Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มิ่งแก้วจอมหทัย บทที่ ๑๖ : หนี้แค้น ติดต่อทีมงาน

หายไปนานหน่อยค่ะ ช่ววงนี้ และจะมาบอกพร้อมข่าวร้ายว่า อินของดโพสท์ในถนนซักชั่วระยะหนึ่งนะคะ บทนี้จะเป็นบทสุดท้ายแล้ว ส่วนที่บลอค อินยังคงลงอยู่เรื่อยๆ ค่ะ หากคิดถึง ตามไปที่บลอคอินนะคะ ^^


บทที่ ๑๖ : หนี้แค้น


บ่ายจัดแล้ว กว่าที่องค์จอมทัพใหญ่จักเสด็จกลับเข้ามาในกระโจมพัก วรกายบางทิ้งองค์ตุบลงบนพระที่หมายบรรทมให้สบาย หลังจากที่กรำศึกมาตลอดเพลาเช้า มิหนำยังจักต้องดูแลการสร้างค่ายคูหอรบเตรียมรับมือศัตรูอีก เจ้าหลวงกาสะลองบรรทมแผ่เหยียดแขนขากางเต็มพระที่อย่างที่เอื้องคำตามมาเห็นเข้าเป็นต้องร้องว่า 'ไม่งามเจ้า' แน่ แต่ตอนนี้พระพี่เลี้ยงไม่ได้ตามมาด้วย ก็ขอทำตามพระทัยสักน้อยเถิด แต่ยังไม่ทันจักได้หลับพระเนตรลง วรกายบางก็มีอันต้องเร่งผุดลุกขึ้นประทับอีกคำรบ เมื่อสดับเสียงแหวกภูษากั้นทางเข้ากระโจมเข้ามา เนตรสีนิลแปรเป็นสีมรกตทันทีที่ทอดพระเนตรเจ้าคนบังอาจล่วงล้ำเข้ามา พร้อมกับสุรเสียงขุ่นที่ขานนาม

“พี่แจ้งหล้า นึกจักเข้าก็เข้ามาหรืออย่างใด”

ราชองครักษ์หนุ่มไม่ตอบ กลับหันไปเปิดภูษารับบุรุษอีกคนหนึ่งให้เดินเข้ามาด้วย ก่อนจักเดินนำชายนั้นเข้ามาทรุดกายลงนั่งคุกเข่าต่อเบื้องพระพักตร์ แล้วทูลหน้าตาเฉย

“ข้าเจ้าพาหมอหลวงมาถวายการรักษาเจ้า”

“จู่ๆ ก็พามารึ”

“ข้าเจ้าทูลตั้งแต่ตอนสร้างค่ายแล้วนี่เจ้า เจ้าหลวงต่างหากที่ทรงลืม”

คราวนี้นายสาวเป็นฝ่ายรับสั่งไม่ออกเสียเอง เมื่อทรงทบทวนดูแล้วก็ทรงทราบว่าที่อีกฝ่ายทูลนั้นเป็นความจริง กระนั้นก็ยังไม่วายบ่น

“บอกตอนยุ่งๆ ผู้ใดจักจำได้เล่า”

อันที่จริงทรงลืมไปแล้วเสียด้วยซ้ำว่าทรงต้องอาวุธได้รับบาดเจ็บกลับมา พอแจ้งหล้าพาหมอหลวงมาเยี่ยงนี้ ก็เพิ่งจักทรงรู้สึกเจ็บที่บั้นพระองค์ขึ้นมานิดๆ ลำพังแต่เรื่องถวายการรักษาบาดแผลไม่เท่าใดนัก แต่ทรงเกรงว่าจักต้องเสวยพระโอสถนี่ต่างหาก จักหาสิ่งใดแย่ไปกว่านี้ไม่มีแล้ว  

“แผลน้อยเดียว ปล่อยไว้ก็หายเอง”

“ไม่ได้เจ้า”

ไม่ใช่หมอหลวงที่ตอบ แต่เป็นราชองครักษ์หน้านิ่งที่นั่งอยู่ข้างหมอต่างหากที่ตอบแทน ข้างหมอหลวงคนนี้ก็พาซื่อตามคำของแจ้งหล้าเสียอีก ท้ายสุดนอกจากถวายการรักษาแล้ว ก่อนจักทูลลากลับไปนั้น หมอหลวงยังจัดพระโอสถถวายแลกำชับให้เสวยสามเพลาติดต่อกันไปอีกสองทิวาเสียอีก ทำเอาคนเจ็บถึงกับพักตร์มุ่ย

คล้อยหลังหมอหลวงไปครู่เดียว ยังไม่ทันที่แม่ทัพหนุ่มจะเริ่มทำหน้าที่พี่ชายบังคับน้องสาวแสนดื้อให้เสวยโอสถเสียด้วยซ้ำ เสือปกก็ปราดเข้ามาในกระโจมขององค์จอมทัพใหญ่อีกคน ทำเอาเจ้าของกระโจมถึงกับถอนพระทัยเฮือก

“มาอีกคนแล้ว นี่พวกพี่ลืมไปแล้วหรืออย่างใดกันว่าข้าเป็นแม่ญิง เข้าๆออกๆ กระโจมข้ากันม่วนเทียว”

“ขอสุมาเจ้า เจ้าหลวง” เสือปกยิ้มแหยพลางทูลขอสุมา ก่อนจักเอ่ยสืบต่อว่า “เพลานี้ระเมากลับมาแล้วเจ้า ข้าเจ้าให้เขารออยู่ที่ข่วงชุมพลเจ้า”

สดับวาจาของอีกฝ่าย วรกายโปร่งระหงก็ทรงผุดลุกขึ้น แล้วดำเนินก้าวยาวๆ ออกไปด้านนอกทันทีด้วยสีพระพักตร์ที่ยากจักมีผู้ใดคาดเดาได้ว่า เพลานี้องค์จอมทัพทรงรู้สึกหรือดำริการใดอยู่กันแน่ ข้างแจ้งหล้าเองก็ขมวดคิ้วนิดๆ กับข่าวนี้ แต่มิได้เอ่ยวาจาใดออกมา คงฉุดแขนสหายตามเสด็จผู้เป็นนายไปติดๆ เท่านั้น


ข่วงชุมพลหรือลานกว้างกลางค่ายที่จัดเอาไว้เป็นที่สำหรับประชุมพลก่อนยาตราทัพนั้น บัดนี้เต็มไปด้วยผู้ที่ล่วงรู้ข่าวการ กลับมาของจารบุรุษคนสำคัญ เมื่อเจ้าหลวงกาสะลองเสด็จมาถึงก็รับสั่งให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกลับไปทำหน้าที่ของตนเสีย พระบัญชานั้นแม้ผู้เป็นนายจักรับสั่งด้วยสุรเสียงเป็นปรกติธรรมดาก็ตาม ทว่าผู้ที่ยินรับสั่งนั้นก็ปฏิบัติตตามแต่โดยดีถึงแม้ในใจจักกระหายใคร่ทราบความเป็นไปก็ตามที หากเป็นเมื่อกาลก่อนคงมีผู้คิดลองดีหาญขัดพระบัญชา แต่จากการยุทธนาเมื่อตอนขวายที่ผ่านมาทำให้คนเหล่านั้นสงบปากคำแลสงบเสงี่ยมได้ชะงัดนัก

จอมนางทอดพระเนตรระเมากับพวกอีกสิบสองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องพระพักตร์ด้วยสายพระเนตรครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ แสนหลวงเคยทูลว่าอัคนีนั้นเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก ซ้ำระเมายังเคยมีความเก่ากันมาแต่ครั้งก่อน อีกประการหนึ่งนั้นเล่า ผู้ที่หนีออกมาพร้อมระเมาคราวนี้จำนวนสิบคนก็ล้วนแล้วแต่เป็นจารบุรุษที่ถูกส่งให้ไปสืบความในเวียงตองเทียนทั้งสิ้น แล้วมีหรือที่คนเยี่ยงนั้นจักประมาทให้นักโทษคนสำคัญหนีออกมาง่ายดาย ทั้งบุรุษผมเผ้าหนวดเครารุงรังอีกสองคนที่เหลือนั้น จักเป็นผู้ใดมาจากไหนก็ยังไม่รู้แน่ เป็นครู่กว่าที่เจ้าหลวงกาสะลองจักทรงละสายพระเนตรจากกลุ่มของระเมา แล้วหันมาทางเสือปกกับอุ่นเมือง พลางรับสั่งสุรเสียงเฉียบ

“อุ่นเมือง เสือปก แยกสองคนนี้ออกจากคนของเราไปคุมตัวไว้ก่อนที่ทิมดาบ”

สองแม่ทัพใหญ่ค้อมศีรษะรับพระบัญชาแล้วเร่งเข้ามาพาตัวสองบุรุษแปลกหน้าออกไป พระวาจา 'คุมตัวไว้ก่อน' นั้นหมายความอย่างใด ทั้งสองแจ้งแก่ใจดี

“แจ้งหล้า บุญลือ กันสิบคนนี้แยกไปที่กระโจมกลาง แล้วรออยู่ที่นั่นก่อน ราตรีนี้ข้าจักไปสมทบ”

ไม่ต้องรอให้เข้ามาแยกตนเองออกไปแต่อย่างใด กลุ่มจารบุรุษทั้งนั้นก็ยกมือไหว้สานายสาวแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปหาสองบุรุษโดยดุษณี ด้วยคนเหล่านี้ต่างเคยเป็นทหารเก่าเวียงตองเทียนที่อยู่ร่วมชุมโจรกับแสนหลวงมาก่อน ซึ่งต่างก็เคยประจักษ์น้ำพระทัยแลพระปรีชาของเจ้าหลวงกาสะลองมาแล้ว

“พี่ภูหลวง เพลานี้กระโจมพี่จักสะดวกหรือไม่”

เท่านั้นภูหลวงก็แจ้งใจ สำหรับผู้ที่ตกอยู่ในฐานะจำเลยแห่งความสงสัยนั้น ไม่อาจจักกระทำการซักถามต่อธารกำนัลได้ หากฝ่ายตนยังส่งไส้ศีกเข้าไปสอดแนมได้ มีหรือที่ฝ่ายนั้นจักไม่กระทำดุจเดียวกัน ในเพลาสงครามใช่จักวางใจผู้ใดได้สนิท ภูมินทร์กับใจแก้วสองจารบุรุษที่น้องชายตนไว้วางใจหนักหนานั้นเป็นเยี่ยงให้เห็นมาแล้ว แสนหลวงเองก็ดูเหมือนจักเข้าใจพระประสงค์ของนายสาวดี จึงมิได้ทูลความใดขัดขึ้นมาสักคำเดียว ระเมาเป็นคนของเขาก็จริง แต่ถ้าอีกฝ่ายแปรใจไปอยู่ข้างธาตวากรเสียแล้ว เขาก็ไม่อาจช่วยเหลือได้เฉกกัน


เจ้าของกระโจมขยับออกมายืนคู่กับแสนหลวงทางด้านหลังระเมาที่นั่งคุกเข่าต่อเบื้องพระพักตร์จอมนาง ซึ่งประทับอยู่ที่ตั่งทางด้านขวาของกระโจม สีพระพักตร์ของผู้เป็นนายเรียบสงบก็จริง หากเนตรกลับมีแววครุ่นคิดอยู่ตลอดเพลายามทอดจับจารบุรุษคนสำคัญ เจ้าตัวก็เหมือนรู้ตนจึงนั่งก้มหน้านิ่งรอการไต่สวนแลพิพากษาอยู่โดยดุษณี เจ้าหลวงกาสะลองทอดถอนพระทัยยาวพลางสบเนตรกับแสนหลวงอย่างขอความเห็น จักอย่างใดระเมาก็ยังได้ชื่อว่าเป็นคนของแสนหลวงอยู่นั่นเอง การจักลงโทษหรือทำการสิ่งใดโดยข้ามลำดับการบังคับบัญชาก็ใช่จักเหมาะสมนัก แลเหนืออื่นใด ระเมากับแสนหลวงมิใช่คนเวียงสบสอง

แม่ทัพหนุ่มเห็นสายพระเนตรของนายสาวแล้วก็เข้าใจ จึงค้อมศีรษะลงน้อยหนึ่งเป็นเชิงทูลให้ทำได้ตามพระประสงค์ เพราะเพลานี้เขาเองก็คลางแคลงในตัวของคนสนิทอยู่ใช่น้อย แม้ที่ผ่านมาระเมาจักแสดงชัดว่าเป็นคนซื่อแลจงรักต่อผู้เป็นนายก็ตาม หากเพลาที่เขาถูกจับกุมตัวไว้นั้นก็นานพอที่จักทำให้ความเชื่อมั่นถูกบั่นทอนไปใช่น้อย ระเมาไม่ใช่นายกองหรือจารบุรุษเพียงเท่านั้น หากฝีมือการรบของเขาก็มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ใดเลย คนอย่างอัคนีนั้นต่อให้อีกฝ่ายเป็นศัตรูก็ตาม ทว่าเล็งเห็นความสามารถแล้วมีหรือจักไม่หาวิธีกล่อมเอาไว้ให้อยู่กับตัว ขึ้นชื่อว่าความจงรักภักดีแล้ว สิ่งที่จักสามารถสั่นคลอนให้อีกฝ่ายผันใจออกจากนายเดิมได้ก็คือลาภยศสักการ

“ระเมา จงเล่าไปว่าเหตุใดจึงถูกจับตัวได้ ข้าขอความจริง”

กระแสรับสั่งเฉียบขาดเช่นเดียวกับทิวาที่ทรงไต่สวนความคดีปล้น นายกองหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตาด้วยผู้เป็นนายอย่างไม่หวั่นไหว ดวงตาคู่นั้นจับนิ่งเพียงวงพักตร์ละมุนฉายแววของความจงรักแลสัตย์ซื่อดุจเคยเป็น น้ำเสียงที่ทูลตอบนั้นหนักแน่นมั่นคงทุกถ้อยคำ  

“ข้าเจ้าเข้าไปในเวียงตองเทียนได้ด้วยความช่วยเหลือของภูมินทร์ แต่ไม่คิดเลยสักน้อยว่ามันจักเอาใจออกห่างเราไปเข้าด้วยไอ้อัคนีเสียแล้ว ทิวานั้นแทนที่ข้าเจ้าจักได้ความใดๆ กลับกลายเป็นถูกสั่งจำตรุ ที่นั่นข้าเจ้าพบกับพี่น้องเราที่เข้ามาก่อนหน้า ต่างบอกความตรงกันสิ้นว่า ภูมินทร์กับใจแก้วนั้นถูกอัคนีเอาตัวไปเป็นพวกเสียแล้ว โดยแลกกับตำแหน่งแม่ทัพ แลถ้าการศึกครานี้พวกมันชนะ ภูมินทร์จักได้เป็นเจ้าหลวงพระองค์ใหม่”

ถ้อยวาจาของระเมานั้นยังให้คนที่เหลือต่างมองหน้ากันด้วยความรู้สึกที่ยากจักเอ่ยเป็นวาจา อนิจจา ความอยากได้ใคร่ดีของคนเรานำพาให้หลงลืมแลทรยศกระทั่งเพื่อนพ้องร่วมชาติได้ถึงเพียงนี้

“อัคนีวางเวรยามหละหลวมจนเจ้าหนีออกมาได้กระนั้นรึ”

“เปล่าเลยเจ้า การวางเวรยามนั้นเข้มแข็งจนผู้ใดก็ลอบเข้ามามิได้ สถานที่ที่มันพาข้าเจ้ากับพวกไปจำตรุไว้นั้นคือใต้คุกหลวงอีกต่อหนึ่งเจ้า ตรุนั้นมีไว้เพื่อจองจำนักโทษฉกรรจ์โดยเฉพาะแลมีทางเข้าออกทางเดียวเท่านั้น ความข้อนี้เจ้าหลวงทรงถามท่านแสนหลวงได้เจ้า”

เนตรสีนิลตวัดมาทางแสนหลวงอย่างขอคำตอบ แม่ทัพหนุ่มจึงเอ่ยรับรอง

“เป็นความจริงเจ้า เจ้าหลวง”

“แล้วเจ้าออกมาได้อย่างใด”

เจ้าหลวงกาสะลองรับสั่งถามระเมาเพื่อเอาความสืบต่อ จารบุรุษหนุ่มหัวเราะน้อยๆ อย่างหยันศัตรูที่อยู่ห่างไกลก่อนทูลตอบ

“เพราะความคิดที่ว่า ทางเข้าออกมีเพียงหนึ่งเดียว ดังนั้นการวางเวรยามเข้มแข็งจึงมีอยู่เฉพาะบริเวณนั้น ด้านในตรุนั้นเป็นปราการหินล้วนไม่มีทางจักเจาะออกมาได้ หากพวกมันมองข้ามไปอย่างหนึ่งเจ้า พื้นตรุนั้นแท้แล้วเป็นดินปราบเรียบ”

“หมายความว่า”  แย้มพระโอษฐ์นิดๆ ด้วยทรงแจ้งพระทัยแล้วว่าอีกฝ่ายใช้อุบายใด ระเมาเองก็ฉีกยิ้มกว้างเช่นกันยามทูลสืบต่อไปว่า

“เจ้า พระมโหสถเข้าเมืองพระเจ้าจุลนีได้อย่างใด ข้าเจ้าแลพวกพ้องก็ใช้วิธีการดุจเดียวกันนั้น ใช้เพลามากอยู่สักหน่อยแต่ก็ได้ผลดียิ่ง”

“ในตรุไม่มีทางที่จักเอาอาวุธหรือสิ่งใดๆ เข้าไปได้ แล้วเจ้าทำอย่างใด ระเมา”

“ข้าเจ้าเผอิญคิดอุบายนี้ได้ก็ตอนเลิกฟางที่คลุมพื้นตรุออกแลเห็นพื้นดินข้างใต้ เมื่อแรกข้าเจ้าก็ยังคิดไม่ตกว่าจักใช้วิธีใดจึงจักลอบขุดอุโมงค์ออกมาได้ หากโชคยังเป็นของพวกเราเจ้า ข้าเจ้าปะทหารยามคู่หนึ่งที่เป็นจารบุรุษเยี่ยงเดียวกับพวกเราแลยังไม่มีผู้ใดแจ้งความลับนี้ เมื่อข้าเจ้าบอกความประสงค์ พวกเขายินดีช่วย เมื่อสบโอกาสเพลาที่มาเข้าเวรจึงลักลอบส่งของให้เราทุกคนเจ้า”

เนตรสีนิลเป็นประกายวิบหนึ่งอย่างพอพระทัยนัก ระเมาแก้ข้อสงสัยของตนได้ครบสิ้น อัคนีเองก็คงคาดไม่ถึงว่านักโทษสำคัญจักใช้วิธีเยี่ยงนี้ หากบุรุษอีกสองคนที่ติดตามมานั้นเล่า

“แล้วชายอีกสองคนนั้นเล่า”

“เป็นข้าราชบริพารเก่าในเจ้าหลวงบุญวงศ์เจ้า ถูกจับตัวไปเมื่อครั้งที่ไอ้อัคนีเข้าเวียงได้ ข้าเจ้าเคยเข้าใจว่าท่านทั้งสองถูกฆ่าเสียแล้ว เมื่อได้พบกันเยี่ยงนี้จึงช่วยพากันออกมาเจ้า”

“อาหาญไวกับลุงน้อยหล้ารึ”

แสนหลวงเอ่ยสองนามที่เคยคุ้นออกมาทันทีที่ยินคนสนิทพูดจบ ระเมาหันมาเงยหน้ามองนายพลางยิ้มรับ

“เจ้า นายน้อย”

แม่ทัพหนุ่มยิ้มอย่างดีใจนักพลางทรุดกายลงนั่งเคียงข้างคนสนิท ก่อนจักทูลความแทนระเมาว่า

“ท่านทั้งสองนี้เป็นสิงเมืองของเวียงตองเทียนเจ้า เจ้าหลวง คราที่อัคนียกพลมานั้น ท่านทั้งสองซึ่งอาสาเป็นแม่ทัพออกต่อตี แต่พลาดถูกจับได้แลไม่มีผู้ใดรู้ข่าวอีกเลย พวกเราต่างเข้าใจว่าคงถูกอัคนีฆ่าเสียแล้ว แรกที่พบนั้นข้าเจ้าจำมิได้ ด้วยหนวดเครารุงรังนัก”

เจ้าหลวงกาสะลองทรงผ่อนปัสสาสะอย่างโล่งพระอุระ อย่างน้อยเพลานี้ก็วางพระทัยได้เปลาะหนึ่งแล้วว่าระเมายังมิได้ผันใจออกไปข้างศัตรู แต่สำหรับผู้มาใหม่นั้น ยังไม่สู้แน่พระทัยสักเท่าใดนัก ทว่าก่อนที่จักยุติการไต่สวนลง องค์จอมทัพใหญ่ก็เพิ่งจักทรงนึกขึ้นมาได้

“แล้วทางลับที่เจ้าออกมานั้นเล่าระเมา ป่านนี้อัคนีมันจักไม่รู้ความแล้วรึ”

“ขอทรงวางพระทัยเถิดเจ้า ทางลับนั้นข้าเจ้าวานให้ทหารคู่นั้นทำอำพรางไว้แล้วเจ้า”

ระเมาทูลตอบยิ้มๆ นัยน์ตาฉายแววขี้เล่นอย่างที่เคยเป็น อันที่จริงเขาจักวานให้ปิดตายก็ได้ หากยังเล็งเห็นถึงประโยชน์ของมันอยู่ บางทีศึกนี้อาจสำเร็จเร็วกว่าที่คิดไว้ก็เป็นได้    


กว่าที่เจ้าหลวงกาสะลองจักเสด็จกลับออกมาจากกระโจมของภูหลวงก็เป็นเพลาจวนพลบแล้ว ทว่าเมื่อเสด็จพ้นออกมาจากกระโจม วรกายบางก็พลันชะงักยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเอง สีพระพักตร์เผือดซีด พระโลหิตแทบว่าจักจับกันเป็นก้อนแข็ง เมื่อทอดพระเนตรสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องพระพักตร์เพลานี้ ท้องฟ้ายามสนธยาที่พึงจักเป็นสีส้มอ่อนตามปกติ มาเพลานี้กลับกลายเป็นสีแดงเลือดอย่างน่ากลัว อะไรก็ไม่ร้ายเท่ากับเมฆที่ก่อตัวอยู่ มันเป็นรูปปราสาทศพอย่างชัดแจ้ง สายลมที่พัดวูบมาต้องวรกายนั้นยังให้ต้องทรงยกพระพาหาขึ้นกอดองค์เอง มิใช่แค่หนาวกายหากยังเยือกไปถึงหทัย นิมิตอันน่ากลัวนี้ทำให้หนึ่งในสามบุรุษที่เดินตามออกมาพลอยชะงักตามไปด้วย พักตร์งามหวานหันกลับมาทอดพระเนตรภูหลวง

“พี่ภูหลวง”

น้อยครั้งนักที่จอมนางจักรับสั่งเรียกลูกผู้พี่ด้วยถ้อยคำนี้ยามอยู่ต่อหน้าบุคคลอื่น สุรเสียงที่เรียกขานนั้นไม่ผิดอะไรกับละอ่อนน้อยขวัญเสียเรียกหาคนใหญ่เลยสักน้อย ภูหลวงเองก็ใจไม่ดีเช่นกันเมื่อเห็นรหัสนี้ อยากจักทูลปลอบหากไม่มีวาจาใดลอดพ้นจากปากสักครึ่งคำ นอกจากนัยน์ตาที่มองสบเนตรลูกผู้น้องเท่านั้น  ส่วนแสนหลวงกับระเมานั้นมิได้เห็นภาพอันน่ากลัวนั้น นอกจากฟ้าที่แดงประดุจเลือด ราวกับว่าเมฆนิมิตนั้นจักเกิดขึ้นเพื่อสองพี่น้องต่างฐานันดรเป็นการเฉพาะเท่านั้น ยังไม่ทันที่แม่ทัพหนุ่มจักภาวนาพระคาถาใดๆ ขึ้นเพื่อปัดลางบอกเหตุนี้ ทั้งคู่ก็ถึงแก่สะดุ้งอีกคำรบ เมื่อกาตัวหนึ่งบินมาแต่ที่ใดไม่ปรากฏ มาเกาะลงที่กิ่งต้นลมแล้งใกล้ๆ นั้น มันมิได้ส่งเสียงร้อง 'กาๆ' เฉกทั่วไป หากเป็นภาษาคนได้ยินชัดเจนว่า

“เอาวา เอาวา”

ครั้นร้องเสียงนี้ได้สามคำรบแล้วก็บินลับหายไปทางหนึ่ง แม้ว่าโสตของสองนายทหารเวียงตองเทียนจักมิได้ยินเสียงร้องอันผิดธรรมชาตินั้นก็ตาม หากความเงียบอย่างน่ากลัวนั้นก็ทำให้ไม่มีผู้ใดเจรจาความต่อกันอีก ภูหลวงนั้นถึงจักสติมั่นคงสักเท่าใด หากลางร้ายที่เกิดซ้ำในเพลาไล่เลี่ยกันเยี่ยงนี้ก็พลอยให้เขาใจเสียไปด้วยมิได้ เสียงการ้องดังนี้เป็นลางบอกเหตุร้าย หมายถึงจักมีคนตาย แต่หมายถึงผู้ใดนั้นยังไม่แจ้ง ครั้นจักถามไถ่ข่าวคราวใดจากบิดาก็ให้จนใจนัก ด้วยเพลานี้เจ้าลาชาเองก็ถูกนายสาวใช้ไปส่งข่าวศึกให้เจ้าหลวงเมืองคำเสียแล้ว ต่อให้มันกลับมา ก็คงเหนื่อยเกินกว่าจักใช้งานมันซ้ำสองอีก ครั้นจักใช้พิราบส่งข่าว เพลาจวนพลบเช่นนี้ก็หาเกิดประโยชน์อันใดไม่    


วรกายโปร่งระหงดำเนินมาที่กระโจมกลางก่อนเป็นสถานที่แรก มีรับสั่งถามแจ้งหล้ากับบุญลือถึงความที่ได้ไต่สวนจารบุรุษทั้งสิบนั้น เมื่อทรงเห็นว่าได้ความตรงกันกับที่ระเมาทูลก่อนหน้านี้ จึงรับสั่งให้บุญลือพาคนทั้งสิบไปพักผ่อน ส่วนระเมากับแสนหลวงนั้นให้แยกตัวไปพร้อมกับบุญลือ เว้นเพียงแม่ทัพสองพี่น้องที่ยังต้องตามเสด็จไปที่ทิมดาบก่อน พวกจารบุรุษนั้นอย่างน้อยเพลานี้ก็ทรงวางพระทัยได้เปลาะหนึ่งแล้วว่า มิใช่กลลวงของอัคนีแน่ แต่ถึงกระนั้นก็จำต้องให้พวกเขาอยู่ในสายพระเนตรก่อนจนกว่าจักทรงวางพระทัยสนิท  

ครั้นเสด็จมาถึงทิมดาบซึ่งปลูกสร้างเอาไว้เป็นกระท่อมไม้ไผ่ธรรมดาอย่างง่ายๆ ทว่าแน่นหนาพอสมควรเพื่อเป็นที่เก็บสรรพาวุธทั้งปวง แลพร้อมสำหรับการรื้อถอนเพื่อการเดินทัพในครั้งต่อๆไป ตามปกติที่แห่งนี้จักมีเวรยามวางเฝ้าอย่างแน่นหนา หากเพลานี้กลับไม่มีทหารเฝ้าแม้แต่คนเดียว ด้วยคำสั่งของสองแม่ทัพใหญ่นั่นเอง เมื่อเสด็จไปถึงนั้นก็ทรงมีรับสั่งด้วยเสือปกกับอุ่นเมืองที่ออกมารับเสด็จอยู่อึดใจหนึ่งก็เสด็จเข้าไปด้านใน โดยไม่ทรงยอมให้ผู้ใดตามเสด็จเข้าไปด้วย

ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าจอมนางรับสั่งอย่างใดกับสิงเมืองเวียงตองเทียน หากที่รู้คือก่อนตะวันจักสิ้นแสง เจ้าหลวงกาสะลองก็เสด็จออกมาโดยมีสองบุรุษอาวุโสตามออกมาด้วยท่าทีนอบน้อมแลยอมรับในพระราชอำนาจของเจ้าหลวงสตรีพระองค์นี้อย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ผู้เป็นนายก็มิได้รับสั่งความใดอีก นอกจากจักมีพระบัญชาให้อุ่นเมืองพาคนทั้งสองไปพักผ่อน พร้อมทั้งจัดหาเสื้อผ้าตลอดจนอาหารอย่าให้ขาดตกบกพร่องได้

“แต่ว่า”

อุ่นเมืองทำท่าจักทักท้วง หากองค์จอมทัพใหญ่ยกหัตถ์ขึ้นพลางรับสั่งสั้นๆ

“ทำตามที่ข้าสั่ง อุ่นเมือง เข้าปฐมยามเมื่อใดค่อยพาพวกเขามาสมทบกับข้าที่กระโจมกลาง อ้อ! แสนหลวงก็พาระเมาไปพร้อมกันเสียเลย ภูหลวงมากับข้าคนเดียวก็พอ”

ลงรับสั่งด้วยสุรเสียงราบเรียบเยี่ยงนี้ ผู้เคยสนองราชกิจใกล้ชิดย่อมรู้ พระบัญชาเป็นที่ยุติ


*** มีต่อค่ะ

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 54 14:16:20




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com