 |
แม้พ่อบ้านตงซวนจะพยายามเจรจาอ้อนวอนให้คุณชายใหญ่ตระกูลจางรับสาวใช้ที่คัดเลือกมาสามคนไว้เป็นสาวใช้ประจำตัว แต่คนที่นั่งเท้าแขน หันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างก็ยังคงนั่งจิบชาเงียบๆ ไม่สนใจผู้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า จนในที่สุดคนทั้งหมดก็จำใจต้องโค้งคำนับลา ล่าถอยออกไปจากเรือนฉีเหลียน
สายตาของซู่เอ๋อเหลือบมองอี้ฝูจางเต็มไปด้วยคำถาม เมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉย และดวงตาที่มีริ้วรอยเศร้าหมองอยู่บางเบาของนายหญิง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหม่อมองศาลาไม้หลังเล็กสีแดง ซึ่งเมื่อครู่มีคุณชายรองตระกูลจางนั่งดื่มสุรา บริเวณสวนป่าจำลองด้านนอกได้รับการตกแต่งอย่างงดงาม มีไม้ดัดต้นเตี้ยท่ามกลางหมู่ภูเขาหินจำลอง และรอบศาลามีต้นโบตั๋นใบหนาสีเขียวเข้มที่บางต้นเริ่มมีดอกสีแดงริ้วชมพูผลิบาน ยามสายลมพัดผ่านหน้าต่างเข้ามาจึงหอบกลิ่นหอมอ่อนๆ สดชื่นเข้ามาถึงผู้อยู่ในเรือน
อี้ฝูจางมองตามสายตาของญาติสาวออกไป เมื่อเห็นศาลาหลังนี้ เขาก็หวนระลึกถึงเสียงพิณสดใสของท่านน้าอี้ไหลเฟ่ยที่มักมีรอยยิ้มกว้างแจ่มใสมอบให้เสมอ ยามที่เขามาเยือนตระกูลจาง และวิ่งแข่งกับเพ่ยหลินเข้าศาลา ท่านน้าจะหยุดเล่นพิณแล้วหยิบขนมเปี๊ยมอบให้พวกเขาคนละชิ้น มือคู่นั้นแสนอบอุ่นและนุ่มนวลยามที่ลูบศีรษะของเขา แต่ตอนนี้...ถึงศาลายังคงอยู่ แต่คนกลับจากไปเนิ่นนานแล้ว
ชายหนุ่มหลับตาลง เมื่อภาพใบหน้าเขียวคล้ำของท่านน้าผุดขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง... ยาพิษที่ท่านน้าได้รับร้ายแรงจนแม้จะสามารถหายาถอนพิษมาได้ทันเวลา แต่นางก็ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนไม่สามารถผ่านฤดูเหมันต์ของปีนั้นได้
“ถ้าเจ้าง่วงนอนมาก ทำไมไม่ไปนอนเสียก่อนเล่า” คำแนะนำกลั้วหัวเราะน้อยๆ นั้นทำให้อี้ฝูจางลืมตาขึ้น มองญาติสาวที่ยกมือขึ้นกดจุดที่คอด้านซ้ายและขวา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่มองตรงมาเป็นประกายระยับ ไม่มีรอยเศร้าหมองหลงเหลืออีกต่อไป “เพราะเจ้าฝึกฝนร่างกายไม่ดีพอ ทำให้พอข้าพาขี่ม้าชมตลาดแค่ไม่กี่ชั่วยามก็เหนื่อยล้าถึงเพียงนี้”
“เพียงขี่ม้าแค่นี้ไม่ทำให้ข้าเหนื่อยหรอก แต่การกระทำของเจ้าเมื่อครู่ต่างหากที่จะทำให้ข้าต้องเหนื่อยเพิ่มมากขึ้นในอนาคต” คนถูกล้อเอ่ยตักเตือนเสียงเรียบ มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหนื่อยหน่ายกับนิสัยช่างยั่วแหย่
“เจ้าจะบอกว่าข้าทำอะไรเกินไปหรือ” เสียงที่เปล่งออกมานั้นสูงและนิ่มนวลกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย
“เจ้ายังมาถามข้าอีกหรือ ข้าไม่เชื่อหรอกว่า คนฉลาดเช่นเจ้าจะไม่รู้ถึงผลที่อาจตามมาจากการทำเช่นนั้น” อี้ฝูจางดักคอ “เมิ่งซงเกิดและโตที่นี่ตลอด อย่างไรก็คงมีคนของเขาอยู่ไม่น้อย ในเมื่อเจ้าเป็นศัตรูกับเมิ่งซงอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ข้าซึ่งเป็นลูกน้องของเจ้าคงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ไหนเจ้าบอกให้ข้าช่วยหาหลักฐานหนังสือคำสั่งปลอมอย่างไรเล่า เจ้าทำเช่นนี้กำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่”
คนถูกถามไม่ยอมตอบทันที ยังคงจิบชาต่ออย่างท่าทางสบายอารมณ์
“เจ้าจะให้ข้าเชื่อหรือว่า เจ้าโกรธที่เมิ่งซงพูดดูถูกท่านน้าไหลเฟ่ยจนขาดสติ” เมื่อสบตาที่มีรอยหัวเราะขบขันยามที่เจ้าตัวเหลือบขึ้นมามอง อี้ฝูจางก็เรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงเข้มมากขึ้น “เพ่ยหลิน...บอกแผนการที่แท้จริงของเจ้ามาเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นข้าจะรายงานท่านปู่ ให้เรียกเจ้ากลับซูโหยวทันที”
“เมื่อครู่ข้าโกรธท่านพี่เมิ่งซงจริงๆ”
“แต่เจ้าคงไม่ได้ทำลงไป เพราะโกรธจนขาดสติแน่นอน” อี้ฝูจางดักคออย่างรู้ทัน
จางเพ่ยหลินกะพริบตาปริบ ริมฝีปากอมยิ้มน้อยๆ วางถ้วยชาลง เอ่ยถามญาติผู้น้องน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังหรี่ตาลงด้วยความระแวง
“ฝูจาง...เจ้าอยากรู้จริงๆ หรือ ถ้ารู้แล้วเจ้าจะยอมทำตามแผนของข้าใช่ไหม”
คนฟังไม่ตอบ ยกมือกอดอก หรี่ตามองใบหน้ายิ้มแย้มนั้นอย่างระวังตัว
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบรับ จางเพ่ยหลินก็ทิ้งตัวพิงผนักเก้าอี้ นิ้วเคาะที่เท้าแขนเป็นจังหวะเบาๆ เวลาผ่านไปชั่วครู่ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังมากขึ้น
“ถึงข้าจะไม่ทะเลาะกับท่านพี่เมิ่งซง เจ้าเชื่อจริงๆ หรือว่า เจ้าในฐานะคนของข้าจะสามารถเคลื่อนไหวในคฤหาสน์นี้ได้สะดวก หากท่านพ่อเป็นคนอยู่เบื้องหลังคำสั่งปลอม ก็ต้องสั่งให้คนคอยจับตามองพวกเราอย่างใกล้ชิดแน่นอน แต่หากเจ้ากลายเป็นคนของเมิ่งซง นั่น...ย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว”
คิ้วเข้มเหนือดวงตาเรียวยาวขมวดเข้าหากันทันที เขานิ่งไปชั่วอึดใจ กว่าจะเอ่ยถามออกมาได้ในที่สุด
“เจ้าจะให้ข้าเข้าไปตีสนิทเมิ่งซงเพื่อสืบความลับอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดแผนนี้ตั้งแต่อยู่ที่ซูโหยวแล้วใช่ไหมเพ่ยหลิน”
พออีกฝ่ายพยักหน้ารับ หน้าอี้ฝูจางก็เกร็งเพิ่มมากขึ้น
“ข้าไม่เคยหักหลังสหาย”
“แต่ถ้าเจ้าไม่ทำตามแผนของข้า เจ้าจะทำอย่างไร แล้วอีกอย่าง... ถึงท่านพี่เมิ่งซงจะคบหากับเจ้า เขาก็ไม่มีทางคิดว่าเจ้าเป็นสหายของเขาแน่นอน เขาก็จะแกล้งคบกับเจ้าเพื่อผลประโยชน์เช่นเดียวกัน”
อี้ฝูจางนึ่งไปชั่วครู่ เมื่อทบทวนพฤติกรรมในอดีตของจางเมิ่งซงที่เขาพอจำได้ ก็ต้องยอมรับว่าคำพูดของจางเพ่ยหลินมีส่วนถูกต้องอยู่หลายส่วน
“หากข้าไปตีสนิทกับเมิ่งซง แล้วใครจะคอยอยู่คุ้มครองความปลอดภัยให้เจ้า” เขาชะงักไปเล็กน้อยเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก “ท่านพี่อู๋เซิงเห็นด้วยกับแผนนี้ของเจ้าสิน่ะ”
เมื่อจางเพยหลินพยักหน้ารับ อี้ฝูจางก็มองเลยไปยังจุดๆ หนึ่งที่ด้านในเรือน ส่ายหน้าเล็กน้อยท่าทางเหนื่อยใจ “มิน่าเล่า ท่านพี่รองอู๋เซิงถึงสั่งจั๋งอี้คนสนิทของตัวเองมาดูแลเจ้า แล้วเจ้าที่ปกติไม่ชอบให้ใครติดตาม กลับยอมให้ข้ากับจั๋งอี้มาเป็นคนคุ้มครอง”
เมื่อเห็นญาติผู้น้องไม่ตอบปฏิเสธทันที ริมฝีปากได้รูปก็โค้งขึ้น ดวงตาหงส์เป็นประกายระยับ เหลือบมองไปยังตำแหน่งเดียวกับอี้ฝูจาง “ข้าคิดแล้วว่าเจ้าต้องเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ได้โดยง่าย”
“เมิ่งซงอาจไม่รับข้าไว้เป็นพวก”
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง เพราะท่านพี่เมิ่งซงต้องรับเจ้าไว้แน่นอน แต่...เขาจะรับเจ้าไว้เพื่อให้คอยสืบความเคลื่อนไหวของข้าไปแจ้งกับเขา เพราะสาวใช้ที่เขาวางไว้เพื่อคอยจับตาดูข้า เพิ่งถูกข้าไล่ออกไปเมื่อครู่นี้เอง เมื่อเจ้าเป็นคนของเขาแล้ว เจ้าก็จะสามารถไปไหนมาไหนได้สะดวกขึ้น ส่วนข้าก็จะออกไปเที่ยวเล่นในอู่ซื่อเพื่อให้ทุกคนตายใจ แล้วถ้าใครอยากจะฆ่าข้าจะได้รีบๆ ปรากฏตัวออกมาเสียที”
อี้ฝูจางสูดหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยถามต่อคล้ายไม่ได้ยินประโยคสุดท้ายของนาง
“สาวใช้คนไหนที่เป็นสายให้เมิ่งซง”
“คนที่ปักปิ่นทอง...นางน่าจะมีความสัมพันธ์กับพี่รองเป็นพิเศษ” จางเพ่ยหลินตอบ พลางถอดรองเท้าผ้าที่มีการเสริมส้นด้านในให้สูงขึ้นเกือบคืบ รับรองเท้าผ้าไหมแบบปกติจากซู่เอ๋อมาสวมใส่
“คุณหนูรู้ได้อย่างไรเจ้าคะว่า สตรีผู้นั้นมีความสัมพันธ์กับคุณชายรอง” ซู่เอ๋อที่ยืนนิ่งๆ ฟังการสนทนามาตลอดเอ่ยถามขึ้น ซึ่งเป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจของอี้ฝูจางเช่นเดียวกัน
“เพราะตอนที่นางเดินออกไป นางหันไปมองศาลาที่ท่านพี่เมิ่งซงนั่งอยู่เมื่อครู่”
“เพียงแค่นั้น” อี้ฝูจางถามกลับ สีหน้ายังคงไม่เชื่อข้อสันนิษฐานนั้น
“ฝูจาง...เจ้าคงรู้ว่า ดอกกุ้ยฮวาเป็นสัญญาลักษณ์ประจำตระกูลจาง แต่เพราะเจ้าเป็นบุรุษจึงคงไม่รู้ว่า มีเพียงช่างทองฝีมือเอกของตระกูลจางเพียงสามสี่คนเท่านั้น ที่มีสิทธิ์ประทับตราดอกกุ้ยฮวาลงบนเครื่องประดับทองที่ตนประดิษฐ์ขึ้น ดังนั้นเครื่องประดับชิ้นใดที่มีตราดอกกุ้ยฮวาประทับอยู่ นอกจากจะเป็นเครื่องรับรองถึงคุณภาพแล้ว ยังบ่งบอกว่า ราคาของมันจะสูงลิ่วจนสาวใช้ธรรมดาไม่น่าจะหาซื้อมาครอบครองได้”
“ถ้าข้อสันนิษฐานของเจ้าข้อนี้เป็นจริง แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไรต่อไป”
จางเพ่ยหลินลุกขึ้นยืน ขยับเสื้อคลุมสีขาวแขนกว้างให้เรียบร้อย สายตาที่ทอประกายขบขันมองสำรวจชายหนุ่มท่าทางเย่อหยิ่งตรงหน้า “วันนี้เจ้าควรออกไปผูกไมตรีกับผู้คนในตระกูล โดยเฉพาะสาวใช้คนนั้น แล้วเริ่มพูดถึงความเหลวไหลของข้าให้นางฟังสักเล็กน้อย เพื่อนางจะได้นำข่าวนั้นไปรับรางวัลจากเมิ่งซง หลังจากนั้นนางจะเข้ามาทำดีกับเจ้าเพื่อลวงถามความลับต่อไปแน่นอน”
“ให้ข้าไปผูกมิตรกับสตรีร!” อี้ฝูจางถามกลับเสียงสูงขึ้น สีหน้ายุ่งยากใจ “ทำไมเจ้าไม่ให้ซู่เอ๋อไปทำงานนั้นแทนเล่า”
สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ สะดุ้ง มือที่ประสานกันอยู่ข้างหน้าบีบกันแน่นมากขึ้น แต่ไม่เอ่ยคัดค้านหรือเห็นด้วย เพียงยืนรอรับคำสั่งเงียบๆ
หญิงสาวส่งสายตาข่มขู่ไปให้กับญาติหนุ่ม ขณะที่เอ่ยตอบเสียงเรียบ “ซู่เอ๋อมากับข้าเพราะมีหน้าที่ช่วยข้าปลอมตัวเป็นท่านพี่เหวินอี้ นางไม่มีหน้าที่ไปสืบเรื่องใดๆ อีก หรือเจ้าจะให้นางออกไปทำงานเสี่ยงอันตราย”
“ข้าลืมไป...” อี้ฝูจางพึมพำตอบอย่างรู้สึกผิดในใจ ขณะที่คิดถึงเรื่องราวในอดีตของนาง
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเมื่อจำใจต้องยอมรับว่า ในสี่คนที่มาด้วยกัน หน้าที่เป็นนกต่อเช่นนั้นมีแต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่เหมาะสม
“และฝูจาง...ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน” นางเอ่ยต่อน้ำเสียงยั่วล้ออยู่เล็กน้อย “ถ้าจะผูกไมตรีกับผู้คนก็ต้องรู้จักยิ้มแย้มให้มากกว่านี้ และที่สำคัญข้าแค่อยากให้เจ้ามีไมตรีกับสาวใช้คนนั้น แต่ไม่ต้องทำจนท่านพี่เมิ่งซงรู้สึกหึงหวงเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นแทนที่เขาจะรับเจ้าเข้าเป็นพวก อาจไม่สามารถห้ามใจตัวเองได้ จนต้องจะสั่งคนมาลอบฆ่าเจ้าแทน”
อี้ฝูจางจ้องคนพูดเงียบๆ ทำให้นางเปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจังมากขึ้น แต่ริมฝีปากยังยิ้มอยู่เล็กน้อย “วันนี้ทำเพียงเท่านั้นก่อน แล้วเมื่อข้ากลับมาจากท่าเรือ ข้าจะบอกแผนการโดยละเอียดให้เจ้ารู้อีกครั้ง”
“กลับมาจากท่าเรือหรือเจ้าคะ”
“เจ้าจะไปท่าเรือทำไม”
ทั้งอี้ฝูจางและซู่เอ๋อถามขึ้นมาพร้อมกัน
คนถูกถามกะพริบตาปริบ มองคนถามทั้งสองคนด้วยท่าทางงุนงงที่เพียงแค่มองก็รู้ว่าเสแสร้ง “พวกเจ้าลืมแล้วหรือว่า วันนี้เรือสำเภาอินทรีขาวจะมาเทียบท่าที่อู่ซื่อ ดังนั้นข้าจะไปดูเสียหน่อยว่า ไต๋ก๋งเปาเฮยนำสิ่งใดมาจากเมืองเผย”
“ทำไมไม่ให้ข้าหรือจั๋งอี้ออกไปสืบให้”
“เจ้าไม่คิดหรือว่า หากเจ้าที่ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นผู้คุ้มกันของข้าไปปรากฏตัวที่ท่าเรือ คนร้ายที่อยู่เบื้องหลังหนังสือคำสั่งปลอมพวกนั้นอาจไหวตัวได้ ดังนั้นเจ้ากับซู่เอ๋อต้องอยู่ที่นี่”
“แล้วเจ้าไปปรากฏตัว มันจะต่างกันอย่างไร”
จางเพ่ยหลินยกห่อผ้าที่ซู่เอ๋อนำติดตัวมาด้วยให้อี้ฝูจางดู “ถ้าจางเหวินอี้ไปที่นั้นก็คงไม่แตกต่างกับเจ้าไปเอง แต่หญิงชาวบ้านคนหนึ่งก็คงไม่มีใครสนใจนางแน่นอน” พูดจบเจ้าตัวก็หันไปพยักหน้าให้สาวใช้ประจำตัว “เวลาเหลือไม่มากแล้ว...ซูเอ๋อเจ้าไปช่วยข้าแต่งตัว ส่วนจั๋งอี้...”
ทันทีที่หญิงสาวเรียก ด้านในที่แสงส่องถึงน้อยที่สุดก็มีการเคลื่อนไหว
“ขอรับ”
“เจ้าไปรอข้าแถวบ้านร้างหลังที่สิบห้าที่ตรอกฮุยก่อน อีกสักพักข้าจะออกไปสมทบที่นั้น”
“ขอรับ” ผู้คุ้มกันในเงารับคำสั่ง แล้วก็จากไปทันที
“เพ่ยหลิน” อี้ฝูจางเรียกคนที่เริ่มเดินอีกครั้ง สีหน้าของเขางุนงงเล็กน้อยยามที่เอ่ยถาม “ทำไมจั๋งอี้ถึงออกไปสืบเรื่องนี้แทนเจ้าไม่ได้ ในเมื่อเขาคุ้มครองเจ้าอย่างลับๆ ไม่น่าจะมีใครรู้ว่าเกี่ยวข้องกับเจ้า”
จางเพ่ยหลินชะงักเล็กน้อย หันกลับมายิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายวับ “ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่สงสัยเสียแล้ว...ที่ข้าไม่ให้จั๋งอี้ออกไปสืบคนเดียว ก็เพราะ...ข้าเบื่อที่จะนั่งเล่นอยู่ที่เรือนนี้ทั้งวันน่ะสิ” พูดจบเจ้าก็รีบเข้าไปในห้องนอน ไม่สนใจท่าทีนิ่งขึ้งของญาติผู้น้องอีกต่อไป
(จบบทค่ะ) ......................................................................................
คุณ scottie: ดีใจจังที่พี่จำเรื่องเดิมได้ เรื่องนี้พี่อาจต้องปวดหัวหน่อยนะคะ เพราะตัวละครเยอะเหลือเกิน แต่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ ค่ะ ^^"
ขอบคุณสำหรับกิฟจากคุณ Friday Story, latics1, makokchor ด้วยค่ะ
จากคุณ |
:
w_panda
|
เขียนเมื่อ |
:
6 ก.ย. 54 00:48:24
|
|
|
|
 |