4.
บัณฑิตาวางแก้วน้ำ ก่อนหันไปตอบด้วยสีหน้ามั่นใจ
“เหลือสอบอีกสองวิชา ผ่านหมดก็ทำเรื่องจบได้เลย”
“แน่ใจนะว่าผ่าน”
“พี่เข้” หญิงสาวค้อน “ระดับนี้แล้ว เข้าเรียนเต็ม ทำงานส่งครบ ไม่พลาดหรอกน่า”
เขมรัฐกระดกแก้วบ้าง “ดีมาก จะได้คุ้มค่าหน่วยกิตที่ลงให้หน่อย”
อีกฝ่ายเอียงหน้าซบแขน ทำเสียงหวาน “ขอบคุณนะคะ รับรองว่าบุ้งจะไม่ทำให้ป๋าผิดหวัง เดี๋ยวบุ้งจะเอาปริญญามาอวดป๋านะค้า”
“น้องบุ้งนี่ไม่ทำตามสุภาษิตไทยนี่นา”
เธอขมวดคิ้วใส่คนถาม “โบราณเขาว่า เรียนไปก็ปวดหัวมีผัวดีกว่าไม่ใช่เหรอ”
“ผัวนะไม่ใช่ผัก จะได้จิ้ม ๆ ชี้ ๆ เลือกเอาตามตลาดได้ ภายนอกดูดีแต่เน่าในก็เยอะ บุ้งไม่เอาหรอก ที่สำคัญนะพี่ไซ นี่มันสุภาษิตไทยตรงไหนคะ คำขวัญท้ายรถสิบล้อมากกว่า”
เสียงหัวเราะสดใสแกมหมั่นไส้ครื้นเครง เว้นเพียงคนเพียงที่ดูไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วม ทุกครั้งที่หญิงสาวสบตา อีกฝ่ายจะก็หลบเสียทุกครั้ง
“บุ้ง”
“คะ”
เขมรัฐลดรอยยิ้มลงเล็กน้อยตอนตั้งคำถาม คนอื่น ๆ เพลิดเพลินกับบทสนทนา
“เขาไม่มาอีกใช่ไหม”
บัณฑิตาส่ายหน้า “ไม่เห็นเลย ไม่ต้องห่วงหรอกพี่เข้ ดีแต่ทำท่าอวดเก่งไปแบบนั้นแหล่ะ เจอทั้งเข่าทั้งแข้งนายหัวไปล่าสุด คงไม่กล้ามาแหยมแล้ว”
“ยังไงก็ระวังตัวนะ พี่เป็นห่วง”
เธอทำท่าจะยิ้มรับอยู่แล้ว หากเห็นดวงตาอีกคู่จ้องมอง ประกายนั้นแสดงความหมายเชิงผิดหวัง แต่ระยะเวลาสั้นเพียงไม่กี่วินาทีเขาก็หันไปมองอย่างอื่น แก้วเหล้า กับแกล้ม หญิงสาวกรอกตา
มองเข้าไป ถ้าฉันเป็นปลากัดก็ท้องไปถึงไหนแล้ว
“วันนี้เลิกกี่โมงล่ะ พี่ไปส่ง”
“อุ้ย”
“อ้าวนายเข้ ไหนว่าย่างตับไว้ไม่ใช่เหรอ” จิ๊บขัดคอ คนเป็นเจ้านายยกคิ้ว นึกขึ้นได้
“ไม่เป็นไรพี่เข้ บุ้งกลับเองได้ สบายมาก” บัณฑิตายังคงมีรอยยิ้มระบาย กระนั้นก็ยังแบมือไปข้างหน้า “แต่ขอค่ารถหน่อย”
“ว่าแล้ว”
“นะคะป๋า แค่นี้ขนหน้าแข้งป๋าเจ้าของฟาร์มไม่ร่วงหรอก”
“ทิปก็ให้ ยังจะไถอีก”
ถึงปากจะบ่นแต่เขมรัฐล้วงกระเป๋าตังค์แล้วยื่นธนบัตรให้ คนรับทำท่าราวกับปฏิบัติภารกิจเพื่อชาติสำเร็จ พอดีกับที่ผู้จัดการร้านมาเรียกไปร้องเพลงต่อ เธอพยักหน้ารับ
“บุ้งไปก่อนนะ แล้วมาอีกนะพี่เข้ คิดถึง” เธอหอมแก้มชายหนุ่มเร็ว ๆ แล้วเดินร่าเริงออกไป หนุ่มร่วมโต๊ะเป่าปากส่งเสียงเฮฮา
“คิดถึงพี่เข้หรือกระเป๋าพี่เข้” ไซแซว “อยากเป็นลูกนายเข้บ้าง ป๋าครับ”
“ไม่ต้องเลย โขงคนเดียวก็จะทำหิ้งให้อยู่แล้ว”
รอบวงหัวเราะ “ทำพูดไป ใครก็รู้ว่านายเข้รักลูกชายจะตาย”
“นั่นสิ ผมเองไม่รู้เลยว่าจะเลี้ยงลูกให้โตแบบโขงได้ไหม ถึงแสบแต่ก็ฉลาด ไม่นอกลู่นอกทางด้วย”
ความเป็นพ่อมีอยู่แล้วเต็มตัวขึ้นอยู่กับว่าเวลาไหนจะเรียกมาสวมบท ดังนั้นเมื่อมีคนชมลูกชาย เขมรัฐจึงอดยิ้มไม่ได้
“ก็ดูมันเหมือนคนอื่นนั่นแหละ โชคดีมั้งที่โขงเกิดมาช่วงกูยังวัยรุ่น เลยเข้าใจวัยรุ่น เฮ้ย ๆ ไม่เอา อย่าอวยกันเอง เลี่ยนตาย เดือดร้อนต้องสั่งเหล้าแก้เลี่ยนอีก”
คนได้ฐานะพ่อพูดตัดบท รู้สึกผิดสังเกตขึ้นมาเมื่อตลอดเวลายังไม่ได้ยินเสียงจากคนข้างตัว
“กบ เป็นไรวะ นั่งอมพระเลย เหล้าไม่อร่อยหรือไง”
พอถูกทักธรณิศก็ทำสีหน้าเสมือน ‘มีอารมณ์ร่วม’ ขึ้นมาเล็กน้อย “เปล่าครับ”
“หรืออยากจะกินของหวานแล้ว เลยเบื่อของคาว”
“นายเข้” ชายหนุ่มถอนใจ “แค่เหนื่อย ฟังเพลงเพลิน ๆ ด้วย”
“แล้วไป” เขมรัฐไม่เซ้าซี้ต่อ เขามองไปบนเวที “น้องบุ้งร้องเพลงออกจะเพราะขนาดนี้ ถ้าไม่ติดว่าเจ้าตัวปฏิเสธ กูจะส่งไปประกวดเอเอฟเลย”
ไซกับจิ๊บแย่งยิงคำถามเซ็งแซ่ว่าทำไม เขมรัฐจึงทิ้งคนสนิทแล้วไปต่อบทสนทนากับลูกจ้างอีกสองคนแทน เวลาผ่านไปต่อเนื่องยาวนาน ไม่ได้สังเกตว่าสายตาของธรณิศก็ทิ้งค้างอยู่บนเวทีกับนักร้องสาวเนิ่นนานพอกัน
เช้านี้อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส แต่เพราะความเป็นต่างจังหวัด ไร้ตึกอาคารสูงเป็นร่มบัง แดดจัดจึงสาดแสงลงไปกลางสนามโดยตรง ปุริมาเห็นแล้วหน้าเบ้ หยิบตลับแป้งอย่างเซ็ง ๆ ตั้งแต่มานี่พร่องไปเยอะ เห็นทีต้องไปซื้อมาสต็อก หน้าผ่องได้เดี๋ยวเดียวพอเจอความอบอ้าวบวกแดดเข้าไปก็หมดสวย อยากจะใส่หมวกลงไปเข้าแถวกับนักเรียนแต่ไม่แคล้วจะถูกครหาจากบรรดาครู ครั้นจะหลบอยู่แต่ในห้องทำงาน ก็จะโดนดุอีกหากมีใครเห็นแล้วเอาไปบอกพ่อ ไม่สิ ในฐานะนี้ต้องเป็นผอ.
ทำไมเธอถึงได้มาอยู่ที่นี่แทนที่จะเป็นห้องแอร์เย็น ๆ กันนะ เฮ้อ
บ่นไปก็เท่านั้น เรื่องอะไรจะกลับไปหาแม่ แปลว่าเธอแพ้ ไม่มีทาง
หญิงสาวเดินมากลางสนาม เรียกเตือนเด็กที่นั่งอยู่เป็นกลุ่ม ๆ ตามโต๊ะนั่งเล่น ซุ้มต้นไม้ให้เตรียมตัวเข้าแถว เดินเรื่อย ๆ ผ่านสนามเด็กเล่นของชั้นอนุบาลซึ่งเสียงพูดคุยน้อยกว่าชั้นอื่น แต่ดูวุ่นวายมากกว่า จนมาถึงบริเวณลานเข้าแถวของชั้นมัธยม
เด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินทอดน่องมา เขาพูดคุยยิ้มแย้มกับชายตัวสูง...เข้ม ปุริมาทำท่าจะเบี่ยงฝีเท้า
“อ้ะ สวัสดีครับเจ๊ เอ้ย! คุณครูปูนิ่ม”
เธอหยุดนิ่งเมื่อจำต้องทักตอบ “มาสายเชียวนะ เกือบจะเข้าแถวแล้ว”
“การบ้านเสร็จแล้วครับ ไม่ต้องตื่นแต่เช้ามาลอกเพื่อนเลยนอนให้เต็มอิ่ม”
“นายโขง!”
“ยังครับ ผมยังไม่เป็นนาย แต่ปีหน้าก็จะเปลี่ยนแล้ว ถึงตอนนั้นเจ๊ก็ไปเปลี่ยนเป็นนางพร้อมกันนะฮะ”
“นี่!!”
ปุริมาต่อว่าไม่ทันแล้วเพราะเจ้าตัวเผ่นแผลวออกไปอย่างรวดเร็ว เหลือไว้แต่เสียงหัวเราะหึหึ ๆ ของผู้ชายที่มาด้วย เธอมองตาเขียว
“ไม่ต้องมาหัวเราะเลยนะ ทำไมคุณไม่สอนลูกบ้าง ปล่อยให้...”
“ปูนิ่มคะ”
มีคนขัดจังหวะปุริมาจึงทิ้งไว้แค่ครึ่งประโยค รีบหันไปตามเสียงหมายจะดูว่าเป็นใคร
ครูเหมียว จำได้ว่าสอนวิชาคณิตศาสตร์ ข้อเท็จจริงประการเดียวที่คนตรงหน้ามีเหมือนเธอนั่นคือ อายุ นอกเหนือจากนั้น ตรงกันข้าม
หญิงสาวไม่ใช่คนขาว ถึงไม่คล้ำจัดแต่ผิวเนียนเป็นสีแทน รูปร่างอ้วนกลม ความสูงระดับมาตรฐาน ดวงตาโตคิ้วเข้ม ผมตัดสั้นประบ่าถูกรวบไว้ ถึงจะดูเรียบร้อยแต่ก็ไม่ใช่ประเภทที่ผู้ชายมองเหลียวหลัง
“อ้าว คุณเข้ก็อยู่ด้วย สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ ครูเหมียว”
เหมียวฉีกยิ้มหน้าบาน มีบางอย่างบอกปุริมาว่าวันนี้อีกฝ่ายสดใสเป็นพิเศษ เห็นสายตาเธอยังค้างอยู่ที่ผู้ปกครอง
“วันนี้ คุณเข้ดูหล่อจังเลยนะคะ”
“ไหงงั้นล่ะครับ ผมว่าผมหล่อทุกวันอยู่แล้วนะ”
แหวะ! ปุริมาร้องในใจ อย่างกับว่าครูเหมียวอ่านสีหน้าเธอออกจึงพูดแกล้งยั่ว
“ไม่จริงหรอกค่ะ ทุกที...อย่างน้อยก็ไม่ใส่กางเกงยีนส์ขาด ๆ แล้วก็ใส่รองเท้าผ้าใบแบบนี้”
ชายหนุ่มยิ้มกว้าง“ครูเหมียวสอนวิทยาศาสตร์ด้วยหรือเปล่าครับ ช่างสังเกตจัง”
“ไม่ต้องให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ก็รู้ค่ะ ก็อย่างว่า ตอนนี้โรงเรียนมีครูสาว ๆ สวย ๆ เยอะ ในฐานะผู้ปกครองก็ต้องดูดีกันหน่อย”
นั่นไง ส่งสายตามาจนได้ ปุริมาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งที่ในใจร้อนผะผ่าว อยากโต้ไปว่าเธอไม่เกี่ยว แต่นั่นก็เท่ากับยอมว่าเธอคือ ‘ครูสาวสวย’ คนนั้น ทั้งที่คนพูดไม่ได้เอ่ยชื่อใคร
“เหมียว เดี๋ยวเม่นไปก่อนนะ”
มีคนมาขัดจังหวะอีก คราวนี้เป็นชายหนุ่ม เหมียวกำลังจะพยักหน้าให้ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจจับแขนเขาเข้ามาในวงสนทนา
“เดี๋ยวเม่น พอดีเลย จะแนะนำให้รู้จัก ปูนิ่มคะ นี่เม่นแฟนเหมียวเอง””
ปุริมาเงยหน้ามอง เตรียมเรียกร้อยยิ้ม แต่ชะงัก เห็นแฟนหนุ่มของคนที่เธอมองว่าด้อยกว่าทุกประการดูหล่อเหลาอย่างเห็นได้ชัด ผิวขาวสะอาด ตาเรียว จมูกโด่ง เรียกว่าไปเป็นดารานายแบบได้ไม่น่าเกลียด เขายิ้มและผงกศีรษะทักทาย
“สวัสดีครับ เพื่อนครูของเหมียวชื่อน่ารักดีจัง”
หญิงสาวเผลอทำหัวใจไหว...อีกแล้ว
กระทั่งทั้งครูเหมียวและแฟนแยกตัวออกไป ปุริมายังรู้สึกเหมือนฝันค้าง จะชาก็ไม่ใช่ โกรธก็ไม่เชิง
“คุณชอบแบบนี้นี่เอง”
หญิงสาวสะดุ้ง สติสตางค์กลับมา ลืมไปว่ายังมีชายหนุ่มอีกคนยืนอยู่ รีบตีหน้ายักษ์ใส่
“พูดอะไรไม่ทราบ”
เขมรัฐโปรยยิ้มเจ้าเล่ห์ “มิน่าล่ะ ผมว่าผมหน้าตาดีแล้วคุณยังทำปั้นปึ่งใส่ทุกที ที่แท้ก็ชอบคนขาวนี่เอง”
ปุริมาหน้าร้อนฉ่า ถูกแทงใจทะลุ
“ผอ.ก็เป็นคนขาวเหมือนกัน”
“นี่คุณ!!” เธอแหว “อย่ามาละล้าบละล้วงเรื่องส่วนตัว คนหน้าตาดีใครก็ชื่นชมทั้งนั้นแหละ”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ”
เธอหายใจถี่ เชิดหน้าเย้ย “ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมโขงถึงได้แสบนัก ก็เพราะมีพ่ออย่างคุณนี่เอง”
แทนที่ชายหนุ่มจะโกรธที่ถูกต่อว่าตรง ๆ ตรงข้ามเขายิ่งยิ่มน้อยยิ้มใหญ่
“แน่ล่ะ ลูกผมไม่ใช่ลูกยางนี่นา”
หญิงสาวกำลังจะถามย้อนว่าอะไรคือความหมายของลูกยาง แต่ก็ยังมีเสียงเตรียมตัวให้เคารพธงชาติมาขัดจังหวะ ปุริมาตัดสินใจให้มันเป็นหนสุดท้าย แปดโมง นักเรียนเข้าแถวเต็มลานกว้าง เธอมองคู่สนทนาแล้วสะบัดหน้าเดินจากไปโดยไม่มีคำลา
เขมรัฐจุดยิ้ม เขาได้ยินข่าวลือที่ครูสาว ๆ พูดกัน ความมั่นใจยังเหมือนเดิม แค่เสียดายนิดหน่อยตรงที่ปูนิ่มตัวนี้จับกินไม่ได้ง่าย ๆ ซะแล้ว ดังนั้นอย่างน้อยแค่ทำให้ตัวเองอยู่ในความสนใจของเธอได้ก็ยังดี
ต่อจากนี้ไป ปูนิ่มแห่งชลพิทักษ์จะต้องจำชื่อนายเข้บ้านน้ำทองได้ขึ้นใจ
(ต่อค่ะ)
จากคุณ |
:
BabyRed
|
เขียนเมื่อ |
:
30 ส.ค. 54 14:26:48
|
|
|
|