Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
PSYCHO...........MAN ติดต่อทีมงาน

============
PSYCHO.......MAN
============



ผมมองป้ายบอกชื่อถนนอย่างแปลกใจ

ถนนนักเขียน

“อะไรฟะ..ทำไมไม่ชื่อถนนักอ่านฟะ.”

ผมอุทานในใจ จนเสียงหลุดออกมาจากลำคอ สู่โลกภายนอก แบบไม่สุภาพเล็กๆ พองาม.. แล้วในวินาทีนั้น ผมก็รู้สึกเหมือนบรรลุอะไรสักอย่าง ที่ไม่ควรบรรลุ แต่ความจริงแล้วผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำไปว่า อะไรคือบรรลุ อะไรคือไม่บรรลุ พูดตามความรู้สึกจริงๆ ผมยังไม่สามารถแยกออกว่าบรรลุคืออะไร ไม่คืออะไร

แล้วไม่ไม่....คืออะไร

แล้วไม่ไม่ไม่....คืออะไร

-ในขณะผม รีๆรอๆ ข้างถนน รถเก๋งเก่ามาก แต่ ...ป้ายแดงคันหนึ่ง ก็ผ่านผมไปในระยะห่างกันแค่ 2 หุน ไม่รู้คนขับกลัวอะไร แต่ผมคิดว่าต้องมีสาเหตุ ลมกระโชกวูบผ่าน บอกให้ผมทราบว่า หวุดหวิดหวาดเสียวขนาดไหน

ผมมองแวบเดียว

เป็นผู้หญิง

เธอหันมามอง ทั้งที่รู้ว่ายังไงก็ไม่เห็น ฟิล์มกรองแสงดำขนาดนั้น

แต่รู็ว่าเธอหันมามอง รู้ว่ากำลังเคี้ยวหมากฝรั่ง คงจะกะเปิดกระจก พ่นหมากฝรั่งใช้แล้วใส่ทันยา.....

รถ

คิดอะไรขนาดนั้น......

ผมไม่แปลกใจเลยเมื่อได้ยินเสียงดังโครมใหญ่  ผมมองข้างหน้า เห็นรถคันนั้นพลาดท่าตกขอบถนน ล้อข้างหนึ่งกระเด็นหลุดออก ตัวรถหมุนคว่้าง..ล้อรถ ลอยหมุนคว้างขึ้นไปในอากาศ ตัดกับกลุ่มควันหนาทึบเบื้องหลัง เหมือนภาพสโลว์โมชัน เธอคงกลัวอะไรบางอย่าง

ผมชะลอความเร็วรถลง เปิดกระจก ยื่นหน้าออกไปถาม ท่าทางเธอไม่ได้รับอันตรายมากนัก

“ให้ช่วยอะไรไหมครับ”

ผมหมายความตามนั้นจริงๆ แต่เชื่อไหมครับว่า พอเธอหันมามองหน้าผม สายตาคู่นั้นเบิกโพลงอย่างคนสติแตกจิตตก  ความจริงผมไม่เคยคิดว่าผมมีวิญญาณของฆาตกร ผมไม่เคยฆ่าใคร แต่สายตาของเธอไม่ต่างจากสายตาคนปกติกำลังมองฆาตกรโรคจิต

“กรี๊ด.......”

เจ้าหล่อนแผดรองสุดเสียง วิ่งออกมาจากซากรถ กระเซอะกระเซิง สุดขีด แล้วให้ตายเถอะ...เธอวิ่งไปตกท่อระบายน้ำที่เปิดฝาทิ้งเอาไว้

ตกท่อไปแล้วแบบไม่รู้ตัว อนิจจา

“อะไรฟะ..”

ผมหมายถึงผมพูดกับตัวเอง  ใช่..หมายถึงผม...ทำไมผมต้องถามตัวเองแบบนี้...แต่ผมไม่แน่ใจว่าผมเป็นใครเท่านั้น  ก็หมายถึงผมไม่มีความจำเป็นอะไรจ้องแน่ใจ  ผมจะแน่ใจไปทำไม มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะแน่ใจ หรือไม่แน่ใจ.. มันสำคัญขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร แล้วนี่เธอกลัวอะไรกัน

ผมน่ากลัวขนาดนั้นเชียว...แหม..หมาแมวข้างบ้าน ยังไม่เห็นกลัว

ไม่ช่วยล่ะ.. โผล่ไปช่วย เธอคงมุดท่อหนี ..เพราะหน้าผมเหมือนซอมบี้บวกผีดิบ ไม่ได้หล่อปางตายแบบเกาหลี ที่หลายคนคลั่งปางตาย

แปลกฃะมัด

ผมรู้ว่าความกลัวไม่ได้เกิดเอง คนเราต่างหากสร้างมันขึ้นมา และยึดติดว่าความกลัวนั้นเป็นของตัวเอง ก็คงไม่ต่างจากความรักเท่าไรหรอกครับ ผมคิดเช่นนั้น ร่างกายไม่ได้เรียกร้อง จิตสร้างขึ้นมาเอง และยึดถือเอง....

ไม่...ผมว่าไม่ใช่ บางทีผมไม่ต้องเอาใจไปติดกับอะไรบางอย่าง

ผมถอนใจ ก้าวขึ้นรถ ขับต่อไป

ช้างทางผมเห็นบ้านหลังเล็ก เสาเดียว มาอยู่นี้ได้อย่างไร ผมมองอย่างแปลกใจ

แต่ผมก็ยกมือไหว้ส่งๆ แน่ล่ะ..ผมไม่รู้อะไรนี่ครับ จะเป็นเจ้าแม่เจ้าอะไรก็ตาม... แต่ผมเชื่อในหลักธรรมของพระพุทธเจ้ามากกว่า ความจริงผมไม่แน่ใจว่าศาลดังกล่าวจะเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่จริงหรือไม่ การที่ศาลนั้นตั้งอยู่มานาน มันจะทำให้จิตวิญญาณ หรืออะไรก็ตาม อัฟเกรดมาเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ได้หรือไม่ ผมไม่รู้

ขับรถต่อไป

ผมขับอย่างระมัดระวัง เพราะ ทันยา (ชื่อรถของผม) ถึงจะเก่าแก่ แต่ผมก็รักเธอ ไม่อยากให้ไปเฉี่ยวชนกับใคร แม้หลายครั้งเห็นว่ารถคันอื่นแฉลบมาทำท่าจะชนทันยา ของผมก็ตาม จริงๆ บางอารมณ์ผมก็อยากชน แต่มาคิดว่า นอกจากความสะใจ อันเป็นลบ

นอกนั้นคงไม่ได้อะไรดีขึ้นมา

ที่จริง.ใช่....ผมหมายความอย่างนี้จริงๆ มันง่ายมาก ถ้าจะหักพวงมาลัยไปปะทะกับรถข้างๆ ที่พยายามเบียดเสียดมา ,มันง่ายมาก........

ง่ายมาก...ในการจะมีเรื่อง กับใคร กับอะไร.. กับรถข้างๆ แค่สวนแรงๆ ขับแรงๆ  กระแทกไป ก็ได้เรื่องสมใจแล้ว แต่มันไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากพังด้วยกันทั้งสองคัน  ทันยาของผมเองก็คงไม่ชอบใจ เธอไม่อยากทำร้ายใครหรือทำร้ายอะไร เธอเพียงอยากขับไปตามทาง เท่านั้น  ถึงจะมีการยั่วยุก็ตาม


การให้ที่ยิ่งใหญ่ คือการให้อภัย...ผมท่องในใจ

การชนกันมันง่ายมาก  ไม่มีเรื่องความจริงก็ยากแต่ต้องทำใจ...แต่ถ้าเป็นไปได้หลบเลี่ยงการชนจะดีกว่า

ทันใดนั้น..เสียงไซเรนก็ดังไล่ล่ามาด้านหลัง ผมมองซ้ายมองขวา และนำรถเข้าทาง




ผมเบียดรถเข้าข้างทางชิดขอบถนน มองกระจกหลังเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงคนหนึ่งถือเครื่องไม้เครื่องมือพะรุงพะรังเดินใกล้เข้ามา  ใช่...ผมกำลังจะโดนจับ

ไม่น่า....ผมมีใบขับขี่...

ไม่ได้ดื่มเหล้า เบียร์ หรืออะไรที่ต้องห้าม ไม่มีอะไรต้องกลัวเพียงแต่รู้สึกง่วงนิดหน่อยเท่านั้นเพราะขับรถมาหลายชั่วโมง

ผมเลื่อนกระจกลงเตรียมตัวชี้แจงความบริสุทธิ์ของตนเอง

"ขออนุญาตวัดระดับความอกหักคุณหน่อยนะคะ"   เสียงของเธอหวานชวนฝัน

"จ๊วก....!!!"

ผมร้องสุดเสียง หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เธอยืนยิ้มกริ่ม

"อะไรนะครับ"

ผมมองหน้าตำรวจหญิงคนนั้นอย่างไม่แน่ใจ เธอมองหน้าผมด้วยสายตาของคุณครูมองเด็กโดดเรียน ก่อนย้อนถามว่า

"คุณไม่ได้ติดตามข่าวเหรอ กฎหมายอกหักห้ามขับ ประกาศบังคับใช้วันนี้"

"อ่า...."  

ผมอุทานเสียงหลง เธอพยักหน้าแล้วพูดยิ้มๆ ดูแล้วหวานตาหวานใจ

"คุณนี่ไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย ทำเป็นฟังไม่ชัดแบบหนังไทยไปได้ อย่างนี้น่าจะยึดใบสั่งนะ"

งือๆๆ...ผมครางในใจ มิน่าวันนี้รถน้อยผิดปกติ ทางโล่งวิ่งสะดวก มันมีอะไรบางอย่างผิดปกติ ผมรู้ว่ามันผิดปกติอย่างไม่ต้องสงสัย

"อ่า..มีเรื่องอย่างนี้ด้วยหรือครับ แล้วจะวัดอย่างไรล่ะนี่"

"เรามีเครื่องมือ"

เธอวางอุปกรณ์อื่นๆลงก่อนชูอุปกรณ์คล้ายมัลติมิเตอร์ขนาดฝ่ามือให้ดู พลางอธิบาย

"เอาหูฟังนี่แตะบริเวณหัวใจ เครื่องจะแสดงระดับความอกหัก สีน้ำเงินบนสเกลหน้าปัดหมายความว่าคุณไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ สีเขียวเริ่มมีเล็กน้อย ไล่ตามโทนสีมาเรื่อยๆจนถึงสีแดงแสดงว่าคุณอกหักเกินระดับทางการกำหนดต้องลงโทษตามกฎหมาย"

"อ่า.."

ไม่ต้องอ่า...ยกมือขึ้นทั้งสองข้าง"

"อะไรครับ"

"ไม่ต้องมาอะไร"

"แน่ใจนะครับว่านี่เป็นการตรวจหัวใจ ไม่ใช่การปล้นใจ"

"มันเป็นระเบียบในการปฏิบัติงาน อย่าพูดมาก"

หล่อนดุเสียงเขียวแตะอุปกรณ์คล้ายๆหูฟังซึ่งหมอพยาบาลใช้กันทั่วไปบนอกผม ใบหน้าเรียบเฉย แต่ดูไปมาก็น่ารักเหมือนกัน  ผู้หญิงอย่างไรก็น่ารัก

ตำรวจหญิงคนนั้นเอียงคอ มองดูเครื่องวัดระดับความอกหักในมือครู่หนึ่ง แล้วมองหน้าผม

"มีอะไรหรือครับ"

ผมถามอย่างสงสัย หูฟังประทับตรงดวงใจทำให้เกิดความรู้สึกแปลกๆอย่างประหลาด

"เข็มมันตีกลับไปทางหนึ่ง แถมเปลี่ยนไปแกว่งมายังกับลูกตุ้มนาฬิกา"

"หมายความว่าอะไรครับ"

"หมายว่าคุณเป็นโรคใจง่ายนะสิ อย่ามาคิดบ้าๆกับฉันนะ"

"อ้าว...." ผมร้องเสียงหลง

"ไม่ต้องมาทำร้อง...คุณกำลังคิดไม่ดีกับฉันแน่เลย เดี๋ยวเจอข้อหาคิดไม่ดีกับเจ้าพนักงานหรอก"

ผมเกือบจะเอาหัวโขกพวงมาลัยในคอหักตายในบัดนั้น อะไรกันนี่.. ทำไมพวกผู้หญิงไม่มีเหตุผลแบบนี้.....ไม่ๆๆ....เธอต้องมีเหตุผลที่ผมยังไม่เข้าใจ เห็นไหมว่าผมพยายามมองโลกในแง่ดีขนาดไหน

"เปล่านะครับ ผม เอ้อ.....เพียงคิดว่าคุณตำรวจน่ารักจังเท่านั้น"

หล่อนยิ้มเยือกเย็นยังไม่ยอมเอาที่ตรวจวัดออก มองหน้าผมอย่างเอาเรื่อง

"อีกข้อหาหนึ่ง แซวเจ้าพนักงานคุณเตรียมตัวหาทนายไว้เลย....อ้าว เข็มเบนไปอยู่ที่สเกลสีดำแล้วแปลว่าคุณตอนนี้ความคิดกำลังท้อถอยเป็นโรคประสาทต้องพาไปหาหมอก่อนขึ้นศาล"

"เอาเลยครับ มีกี่ข้อหาเอามาให้หมด"

น้ำตาผมไหลพรากอาบแก้ม "ยังไงขอผมสั่งเสียญาติพี่น้องก่อนนะครับ แล้วผมจะไปอยู่ในกรงขังในใจคุณ"

"ปากเสียอีกกระทงหนึ่ง ประหารชีวิตอย่างเดียว"  ฟังแล้วใจหายวาบ

ไม่พูดเปล่า หล่อนชักปืนออกมาจ่อหน้าผากผม เหนี่ยวไกเปรี้ยง...

ผมโดนยิง!
ผมกำลังจะตาย....ไม่..ผมต้องตายไปแล้วต่างหาก มันต้องเป็นแบบนี้ แต่ว่า ทำไม...

ไม่...ผมรู้...ผมรู้ว่าผู้หญิงไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกคน ผมแน่ใจ....แน่ใจ พอๆ กับแน่ใจว่าผมกำลังโดนยิง แต่ให้ตายเถอะ...ตายในเงื้อมมือของสาวสวยๆ ก็ไม่เลวเหมือนกัน ถ้าไม่มีทางเลือก


+++++


วันนั้นผมตื่นสายปกติ

ผมควานมือหาโทรศัพท์

ทะลึ่งไม่เจอ.......

แล้วจะโทรหาใครกัน......ท่าจะบ้า  แต่ผมไม่แปลกใจหรอกครับ ใครๆก็บ้าได้ตามโอกาสและจังหวะอยู่แล้ว สุดแท้แต่ว่าใครจะมองมุมไหน บ้าแบบไหน...ความบ้าเป็นรสนิยมอย่างหนึ่งที่มักถูกปฏิเสธ แม้จะหอมหวาน...

หลังจากฝันบ้าๆบอๆ อยู่พักหนึ่ง ..นอนพักหนึ่ง...ก็ลุกขึ้นหลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ออกมาลวกบะหมี่ซองนั่งกินกับกาแฟ เปิดทีวีดูอย่างไม่รีบร้อน..ไปสายนิดสายหน่อยช่างมัน...เรื่องงานเอาไว้ทีหลัง

โธ่...คนโสดอย่างผมก็ลำบากหน่อยแต่สบายใจดีไม่ต้องมีแม่มดมานั่งร่ายเวทย์ให้ฟังเหมือนเพื่อนๆ

"วันนี้เป็นวันแรกที่ประกาศใช้กฎหมายอกหักไม่ขับ......รวมไปถึงข้อบังคับเกี่ยวกับหัวใจมีรักซึ่งสามารถตรวจวัดได้ด้วยเรดาร์....หวังว่าเช้านี้...."

โฆษกสาวประกาศจากจอทีวีผมสะดุ้งสุดตัว มันอะไรกันนี่ แก้วกาแฟในมือหล่นแตกเพล้ง

ตำรวจสาวคนนั้นโผล่ออกมาจากห้องน้ำด้านหลังในชุดกระโจมอก หล่อนคงกำลังอาบน้ำอยู่ ผิวขาว.....เนินอกสวยรำไร ผมตาโตเท่าไขห่าน

"เป็นอะไรคะที่รัก" เธอเลิกคิ้วถามเสียงหวาน

อ้าว ผมมีเมียตอนไหนนี่ แถมยังเป็นตำรวจสาวคนนั้นด้วย

เรื่องบ้าๆมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ป้ายบอกชื่อถนนนักเขียนหมุนติ้วอยู่ข้างทาง ทั้งที่ไม่มีกระแสลมกรรโชก

“ไม่......”

ผมร้องสุดเสียง มันไม่ใช่เรื่องจริง

ผมวิ่งสุดกำลังออกมายืนหน้าบ้านและมาได้สติบนถนนสายว่างเปล่าไม่มีรถวิ่งแม้แต่คันเดียวของเช้าวันนั้น   ไม่มีรถแม้แต่คันเดียว พวกเขากลัวอะไรกัน

และทันใดนั้น ผมนิ่งคิดและเริ่มยิ้มกริ่ม ต้องการแบบนี้ใช่ไหม.....ได้เลย....

ก่อนหันไปคว้าตัวของเธอมากอดเต็มแรง...

.และ...เต็มแรง......


ผมรู้ว่าใช่ แต่ถ้าไม่ล่ะ....

ไม่..เพราะผมรู้ว่่าใช่....ผมหมายความว่าผมคิดแบบนั้นจริงๆ



The end.


+++++++++

แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 54 23:10:27

แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 54 22:26:15

แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 54 22:24:36

แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 54 22:01:03

แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 54 21:44:28

แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 54 21:39:11

จากคุณ : Psycho man
เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 54 21:31:00




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com