Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ภาพเขียนสีตะแบก ตอนที่ 3 ติดต่อทีมงาน

บทนำ+ตอนที่ 1http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10980646/W10980646.html

ตอนที่ 2 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10996299/W10996299.html


       บ้านเดี่ยวสามชั้นสีขาวตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่ม เขาเอื้อมมือไปกดกริ่งแม้จะรู้ว่าสิ่งที่เขาทำไม่ควรแก่กาลซึ่งยามนี้ก็ค่อนคืนแล้ว  แต่ดูเหมือนว่าคนในบ้านจะคุ้นเคยกับการกระทำนี้ดี  ร่างระหงที่ก้าวมาเปิดประตูนั้นอยู่ในชุดนอนตัวยาว


“คิดแล้วว่าต้องเป็นน้องชายตัวดีของฉัน”
คนเป็นเจ้าของบ้านโพล่งคำพูด พลางสอดมือไปประคองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องชายเพราะเห็นอีกฝ่ายยันกายพิงรั้วบ้านแบบครองสติไม่อยู่


“เมาแล้วชอบมาหาตอนดึกๆตลอดเลย”  


“ก็ตอนกลางวันมันไม่ว่างนิพี่”
ชายหนุ่มพูดในขณะที่กำลังโดนหิ้วปีกเข้าบ้าน


“ไม่ว่างหรือว่าไม่อยากมากันแน่ ก็เห็นไม่เมาไม่เคยมา ถ้ามาก็ต้องเมา”
ชยุดาผู้เป็นพี่สาวย้อนให้บ้างเพราะคนเป็นน้องชายทำตัวอย่างนั้นจริงๆ



ร่างสูงใหญ่ถูกปล่อยให้ล้มลงบนโซฟาตัวหนาหน้าทีวี ก่อนที่คนเป็นพี่จะเดินหายไปทางห้องครัว ชายหนุ่มขยับกายให้อยู่ในท่าที่นอนสบายขึ้น


“นี่นึกยังไงอีกล่ะถึงมาหาพี่ มีอะไรหรือเปล่า   หรือว่า ไม่มีเงิน”
พี่สาวพูดในขณะที่ใช้ผ้าชุบน้ำซับหน้าให้น้องชาย แต่คนร่างใหญ่บัดนี้แทบไม่เหลือสติรับรู้เรื่องราวใดๆได้

คนเป็นพี่ได้แต่ก้มมองวงหน้านั้น ก้อนสะอื้นแล่นขึ้นจุกลำคอใบหน้านั้นปรากฏรอยหม่นเศร้า เธอใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆเช็ดตัวให้น้องชายเพื่อหวังว่าเจ้าตัวจะรู้สึกดีขึ้น นานแล้วที่เธอไม่ได้พูดคุยกับผู้เป็นน้องในสภาพครองสติครบเพราะเมื่อพบกันสภาพที่เห็นก็เป็นเช่นนี้ตลอด

ความรู้สึกในใจทั้งสงสารและเวทนากับสังขารที่อยู่ตรงหน้า บ่อยครั้งที่เธอหมดความอดทนจนอยากจะกล่าววาจาด่าทอคนตรงหน้าเสียให้เจ็บแสบ  แต่เมื่อห้วนคิดความทรงจำบางอย่างทำให้เธอต้องอนาทรต่อร่างนั้นแทน

มีเพียงเธอเท่านั้นที่ผู้เป็นน้องชายยังพอไปมาหาสู่อยู่บ้างเพราะด้วยความคุ้นเคยทางสายเลือดและความที่เธอเป็นคนน้อยปากน้อยคำพูด เรื่องราวในใจของผู้เป็นน้องชายเธอเข้าใจดีเพราะเธอเองก็ระทมไม่น้อยกับการสูญเสียครั้งนั้น ใครๆพากันกล่าวโทษบุรุษหนุ่มผู้นี้แม้แต่พี่ชายคนโตก็ไม่วายเคืองแค้นไปด้วย น้องชายจึงมีเพียงเธอเท่านั้นที่พึ่งพิงได้  


ชายหนุ่มพากายโซเซลุกจากโซฟาตรงไปยังห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ก้อนสวะบางอย่างจะทะลักออกมาจากลำคอ รู้สึกศีรษะหนักอึ้งอาการตึงๆเกิดขึ้นที่ใบหน้า เขาดึงมือไปเปิดฟักบัวปล่อยให้สายน้ำเย็นๆไหลผ่านกายเพื่อชำระค่าดีกรีแอลกอฮอล์ที่ตัวเองเติมไปเมื่อคืน จนรู้สึกว่าอาการมึนตึงได้สร่างซาลงเขาจึงก้าวออกจากห้องน้ำเดินตรงไปยังตู้เย็นเพราะรู้สึกลำคอแห้งผาก


มีกระดาษแผ่นเล็กๆเหน็บอยู่ที่หน้าตู้เย็นข้างๆมีซองกระดาษบางๆวางอยู่เขาดึงแผนกระดาษออกมาอ่าน ข้อความสองสามประโยคจากลายมือผู้เป็นพี่สาวมีใจความว่า


‘พี่วางซองเงินไว้ให้แล้วอยู่หลังตู้เย็น ในตู้กับข้าวมีแกงเผ็ดไก่บ้านที่เราชอบ อย่าลืมกินล่ะ ว่างๆไปหาแม่ที่บ้านพี่โชคบ้างก็ดีนะ’
อ่านจบชยินก็ขย้ำกระดาษนั้นลงถังขยะก่อนจะหยิบซองกระดาษสีขาวหลังตู้เย็นยัดใส่กระเป๋ากางเกง แล้วเดินไปเปิดตู้กับข้าวหยิบชามแกงออกมาพร้อมกับตักข้าวพูนจาน


แต่เพียงคำแรกที่เคี้ยวข้าวลงคอเขาสัมผัสได้ถึงอาการฝืดคอไม่มีรสชาติใดๆจากแกงเผ็ดไก่บ้านเมนูโปรด  กับข้าวทุกอย่างจึงถูกเก็บกลับเข้าที่เดิมอีกครั้ง  เขาหันไปชงกาแฟดำไม่เติมน้ำตาลหวังให้รสขมนั้นเรียกสัมผัสกลับคืนมา

หลังจากหมดกาแฟถ้วยที่สองชายหนุ่มเดินออกจากห้องครัวความรู้สึกบอกเขาว่าเท้าของเขาได้สัมผัสเข้ากับวัตถุอะไรบ้างอย่างชายหนุ่มก้มลงมองดู สมุดบันทึกรูปทรงสี่เหลี่ยมหน้าปกเขียนว่า

‘ความทรงจำของเพื่อน’
มุมล่างขวามีชื่อของเจ้าของเขียนอยู่ เป็นหนังสือรุ่นเล่มหนาของนักเรียนอนุบาลโรงเรียนหลานชายเขาเองเพราะปีนี้เจ้าตัวร้ายจบชั้นอนุบาลแล้วทางโรงเรียนจึงจัดทำทำเนียบรุ่นไว้ให้เก็บเป็นที่ระลึก

เขาเปิดสมุดออกอ่านใบหน้าขาวนวลของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งลอยแทรกเข้ามาในความนึกคิดอีกครั้ง  



              เวลาเลยเที่ยงมามากแล้วหนุ่มน้อยนั่งรอเวลาเข้าเรียนคาบบ่าย  โดยไม่ได้ใส่ใจกับร่างเล็กผอมบางที่เดินมานั่งใกล้ๆ เธอวางกระเป๋าลงข้างลำตัวก่อนจะยื่นสมุดปกแข็งเล่มไม่หนามากนักให้กับเขา


“เขียนให้หน่อยสิ”    สาวน้อยหน้าขาวนวลเอ่ยบอกเขา


“เขียนยังไงล่ะกระดาษหมดแล้ว”
เด็กชายกล่าวหลังจากที่พลิกสมุดไปมา


“ยังเหลืออีกสองสามแผ่น เขียนไม่ได้หรือไง”
เจ้าของสมุดว่าพรางเปิดสมุดไปยังหน้าที่ยังวางอยู่


“เขียนไม่พอหรอก ไปซื้อมาใหม่เลยเดี๋ยวเขียนให้”


“เรื่องมากจริง ก็นี้ไงยังมีกระดาษเหลืออีกตั้งหลายหน้า”  
ไม่มีเสียงตอบกลับใดๆจากหนุ่มน้อย


“งั้นก็ไม่ต้องเขียน”
หญิงสาวพูดพร้อมกับเก็บสมุดหมุนตัวจะเดินกลับเธอชะงักเท้านิดหนึ่งเพื่อรอดูว่าอีกฝ่ายจะกล่าวอะไรหรือเปล่าแต่เมื่อไม่มีวาจาใดโพล่งออกมาจากเรียวปากนั้น เธอจึงสาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว


สำหรับหนุ่มน้อยแล้วการกระทำนั้นจุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อยั้วโมโหแต่อย่างใด เขาปรารถนาอย่างนั้นจริงๆ ช่วงเวลาก่อนการจากลาเช่นนี้เขาได้เขียนสมุด‘เฟรนส์ชิป’ให้ใครๆมากมายแต่มีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่เขาเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่เธอผู้นั้นจะนำสมุดมาให้เขาเขียนบ้าง เขาจะวาดรูปใส่ไปในสมุดอย่างสุดความสามารถเพื่อว่าวันข้างหน้าเธอจะได้ไม่ลืมเขา เขาจะเขียนถึงเรื่องราวเฉิ่มๆของเธอ กำลังใจและความปรารถนาดีทุกอย่างจะถูกระบายลงไปในหน้ากระดาษเหล่านั้น แต่ดูเธอสิเศษกระดาษที่เหลือเพียงไม่กี่แผ่นไม่พอหรอกที่จะระบายความรู้สึกที่มี ต่อให้สมุดทั้งเล่มก็ยังไม่พอ

วินาทีที่สาวน้อยเดินหันหลังกลับไปเขารู้ได้ทันทีว่าไม่มีหรอกสมุดเล่มใหม่และตัวอักษรแห่งความทรงจำในกระดาษเหล่านั้นก็จะไม่เกิดขึ้น

ชายหนุ่มร่างสูงเก็บสมุดในมือเข้าชั้นวางหนังสือก่อนที่จะเดินไปเลือกหยิบแผ่นซีดีหนังตรงชั้นวางซีดี เขาเลือกหนังบู๊เอคชั่นมาสองเรื่องจากนั้นก็เดินกลับไปหยิบเสื้อแล้วก้าวเท้าออกจากบ้านไป

ทุกครั้งที่เขารู้สึกคิดถึงแม่เขาจะมาที่นี้ ชยุดาเป็นพี่สาวของเขาซึ่งทำงานเป็นเสมียนที่ธนาคารแห่งหนึ่งตั้งแต่ก่อนแต่งงานกับพี่เขยที่มีอาชีพเป็นทนายความและพื้นเพเป็นคนกรุงเทพโดยกำเนิด

เขาและพี่สาวไม่ค่อยได้พูดคุยกันเท่าไรแต่ความรู้สึกในใจของน้องชายคนเป็นพี่สัมผัสได้ หากแต่ไม่เคยมีคำพูดปลอมประโลมใดๆแต่ความอนาทรห่วงหาได้ถูกถ่ายทอดผ่านแววตาที่มักมองเขาด้วยความรู้สึกอย่างน้องน้อยคนเล็กเสมอ  

ความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับครอบครัวชยุดาไม่เคยเอยถึงเรื่องนี้ให้เป็นหนามแทงใจน้องชาย แม้แต่คำกล่าวโทษใดๆก็ไม่เคยออกจากปากพี่สาวคนนี้สักครั้ง  ไม่เหมือนศิริโชคพี่ชายคนโตที่จนถึงบัดนี้ก็ยังเข้าหน้ากันไม่ได้  

เขาไม่ชอบไปบ้านพี่ชายแม้ว่าที่นั้นจะมีผู้เป็นมารดาอาศัยอยู่เพราะทุกครั้งที่เจอหน้ากันคนเป็นพี่ชายมักจะขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตมาพูดเหน็บแหนมให้น้องชายต้องเสียใจทุกครั้ง


“แกไอ้น้องเลว ไอ้ลูกทรพี แกไม่เคยทำให้พ่อแม่ภูมิใจสักครั้ง ดีแต่ทำให้ทุกข์ใจ หาเรื่องราวมาให้ไม่ว่างเว้น”
คำพูดของพี่ชายที่กลั้วโทโสสาดเข้าเต็มหน้าชายหนุ่ม


“ผมอยากมาหาแม่”


“ไม่จำเป็น แม่ไม่อยากเจอหน้าแก”
สีหน้านั้นแข็งกร้าวด้วยอารมณ์โกรธเคืองอย่างที่สุด


“แต่ผม.......”  “แกกลับไปซะ ถ้ายังคิดไม่ได้ว่าจะเอายังไงกับชีวิตระหว่างงานศิลปะบ้าๆนั่น กับหน้าที่การงานมั่นคงที่ฉันจะหาให้แก”
คนเป็นพี่ชายร้องบอกแก่คนอ่อนวัยกว่า


“ผมไม่อยากเป็นตำรวจ”
เขาพูดเพราะรู้ดีว่างานที่อีกฝ่ายหมายถึงคืออะไร


“แกมันดื้อรัน อวดดี แกทำให้พ่อต้องตายยังไม่สำนึกอีก”  
คนพูดมีน้ำเสียงเดือดดาลดวงตาคู่นั้นกร่ำแดงหยาดน้ำใสๆเอ่อคลอเบ้า   ริมฝีปากสั้นระริก  


“ผมแค่อยากพบแม่” ชายหนุ่มก้มหน้าพูดเสียงเครือ


“ฉันไม่ให้พบ แกอยากให้แม่ไม่สบายใจไปมากกว่านี้หรือไง”
พี่ชายกล่าวเสียงกร้าว จนคนเป็นน้องต้องถอยห่างไป เขาแหนหน้ามองพี่ชายด้วยดวงหน้าคมขรึมตาแดงรี่ด้วยอารมณ์น้อยใจและเสียใจระคนกันก่อนที่จะหันหลังเดินจากไป  


นั่นเป็นการพบเจอกันครั้งสุดท้ายของสองพี่น้องกว่าสามปีที่แล้ว จากนั้นชายหนุ่มก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไปที่บ้านผู้เป็นพี่ชายอีกเลย ข่าวคราวที่รู้กันก็จะถูกส่งผ่านพี่สาวแทน



       ชายหนุ่มจอดรถมอเตอร์ไซร์ตรงที่ประจำแล้วจึงเดินตรงไปยังตึกสูงที่ขวักไขว่ไปด้วยพนักงานประจำหญิงชาย เขาก้าวขึ้นลิฟต์กดชั้นเก้า


“มาสายอีกแล้วนะชยิน...เออ.....หัวหน้าเรียกให้ไปหาที่ห้อง”
ทันทีที่เจอหน้าเขา สตรีวัยสามสิบต้นๆก็รีบร้องบอกข่าวแก่ชยิน ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ห้องทำงานห้องใหญ่เบื้องหน้าแทนที่จะเป็นกองเอกสารบนโต๊ะข้างๆ  


“มาแล้วเหรอชยิน”  
บุรุษวัยกลางคนที่กำลังง้วนอยู่กับกองเอกสารบนโต๊ะกล่าวทักทายโดยที่ไม่ได้แหนมองหน้า  


“ครับผม” เขารับคำเบาๆ


“ช่วงนี้ได้ข่าวว่าหนีงานบ่อยเหรอเราน่ะ”  
ผู้เป็นนายเอ่ยถามพลางขยับแว่นปรับระดับสายตา


“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
ผู้สูงวัยกว่าถามต่อเมื่อไม่มีคำชี้แจงใดๆจากปากลูกน้อง


“เปล่าครับ”   คนพูดก้มหน้าตอบเสียงอ่อน


“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณมีปัญหาอะไร แต่ถ้าคุณบอก ผมก็ยินดีจะช่วยหาทางแก้ แต่ถ้าการหนีงานคือความขี้เกียจของคุณผมคิดว่าเราน่าจะร่วมงานกันไม่ได้” น้ำเสียงมีแววเอ็นดูไม่ได้มีทีท่าวางอำนาจเลยสักนิด  


“ผมจะยังไม่ลงโทษคุณ แต่ถ้าคราวหน้ามีอีกคุณอาจจะต้องหางานใหม่รอไว้ มีอะไรสงสัยจะถามไหม”
คนเป็นนายเปิดโอกาสแก่ลูกน้องในขณะที่อีกฝ่ายยังคงเงียบ


“ถ้าไม่มีอะไรก็ออกไปทำงานต่อได้”


“ครับ”  ชายหนุ่มรับคำสั้นชัดแล้วจึงเดินออกจากห้องไป  ชยินทำงานเป็นคนส่งเอกสารที่สำนักพิมพ์แห่งหนึ่งจากการช่วยเหลือของเพื่อนเพราะเห็นว่าเขากำลังว่างงานและไม่เห็นเพื่อนกลับไปจับพู่กันเขียนภาพนานแล้ว

ประกอบกับชยินไม่มีใบรับประกันทางด้านวิชาศิลปะที่เขาร่ำเรียนมางานนี้จึงดูเหมาะสมกับเขาที่สุด แม้ว่าจะไม่ใช่งานที่เขาชอบและไม่สูงเกียรตินักแต่ก็ยังพอเลี้ยงตัวเองได้ไปวันๆ



               หลังเสร็จจากอาหารมื้อเย็นวสีเก็บกวาดจานชามและไม่ลืมแบ่งอาหารอีกส่วนไว้เพื่อคนที่ยังมาไม่ถึงถีรดาจะกลับดึกอย่างนี้เสมอเพราะระยะทางระหว่างที่พักกับร้านกาแฟไกลกันพอสมควร  วสีรีบตรงไปยังโต๊ะที่ทำงานซึ่งมีเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาวางอยู่เธอเปิดเพลงเบาๆแล้วลงมือสะสางงานที่ค้างอยู่มากมาย



“งานยุ่งเหรอแก”
เสียงร้องทักจากคนเพิ่งมาถึง วสีมัวจดจ่ออยู่กับงานในมือจนไม่ทันสังเกตว่าคนเป็นเพื่อนกลับมาตั้งแต่ตอนไหน


“ก็นิดหน่อย ทำไมวันนี้กลับเร็วจัง”
เธอพูดโดยไม่ได้ละสายตาจากจอสี่เหสี่ยมตรงหน้า


“วันนี้ไม่ได้อยู่เก็บร้าน”
สาวตาคมผิวคล้ำพูดแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ปล่อยให้วสีเต็มที่กับงานของเธอ  


“มีอะไรให้ช่วยไหมแก”
ถีรดาร้องถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าตาคล่ำเครียดอยู่กับจอคอมพิวเตอร์  


“ไม่เป็นไร แกกินข้าวมาหรือยัง”   วสีตอบปฏิเสธแต่ไม่ลืมห่วงใยเพื่อน


“ฉันกินมาแล้ว”  
อีกฝ่ายร้องบอกในขณะที่มือกำลังจัดเก็บกองเอกสารบนโต๊ะ


“ถ้าแกอยากช่วย แกก็ช่วยจัดเอกสารกองนั้นให้หน่อย”
หญิงสาวร้องบอกเพื่อนหลังจากที่เห็นอีกฝ่ายมีทางท่าอยากแบ่งเบาภาระงานของตน  


“ฉันยังจำได้เมื่อก่อนแกไม่ชอบให้ใครทำการบ้านให้ และแกก็ไม่ชอบทำการบ้านให้ใครง่ายๆด้วย”   ถีรดารำลึกถึงความหลัง  


“มีแต่ฉันนี่แหละที่แกไม่เคยบ่นเวลาฉันเอางานไปให้แกช่วย”
หญิงสาวคนเดิมพูดต่อในขณะกำลังจัดเอกสารเข้าแฟ้มงานเป็นหมวดหมู่ โดยไม่ทันสังเกตว่าคำพูดตนทำให้อีกฝ่ายชะงักมือจากการทำงาน


‘ใช่ฉันไม่ค่อยทำการบ้านให้ใครหรอกนอกจากแกแต่ยังมีอีกคนที่ฉันเต็มใจทำให้อย่างไม่เกี่ยง’   วสีบ่นเบาๆกับตัวเอง



           ภายในห้องเรียนเด็กชายคนหนึ่งกำลังเร่งมือจดตัวอักษรอย่างหวัดๆลงบนสมุดการบ้านทั้งที่อีกนานกว่าจะได้เวลาเข้าเรียนแต่วันนี้เขามาถึงเร็วเป็นพิเศษ  การบ้านชิ้นนี้เป็นงานที่เขาไม่ถนัดเอาเสียเลยทั้งๆที่คนอื่นๆส่งผ่านกันหมดแล้วแต่เขากลับต้องมานั่งแก้เป็นครั้งที่สาม  


“ทำอะไรอยู่” เสียงใสๆดังมาจากข้างหลัง  


“การบ้าน”  เขาตอบเรียบๆ แล้วจึงหันมาทางคนต้นเสียง ที่กำลังนำกระเป๋าไปเก็บตรงที่ประจำ ใบหน้าผุดยิ้มพรายเหมือนคิดอะไรได้บางอย่าง


“เธอ ช่วยฉันทำการบ้านหน่อยสิ”  
เขาโพล่งคำพูดช้าชัดจนอีกฝ่ายหันขวับมามองตาถลน


“ทำไมต้องช่วยด้วยละ” สาวน้อยพูดเบ๋ปากแบบคนเหนือกว่า


“ช่วยหน่อยนะ ทำไม่ได้จริงๆ” หนุ่มน้อยพูดเสียงอ่อน


“วิชาอะไรล่ะ”   สาวน้อยหน้าขาวนวลก้มลงมองสมุด  


“วิทยาศาสตร์” คำตอบสั้นๆแต่สายตามีแววอ้อนวอน


“อือ...ก็ได้”   เธอรับคำขอนิ่งๆแล้วจึงหยิบสมุดในมืออีกฝ่ายเดินหายไปทางห้องสมุด


 หลังพักกลางวันก่อนเข้าเรียนคาบต่อไปสาวน้อยหน้าขาวนวลเข้าห้องมาพร้อมกับสมุดการบ้านในมือ เธอเดินตรงไปยังโต๊ะเจ้าของสมุดที่ตอนนี้กำลังนั่งอ่านการ์ตูนอย่างสุขใจ


 “เสร็จแล้ว การบ้านของเธอ” เด็กหญิงส่งสมุดให้อีกฝ่าย


“ขอบใจมากนะ” หนุ่มน้อยพูดทั่งที่สายตายังเพ่งหนังสือการ์ตูนไม่คลาย


“ให้คนอื่นทำการบ้านให้แล้วตัวเองมาอ่านการ์ตูนเนี้ยนะ มันสมควรเหรอ”  น้ำเสียงนิ่งแข็งแบบที่ชอบพูดเวลาไม่สบอารมณ์  


“เพิ่งอ่านเอง แล้วการบ้านนั่นฉันก็ทำไมได้จริงๆ”  
คนถูกค้อนกล่าวแจงแจก ด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา


“รีบไปส่งล่ะเดี๋ยวหมดเวลาเสียก่อน” เธอพูดเพื่อเตือนอีกฝ่าย


“น้องชาติพี่มีของมาให้”
รุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งร้องบอกพร้อมทั้งยื่นลูกอมรูปหัวใจสีชมพูให้คนที่กำลังอ่านการ์ตูน เขาหันมาสบตาสาวน้อยนิดหนึ่งก่อนส่งมือรับของ


“ขอบคุณครับ” เขากล่าวตอบสั้นๆ


“ตั้งใจเรียนนะ” คนเป็นรุ่นพี่กล่าวพร้อมก้าวเดินจากไปสาวน้อยไม่ได้พูดจาใดๆเธอเดินกลับมาประจำที่เพื่อรอเวลาอาจารย์เข้าสอน


 ‘เนื้อหอมจริงนะไอ้ขี้เก๊กขนาดรุ่นพี่ยังหลงเสน่ห์’   สาวน้อยลอบคิดในใจ
         


           ถีรดากำลังนอนกึ่งนั่งอยู่บนที่นอนในมือมีนิตยสารแฟชั่นถืออยู่  วสีก้าวขึ้นที่นอนเตรียมหยิบหนังสือเล่มที่อ่านค้างไว้มาเปิดอ่านหลังจากที่สะสางงานเรียบร้อยแล้ว


“วสี แกโทรหานายชาติหรือยัง”  ถีรดาถามน้ำเสียงจริงจังอยากรู้


“โทรแล้ว” คำตอบสั้นๆแต่ชัดใส


“ตอนไหน” คำถามเร็วแบบไม่ต้องคิด


“เมื่อคืนตอนที่แกหลับไปแล้ว”   วสีตอบทั้งที่ไม่ได้มองหน้าอีกฝ่าย


“แล้วนายนั่นว่าไงบ้าง”   น้ำเสียงตื่นเต้น


 “ดา...ฉันว่านายชาติไม่เหมือนเดิมแล้ว”
 หญิงสาวลุกขึ้นนั่งพูดอย่างจริงจัง


“ไม่เหมือนเดิมอย่างไง หรือว่านายนั่นเปลี่ยนใจไปหลงไม้ป่าเดียวกันเสียแล้ว”  ถีรดาพูดเย้าเพื่อนเล่น  


“บ้าน่ะแก  คิดได้ไง”  


“ก็แกบอกเองว่านายนั่นไม่เหมือนเดิมแล้วฉันก็คิดว่าเขาอาจจะเปลี่ยนรสนิยมในการใช้ชีวิตไปไง เลยไม่เหมือนเดิม”  


“แกนิคิดอะไรตลกจริง  ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”  
วสีนึกขำความคิดเพื่อนสาว  


“งั้นแกก็บอกมาสิว่าเมื่อคืนแกคุยอะไรกันบ้างเล่าให้ฉันฟังทั้งหมดเลยนะ”   คนเป็นเพื่อนพูดเสียงแข็งสีหน้ากึ่งอ้อนวอนกึ่งบังคับ


 “เขานิ่งมากน้ำเสียงที่คุยกันไม่เหมือนชาติคนเก่า เหมือนเขาไม่อยากคุยกับฉันอย่างนั้นแหละ”   เธอพูดตามความคิดที่สรุปเอาเอง


“อาจจะไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้เขาอาจจะเหนื่อย หรืออาจจะจำเสียงแกไม่ได้ก็เลยไม่กล้าพูดมาก”  ถีรดาปลอมเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น


“ไม่ใช่อย่างนั้นแน่ เขาจำฉันได้ เขายังบอกอีกว่าไม่ได้เขียนภาพแล้ว”


“นายชาตินะหรือไม่เขียนภาพแล้ว เป็นไปไม่ได้นายนั่นรักการเขียนภาพศิลปะอย่างับอะไรดี” คนผิวคล้ำโพล่งคำพูดแบบไม่อยากเชื่อ


“ฉันถึงบอกไงว่าเขาไม่เหมือนเดิมแล้ว”  วสียืนยันความคิดตัวเอง


“หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายชาติ” ถีรดาพูดทำหน้าขมวดคิ้วอย่างฉงน  


“ฉันก็คิดอย่างนั้น ค่อยดูนะฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา”  
หญิงสาวหน้าขาวนวลเอ่ยขึ้นในขณะที่สายตานั้นมองผ่านหน้าต่างออกไป  


“ใช่เราต้องรู้ให้ได้” หญิงสาวอีกคนกล่าวขึ้นลอยๆทั้งที่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้ว่าพูดอะไรออกไป ใบหน้านั้นเหม่อลอยครุ่นคิด สองสาวล่องลอยคิดเพ้อไปตามที่ตัวเองจะคาดการณ์ได้



             ภายในห้องสี่เลี่ยมโกโรโกโส  อากาศในห้องค่อยข้างร้อนชายหนุ่มจึงลุกจากที่นอนตรงไปปรับระดับพัดลมติดเพดานให้แรงขึ้น เพื่อคลายความอบอ้าวให้แก่ตัวเอง

นาฬิกาข้างฝาห้องชี้เข็มสั้นตรงเลขหนึ่งบอกเวลาบ่ายโมงช่วงวันเสาร์อาทิตย์เขามักใช้เวลาไปกับการนอนพักผ่อนยาวนานกว่าวันธรรมดาเพราะหมดเวลาช่วงกลางคืนไปกับการสังสรรค์รับวันหยุด  

ชายหนุ่มเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วตรงเข้าห้องน้ำทันที  เสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่คู่กายดังขึ้น  เขาเดินออกจากห้องน้ำมารับสายอย่างใจเย็น


“ชยิน....วสีเองนะ”  เสียงที่ผ่านสายมาชัดใส  


“อืม ว่าไง”   คู่สายกล่าวตอบโต้ด้วยเสียงอู้อี้เพราะที่ปากฟูมฟ่องไปด้วยฟองยาสีฟัน


“เธอได้รับบัตรเชิญไปงานทำบุญครบรอบหาสิบปีก่อตั้งโรงเรียนรึยัง”  


“ยัง”   เสียงตอบเรียบเฉย


“งานวันอาทิตย์หน้านี้แล้วนะ อย่าลืมไปล่ะ จะได้ไปเจอเพื่อนเก่าๆสมัยเรียนด้วย”   วสีคุยตอบด้วยเสียงใสๆเช่นเคยแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบเธอจึงเปลี่ยนไปถามเรื่องงานที่พูดไว้ก่อนหน้านี้


“เรื่องที่ฝากไว้ไปถึงไหนแล้ว”  


“ยังไม่เริ่มเลย”   ชายหนุ่มตอบเสียงนิ่งเรียบ  


 “พยายามให้หน่อยนะ”   วสีกรอกเสียงตามสายไปเป็นเชิงอ้อนวอน


“ก็บอกแล้วไงว่าเลิกเขียนภาพแล้ว ไปหาคนอื่นทำเถอะฉันคงทำให้ไม่ได้” น้ำเสียงที่ราบเรียบเริ่มเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง


“แต่ฉันอยากให้เธอทำงานนี้เพื่อโรงเรียนของเราไง และอีกอย่างรุ่นเราก็ไม่มีใครเขียนภาพได้สวยเท่าเธอสักคน”
หญิงสาวพูดเสียงใสใจเย็นพยายามหว่านล้อมอีกฝ่ายให้ร่วมมือด้วย    


“ก็ไปจ้างช่างดีๆที่มีฝีมือสิคงหาไม่ยากหรอก”  
ชายหนุ่มเสนอทางเป็นการยืนยันว่าตนไม่ทำงานนี้แน่


“แต่เราอยากได้ภาพที่มาจากศิษย์เก่านะจะได้มอบไว้เป็นเกียรติแก่โรงเรียนด้วย”
วสียังดึงดันหาเหตุผลมาเพิ่มน้ำหนักหวังให้อีกฝ่ายยอมโอนอ่อนตาม  


“ภาพเขียนเราไม่มีเกียรติขนาดนั้นหรอก”
น้ำเสียงทุ้มลึกมีแววขื่นขมนิดๆ    


“ทำไมคิดอย่างนั้นละ ฝีมือเขียนภาพของเธอยอดเยี่ยมจนเคยได้รับรางวัลมาแล้วเลย  ทำไมดูถูกตัวเองอย่างนั้นล่ะ  ลำบากใจเรื่องอะไรหรือเปล่า”
คำพูดอ่อนโยนอย่างห่วงใยออกจากปากหญิงสาวเมื่อรู้สึกสะดุดกับคำพูดของอีกฝ่าย


“เปล่าไม่มีอะไร จะพยายามให้แล้วกัน”
ชายหนุ่มรีบชิงตัดบทเพราะไม่อยากหลุดปากให้อีกฝ่ายแครงใจไปมากกว่านี้


“ฉันอยากให้เป็นฝีมือเธอนะ” หญิงสาวยืนยันเงื่อนไขเดิม


“อืม แค่นี้ก่อนนะ” เขาพูดห้วนสั้นแล้วรีบวางสายสนทนาโดยไม่สนใจการกล่าวล่ำลาจากอีกฝ่าย



          หญิงสาวในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดตัวโกร่งที่ตัดเย็บจากผ้าฝ้ายบางเบากำลังยืนพิงหน้าต่างสายตามองผ่านออกไปข้างนอกอย่างเลื่อนลอย


วสีพยายามนึกย้อนถึงประโยคการสนทนาเมื่อครู่ทั้งคำพูดคำจาน้ำเสียงและความรู้สึกที่สัมผัสได้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนของบุคคลผู้นั้น เธอนึกเป็นห่วงเขาขึ้นมาจับใจอยากจะรู้ความจริงให้ได้ว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นกับตัวเขา  

หากแต่สัญชาตญาณบางอย่างบอกเธอว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่  เธออยากทำให้ชยินคนเดิมกลับมาอีกครั้ง คนที่ขี้เก๊ก ชอบแต๊ะท่าทำขรึมแต่เวลาพูดจาน้ำเสียงจะมีแววขี้เล่นแม้เสียงจะไม่นุ่มลึกอบอุ่นแต่เสียงทุ้มแหบนั้นก็ฟังดูไพเพราะไม่เบาเหมือนกัน  


“วสีได้ยินฉันพูดไหมเนี่ย”
หญิงสาวหน้าขาวนวลมัวแต่ล่องลอยอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองจนไม่ได้ใสใจกับคำพูดของเพื่อนสาว


“ฉันถามแกว่าจะไปกันได้หรือยังฉันเตรียมตัวเสร็จแล้ว”
ถีรดาที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวกางเกงยีนรัดรูปเอ่ยถามเพื่อนสาวถึงความพร้อมเพราะทั้งคู่นัดกันไว้ว่าจะไปซื้อของมาตกแต่งร้านกาแฟเพิ่มเพราะถีรดารู้สึกว่าการแต่งร้านแบบเก่ามันไม่เรียกลูกค้าวัยรุ่น


“เออๆฉันก็พร้อมแล้วไปกันเถอะ”
วสีร้องบอกเพื่อนพร้อมทั้งคว้ากระเป๋า     เดินนำหน้าอีกฝ่ายออกจากห้องไป

 
 

จากคุณ : idakok
เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 54 19:54:44




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com