ตอนที่ 7
ก็อกๆ!!....... เสียงเคาะประตูทำให้ชายหนุ่มที่นั่งอ่านรายงานจากแฟ้มต้องเงยหน้าขึ้นมา และเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนเคาะและเปิดประตูเข้ามา เขาก็ส่งยิ้มให้พร้อมกับเอ่ยทัก
อ้าว คุณแม่ อาทิตยะทักมารดาที่กำลังเดินตรงมายังเขา
คุณพิมผกาเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามบุตรชายคนเดียวก่อนจะเอ่ยถาม
เมื่อวานไม่มาทำงาน เป็นอะไรรึเปล่า เอะ! แล้วหัวไปโดนอะไรมา คุณพิมผกาถามด้วยความสงสัยหลังจากเห็นผ้าก็อตบางๆแปะอยู่ที่ศรีษะของลูกชาย
อาทิตยะจับไปที่ผ้าก็อตก่อนจะตอบผู้เป็นมารดาด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆแบบไม่เห็นสำคัญ อ๋อ! ไม่มีอะไรมากหรอกครับ พอดีเมามากไปหน่อย หึหึ เลยล้มไปโดนขอบเตียง ชายหนุ่มปดมารดาเพราะเขาไม่อยากเล่าอะไรให้มากความ
คุณพิมผกาหายสงสัยแต่กลับเตือนลูกชาย เอาอีกแล้ว เรานี่น้า รู้ว่ากินเหล้าไม่เก่งก็ยังจะกิน แล้วไปกินกับนายโต้ใช่มั้ย
อาทิตยะทำหน้าสงสัยก่อนจะเอ่ยถามารดา คุณแม่รู้ได้ไงครับ
ก็ ถ้าเมาขนาดนี้จะไปกับใครได้ละ แล้วนี่คุณจิตราก็โทรมาบ่นๆ กับแม่เรื่องนายโต้
ทำไมครับ
ก็เห็นบอกว่าจะดัดนิสัยนายโต้น่ะสิ แล้วให้แม่มาบอกเราน่ะ ว่าถ้านายโต้มายืมเงินห้ามให้เด็ดขาด
ฮ่าฮ่า ยังงี้นายโต้ก็แย่สิครับ อาทิตยะหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องขำมากกว่าจะเป็นเรื่องซีเรียส ก่อนจะตอบมารดา ครับ ได้ คุณแม่บอกคุณน้าจิตราด้วยว่าผมจะให้ความร่วมมือ อยากให้นายโต้มันโตเหมือนกัน
หลังจากคุยเรื่องโตมรเรียบร้อยแล้ว คุณพิมผกา ก็ถามลูกชายถึงเรื่องที่เขาไปอยู่กับคุณย่า ว่าเป็นไงบ้างลำบากมากมั้ย เพราะที่คุณพิมผกาทราบก็คือ สิ่งอำนวยความสะดวกบ้านนั้นแทบจะหาไม่เจอเลยที่เดียว เมื่อเทียบกันกับบ้านของเธอ และยังถามเลยไปถึงหญิงสาวที่คุณหญิงรับเป็นบุตรบุญธรรมด้วย
อาทิตยะตอบมารดาไปว่า เรื่องที่อยู่ไม่ได้ลำบากอะไร ถึงจะร้อนไปบ้างเพราะไม่มีแอร์แต่ด้วยความที่เป็นบ้านสวนอีกทั้งต้นไม้ก็เยอะ ก็ไม่ถึงกับทำให้ร้อนมาก อีกอย่าง
ผมว่า อยู่บ้านแบบคุณย่าก็ดีนะครับ อากาศดีต้นไม้ที่คุณย่าปลูกไว้ก็หอมๆ ทั้งนั้น ผมว่าบ้านเราน่าจะปลูกบ้างนะครับ ต้นไม้ไทยๆเวลาตอนกลางคืน ผมว่ากลิ่มหอมดีนะครับ
อาทิตยะพูดพร้อมกับนึกถึงกลิ่นดอกไม้ที่ปลูกอยู่รอบๆตัวบ้านไม้ทรงไทย ของคุณย่าขเขา ทั้งโมกข์ ทั้งแก้ว และยังต้นลีลาวดีต้นใหญ่สองต้น ที่ปลูกอยู่หน้าบ้านตรงบันไดทางขึ้น ดอกสีขาวเต็มต้นแทบจะไม่มีใบเลย ยิ่งเวลาช่วงหัวค่ำไปจนดึกๆ เวลาที่มีลมพัดมา ทำให้กลิ่นหอมเย็นๆโชยเข้ามาทางชานบ้าน จึงหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ ชายหนุ่มยังคิดไปอีกว่า บริเวณชานหน้าบ้านซึ่งเป็นเหมือนด่านแรกของตัวบ้าน ด้านบน ถ้ามีเตียงหรือหรือตั่งวางไว้ เขาคงต้องหาโอกาสมานอนดูดาวสักครั้งแน่
คุณพิมผกามองท่าทางของลูกชายก่อนจะเอ่ยถามต่อ แล้วเด็กนั่นละเป็นไง ประจบคุณย่าเราไปถึงไหนแล้ว
อาทิตยะมองหน้ามารดานิดนึงก่อนจะตอบ อือ...ผมว่าเขาก็ไม่เชิงประจบหรอกนะครับคุณแม่ ดูแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไร ชายหนุ่มตอบมารดาด้วยความรู้สึกจริงๆ เพราะตั้งแต่เขาไปอยู่ที่บ้านของคุณย่า เขาก็เห็นเธอก็ไม่ได้ประจบประแจงคุณย่าของเขาจนเกินไป แต่เขากลับรู้สึกว่าสิ่งที่เธอทำเป็นแค่เด็กที่อยากจะดูแลผู้มีพระคุณก็เท่านั้น
นั่นไง แม่ว่าแล้ว เราน่ะ ยังไม่รู้อะไร ไปอยู่ได้ไม่นานก็ทำท่าจะหลงกลเข้าแล้ว หยั่งว่านะ...นิสัยนี่มันถ่ายทอดทางสายเลือดได้จริงๆ คุณพิมผกาพูดออกมาด้วยความโมโหก่อนจะนึกเลยไปถึงหน้าของผู้หญิงอีกคนที่เคยทำให้เธอเกือบจะเสียสามีไป นั่นก็คือแม่ของรัตติกาลนั่นเอง
อะไร นะครับคุณแม่ เมื่อกี้คุณแม่ว่าไงนะครับ อาทิตยะทำหน้าขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยถามมารดาด้วยความสงสัย
คุณพิมผกาได้สติจึงมองหน้าลูกชายคนเดียวก่อนจะตอบและพยายามทำน้าเสียงให้ปกติ
เอ่อ ไม่มีอะไร แต่เราก็ระวังๆละ ผู้หญิงสวยๆหน้าตาท่าทางอ่อนหวานบางทีมันก็ไม่ได้ดีแบบหน้าตาท่าทางหรอกนะลูก พูดจบคุณพิมผกาก็ลุกขึ้นและเดินออกจากห้องทำงานชายหนุ่มไป โดยปล่อยให้ชายหนุ่มงงๆ กับคำพูดของผู้เป็นแม่
อาทิตยะทำหน้าสงสัยได้ไม่นานเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีงานที่เร่งด่วน จึงรีบหยิบเอกสารขึ้นมาอ่านก่อนจะเซ็นชื่อ และทำงานตรงหน้าต่อไป
**#########################**
โธ่ คุณแม่ครับ คุณแม่ทำแบบนี้ผมก็แย่สิครับ โตมรโอดครวญกับมารดา ขณะนั่งเผชิญหน้ากับมารดาที่ห้องทำงานด้านในของโชว์รูมจิลเวลลี่ ของครอบครัว ซึ่งโชว์รูมนี้เป็นโชว์รุมที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาโชว์รูมทั้งหลายที่เปิดอยู่ ของตระกลูเผ่าพานิชย์
คุณจิตรานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานด้วยท่าทางไม่สนใจกับลูกชายคนเล็กของเธอที่ขณะนี้ นั่งทำหน้าออดอ้อนตามสไตล์ของชายหนุ่ม โดยเธอทำทีเป็นก้มหน้าก้มตาจัดชุดเครื่องเพชรที่มาใหม่ ให้เข้าชุดกัน โดยไม่สนใจเสียงร่ำร้องของบุตรชายที่ยกแม่น้ำทั้งห้าขึ้นมาหว่านล้อมให้เธอคืน บัตรเครดิตให้กับเขา
เวลาผ่านไปได้สักพักโตมรที่พูดมาจนไม่รู้จะเอาอะไรมาอ้างกับมารดาอีก เขาจึงคิดใช้ไม้ตาย คือ โตมรลุกจากเก้าอี้และเดินมาคลุกเข่าที่ข้างเก้าอี้ที่คุณจิตรานั่งอยู่ ก่อนจะเอื้อมมือไปโอบกอดมารดาเอาไว้ด้วยท่าทางประจบสุดๆ และเป็นวิธีที่ชายหนุ่มใช้มาตลอดเมื่อต้องง้อมารดา
โตมรทำหน้าเศร้า พร้อมกับเงยหน้ามองมารดาด้วยตาละห้อย ก่อนจะเอ่ย
คุณแม่ครับ หายงอนโต้เถอะนะครับ โต้จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว นะครับคุณแม่ โต้จะหยุดเทียว จะใช้เงินประหยัดๆ นะครับคุณแม่ครับ
คุณจิตราใช้หางตาเหลือบมองลูกชายคนเล็กก่อนจะเอ่ย แน่ใจ
ครับคุณแม่ แน่ใจครับ โตมรตอบมารดาด้วยน้ำเสียงร่าเริงขึ้นมาทันที
กี่ครั้งแล้ว ที่โต้พูดแบบนี้กับแม่ คุณจิตราทำน้ำเสียงจริงจังกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ทำให้โตมรถึงกับหน้าเจื่อนลง แต่ก็ยังคงทำตาปริบๆมองมารดา ก่อนจะเอ่ยตอบ
โธ่....คุณแม่ครับ
คุณจิตราทำหน้านิ่งๆ มองลูกชายก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงและท่าทางจริงจัง เอาอย่างนี้ แม่ให้แกเลือก แกจะไปเรียนต่อหรือจะทำงาน ถ้าเรียนต่อแม่จะให้พี่สาวแกติดต่อที่เรียนให้ แต่ถ้าแกเลือกทำงานแกต้องไปฝึกงานกับลุงชิต ห๊ะ จะให้โต้ไปฝึกงานกับลุงชิต เนี่ยนะ โห... โตมรโวยวายออกมาก่อนจะลุกขึ้นยืนชายหนุ่มเดินมานั่งหมดแรงที่โซฟารับแขกตัวยาวสุดหรูที่จัดไว้รับแขก วีไอพี ของคุณจิตรา ก่อนจะนึกไปถึงลุงชิตพี่ชายของแม่เขาที่ดุราวกับทหารก็ไม่ปาน
ลุงชิตคือพี่ชายของแม่เขาที่ทำธุรกิจด้านผลิตและส่งออกไวน์ ซึ่งธุรกิจนี้ตั้งอยู่ที่ จ. นครราชสีมา ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาก่อนจะเอ่ยตอบมารดาซึ่งขณะนี้นั่งจ้องหน้าลูกชายเพื่อรอฟังคำตอบ
เฮ้อออ..คุณแม่ให้เวลาผมคิดก่อน.....ได้มั้ยครับ ชายหนุ่มทำเสียงอ่อยๆเพราะท่าทางที่ดูจริงจังของมารดาที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้เขาไม่กล้าโวยออกมาชายหนุ่มทำท่านึกอยู่แป๊ปนึงก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง คุณแม่ไม่มี ช้อยส์ที่สามเหรอครับ
คุณจิตราที่นั่งลุ้นกับคำตอบของลูกชายทำหน้าโมโหก่อนจะตอบกลับลูกชายทันทีที่เขาเอ่ยจบ ไม่มี! แล้วแม่ก็จะให้เวลาแกคิด เดือนนึง
แล้วถ้าผมยังคิดไม่ได้ละครับ โตมรเอ่ยตอบมารดาแบบหวั่นๆ
แม่ก็จะไม่สนใจแกอีก คุณจิตราพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดก่อนจะไม่สนใจใยดีลูกชายที่นั่งทำหน้าเซ็งๆ เหมือนกับเด็กๆที่ไม่เคยโดนขัดใจ
**#######################**
หมวยเล็ก! โทรศัพท์ลูก เสียงตะโกนเรียกภาวินีดังมาใกล้ๆ ทำให้หญิงสาวที่ง่วนอยู่กับการนั่งทำงานของเธออยู่ที่น่าจอคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คในห้องรับแขกกลางบ้าน ต้องเงยหน้าขึ้น ก่อนจะยื่นมือไปรับโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่วางลืมไว้ที่ห้องอาหารจากมารดา
คุณอรพินมารดาของ ภาวินี เธอเป็นผู้หญิงไทยเชื้อสายจีน ที่มีน่าตาผิวพรรณออกไปทางคนจีนมากกว่าคนไทย เธอมักจะเรียกลูกสาวคนเล็กของเธอว่าหมวยเล็กมากกว่าจะเรียกชื่อ ภา ที่เป็นชื่อที่เพื่อนๆ ของเธอใช้เรียกภาวินี เธอเป็นแม่บ้านมากกว่าจะออกไปทำงานนอกบ้าน และมีหน้าที่หลักคือดูแลลูกๆ ทั้งสามคน ซึ่งตอนนี้ลูกชายคนโตของเธอก็ทำหน้าที่ดูแลกิจการที่เป็นของครอบครัวช่วยผู้เป็นพ่ออยู่แล้ว
หลังจากส่งโทรศัพท์ให้ลูกสาวแล้ว คุณอรพินก็นั่งลงที่โซฟาใกล้ๆไม่ห่างจากลูกสาวมากนัก
เมื่อรับโทรศัพท์จากมารดาแล้วภาวินีก็ก้มดูเบอร์โทรที่โชว์อยู่หน้าจอก่อนจะทำหน้าเบื่อๆ และกดรับสาย
ว่าไง พี่โต้
(โห ภา ทำไมรับช้าจัง พี่ว่าจะวางอยู่แล้วนะเนี่ย..) โตมรกรอกเสียงมาตามสาย
มีอะไรอีกละ นี่ก็รีบรับแล้วนะ หรือพี่โต้จะวางก็ได้นะ
(เอ้ย แหมม...พูดแค่เนี่ยทำงอน)
เฮ้อ มีอะไรอีกละคราวเนี่ย ถ้าเรื่องฟ้าไม่ต้องมาให้ภาช่วยแล้วนะ
(เปล่า ไม่ใช่เรื่องฟ้าหรอก พอดีพี่เซ็งๆอ่ะ ก็เลยโทรมาคุย)
เฮ้ย!! พี่โต้ ภาไม่ได้ว่างมากนะ ถ้าโทรมาแก้เซ็งก็โทรไปหาคนอื่นดีกว่า ภาวินีพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญๆ จนโตมรต้องรีบพูดเพราะกลัวว่าเธอจะวางสาย
ตามจริงแล้วเขาก็มีเพื่อนอยู่ไม่มากนักยิ่งเพื่อนที่เป็นผู้หญิงเอาไว้ปรับทุกข์นี่ยิ่งไม่มีใหญ่ ที่แรกเขาก็ว่าจะโทรหาอาทิตยะแต่พอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาได้เขาก็กดหา ภาวินีซะงั้น
(เฮ้ย! ภา โธ่... พี่ไม่ได้เซ็งเพราะไม่มีเพื่อนคุยหรอก แต่พี่กำลังกลุ้มใจน่ะ)
ภาวินีทำหน้าแปลกใจก่อนจะถามกลับไปยังโตมรด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง กลุ้มใจเรื่องอะไรอีกละ
(เฮ้อออ...) โตมรถอนหายใจยาวๆออกมาก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ภาวินีฟัง
หลังจากฟังจบภาวินีก็เอ่ย สงสารเนอะ
(ขอบใจนะ แต่ไม่ต้องสงสารพี่หรอก) โตมรเอ่ยด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าทันที่ทีภาวีนีพูดต่อ
ไม่ต้องขอบใจหรอก เพราะภาไม่ได้สงสารพี่ ภาสงสารคุณแม่พี่ต่างหาก ที่มีลูกชายไม่ได้เรื่องอย่างพี่
(ห๊ะ! อะไรนะ! ภาว่าพี่ไม่ได้เรื่องเหรอ)
อือ ใช่! ก็พี่โต้คิดดูดีดีซิ ลูกชายที่เป็นความหวังของพ่อแม่ ทำตัวแบบเนี่ย นี่ยังดีนะพี่โต้น่ะ ยังมีทางเลือก ลองคิดถึงคนอื่นดูบ้างซิ บ้านที่เขาต้องเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ พี่โต้ดีแค่ไหนพ่อแม่ก็ไม่ต้องเลี้ยง แถมท่านยังทำอะไรไว้ให้อีกตั้งมากมาย เฮ้อ โตแต่ตัวจริงๆนะเนี่ย
(นี่ภา พี่โทรมาปรับทุกข์นะ ทำไมต้องพูดขนาดนี้ด้วย)
ก็ภาพูดความจริงนิ หรือถ้าพี่โต้อยากฟังเรื่องโกหก พี่โต้ก็ต้องโทรไปหาคนอื่นแล้วละ คิดดูดีดีนะพี่โต้ ถ้ายังไม่อยากเรียนก็ลองทำงานดูก่อนสิ เที่ยวทุกวันไม่เบื่อรึไง
โตมรฟังสิ่งที่หญิงสาวซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นน้องของเขาพูด ด้วยความรู้สึกที่แปลกๆ เพราะถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นจะไม่พูดกับเขาแบบนี้แน่นอน ตอนแรกที่หญิงสาวพูดเขาก็เกือบจะโมโหจนวางสายไปแล้ว แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้ทำให้เขาฟังคำของเธอจนจบ
เมื่อวางสายจากภาวินีแล้วชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดขึ้นลอยๆ โอ้ยยย....เซ็งโว้ย พูดจบชายหนุ่มก็เอนตัวลงนอนบนที่นอนตัวเอง ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาก่ายหน้าผากเหมือนกำลังคิดหนัก
ด้านหนึ่ง เมื่อคุณอรพินเห็นลูกสาววางโทรศัพท์แล้ว เธอก็ถามลูกสาวคนเล็กด้วยสีหน้าสงสัย
คุยกับใครอ่ะ ลูก ทำไมไปว่าเขาแบบนั้นละ รุ่นพี่อ่ะ ม่าม้า ทำตัวเป็นเด็กไม่โต ก็ต้องสั่งสอนกันหน่อย
ใคร ม่าม้ารู้จักมั้ย คุณอรพินถามลูกสาวเพราะส่วนมากเธอจะรู้จักเพื่อนของภาวินีแทบจะทุกคนก็ว่าได้ เพราะลูกสาวของเธอนั้นสนิทกันแทบจะคุยกันทุกเรื่องเลยก็ว่าได้
ภาวินีมองหน้ามารดาก่อนจะเล่าเรื่องของโตมรให้ผู้เป็นแม่ฟัง หลังจากฟังจบคุณอรพินก็ทำหน้ากังวล เพราะเธอเองก็พอจะรู้ถึงสรรพคุณความเจ้าชู้ ของโตมรผ่านหน้าหนังสือพิมพ์และหนังสือก็อตซิบดาราที่ชอบแซวดาราสาวๆ ที่เป็นคู่ควงของเขา เธอจึงเอ่ยเตือนลูกสาว
โอ้...ม่าม้าว่า อย่าไปยุ่งมากนักเลยลูก เอ่อ...แล้วนี่เขาไม่ได้มาจีบเราใช่มั้ย
ปะเปล่า ม่าม้า แหมม...น่าตาอย่างภา เขาไม่จีบหรอก เขาจีบฟ้านะ แต่ถึงจีบภา ภาก็ไม่เอาหรอก จะดูแลเราได้รึเปล่าก็ไม่รู้
หึหึ ทำไมละหน้าตาของหนูมันเป็นไง ม่าม้าว่าน่ารักออก หึหึ คุณอรพินพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปขยี้หัวลูกสาวด้วยความเอ็นดู ภาวินีมองหน้ามารดาก่อนจะส่งยิ้มหวานไปให้และพูดขึ้นว่า ก็น่ารักแบบเราเนอะม่าม้า
อือ จ๊ะ หึหึ
เพราะความที่คุณอรพิน เป็นคนไม่ค่อยแต่งตัวมากนักเธอจึงไม่ได้เป็นแบบอย่างที่ทันสมัยให้กับลูกสาว ทำให้การแต่งตัวของภาวินีจึงเป็นไปแบบเด็กๆ มากกว่าจะทันสมัยเหมือนสาวๆในยุคนี้ และเธอเองก็คิดเรื่องเรียนมากกว่าจะสนใจเรื่องการแต่งตัว เธอจึงกลายเป็นหญิงสาวที่ออกจะดูเชยๆไปบ้างในบางครั้ง
**##########################**
จากแสงสีเหลืองนวลๆที่ส่องออกมาจากหลอดไฟที่ติดอยู่ตามหัวเสาของเรือนไม้ทรงไทยของคุณหญิงเปิดสว่างขึ้น นั่นแสดงว่าแสงของอาทิตย์ในวันนี้ได้ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว
คุณหญิงนั่งอยู่บนตั่งไม้สักที่มีลักษณะเป็นเตียงนอนกรายๆ ที่วางอยู่มุมหนึ่งของชานบ้านซึ่งคุณหญิงใช้เอนหลังในเวลาบ่ายๆ หรือตอนหัวค่ำ ซึ่งวันนี้ก็เช่นกันแต่ที่จะแปลกไปกว่าทุกวันก็คือวันนี้คุณหญิงนั่งอยู่นานกว่าปกติ เพราะเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว แต่หญิงชราก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเข้าห้องนอนของตัวเองแต่อย่างใด ทำให้หญิงสาวที่เดินออกมาจากห้องถึงกับทำหน้าสงสัย
รัตติกาลซึ่งเธอพึ่งจะอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ เดินเข้ามานั่งลงที่พื้นเบื้องหน้าของหญิงชราก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
คุณยายยังไม่เข้าห้องนอนอีกเหรอค่ะ เธอพูดพร้อมกับมองหน้าหญิงชราด้วยรอยยิ้ม
หญิงชราก้มหน้ามองหญิงสาวที่ตัวเองเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยด้วยสายตาอ่อนโยนและแฝงความเมตตาในตัว ก่อนจะส่งยิ้มคืนให้เธอและเอ่ยตอบ
ว่าจะเข้าแล้วละลูก อือ..วันนี้อากาศดีเนอะ ยายเลยนั่งเพลินไปหน่อย หึหึ หญิงชราพูดจบก็เงยหน้ามองออกไปยังชานหน้าบ้านที่อยู่ห่างไปจากมุมที่เธอนั่งอยู่ไม่ไกลมากนัก
รัตติกาลมองตามสายตาของหญิงชราไปก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอด และเธอก็คิดตามที่คุณหญิงบอกคือวันนี้อากาศดีจริงๆ เพราะลมเย็นๆที่พัดมาเรื่อยๆ ที่ผ่านมายังช่องลมทางด้านหน้าบ้าน และตามช่องหลังคามุมจั่วตามแบบบ้านไม้โบราณ ทำให้ลมสามารถผ่านทะลุเข้ามาได้ไม่ยากนัก จึงทำให้บริเวณที่เธอกับคุณหญิงนั่งอยู่มีอากาศที่เย็นสบาย ทั้งยังกลิ่นดอกไม้หอมนานานชนิดที่คุณหญิงปลูกเอาไว้ จึงทำให้บรรยากาศนั้นช่างน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก
รัตติกาลนึกอยู่ได้ไม่นานเธอก็เอื้อมมือไปจับแขนของหญิงชราด้วยท่าทางนุ่มนวลก่อนจะเอ่ย
ฟ้า นวดให้นะคะคุณยาย
คุณหญิงยิ้มพรางพยักหน้าให้กับหญิงสาว สองสาวต่างวัยนั่งอยู่ด้วยกันด้วยความรู้สึกผูกพันรักใคร่ บรรยกาศที่ดูเหมือนจะหนาวๆแต่ภาพที่ปรากฏมันทำให้ความอบอุ่นแผ่ไปทั่วบริเวณ รัตติกาลพร่ำบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่า ถ้าเธอไม่มีหญิงชราผู้นี้เลี้ยงดูไว้ปานนี้เด็กกำพร้าอย่างเธอจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ เธอจึงรักและเคารพคุณหญิงมากจนเธอคิดว่าเธอสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ถ้าหญิงชราผู้นี้จะมีความสุข เธอจึงตั้งใจเรียนและทำตัวให้เหมาะสมกับเป็นเด็กที่ท่านชุบเลี้ยง และไม่เคยไปบอกกับใครว่าเธอเป็นลูกบุญธรรมของท่าน
รัตติกาลนั่งหันหน้ามาทางคุณหญิงจึงไม่ทันเห็นว่ามีใครเดินขึ้นบันไดมา จนเมื่อคุณหญิงเอ่ยทักเธอจึงหันไปมอง
อ้าว อาทิตย์ คุณหญิงทักหลานชายด้วยรอยยิ้มบางๆ
อาทิตยะยิ้มให้คุณหญิงพร้อมกับเดินตรงเข้ามาและนั่งลงบนตั่งข้างๆคุณหญิงและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ยังไม่นอนเหรอครับ คุณย่า
ชายหนุ่มพูดจบก็เหลือบสายตาไปมองหญิงสาวที่นั่งพับเพียบนวดคุณหญิงอยู่ ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันที่รัตติกาลเหลือบตาขึ้นมาพอดี จึงทำให้ทั้งสองหนุ่มสาวสบตากันโดยบังเอิญแต่เพียงแค่ไม่ถึงเสี่ยวนาที รัตติกาลก็เป็นฝ่ายหลบสายตาของเขาก่อน
จ๊ะ วันนี้ไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่ เราละช่วงนี้กลับดึกทุกวันเลยนะ งานยุ่งเหรอลูก
อืม...ก็ ครับยุ่งนิดหน่อยครับ พอดีเลขาของผมเขาลาคลอดนะครับ ก็เลยไม่มีคนช่วย
อ้อ อืม...แล้วทำไมไม่หาใครมาช่วยก่อนละลูก
ก็...หาอยู่ครับ แต่ก็ยังไม่ได้เลย สงสัยคงต้องเหนื่อยแบบนี้ไปอีกหลายเดือน อาทิตยะพูดเหมือนบ่นอยู่กรายๆ
คุณหญิงมองสภาพหลานชายคนเดียวด้วยความสงสาร ก่อนจะทำท่านึกอะไรขึ้นมาได้ คุณหญิงหันมาทางรัตติกาลที่นั่งนิ่งๆเป็นผู้ฟังที่ดี ก่อนจะเอ่ยกับหญิงสาว
เออ ฟ้า
ค่ะคะ คุณยาย รัตติกาลสดุ้งนิดนึงก่อนจะตอบ
เป็นอะไร ลูก ขวัญอ่อนไปได้เรานี่
หึหึ คุณยายมีอะไรเหรอคะ
ที่ฟ้าบอกจะหางานทำนะ ได้รึยังลูก
เอ่อ ฟ้ากำลังจะไปทำงานกับที่บ้านของ ภาอ่ะค่ะ คุณยาย
เหรอ อืม...เขารับคนเพิ่มเหรอลูก
หึหึ เปล่าหรอกค่ะ คือฟ้าขอเขาฝึกงานกับภานะคะ
อ้าว งั้นถ้าเขาไม่ได้ขาดคน ฟ้าก็มาช่วยงานพี่เขาก่อนได้มั้ยลูก
คะ! อะไรนะคะคุณยาย ให้ฟ้าไปช่วย เอ่ม...คือ ฟ้า
ทำไม ละ มีอะไร
รัตติกาลทำหน้าลำบากใจ เธอพยายามคิดหาวิธีที่จะพูดปฏิเสธ แต่พอเงยหน้าสบตาคุณหญิงที่มองมาเพื่อรอคำตอบ รัตติกาลก็เริ่มที่จะอึดอัด เธอเหล่สายตาไปมองอาทิตยะแว่บนึง ก่อนจะนึกคำพูดขึ้นมาได้
เอ่อ คุณยายขา คือฟ้าเอ่อ ฟ้ายังไม่เก่งอ่ะคะ กลัวไปเป็นภาระมากกว่าจะไปช่วย
ไม่เป็นไรครับคุณยาย ดูแล้วก็น่าจะไปเป็นภาระจริงๆ เสียดายนะครับ เห็นทำตัวเก่ง นึกว่าเก่งจริง ฮึ! อาทิตยะจงใจพูดแหนบแนมหญิงสาว
ทำให้รัตติกาลถึงกับหันไปมองชายหนุ่มด้วยสายตาบ่งบอกความโมโหที่เขาพูดจาสบประมาทเธอ ซึ่งเขาเองก็จ้องมองเธอด้วยสายตายั่วๆอยู่ก่อนแล้ว
วินาทีนั้นเองที่รัตติกาลตัดสินใจ เธอเอ่ยออกมาโดยสายตาก็ยังจับจ้องอยู่ที่เขาเช่นเดิม
คุณยายค่ะ ตกลงคะ ฟ้าจะไปทำงานให้คุณอาทิตย์ค่ะ
คุณหญิงที่นั่งฟังอยู่ก็พอจะจับท่าทางและน้ำเสียงที่ทั้งสองคนตอบโต้กัน ว่ามันไม่ปกติเท่าไหร่นัก แต่เธอก็ได้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพราะทางที่ดีที่สุดของเธอคือเข้าข้างใครไม่ได้
อาทิตยะยิ้มยั่วๆให้กับเธอที่ดูจากท่าทางแล้วเหมือนเด็กที่กำลังโกรธเพราะโดนผู้ใหญ่แกล้ง
**################################**
จากคุณ |
:
เงาไทร
|
เขียนเมื่อ |
:
3 ก.ย. 54 13:17:53
|
|
|
|