าง


“เอาเสียทั้งชื่อเล่นชื่อจริงเลยนะเอ็ง”
เขาเปิดการสนทนาและกล่าวต่อว่า


“ทำไมจะไม่มา นอนซังกะตายอยู่ที่ห้องหน้าเบื่อจะตายชัก”
คนเพิ่งมาถึงพูดพลางยกแก้วบรรจุน้ำสีชาขึ้นกรอกปาก


“เอ้า..ๆ .ค่อยๆหน่อยหนุ่มเดี๋ยวอยู่ไม่จบงานหรอก”
คนพูดหมายถึงเวลาปิดร้าน เพราะที่นี่เป็นธุรกิจร้านเหล้าของรุ่นพี่ที่ทุกคนสนิท สถานที่นี้จึงอุ่นใจในการดื่มกินได้  



ชยินหย่อนกายลงตรงตำแหน่งที่วาง เสียงเพื่อนๆพูดคุยหัวเราะเฮฮาเพราะคนตั้งหัวข้อสนทนาตั้งใจจะทำให้คนเพิ่งมาใหม่คลายหน้าตรมลงได้บ้าง   แต่สำหรับชยินเขาเองก็ยังจำไม่ได้ว่ารอยยิ้มและเสียงหัวเราะครั้งสุดท้ายของตัวเองเกิดขึ้นเมื่อไหร่


หลายปีหลังมานี้เขาแทบจะเรียกตัวเองได้เต็มปากว่า  ‘หมาขี้เรือน’



นับตั้งแต่วันที่เขาเลือกเดินตามความฝันเหตุการณ์ต่างๆได้เกิดขึ้นมากมา ยแต่หาแทบไม่ได้เลยสำหรับเหตุการณ์ดีๆ


จนวันที่ความหวัง ความฝัน ความพยายามทุกอย่างพังครืนลง ความสูญเสียครั้งนั้นไม่ใช่เพียงความก้าวหน้าในอนาคตของเขาเท่านั้น แต่มันคือเลือดเนื้อจิตวิญญาณของคนคนหนึ่งที่ปลิดปลิวสู่ห้วงแห่งความฝันตลอดกาล จากการกระทำที่บ้าเลือดเดือดดาลของตัวเขาเอง  


ชยินยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มเพื่อหวังให้ของเหลวสีชาชำระล้างบาปในใจของตัวเองได้บ้าง ชายหนุ่มไม่ได้พูดคุยใดๆกับสนิทมิตรมากมายนักและคนที่เป็นเพื่อนก็ดูจะเข้าใจในสภาวการณ์ดีจึงไม่เซ้าซี้มากความ  


เขาเป็นอย่างนี้เสมอร่วมวงแต่ไม่ร่วมแจม สิ่งที่ทำได้แค่เพียงส่งเสียง..เออ..ออ ไปตามคำขอความเห็นของเพื่อน

 
 

จากคุณ : idakok
เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 10:43:35




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com