บทที่ 4
"กระผมคิดว่าคุณหญิงควรกลับพระนครให้เร็วที่สุดก่อนที่ญี่ปุ่นจะยึดทางรถไฟขอรับ"
ชายหนุ่มเตือนสติด้วยน้ำเสียงเครียดเคร่ง ไม่บ่อยครั้งนักหรอกที่เขาจำเป็นต้องใช้คำพูดลักษณะนี้กับเธอ
หญิงสาวผงกศีรษะรับรู้และเห็นจริงตามนั้น หากสีหน้าก็ยังสะท้อนชัดถึงความวุ่นวายใจ ผิดหวังนั้นแน่ล่ะ ก็ในเมื่อดั้นด้นมาถึงที่นี่ด้วยความหวังเต็มเปี่ยม ว่าแม้โอกาสจะได้ขึ้นไปบนเกาะตะรุเตาเพื่อพบสามีนั้นมีน้อยเต็มที แต่ก็ขอให้ได้ไปเห็นสภาพสถานที่ซึ่งเขาถูกคุมขังอยู่สักนิดก็ยังดี ขอให้ได้รู้ว่าเขามีความเป็นอยู่อย่างไร ลำบากลำบนหรือไม่แค่ไหน และขอให้ได้ฝากเสื้อ กางเกงและเสื้อกันหนาวซึ่งเตรียมมาให้เขาไปกับคนที่ไว้ใจได้ เท่านั้นก็พอแล้ว
แต่นี่ความหวังพังทลายลงหมดสิ้น หลายเดือนทีเดียวที่เธอตัดเย็บเสื้อผ้าเตรียมมาให้สามี หลังขดหลังแข็งเย็บเสื้อกางเกงเหล่านั้นทั้งวันทั้งคืนอย่างตั้งอกตั้งใจ จรดปลายเข็มลงบนเนื้อผ้าแต่ละครั้งอย่างสุขใจ ว่าทั้งหมดนั้นจะไปถึงคุณราม เขาจะได้ใช้ ที่เคยถักเสื้อกันหนาวให้เขาเอาติดไปด้วยครั้งหลังสุดก็สองปีมาแล้ว เคยสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเขาจะมีโอกาสได้สวมใส่บ้างไหม หรือว่าที่นั่นมีชุดนักโทษให้ แต่ช่างเถอะ เพียงแค่คิดว่าได้ทำอะไรให้เขาบ้าง เท่านั้นก็อิ่มอกอิ่มใจและพอเรียกความรู้สึกอบอุ่นเมื่อมีเขาอยู่ชิดใกล้กลับคืนมาได้บ้างแล้ว
กริชเองก็ดูออก เข้าใจความรู้สึกได้ดี จึงหาวิถีทางปลอบโยนเท่าที่จะคิดได้
"ให้เรื่องสงบแล้วคุณหญิงค่อยมาใหม่ดีกว่าขอรับ ถึงอย่างไรคุณอัมพรก็คงยังอยู่สตูลอีกนาน"
ไอรีนยิ้มแห้งแล้ง ยิ้มอย่างจะบอกขอบใจผู้ให้ความหวัง สิ่งนี้มิใช่หรือที่ประคับประคองชีวิตของเธอมานาน นับแต่คุณรามเข้าร่วมกับกบฏบวรเดชและถูกจับกุมคุมขังนั่นเลยทีเดียว
กริชแน่ใจว่าความผิดหวังคราวนี้ของคุณหญิงคงรุนแรงกว่าความหวาดกลัวเรื่องสงคราม แม้จะได้ยินและรับรู้ถึงเสียงของการสู้รบ และแม้คำว่าสงครามจะฟังดูน่าประหวั่นพรั่นพรึง แต่ก็ยังไม่เคยมีใครได้เห็นการสู้รบจริงๆ เลยสักครั้ง ยายไวขนาดอายุมากที่สุดในที่นี้ และมีชีวิตอยู่เมื่อครั้งที่ฝรั่งเศสส่งกองเรือบุกขึ้นมาถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยาก็ไม่เคยเห็น แกได้ยินแต่เสียงระเบิดและเสียงยิงต่อสู้เหมือนคราวนี้เช่นกัน
ด้วยเหตุนั้น เรื่องของสงครามจึงเป็นเรื่องที่ยังไกลตัว แม้ในเวลานี้จะรู้ว่าเกิดขึ้นจริงๆ แล้วก็ตาม
"กำลังคิดว่าคงต้องเป็นอย่างนั้นแหละ กริช"
เธอจำต้องยอมรับความจริง นับแต่สามีต้องโทษ นี่ก็เข้าไปร่วมแปดปีแล้ว เธอรับภาระทุกสิ่งทุกอย่างจากเขามาแบกไว้แต่เพียงผู้เดียว ทั้งบ้าน ทั้งสวนสองฝั่งคลอง ทั้งห้องแถวของคุณหญิงละออผู้ล่วงลับ ทั้งผู้คนในบ้านนับสิบชีวิต แม้แต่น้องสาวของสามีก็ตกมาเป็นภาระของเธอ คุณวิไลนั้นช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย ก็ในเมื่ออยู่แต่กับบ้านมาตลอดชีวิตก็ว่าได้ ที่จริงมิใช่ว่ามีใครห้ามออกไปไหนหรอก แต่เป็นหล่อนเองที่ไม่ชอบออกนอกบ้าน สาเหตุนั้นมีมากมาย เท่าที่เคยได้ยินก็ว่าร้อนบ้าง ไม่ชอบแดดบ้าง ไปไหนที่มีคนมากๆ ก็เวียนศีรษะเสียอีก โลกของหล่อนจึงอยู่ในขอบเขตที่จำกัดเต็มที
ด้วยเหตุนั้น เด็กสาวซึ่งเคยแต่อยู่ภายใต้การปกครองของผู้ใหญ่ เริ่มจากบิดา พอเข้าเรียนประจำก็มีนางชีชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ดูแล ออกจากโรงเรียนก็มาอยู่บ้านสามี มีเขาทำหน้าที่ไม่ต่างอะไรกับผู้ปกครองอีกคน ชีวิตก่อนหน้านั้นจึงไม่เคยให้มีอะไรต้องคิด ไม่เคยต้องตัดสินใจอะไรด้วยตัวเอง ไม่เคยมีภาระรับผิดชอบทรัพย์สินหรือชีวิตของใคร พอเขาต้องโทษ ชีวิตพลิกกลับบนลงล่าง ต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่เพียงชั่วข้ามคืน กลายเป็นที่พึ่งของผู้คน ซึ่งส่วนใหญ่มีอายุมากกว่าและเห็นโลกมานานกว่าเสียด้วยซ้ำ
"ยายยังป่วย ไม่รู้ว่าจะเดินทางได้ไหม" เธอเปรยเหมือนรำพึง
อาการไข้ของนางไวดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ความชราทำให้ฟื้นตัวได้ไม่รวดเร็วเหมือนคนหนุ่มสาว
กริชคิดเรื่องนั้นไว้ก่อนหน้า
"ให้ยายอยู่ที่นี่กับชัยไปก่อนดีกว่าขอรับ ที่นี่คงยังไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงเพราะไม่ใช่จุดยุทธศาสตร์ กระผมจะพาคุณหญิงกลับกรุงเทพขอรับ"
"ไม่ต้องหรอกจ้ะ ฉันกลับคนเดียวได้ ถ้ากริชไปพระนครแล้วงานทางนี้ละจ๊ะ กริชจะทิ้งงานไปในเวลาแบบนี้ได้อย่างไรกัน"
เรื่องนั้นนายธรรมการหนุ่มก็วางแผนไว้แล้วเช่นกัน เมื่อครู่ก่อนกลับมาส่งข่าวเรื่องสงครามก็ได้ไปตรวจดูสภาพความเป็นไปที่โรงเรียน เห็นเด็กๆ พากันตื่นเต้นจนไม่เป็นอันทำอะไร เด็กหลายคนไม่มาโรงเรียน พ่อแม่คงเก็บตัวไว้กับบ้านด้วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเขาไปถึง ครูซึ่งในเวลานี้มีสี่คนแล้วกำลังจับกลุ่มปรึกษากันอย่างหน้าดำคร่ำเครียดว่าควรทำอย่างไรต่อไป เขาจึงมอบหมายให้ครูพรหมซึ่งมีอาวุโสที่สุดในที่นั้นเป็นผู้ตัดสินใจในระหว่างที่ไม่อยู่ ถ้าสถานการณ์เลวร้ายลงกว่านี้ หรือถ้าญี่ปุ่นเคลื่อนกองทหารมาถึงชะอำ ก็ให้นักเรียนหยุดเรียนและปิดโรงเรียนจนกว่าเขาจะกลับ กะว่าเมื่อขึ้นไปพระนครแล้วก็จะถือโอกาสสอบถามถึงระเบียบการและวิธีปฏิบัติในเวลาเช่นนี้ด้วย
"กระผมจัดการเรื่องนั้นเรียบร้อยแล้วขอรับ"
นางไวซึ่งนั่งฟังอยู่ห่างๆ เสริมขึ้นด้วยความเป็นห่วงเป็นใยนายสาว
"ให้พ่อกริชไปด้วยดีแล้วแหละเจ้าค่ะ เวลาอย่างนี้คุณจะนั่งรถไฟไปคนเดียวได้อย่างไรกัน"
นางเองก็อยากกลับไปด้วย แต่เห็นจริงตามที่ชายหนุ่มว่า นางอายุมากแล้ว แม้อาการไข้จะดีขึ้นแล้ว แต่ถ้ากลับไปด้วยในเวลาอย่างนี้ก็รังแต่จะเป็นภาระของนายเสียเปล่าๆ ว่าไปแล้วอยู่ที่นี่ก็สบายดี ชะอำอากาศปลอดโปร่ง เงียบสงบ แถมเห็นเด็กหนุ่มอยู่กันตามลำพังเพียงสองคน อาหารการกินหรือก็ตามมีตามเกิด ให้คิดว่าอาจพอช่วยดูแลเรื่องที่อยู่อาศัยและข้าวปลาอาหารได้ในระหว่างนี้ ในเมื่อที่บ้านริมคลองสาทรนั้น 'คุณหญิง' แทบไม่ยอมให้นางแตะต้องงานอะไรอีกแล้ว
'ยายแก่แล้ว อยู่เฉยๆ เถอะจ๊ะ' เธอเคยบอกกึ่งสั่งว่าอย่างนั้น
นางไวนั้นทำงานมาตลอดชีวิต จะให้อยู่เฉยๆ ได้อย่างไรกัน ถ้าอยู่ที่นี่คงทำประโยชน์อะไรได้บ้างไม่มากก็น้อย
"กริชแน่ใจนะจ๊ะว่าจะไม่เดือดร้อน"
ถึงกระนั้น คุณหญิงวัยสาวก็ยังอดเกรงใจเสียมิได้ กริชนั้นหาใช่เด็กในบ้านของสามีเหมือนก่อนอีกแล้ว เวลานี้เขาเติบใหญ่เป็นชายหนุ่ม มีการศึกษาดี มีหน้าที่การงานที่มีเกียรติ
"คุณหญิงวางใจเถิดขอรับ"
สรุปเรื่องนั้นแล้วเขาชี้ให้เห็นถึงความเร่งร้อนของสถานการณ์
"ญี่ปุ่นกำลังเคลื่อนกองทหารเข้าพระนครขอรับ เกรงกันว่าถ้าญี่ปุ่นยึดทางเดินรถไฟ คุณหญิงจะติดอยู่ที่นี่ เราต้องไปกันวันนี้เลยขอรับ มีรถไฟเที่ยวจากชุมพรอีกเที่ยว มาถึงบ่ายนี้ขอรับ"
"ถ้ากริชเห็นว่าอย่างนั้น
ก็ได้จ้ะ"
การเป็นเมียนายทหารซึ่งผ่านอะไรมาแล้วมากมายทำให้ตัดสินใจได้รวดเร็ว และเมื่อตัดสินใจแล้วก็ไม่หันกลับไปพิรี้พิไรใดๆ อีก
เมื่อได้คำตอบรับ นายธรรมการหนุ่มขยับลุกจากเก้าอี้ทันควัน
"ถ้าคุณหญิงไม่ว่ากระไร กระผมจะไปจองตั๋วรถไฟเดี๋ยวนี้เลยขอรับ"
เธอลุกตาม จะทำอะไรก็คงต้องรีบทำ เวลากระชั้นอย่างนี้
"ฉันจะไปเก็บเสื้อผ้า ให้ฉันจัดกระเป๋าให้ไหมจ๊ะกริช"
ได้ยินข้อเสนอนั้น กริชซาบซึ้งใจเสียนัก เพียงแค่คุณหญิงตัดเย็บเสื้อกางเกงมาให้เขาและสุชัยคนละสองชุดก็ตื้นตันจนล้นเหลือแล้ว รู้ว่าเธอคงเย็บเสื้อผ้าเหล่านั้นด้วยตัวเอง เสื้อกางเกงซึ่งเธอเตรียมมาให้สามีก็คงเย็บด้วยตัวเองเช่นกัน นั่นก็หลายชุดพออยู่แล้ว ยังเสื้อกันหนาวอีก คงไม่ได้หลับได้นอนเลยกระมัง
"กระผมกลับมาจัดเองได้ขอรับ คุณหญิงอย่าต้องลำบากเลย"
กริชตัดสินใจถีบจักรยานไปสถานีรถไฟเพื่อจองตั๋วแทนที่จะเดิน ในเมื่อมีเวลาไม่มากนัก ปกติเขาไม่ค่อยได้ใช้จักรยานซึ่งสรรพากรอำเภอทิ้งไว้ก่อนย้ายออกไปสักเท่าไร มันจึงถูกทิ้งอยู่ใต้ถุนบ้านจนขึ้นสนิมเกือบทั้งคันแล้ว
พอคล้อยหลังเจ้าของบ้านพัก นางไวก็มานั่งกอดเข่าเจ่าจุกดูนายสาวพับเสื้อและผ้าซิ่นซึ่งติดตัวมาเพียงไม่กี่ชุดลงกระเป๋าตาละห้อย แม้จะเห็นว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ก็ยังไม่วายทั้งอาลัยทั้งเป็นห่วงหญิงสาวซึ่งตัวมีส่วนเลี้ยงดูมาแต่เล็กแต่น้อย กี่ปีมาแล้วที่ไม่เคยแยกจากกัน นอกจากเวลาที่เธอต้องไปอยู่โรงเรียนประจำ หลังจากนั้น ไปไหนก็หอบหิ้วกันไป คุณหญิงย้ายไปอยู่บ้านสามี นางก็ติดตามไปอยู่ด้วย
"ฉันไม่ได้ทอดทิ้งยายหรอกนะจ๊ะ ไปดูทางพระนครเสียก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าที่นั่นไม่น่ากลัว ฉันจะกลับมารับยายจ้ะ"
มือเหี่ยวย่น...ร้อนระอุด้วยพิษไข้ซึ่งยังคงมีอยู่...วางทาบลงบนหลังมือที่กำลังจะปิดกระเป๋า คำพูดซึ่งอ่อนหวานเสมอทำให้นางไวอดคิดไม่ได้ว่าอย่างนี้นี่เล่าเจ้าคุณผู้สามีจึงได้หวงแหนเสียนัก ก็ดูเอาเถอะ นางเคยเห็นกับตา ผู้ชายไม่ว่าหน้าไหนมองคุณหญิงของท่านนานเกินไปก็จะได้เห็นปฏิกิริยาไม่ชอบอกชอบใจเป็นผลตอบกลับแทบจะทันทีทันควัน
ไอรีนมีเสื้อผ้าของตัวเองติดตัวมาเพียงไม่กี่ชิ้น ส่วนที่เหลือเป็นเสื้อ กางเกง และเสื้อกันหนาวซึ่งเตรียมมาให้สามี นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีเสื้อกางเกงซึ่งเธอติดมาให้กริชและสุชัย เมื่อเอาเสื้อผ้าพวกนั้นออกหมด กระเป๋าจึงว่างเลยทีเดียว
"คุณเจ้าขา อย่าห่วงบ่าวเลยเจ้าค่ะ บ่าวแก่แล้ว อีกไม่กี่ปีก็ตาย บ่าวอยู่ที่นี่ดีแล้วล่ะเจ้าค่ะ จะได้ไม่ไปเป็นภาระของคุณอีกคน"
แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 54 23:01:38