Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลำนำรักใต้แสงจันทร์ ตอนที่ 15 ติดต่อทีมงาน

ตอนที่ 13 - 14 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10964766/W10964766.html

คุณ Tyra: โง่มักมาก่อนฉลาดค่ะ ^_^

===================================================

       เจ้าหญิงกาอิยาห์ลืมพระเนตรขึ้นอย่างงัวเงียเมื่อได้ยินน้ำเสียงตื่นเต้นของซิส พระองค์ขยับลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบกายด้วยความงุนงง แล้วดวงเนตรสีม่วงใสก็เบิกกว้างหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เมื่อทอดพระเนตรเห็นว่าส่วนในสุดของทางเดินที่เคยเป็นกำแพงทึบตัน บัดนี้กลายสภาพเป็นห้องโถงกว้างไปเสียแล้ว

       “เป็นไปได้ยังไงน่ะซิส เจ้าพบประตูทางออกแล้วหรือ” สุรเสียงใสแจ๋วตรัสซักทันควัน

       เด็กหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ

       “ไม่รู้เหมือนกัน...ข้าว่าเราเข้าไปดูข้างในกันดีกว่า”

       “เอาสิ”

       เจ้าหญิงลุกขึ้นยืนแล้วก้าวตามหลังเด็กหนุ่มเข้าไปในห้องที่เห็นเป็นเงาสลัวอยู่เบื้องหน้าโดยไม่รอช้า

       ห้องนั้นสร้างด้วยศิลาสีขาวนวลสะอาดสะอ้าน ดูผิดไปจากสีเทาทึมที่เด็กทั้งสองเห็นจนเจนตาตลอดเส้นทางที่ผ่านมา บนผนังโดยรอบประดับเชิงเทียนทองเหลืองทรวดทรงอ่อนช้อยพร้อมแท่งเทียนสีขาวเป็นระยะ เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงร่ายเวทมนตร์บทเดิมอีกครั้งเพื่อจุดเทียนไข ทำให้ห้องทั้งห้องสว่างเรืองรองขึ้นทันที

       “สวยจังเลย คิดไม่ถึงว่าใต้วิหารจะมีห้องที่สวยขนาดนี้ซ่อนอยู่” ทรงรำพึงอย่างชื่นชม

       “เจ้าแน่ใจแล้วหรือเจ้าหญิง ลองดูตรงนั้นซะก่อนเถอะ”

       ซิสขัดคอ พลางชี้มือไปยังส่วนในสุดของห้องซึ่งเป็นที่ตั้งของหีบศิลาขนาดขนาดใหญ่ ลักษณะคล้ายหีบศพ ด้านหลังมีรูปปั้นเทพธิดาสวมอาภรณ์คลุมหน้าแบบไว้ทุกข์ยืนรายล้อมอยู่ด้วยลักษณาการไว้อาลัย เมื่อทั้งคู่ก้าวเข้าไปดูใกล้ๆ จึงเห็นตัวอักษรจารึกอยู่ข้างหีบว่า...แอนเดเมียนผู้เป็นที่สนิทเสน่หาของจันทราเทวีทอดร่างอยู่ ณ ที่นี้...

       เจ้าหญิงกาอิยาห์พระพักตร์เสียด้วยความกลัว ทรงกระตุกแขนคนข้างกายพร้อมกับร้องเร่ง

       “ไปเถอะซิส อย่าอยู่ตรงนี้เลย”

       “จะรีบไปไหนเล่า” เด็กหนุ่มแกล้งยั่ว “เมื่อกี้เจ้าพูดเองไม่ใช่หรือว่าห้องนี้สวย ก็อยู่ชมความสวยอีกสักพักจะเป็นไร”

       คนเป็นเจ้าหญิงพระพักตร์คว่ำ หากพระโอษฐ์ยังเถียงไม่ลดละ

       “สวยก็ส่วนสวยสิ แต่นี่มันสุสานชัดๆ เจ้าโรคจิตหรือไงซิสถึงชอบอยู่ใกล้ๆ คนตาย”

       คนถูกกล่าวหาว่าเป็น ‘โรคจิต’ หัวเราะเบาๆ แล้วส่งสัญญาณบุ้ยใบ้ไปยังรูปสลักเทพธิดาที่ตั้งเรียงเป็นแถวอยู่ด้านหลังโลงศพ ก่อนจะบอกสั้นๆ

       “ข้ากำลังดูรูปปั้นพวกนั้นอยู่ต่างหาก”

       รูปปั้นเทพธิดาคลุมหน้าด้วยผ้าบางพลิ้วอย่างคนไว้ทุกข์ที่ซิสกำลังเพ่งมองอยู่นั้น แกะสลักอย่างวิจิตรด้วยหินมุกดาสีขาวใสเนื้อละเอียดราวกับแก้ว เทพธิดาองค์แรกและองค์สุดท้ายอยู่ในอิริยาบถเหมือนกำลังนั่งทอดอารมณ์อยู่บนแท่นหิน มีพิณทองคำขนาดเล็กวางอยู่บนตัก มือทั้งสองข้างของพวกนางแตะอยู่ที่สายพิณคล้ายกำลังบรรเลงบทเพลงอันไพเราะขับกล่อมผู้ตายให้นิทราอย่างเป็นสุข เทพธิดาอีกสามองค์ที่เหลือยืนก้มหน้าอย่างเศร้าหมองอยู่ระหว่างกลาง ในมือของนางทั้งสามช้อนประคองวัตถุบางอย่างเอาไว้ด้วย

       ประกายสีทองสุกปลั่งจากวัตถุในมือของเทพธิดาองค์ริมซ้ายกระทบสายพระเนตรของเจ้าหญิงกาอิยาห์เข้าอย่างจัง พระองค์จึงเอื้อมพระหัตถ์ไปหยิบขึ้นมาดูอย่างสนพระทัย วัตถุชิ้นนั้นมีลักษณะเหมือนกล่องใส่อัญมณี สานด้วยทองคำเส้นเล็กบางเป็นลวดลายโปร่งตา หากภายในแทนที่จะมีเครื่องประดับล้ำค่าวางอยู่ กลับกลายเป็นเส้นโลหะขนาดบางเท่าเส้นผม ขดม้วนเป็นวง สีของมันงามประหลาดคือมีทั้งสีเงินและสีทองเหลือบซ้อนกันอยู่อย่างที่พระองค์ไม่เคยเห็นในโลหะชนิดไหนมาก่อน และเพราะไม่รู้ว่าของสิ่งนี้คืออะไร มีไว้เพื่อประโยชน์อันใดเจ้าหญิงจึงปิดฝากล่องแล้ววางคืนไว้ที่เดิม เทพธิดาองค์ถัดมาถือพานศิลารองรับด้วยผ้ากำมะหยี่ดำ ด้านบนคือลูกศรสีเงินหักครึ่ง ส่วนปลายเป็นสีคล้ำราวกับถูกอาบย้อมด้วยคราบโลหิตแห้งกรัง...นี่คงเป็นอาวุธที่ปลิดชีพ ‘แอนเดเมียน’ กระมัง?

       เจ้าหญิงกาอิยาห์ไล่สายพระเนตรไปยังเทพธิดาองค์สุดท้าย นึกแปลกพระทัยนิดหน่อยที่พบเพียงม้วนกระดาษเนื้อหนาแบบที่นิยมใช้กันตามวิหารในสมัยโบราณ วางอยู่ในกล่องไม้สีน้ำตาลเข้มเกือบดำ พระองค์เอื้อมพระหัตถ์หยิบมันออกมาคลี่ดู เนื้อกระดาษอ่อนยุ่ยเก่าแก่เสียจนกลายเป็นสีเหลือง มีตัวอักษรภาษากรีนแลนด์เขียนข้อความบางอย่างเอาไว้ยาวเหยียด ภาษานั้นเก่าเกินกว่าที่เด็กสาวจะเข้าใจเนื้อความได้ตลอด หากก็พอจะอ่านได้ว่าบันทึกนั้นกล่าวถึงมหาสงครามเมื่อหลายร้อยปีก่อน ที่นักบวชผู้หนึ่งสามารถขับไล่กองทัพของศัตรูออกจากแผ่นดินกรีนแลนด์ ด้วยการบรรเลงบทเพลงจากพิณประหลาดที่ใช้เส้นผมของจันทราเทวีขึงแทนสาย...

       เจ้าหญิงละสายพระเนตรจากบันทึกชั่วคราว หันไปจ้องมองโลงศิลาขนาดใหญ่อีกครั้ง อดนึกสงสัยไม่ได้ว่า ผู้ที่ทอดร่างอย่างสงบอยู่ตรงหน้านี้จะเป็นคนเดียวกันกับนักบวชหนุ่มในบันทึกหรือเปล่า

       ในขณะที่พระองค์กำลังเพลิดเพลินกับความคิดของตนเองอยู่นั้น หนุ่มน้อยข้างกายก็ส่งเสียงอุทานขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาพระองค์ตกพระทัยจนเกือบจะเผลอร้องกรี๊ดออกมา พอตั้งสติได้จึงแหวใส่เขาทันที

       “เป็นอะไรของเจ้าอีกล่ะซิส อยู่ดีๆ ก็ร้องออกมาซะดังลั่น...หัวใจข้าเกือบจะหยุดเต้น”

       “เจ้าดูนั่นสิ”

       แทนที่จะกล่าวคำขอโทษ ซิสกลับชี้ให้เจ้าหญิงกาอิยาห์ทอดพระเนตรไปที่เทพธิดาองค์สุดท้าย

       “อะไร...” เด็กสาวเหลียวมองตามปลายนิ้วของอีกฝ่าย แล้วก็ต้องขมวดพระขนงเพราะไม่เห็นสิ่งผิดปกติแม้แต่น้อย

       “ก็รูปปั้นธรรมดาๆ นี่นา ไม่เห็นจะมีอะไรแปลก เจ้าอยากให้ข้าดูอะไรก็พูดมาชัดๆ สิ”

       เด็กหนุ่มทำเสียงจึ๊กจั๊กอย่างรำคาญ ก่อนจะเฉลย

       “มงกุฎไงเล่า เจ้าไม่เห็นหรือ”

       “ก็...เห็น”

       “แล้วไม่นึกแปลกใจมั่งหรือไง ว่าทำไมถึงมีแต่เทพธิดาองค์นี้เท่านั้นที่สวมมงกุฎ”

       “ก็...”

       ...นั่นสินะ... ในบรรดารูปปั้นเทพธิดาทั้งห้าองค์ มีแต่เทพธิดาองค์สุดท้ายนี่แหละที่สวมมงกุฎ มันต้องเหตุผลบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลังความแตกต่างนี้เป็นแน่

       เจ้าหญิงกาอิยาห์นิ่งไปอย่างใช้ความคิด เพียงครู่เดียวก็หันไปออกคำสั่งกับเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

       “เจ้าลองหมุนดูสิซิส ข้าเคยเห็นกันน์หมุนมงกุฎดอกไม้บนเศียรของรูปปั้นเทพธิดาในวิหาร แล้วประตูที่กำแพงก็เปิดออก บางทีนี่ก็อาจจะเป็นอย่างเดียวกัน”

       เด็กหนุ่มไม่ต้องรอให้คนเป็นเจ้าหญิงตรัสซ้ำ เขารีบเอื้อมมือไปที่มงกุฎบนเศียรของเทพธิดาองค์สุดท้าย ก่อนออกแรงหมุนไปทางขวาเบาๆ พอครบรอบที่สามก็มีเสียงครืดคราดดังมาจากมุมห้อง ก่อนที่เสาทรงกลมบริเวณนั้นจะพลิกเปิดออก เผยให้เห็นบันไดแคบๆ ที่ซ่อนอยู่ด้านใน!

       “ไชโย สำเร็จแล้ว”

       เจ้าหญิงกาอิยาห์ดีพระทัยจนแทบจะโผเข้าไปกอดคอเด็กเลี้ยงม้า พระองค์เสด็จตัวปลิวตรงไปยังบันไดที่เห็นทันที

       ซิสเดินกระโผลกกระเผลกตามหลังเด็กสาวไปติดๆ ดวงตาคมกริบจ้องมองแผ่นโลหะแบนบางฉลุลายวิจิตรที่เรียงซ้อนกันเป็นวงสูงขึ้นไปด้านบนอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก สภาพของบันไดดูบอบบางง่อนแง่นจนน่ากลัวว่าจะพังครืนลงมาได้ในนาทีใดนาทีหนึ่ง ถ้าใครบังอาจก้าวเท้าเหยียบลงไปโดยไม่ระวัง

       เด็กหนุ่มลองแหย่ขาข้างหนึ่งลงไปหยั่งน้ำหนักดูก่อน บันไดโลหะที่มีด้านหนึ่งตรึงแน่นกับแท่งศิลา อีกด้านร้อยด้วยโซ่เส้นบางแทนเชือกสั่นไหวเล็กน้อย แต่ก็ยังเกาะยึดกันดีอยู่ เขาจึงทิ้งน้ำหนักลงไปทั้งตัวแล้วกัดฟันเดินลากขานำหน้าคนเป็นเจ้าหญิงขึ้นไปก่อน ด้วยความที่บันไดทั้งชันทั้งแคบเด็กหนุ่มจึงต้องอาศัยผนังด้านข้างเป็นที่เกาะพยุงตัวไปตลอดทาง และต้องหยุดพักเป็นระยะกว่าจะสามารถก้าวขึ้นมายืนอยู่บนพื้นศิลาด้านบนสุดได้สำเร็จ

       แสงสลัวที่แลเห็นผ่านช่องลมซึ่งอยู่ต่ำลงไปทำให้ซิสรู้สึกใจชื้นขึ้นเป็นกอง อย่างน้อยๆ ตอนนี้เขาก็น่าจะขึ้นมาอยู่ระดับเดียวกับพื้นดินแล้ว ทางออกคงจะอยู่อีกไม่ไกลนัก เขาก้าวต่อไปตามทางเดินแคบๆ ที่ทอดรออยู่เบื้องหน้าโดยไม่ลังเล เมื่อเดินมาจนสุดทางก็พบกำแพงหินขวางหน้าอยู่เช่นเดียวกับครั้งก่อน

       ซิสพยายามมองหาร่องรอยของประตูที่อาจจะซ่อนอยู่บนกำแพง แล้วสายตาก็สะดุดเข้ากับแนวศิลาที่ยื่นล้ำออกมามากกว่าปกติเข้าจนได้ พอลองออกแรงผลักดู กำแพงส่วนนั้นก็พลิกกลับเข้าไปด้านใน ทำให้เด็กหนุ่มเกือบจะเสียหลักหัวทิ่มตามเข้าไปด้วย โชคดีที่เจ้าหญิงกาอิยาห์ก้าวตามมาคว้าแขนของเขาเอาไว้ทัน

       “เป็นอะไรหรือเปล่าซิส” เจ้าหญิงตรัสถามด้วยความเป็นห่วง

       “ไม่เป็นไร...”

       ซิสปฏิเสธแล้วพาเด็กสาวก้าวผ่านช่องแคบๆ ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเข้าไปภายใน ภาพที่เห็นทำให้เขาต้องหลุดปากถามออกมาด้วยความสงสัย

       “ตกลงตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนกันแน่”

       เจ้าหญิงกาอิยาห์ทอดพระเนตรไปรอบห้องตามสายตาของเด็กเลี้ยงม้า เงาทะมึนของตู้หนังสือที่เห็นเรียงรายอยู่รอบด้าน ทำให้พระองค์เผลออุทานออกมาอย่างตื่นเต้น

       “นี่มันห้องสมุดนี่นา!”

       เจ้าหญิงสาวพระบาทผ่านโต๊ะยาวกลางห้อง ไปหยุดยืนทอดพระเนตรร่องรอยของคบไฟที่มีคนเคยจุดแล้วปักทิ้งไว้ตรงข้างประตู ก่อนจะหันกลับมาร้องบอกเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่

       “นี่คือห้องสมุดในวิหาร...ซิสเรารอดแล้ว”

       หลังจากนั้นเจ้าหญิงกาอิยาห์ก็ใช้พระดัชนีสัมผัสตัวอักษรคำว่า ‘เปิด’ ที่สลักอยู่บนแผ่นประตู เพียงอึดใจเดียวภาพของห้องโถงกว้างและแท่นบูชาก็ปรากฏแก่สายพระเนตร เด็กสาวรีบคว้าข้อมือเด็กหนุ่มดึงให้ก้าวเดินออกไปสู่อิสรภาพพร้อมกัน...




       “เจ้าว่าอะไรนะ?”

       เจ้าหญิงกาอิยาห์แทบจะทรงล้มทั้งยืนเมื่อได้ยินคำบอกเล่าจากปากของพระพี่เลี้ยง พระองค์เพิ่งจะเอาชีวิตรอดจากการถูกขังให้ตายทั้งเป็นอยู่ใต้วิหารโบราณ หากกลับต้องมาเจอเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่า มิน่าเล่านอร์ม่าถึงไม่ดุเรื่องที่ทรงหายตัวไปทั้งคืนแม้แต่คำเดียว ซ้ำยังรีบกุลีกุจอพาไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จัดเตรียมซุปร้อนๆ ไว้ให้ดื่มอย่างเอาอกเอาใจผิดปกติ

       “พี่ชายข้าน่ะหรือถูกจับ...เป็นไปได้ยังไง” ทรงถามย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงบอกความงุนงง จับต้นชนปลายไม่ถูกเอาจริงๆ

       “หม่อมฉันก็ไม่ทราบรายละเอียดนักเพคะ แต่ได้ยินเขาลือกันว่าทรงถูกจับด้วยข้อหากบฏเมื่อเช้าตรู่นี่เอง”

       กบฏ!

       คำๆ นั้นสะท้อนก้องกลับไปกลับมาอยู่ในพระเศียรของเจ้าหญิง ราวกับมีใครมาตะโกนใส่หน้าพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พื้นตำหนักใต้ฝ่าพระบาทเริ่มโคลงเคลง ห้องทั้งห้องดูเหมือนจะหมุนคว้างได้เองอย่างน่าประหลาด สิ่งสุดท้ายที่ทรงรับรู้คือเสียงหวีดร้องอย่างตื่นตระหนกของเหล่านางกำนัลและพระพี่เลี้ยง จากนั้นแสงสว่างรอบพระวรกายก็พลันวูบดับลง

       เจ้าหญิงกาอิยาห์พบว่าตนเองกลับมาประทับยืนอยู่ในอุโมงค์มืดมิดใต้วิหารอีกครั้ง หากคราวนี้ไม่มีเด็กเลี้ยงม้าปากเสียคอยช่วยเหลืออย่างเคย พระองค์ทรงคลำหาทางออกอยู่เป็นเวลานาน ทั้งเหนื่อยทั้งท้อจนเกือบจะถอดพระทัยยอมแพ้เสียหลายหน ทว่าในที่สุดก็ทรงพบประตูเหล็กสนิมเขรอะบานหนึ่งเข้าจนได้ แสงสว่างรำไรที่ทอลอดออกมาจากช่องลูกกรงเหนือบานประตู ช่วยให้พระทัยชื้นขึ้นนิดหน่อย...บางที นี่อาจจะเป็นทางออกที่ทรงค้นหาอยู่ก็ได้ เจ้าหญิงทรงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะเปิดประตูบานนั้น หากไม่สำเร็จ ดูเหมือนมันจะติดล็อกจากด้านใน แถมบางคราวยังมีเสียงคล้ายผู้ชายบ่นอะไรงึมงำฟังไม่ได้สรรพ ดังลอดออกมาให้ได้ยินอีกด้วย
หรือจะมีคนอยู่หลังประตูบานนี้?

       ความสงสัยทำให้พระองค์ต้องเขย่งปลายพระบาท ทอดพระเนตรผ่านเข้าไปทางช่องลูกกรงเหนือพระเศียร ภาพที่ปรากฏแก่สายพระเนตร คือห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ หน้าตาไม่ต่างอะไรกับห้องที่ใช้คุมขังนักโทษโดยทั่วไปนัก ในห้องมีชายผู้หนึ่งถูกล่ามแขนขาติดกับกำแพงหินด้วยโซ่เส้นโต ร่างกายท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า ผิวเนื้อบริเวณแผ่นอกและช่วงท้องแหลกยับไปด้วยรอยแส้ เลือดสดๆ ยังคงไหลรินจากปากแผล ส่งกลิ่นคาวคลุ้งไปทั่วจนพระองค์อยากจะเบือนพระพักตร์หนีเป็นกำลัง หากความใคร่รู้บังคับให้ทรงเพ่งมองภาพนั้นต่อไป

       เสียงแหบห้าวของผู้ชายอีกคนที่ทรงเห็นแต่เพียงด้านหลัง ตั้งคำถามอะไรบางอย่างดังอยู่แว่วๆ แต่ชายผู้เป็นนักโทษกลับนิ่งเฉยไม่ยอมตอบ น้ำทั้งถังจึงถูกสาดโครมลงไปบนร่างกายอันบอบช้ำที่ห้อยอยู่กับแผ่นผนังเหมือนผ้าขี้ริ้วเก่าๆ  เจ้าของร่างสะดุ้งเฮือก กล้ามเนื้อแทบทุกมัดไหวระริกด้วยความเจ็บปวด

       แม้เจ้าหญิงกาอิยาห์จะทรงเคยได้ยินมาบ้างว่ามีการทรมานนักโทษด้วยวิธีเฆี่ยนจนเนื้อแตกแล้วราดซ้ำด้วยน้ำเกลือ หากไม่คิดว่าจะทรงมีโอกาสได้เห็นของจริงกับตาตัวเองเช่นครั้งนี้ มันช่างเป็นการกระทำที่โหดร้ายทารุณเหลือเกิน ...ทว่าคนเป็นนักโทษกลับไม่ส่งเสียงร้องออกมาสักแอะ
       
       พระองค์นึกนิยมความใจแข็งของเขา จึงพยายามเพ่งสายพระเนตรฝ่าความมืด เพื่อจะมองให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังเส้นผมยาวรุงรังจับเป็นแผ่นหนาเพราะคราบโลหิตให้ถนัด หากเมื่อนักโทษหนุ่มเงยหน้าขึ้น คนเป็นเจ้าหญิงกลับเป็นฝ่ายต้องใช้พระมุฐิ(กำปั้น)อุดพระโอษฐ์เอาไว้ ไม่ให้เสียงกรีดร้องโหยหวนดังเล็ดลอดออกมา น้ำพระเนตรอุ่นจัดพรั่งพรูลงอาบพระพักตร์จนไม่อาจมองเห็นภาพตรงหน้าได้อีกต่อไป...



       เด็กสาวที่นอนอยู่บนเก้าอี้ยาวถอนสะอื้น ผวาลุกขึ้นนั่งโดยแรงจนแพรผืนบางที่คลี่คลุมอยู่เหนือร่างเลื่อนหล่นลงไปกองอยู่กับพื้น หยาดน้ำตาเม็ดกลมใสกลิ้งอยู่บนนวลแก้มขาวเผือด ขณะที่เสียงร้องเรียกชื่อพี่ชายยังคงค้างอยู่แทบริมฝีปาก นางกระพริบตาถี่ๆ เหลียวมองรอบห้องโถงกว้างที่สว่างไสวไปด้วยแสงแห่งวันอย่างงุนงงในนาทีแรก แล้วแววรับรู้ก็ค่อยกลับคืนมาสู่ดวงตาสีม่วงสวยราวลูกแก้วทีละน้อย

       ฝัน...

       นางคงหมดสติแล้วฝันไปนั่นเอง...

       เด็กสาวปาดน้ำตาทิ้งพลางลุกขึ้นยืน เอ่ยขึ้นลอยๆ ว่า

       “ข้าจะไปหาพี่กันนาร์”

       “ไม่ได้นะเพคะ”

       คนเป็นพี่เลี้ยงแทบจะทิ้งถ้วยยาในมือ ปราดเข้ามาขวางหน้านายสาวเอาไว้ทันที

       “เมื่อวานก็ทรงหายไปจนกระทั่งเช้า นี่เพิ่งจะฟื้นจากประชวรพระวาโยแหม็บๆ จะเสด็จไปตะลอนข้างนอกอีกแล้ว หม่อมฉันไม่ยอมเด็ดขาด องค์หญิงทรงทราบบ้างหรือเปล่าเพคะว่าสถานการณ์ในลินเด็นตอนนี้เป็นอย่างไร ขนาดมหาดเล็กที่พระเชษฐาส่งมาเชิญเสด็จพระองค์ไปเฝ้าเมื่อคืนก่อน ยังไม่กล้ากลับไปที่ตำหนักของเจ้านายเลย แล้วองค์หญิงจะเสด็จทำไมเพคะ อันตรายเปล่าๆ หม่อมฉันว่า...”

       “เดี๋ยวก่อนนอร่า”

       เจ้าหญิงกาอิยาห์รีบยกพระหัตถ์ขึ้นห้ามพระพี่เลี้ยงก่อนที่จะต้องฟังนางร่ายยาวไปมากกว่านั้น พระองค์ตรัสถามเสียงแหลม

       “เจ้าว่าพี่ข้าให้คนมาตามอย่างนั้นหรือ”

       นอร่ากระพริบตาปริบๆ มองอาการ ‘แตกตื่น’ ของนายสาวอย่างไม่เข้าใจ

       “เพคะ ทรงใช้ให้มหาดเล็กประจำห้องบรรทมขององค์ราชามาทูลเชิญเสด็จองค์หญิง แต่หม่อมฉันเห็นว่าดึกมากแล้วก็เลยไล่เขากลับไป เขาก็ดื๊อดื้อนะเพคะ ยังเดินเตร่ไปเตร่มาอยู่แถวหน้าตำหนักจนกระทั่งเช้า เพิ่งจะยอมล่าถอยกลับไปตอนที่รู้ข่าวเจ้าชายกันนาร์ทรงถูกจับนี่เอง”

       “แล้วเจ้าได้บอกเขาหรือเปล่าว่าข้าไม่อยู่” เจ้าหญิงกาอิยาห์แทบจะทรงเขย่าร่างถามพระพี่เลี้ยง

       “เปล่าเพคะ เรื่องไม่งามแบบนั้นหม่อมฉันจะกล้าปริปากได้อย่างไร ...จริงสิหม่อมฉันเกือบลืม เมื่อวานนี้พระองค์เสด็...”

       พระพี่เลี้ยงยังตั้งคำถามไม่ทันจบประโยคก็ต้องอ้าปากค้างอีกรอบ เพราะผู้เป็นนายสาววิ่งผลุนผลันออกจากห้องไปเสียแล้ว...




       แสงแดดร้อนแรงยามบ่ายทอลอดกลุ่มใบไม้รูปห้าแฉกลงมาเป็นริ้ว ทำให้หนุ่มน้อยที่หลบมานอนอยู่ใต้ต้นเมเปิ้ลใหญ่ต้องเบือนหน้าหนี เขาพลิกกายตะแคงข้าง ซุกศีรษะลงกับต้นแขนหวังจะหลับต่อให้สบาย หากเพียงครู่เดียวก็มีอาการคล้ายสะดุ้ง ลุกพรวดพราดขึ้นนั่งราวกับถูกผึ้งต่อย เด็กหนุ่มเหลียวมองรอบกายล่อกแล่กเหมือนจะหาอะไรสักอย่าง เมื่อไม่พบก็ทำสีหน้าโล่งอก หากเจ้าตัวยังผ่อนลมหายใจออกมาไม่ทันหมดเฮือก เสียงแจ๋วๆ เถียงคำไม่ตกฟากของใครบางคนก็ลอยตามสายลมมาอีก คราวนี้ชัดเจนจนเขาสามารถจับทิศได้ว่า ‘เสียง’ นั้นดังมาจากทางไหน

       ซิสลุกขึ้นยืน ตั้งท่าจะเผ่นหนีตามสัญชาตญาณ หากบทสนทนาที่บังเอิญได้ยินทำให้เขาต้องชะงักฝีเท้า เงี่ยหูฟังด้วยความสนใจ ...ก่อนที่เด็กหนุ่มจะทันรู้ตัว เท้าเจ้ากรรมก็พาร่างของเขาก้าวเข้าไปหยุดยืนอยู่ใน ‘ที่เกิดเหตุ’ ด้านหลังคอกสัตว์เรียบร้อยแล้ว

       หนุ่มน้อยแฝงกายอยู่หลังดงไม้รกเรื้อ เพ่งสายตาไปยังกำแพงศิลาทรุดโทรมตรงหน้าด้วยความสงสัย ใครๆ ก็รู้ว่าอีกฟากของแนวกำแพงหนาไม่มีแม้แต่ช่องลมระบายอากาศนี้ คือทางลงไปสู่คุกใต้ดิน ตามปกติที่หน้าประตูบานใหญ่ตรงปากทางเข้าออกจะมีทหารยามร่างยักษ์ยืนเฝ้าอยู่สองนาย หากคราวนี้พิเศษหน่อย ด้วยมีเด็กสาวในชุดกระโปรงตัวยาวหลวมสีชมพูอมส้มคาดเส้นริบบิ้นสีเงินตรงช่วงอก ยืนแยกเขี้ยวยิงฟันใส่นายทหารทั้งสองอยู่ด้วยท่าทางโกรธจัด ใบหน้าของนางแม้จะสะอาดสะอ้านผ่องใส ผิดกว่าตอนที่เพิ่งแยกจากกันมากนัก หากก็ยังมีร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียปรากฏให้เห็น...ที่น่าประหลาดกว่านั้นคือ นางไม่ได้สวมรองเท้า!

       คนที่เป็นถึงเจ้าหญิงน่ะหรือจะเผอเรอถึงขนาดทรงพระดำเนินพระบาทเปล่าออกมานอกพระตำหนัก แถมสถานที่ที่เสด็จยังเป็นคุกใต้ดินเสียอีก ...ยัยเจ้าหญิงม้าดีดกระโหลกรีบร้อนมาทำอะไรแถวนี้กันแน่?

       ซิสตั้งคำถามถามตนเองในใจ แล้วก็ได้รับคำตอบกลับมาอย่างรวดเร็วในรูปของเสียงแหลมปรี๊ดแผดสนั่น

       “ทำไมถึงเข้าไปไม่ได้ ข้าจะไปเยี่ยมพี่ชาย พวกเจ้ามีสิทธิอะไรมาห้ามข้า”

       “ขอประทานอภัยพะย่ะค่ะเจ้าหญิง พวกกระหม่อมแค่ทำตามพระเสาวนีย์ของพระนางแอนน์เท่านั้นพะย่ะค่ะ”

       “ท่านน้าน่ะหรือ?...ท่านน้าทรงเข้ามาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย”

       นายทหารทั้งสองมองหน้ากันเองด้วยท่าทางอึดอัดใจ ต่างฝ่ายต่างก็เงียบ ไม่มีใครกล้าให้คำตอบ

       “ว่าไงเล่า”

       เด็กสาวเอียงคอจ้องหน้าทหารยามทีละคน เมื่อพวกเขายังคงเงียบ นางก็อาละวาดต่อ

       “พวกเจ้าตอบไม่ได้ก็แปลว่าโกหกสินะ งั้นหลีกไป ข้าจะเข้าไปหาพี่ชาย”

       นายทหารหนุ่มรีบยื่นหอกในมือออกมาขวางประตูไว้ทันที

       “ไม่ได้นะพะย่ะค่ะ...ขอพระองค์ได้โปรดอย่าทำให้พวกกระหม่อมลำบากใจเลย”

       “งั้นพวกเจ้าก็อย่าขวางข้าสิ ข้าขอร้องละ ให้ข้าเข้าไปหาพี่ชายหน่อยเถอะนะ แค่แป๊บเดียวก็ได้ พอเห็นเขาแล้วข้าจะรีบกลับออกมาทันทีเลย ข้าให้สัญญา”

       “ถึงพระองค์จะตรัสเช่นนั้นก็ไม่ได้พะย่ะค่ะ”

       เมื่อ ‘ลูกอ้อน’ ใช้ไม่ได้ผล เจ้าหญิงกาอิยาห์ก็ทรงกลับมาใช้วิธีถนัด คือ ‘โวย’ ตามเดิม

       “ทำไมล่ะ พี่ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ทำไมต้องห้ามกันถึงขนาดนี้ด้วย”

       “พี่ชายของเจ้าคิดกบฏ อย่างนี้ยังไม่เรียกว่า ‘ผิด’ อีกหรือ”

       ประโยคย้อนถามที่ดังแทรกขึ้น เป็นของสตรีสาวหน้าตาสะสวยที่ซิสไม่เคยเห็นมาก่อน นางก้าวเดินอย่างแช่มช้าเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างหลังเจ้าหญิงกาอิยาห์

        เด็กสาวหันขวับไปมองผู้มาใหม่ตาวาว

       “ไม่จริง! พี่ชายข้าไม่เคยคิดกบฏ”

       “อย่างนั้นหรือ แล้วตอนนี้องค์ราชาทรงประทับอยู่ที่ไหนกันล่ะ?”

       ความเงียบแผ่เข้าปกคลุมบริเวณนั้นทันที...

       เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงเม้มพระโอษฐ์แน่น เบือนพระพักตร์ไปทางอื่น ในขณะที่มุมปากของผู้พูดขยับยกขึ้นคล้ายจะยิ้ม ซิสไม่ชอบรอยยิ้มของนางเอาเสียเลย มันดูไร้ความรู้สึกราวกับไม่ใช่รอยยิ้มของมนุษย์

       “เห็นมั้ย เจ้าเองก็ตอบไม่ได้ ถ้าพี่ชายเจ้าไม่ได้คิดลอบสังหารองค์ราชาจริง เหตุใดต้องปิดบังพวกเราเรื่องที่พระองค์ทรงหายตัวไปด้วย”

       “...ทรงหายตัวไป...” คนฟังทวนคำคิ้วขมวด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเบิกตากว้างอย่างตระหนก

       “องค์ราชาน่ะหรือทรงหายตัวไป...เป็นไปได้ยังไงกัน”

       “นั่นสินะ เป็นไปได้ยังไง... ในเมื่อพระองค์ทรงพระประชวรหนักจนแทบจะขยับพระวรกายเองไม่ได้แท้ๆ แต่กลับทรงหายตัวไปจากพระแท่นบรรทม ทั้งที่พี่ชายของเจ้าก็เฝ้าอยู่ทั้งคน น่าแปลกใจใช่มั้ยล่ะเจ้าหญิงกาอิยาห์ ...หรือเจ้าคิดว่าไม่แปลก”

       “หยุดนะ เลิกพูดจาใส่ความพี่ข้าสักที”

       “ข้าไม่ได้ใส่ความ ถ้าเจ้าไม่เชื่อจะไปทูลถามท่านป้าดูก็ได้ แต่ต้องระวังหน่อยล่ะ เพราะข้าได้ยินมาว่าท่านป้ากริ้วมาก ถ้าหากภายในสิบวันนี้พี่ชายเจ้ายังไม่ยอมบอกที่ซ่อนขององค์ราชาให้ทรงทราบ เขาจะต้องถูกตัดสินประหารชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย”

       ผู้พูดทิ้งท้ายเอาไว้เพียงนั้น ก่อนจะเดินยิ้มหวานผ่านหน้าเด็กสาวไปยังประตูบานใหญ่ที่ทหารยามทั้งสองเปิดเอาไว้รอ

       เจ้าหญิงกาอิยาห์ขยับจะก้าวตามเข้าไปบ้าง หากทหารทั้งสองรีบยื่นหอกแหลมออกมาขวางหน้าเอาไว้เช่นเคย

       “อะไรกัน ทีเจ้าหญิงลูเซียพวกเจ้ายังปล่อยให้นางผ่านเข้าไปได้ง่ายๆ แล้วทำไมทีข้าต้องมาห้ามกันอยู่นั่นแหละ”

       “หามิได้พะย่ะค่ะ พระนางแอนน์ประทานอนุญาตไว้เฉพาะเจ้าหญิงลูเซียพระองค์เดียว เพราะต้องทรงนำอาหารมาส่งให้นักโทษพะย่ะค่ะ”

       “อาหาร! พี่ข้าต้องกินอาหารที่เจ้าหญิงลูเซียนำมาให้อย่างนั้นหรือ...ปล่อยข้านะ ข้าจะเข้าไปข้างใน ปล่อยข้า” เจ้าหญิงกาอิยาห์ยิ่งโวยวายหนักขึ้น ทั้งดิ้นทั้งผลักเพื่อจะฝ่าด่านทหารยามร่างยักษ์เข้าไปในคุกให้ได้

       ซิสทนดูอยู่นาน เห็นท่าเรื่องราวจะไปกันใหญ่ จึงตัดสินใจก้าวกะโผลกกะเพลกออกไปคว้าแขนคนเป็นเจ้าหญิงเอาไว้ แล้ว ‘ลาก’ให้นางเดินห่างออกมาจากบริเวณนั้นทันที เขาพาเด็กสาวเดินมาจนกระทั่งถึงลานโล่งด้านหลังคอกม้าจึงหยุด พอเอี้ยวตัวกลับไปมอง เสียงแจ๋วๆ ก็แหวเข้าใส่ดังลั่น

       “ทำบ้าอะไรของเจ้าน่ะซิส ...อยู่ดีๆ ลากข้ามาที่นี่ทำไม”

       ซิสมองหน้าเด็กสาวนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเหมือนพยายามสะกดอารมณ์ ก่อนจะย้อนเสียงห้วน

       “ข้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถาม เจ้ารู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ เจ้าหญิงกาอิยาห์”

       “รู้สิ ก็จะเข้าไปช่วยกันน์ไงล่ะ...”

       “ด้วยวิธีโง่ๆ อย่างพะบู๊กับทหารยามที่ตัวโตกว่าเจ้าตั้งสองเท่านั่นน่ะหรือ”

       “เอ๊ะ...” คนเป็นเจ้าหญิงหน้าแดง อยากจะเถียง แต่ก็เถียงไม่ออก เพราะถ้ามาคิดดูดีๆ มันก็เป็นวิธีที่โง่จริงอย่างที่เด็กหนุ่มว่านั่นแหละ

       “แล้วเจ้าจะให้ข้าทำยังไงเล่า พี่ชายข้าถูกขังทั้งคนนะซิส”

       เด็กหนุ่มหวนนึกไปถึงวีรกรรมที่เพิ่งผ่านมาของคนตรงหน้า แล้วคำตอบก็หลุดออกจากปากโดยอัตโนมัติ

       “ไม่ต้องทำอะไรเลย ข้าว่าเจ้าอยู่เฉยๆ แหละดีที่สุด”

       “พูดอย่างงี้ได้ยังไง ...เจ้าไม่รู้หรือว่าในคุกใต้ดินน่ะทั้งมืดทั้งอับ แถมยังมีพวกผู้คุมใจโหดชอบทรมานนักโทษด้วยการเฆี่ยนตีอีก ข้าฝัน...เอ๊ย...เอาเป็นว่า ข้ายอมให้กันน์โดนอะไรแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด”

       “ถึงไม่ยอม ...แล้วเจ้าจะทำอะไรได้ เป็นเด็กก็อยู่ส่วนเด็กเถอะน่า เจ้าหญิง”

       เจ้าหญิงกาอิยาห์สะบัดพระพักตร์พรืดบอกให้ว่ารู้คำพูดของอีกฝ่ายไม่ถูกพระอารมณ์อย่างแรง พระองค์ทรุดลงนั่งกับพื้นหญ้า ชักพระชานุขึ้นมากอดด้วยท่าทางกลุ้มใจหนัก ยิ่งนึกก็ยิ่งไม่เข้าพระทัยว่าเหตุใดองค์ราชา ...ซึ่งอันที่จริงน่าจะเป็นตุ๊กตาที่ทรงใช้เวทมนตร์สร้างขึ้น...จึงหายตัวไปจากพระแท่นบรรทมได้เอง

       หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมัน พี่ชายถึงต้องใช้ให้มหาดเล็กมาตามตัวพระองค์ไปพบกลางดึก?

       เมื่อมีคำถามใหม่ที่พระองค์จะต้องทรงหาคำตอบให้ได้ผุดขึ้นในพระทัย คนเป็นเจ้าหญิงก็อดที่จะหันไปหา ‘ที่ปรึกษาปากเสีย’ คนเดิมไม่ได้

       “ซิส..”

       เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อขยับตัว มองรอยยิ้มหวานผิดปกติของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกสังหรณ์ใจพิกล

        “อะไรอีกล่ะ”

       “เราเป็นเพื่อนกันใช่มั้ย”

        ไม่มีคำตอบ... หากคนเป็นเจ้าหญิงยังสามารถตรัสต่อไปจนได้

        “เจ้าช่วยอะไรข้าสักอย่างสิ”

        นั่นไง...

        ซิสทำหน้าเมื่อย

        ที่เขาคิดเอาไว้ ผิดซะที่ไหน...

จากคุณ : akihiro
เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 54 21:38:26




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com