Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หอมกลิ่นปีบ-Narin's version ติดต่อทีมงาน

...ในห้วงเวลาแห่งความหลับใหลสิ้นสติ ความทรงจำทำหน้าที่เป็นดั่งยานไทม์แมชชีนพาผมกลับไปสู่อดีต...


ภาพที่ปรากกฏเป็นบ้านหลังหนึ่ง ตัวบ้านทำจากไม้สักประกอบขึ้นเป็นบ้านสองชั้น จากหลังบ้านห่างออกไปมีคลองพาดผ่าน ต้นไม้นานาชนิดคั่นอยู่ระหว่างคลองกับตัวบ้าน ภายในรั้วบ้านกินพื้นที่ประมาณ5ไร่ รอบๆรั้วด้านในปลูกไว้ด้วยต้นปีบ ยามใดที่ลมจากคลองพัดมาจะพาเอากลิ่นหอมจากดอกปีบมาสู่คนในบ้าน

ผมเห็นตัวเองในวัยเด็กนั่งอยู่บริเวณมุมหนึ่งของรั้ว ดอกปีบในมือนอกจากจะส่งกลิ่นหอมอ่อนๆชวนให้หลงใหลแล้ว ในความรู้สึกของผมมันยังเป็นเหมือนสัญลักษณ์ประจำครอบครัวของผมด้วย

ความที่ครอบครัวเรามีกันอยู่ห้าคน พ่อ แม่ พี่พร ผมแล้วก็พจน์พี่ชายฝาแฝดของผม แต่ละคนก็เปรียบเสมือนกลีบของดอกปีบแต่ละกลีบ ผมกับพจน์คือกลีบเดียวกันที่ถูกผ่าแยกตรงกลางจนดูเหมือนเป็นกลีบแฝดเพราะเราคือแฝดที่เกิดจากการผสมของไข่ใบเดียวกัน แม่เคยบอกเช่นนี้ ผมจึงรู้สึกผูกพันธ์กับต้นไม้ชนิดนี้เป็นพิเศษ

แม้จะเป็นฝาแฝดกันแต่ผมกับพจน์มีนิสัยต่างกันอย่างเห็นได้ชัด พจน์จะสนิทและมักตามพ่อซึ่งเป็น ส.ส.ประจำจังหวัดไปดูงานตามที่ต่างๆเมื่อมีเวลาว่าง ส่วนผมนั้นจะสนิทกับแม่และพี่พรมากกว่า และมักอาศัยเวลาว่างจากการไปโรงเรียนหรือช่วยงานแม่นิดหน่อยไปนั่งอ่านหนังสือริมรั้วมุมประจำของผมซึ่งมีเก้าอี้แบบโยกจัดวางเอาไว้ กลิ่นของดอกปีบทำให้ผมรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย

เย็นวันหนึ่งในขณะที่เรานั่งกินข้าวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เหมือนเช่นทุกทีพ่อจะอบรมสั่งสอนให้เรารู้จักประหยัดอดออม ซื่อสัตย์สุจริต พ่อถามพวกเราว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร แน่นอนว่าสำหรับพจน์แล้วย่อมอยากเป็นนักการเมืองเหมือนพ่อ พี่พรนั้นอยากเป็นหมอ ส่วนผมในตอนนั้นยังไม่รู้ชัดว่าตัวเองอยากจะทำอะไร พ่อชมเชยว่าพจน์มีความทะเยอทะยาน มีความใฝ่ฝันซึ่งผมควรเอาแบบอย่าง


...ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงนอน เจ็บปวดราวกับกระดูกทั้งร่างแหลกละเอียด ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนแต่ความเจ็บปวดทำให้ผมนึกถึงใครบางคน ผมหลับตาลง ในความมืดหน้าของแม่ลอยขึ้นมา...


แม่เป็นคนสวยแม้ในวัยห้าสิบกว่าๆจะทำให้ร่างกายของแม่เจ้าเนื้อไปบ้าง วงหน้ากลมแฝงไปด้วยความใจดี แม่จะดูแลใส่ใจผมมากเป็นพิเศษเวลาที่ผมไม่สบาย เวลาที่ผมปวดหัวแม่จะเอามือแตะบนหน้าผากของผมจนผมหลับไป บางครั้งผมอดคิดไม่ได้ว่าแม่รักผมมากกว่าพี่พรหรือพจน์เสียอีก เสียดายว่าแม่จากผมไปเร็วนัก...แม่เสียชีวิตจากหัวใจล้มเหลว เป็นการเสียชีวิตแบบที่แม่ใฝ่ฝันมาตลอดคือ"หลับแล้วไปเลย" อย่างที่แม่เรียก ใบหน้าของแม่ที่ดูสงบเหมือนคนกำลังหลับช่วยลดทอนความเสียใจของผมลงไปได้บ้าง

ดอกปีบร่วงเกลื่อนเต็มพื้นสนามรอบๆบ้านราวกับความตายของแม่นำความสลดหดหู่มาแก่พวกมัน ไม่มีใครใส่ใจจะเก็บกวาด บางครั้งผมนั่งมองลมแรงที่พัดมาทำเอาดอกปีบบนพื้นปลิวว่อนราวกับมันกำลังร่ายรำ แต่เป็นการร่ายรำด้วยบทเพลงแสนเศร้า...บัดนี้หนึ่งกลีบของดอกปีบในใจผมได้เฉาลงแล้ว

ช่วงที่แม่เสียชีวิตนั้นผมและพจน์มีอายุยี่สิบเจ็ดปี ส่วนพี่พรในวัยสามสิบปี แม้สุดท้ายจะไม่ได้เป็นหมออย่างที่เคยฝันไว้ แต่พี่พรก็มีหน้าที่การงานที่ดี มีครอบครัวที่ดี...พี่พรแต่งงานและย้ายออกไปอยุ่กับสามีนักธุรกิจชาวอังกฤษ บินไปมาระหว่างสองประเทศ ส่วนพจน์ได้เริ่มต้นเข้าสู่งานทางการเมืองตามพ่อ ในขณะที่ผมเป็นอาจารย์โรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่ง

แม้จะโตขึ้นมากแต่หน้าตาเราสองคนยังคล้ายกันจนแยกไม่ออก มีอยู่ครั้งหนึ่งพจน์เกิดอุบัติเหตุข้อเท้าเคล็ดเขาขอยืมบัตรประกันสุขภาพของผมไปใช้ด้วยความนึกสนุก แล้วก็ไม่มีใครรู้จริงๆ สิ่งเดียวที่คนรู้จักเราสองคนดีจะใช้แยกผมกับพจน์ได้ก็คือทรงผม พจน์มักจะตัดผมสั้น ด้วยเหตุผลว่าดูสะอาดเรียบร้อยและเป็นผู้ใหญ่มากกว่า นั่นเป็นความแตกต่างเดียวของเรา


...นึกถึงตรงนี้ผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทั้งห้องเงียบสงัดมีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่งๆ ลมหายใจที่กระชั้น ถี่เร็ว ทำให้รู้ว่าผมกำลังโกรธ แต่โกรธได้ไม่นานผมก็เริ่มรู้สึกปวด กลิ่นบางอย่างบอกให้รู้ว่าผมอยู่ในโรงพยาบาล ด้วยร่างกายไม่อาจขยับเขยื้อนได้ผมจึงทำได้เพียงหลับตาลงอีกครั้ง...


พ่อในวัย58ปียังดูแข็งแรงและอ่อนวัยกว่าอายุมากนัก เป็น ส.ส.มาทุกสมัย ไม่ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ด้วยความเป็นคนอนุรักษ์นิยม พ่อไม่ยอมให้ความเจริญใดๆมากล้ำกลายธรรมชาติในจังหวัด บวกกับความซื่อและรั้นจนเกินไปทำให้พ่อไม่เคยได้รับตำแหน่งสำคัญทางการเมือง แต่พ่อก็ไม่เคยเรียกร้อง และพอใจอยู่เพียงบทบาทสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรอันทรงเกียรตินี้เท่านั้น...แต่ถึงอย่างนั้นพ่อก็ไม่อาจทวนกระแสอันเชี่ยวกรากของธรรมชาติ เมื่อถึงจุดสูงสุดแล้วย่อมต้องร่วงลง ตลอดหลายสมัยที่ผ่าน มา แม้พ่อจะได้รับเลือกเป็น ส.ส.มาตลอด แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่าคะแนนของพ่อน้อยลงในขณะที่ผู้สมัครจากพรรคคู่แข่งเพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งผลการนับคะแนนครั้งล่าสุด พ่อชนะในแบบชนิดที่เรียกว่าหืดขึ้นคอ โดยเฉือนผู้สมัครจากพรรคคู่แข่งไปราวสองร้อยคะแนน

หลังขบคิดหาสาเหตุอยู่หลายวันพจน์สรุปได้ว่าฐานคะแนนของพ่อนั้นมาจากคนรุ่นเก่า ในขณะที่คนรุ่นใหม่ที่มีสิทธิ์เลือกตั้งเพิ่มมากขึ้นทุกปีนั้นไปเทคะแนนให้กับผู้สมัครพรรคคู่แข่งที่เป็นคนหนุ่มไฟแรงบวกกับนโยบายหาเสียงที่พร้อมจะสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในจังหวัดโดยมีสโลแกน"เปลี่ยนป่าให้เป็นเมือง" แต่พ่อไม่เห็นด้วยกับนโยบายเหล่านี้

"นี่แหละประเด็นที่ทำให้คะแนนของพ่อลดลง ถึงเวลาแล้วที่พ่อจะต้องเปลี่ยนทัศนคติทางการเมืองใหม่ เราต้องทำอะไรบ้าง" พจน์บอกพ่อ แต่พ่อไม่เห็นด้วยและคิดว่าคะแนนที่หายไปน่าจะเกิดจากภาพรวมของความนิยมในตัวพรรคการเมืองมากกว่าตัวพ่อ พ่อเชื่อมั่นว่าสิ่งที่พ่อทำอยู่นั้นดีที่สุดแล้วสำหรับจังหวัด

จากวันนั้นมาดูเหมือนว่าทั้งพจน์และพ่อจะเริ่มมีความขัดแย้งกันมากขึ้นในหลายหัวข้อที่ถกเถียงกัน...จนกระทั่งวันหนึ่งหลังรัฐบาลได้ทำหน้าที่มาสองปีเศษ นายกรัฐมนตรีก็ประกาศยุบสภาจากกรณีการทุจริตหลายโครงการที่ฝ่ายค้านนำมาอภิปรายไม่ไว้วางใจ และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่...พจน์เปิดตัวในฐานะผู้สมัคร ส.ส.โดยสังกัดพรรคคู่แข่งกับพ่อ

จังหวัดผมเป็นจังหวัดเล็กๆที่มี ส.ส.ได้เพียงคนเดียว นั่นหมายความว่า พจน์กับพ่อจะเป็นคู่แข่งกันโดยตรง หนังสือพิมพ์เล่นข่าว"ศึกสายเลือด" ระหว่างพจน์กับพ่อพร้อมบทวิเคราะห์กันอย่างครึกโครม จริงบ้างมั่วบ้างตามแต่จรรยาบรรณจะพึงมี

หลังการเลือกตั้งพจน์ชนะแบบขาดลอย สื่อวิเคราะห์ว่าพจน์นั้นคือความลงตัวระหว่างความใหม่คือความเป็นคนรุ่นใหม่ กับเก่าคือเป็นสายเลือดเดียวกันกับผู้สมัครคนเก่า พูดให้ง่ายก็คือพจน์มีนามสกุลพ่อต่อท้ายนั่นเอง

ในระหว่างนั้นพี่พรคลอดลูกคนแรกอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ทำให้การติดต่อระหว่างเราเริ่มน้อยลง แต่เมื่อต่างก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องทำจึงไม่มีใครใส่ใจในเรื่องนี้นัก

ส.ส.พจน์เริ่มงานด้วยการประกาศสร้างจังหวัดให้เป็นเมืองท่องเที่ยว บริษัทอสังหาริมทรัพย์ บริษัทก่อสร้างรวมถึงบรรดานักเก็งกำไรที่ดินตามกลิ่นเงินมาถึงจังหวัดราวกับหมาป่าหิวโหยที่ได้กลิ่นเหยื่อ ที่ดินหลายแห่งเริ่มถูกกว้านซื้อเก็งกำไรบ้าง ผุดโครงการบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียมบ้าง สนามกอล์ฟบ้าง ต้นไม้ถูกเปลี่ยนเป็นตอม่อ สนามหญ้ากลายเป็นพื้นคอนกรีต พ่อไม่เห็นด้วยและเคยพูดกับพจน์หลายครั้งแต่พจน์ยังยืนยันหนักแน่น มีข่าวลือหนาหูว่าพจน์รับเงินใต้โต๊ะจากบรรดาบริษัทเหล่านี้

ด้วยความที่เป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมมาโดยตลอด พ่อเริ่มคัดค้านการก่อสร้าง การตัดต้นไม้ทำลายธรรมชาติ โดยรวบรวมสมัครพรรคพวกเขียนป้ายคัดค้านรวมถึงขับไล่เหล่าทุนนิยมออกจากจังหวัด ถึงกระนั้นพ่อก็ดูสูญเสียความมั่นใจไปมากหลังจากแพ้การเลือกตั้ง วันหนึ่งพ่อมาถามความเห็นจากผมซึ่งนั่นเป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่พ่อทำอย่างนั้น พ่ออยากรู้ว่าตัวเองทำถูกไหมกับการยืนยันที่จะคัดค้านการทำลายธรรมชาติในจังหวัดหรือควรจะปล่อยให้ความเจริญของเมืองกลืนกินจังหวัดนี้ซะ ซึ่งในกรณีนี้ผมยืนยันกับพ่อว่าผมเห็นด้วยกับพ่อ แม้จะไม่ค่อยถามความเห็นของผมบ่อยนักแต่แท้จริงแล้วผมมักจะเห็นด้วยกับความคิดของพ่ออย่างเงียบๆเสมอมา พ่อดูมั่นใจมากขึ้นและชวนให้ผมเข้าร่วมขบวนการต่อต้าน...ผมตกลง!

ผมชวนอาจารย์ร่วมโรงเรียนที่มีความคิดเห็นตรงกันเข้าร่วมด้วย กลุ่มผู้ชุมนุมเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆราวกับการแบ่งตัวของเชื้อแบคทีเรียจากสองเป็นสี่ สี่เป็นแปด แปดเป็นสิบหก...จนแม้แต่ผมเองยักตกใจ เมื่อได้รู้ว่ามีผู้ชุมนุมไม่ต่ำกว่าสามพันคนร่วมเรียกร้องให้รัฐบาลและ ส.ส.พจน์หยุดงานประมูลก่อสร้างที่ดินในจังหวัดอีกโดยเด็ดขาด !

แต่ดูเหมือนพลังเสียงจากสามพันกว่าคนของเราจะถูกทำให้สยบโดยเสียงปืนที่ดังขึ้นในวันหนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่ายิงมาจากทางไหน แต่นั่นก็เพียงพอที่จะให้ชาวบ้านผู้ร่วมชุมนุมแตกตื่นแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง ความตกใจทำให้ผมเองก็วิ่งเตลิดเข้าหาที่กำบังในมุมหนึ่งก่อนจะนึกถึงพ่อขึ้นมาได้ ผมหันหลังกลับไปมองหาพ่อ บัดนี้คนสามพันกว่าคนกระจัดกระจายกันไปจนหมดในเวลาอันรวดเร็ว เหลือเพียงร่างๆหนึ่งนอนหงายอยู่กับพื้น เสื้อยืดสีขาวทำให้เห็นรอยเลือดที่ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นได้อย่างชัดเจน ผมวิ่งเข้าหาร่างนั้นโดยไม่สนใจว่าจะมีกระสุนปืนยิงมาอีกหรือไม่..."พ่อ...ช่วยด้วย...ใครก็ได้ช่วยด้วย" ผมร้องตะโกนสุดเสียงในขณะที่พยามยามอุ้มร่างพ่อขึ้นจากพื้น เมื่อปรากฏว่าไม่มีเสียงปืนนัดต่อไป ชาวบ้านจึงเริ่มออกมามองผมและความช่วยเหลือก็ตามมา พ่อถูกนำตัวไปโรงพยาบาลก่อนที่หมอจะทำหน้าที่ประหนึ่งยมบาลประกาศความตายแก่พ่อ !... อีกหนึ่งกลีบของดอกปีบเฉาไปเสียแล้ว

หลังงานศพพจน์กล่าวแสดงความเสียใจและปฏิเสธความรู้เห็นในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่นั่นก็ไม่เพียงพอ...ชาวบ้านเริ่มซุบซิบกันว่าพจน์คือสาเหตุให้พ่อตายแม้จะไม่ได้เป็นผู้ลั่นกระสุนสังสารด้วยมือตัวเองก็ตามและบทลงโทษก็มาถึงในการเลือกตั้งครั้งต่อมา พจน์แทบจะหมดอนาคตทางการเมืองกลายเป็นเพียงอดีต ส.ส.สมัยเดียวเท่านั้น

วันเวลาผ่านไปพจน์ดูจะช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนไม่เป็นอันทำอะไร ทรงผมของเราที่มักจะต่างกันเดี๋ยวนี้ชักจะคล้ายกันเข้าไปทุกทีเมื่อพจน์ไม่ยอมไปตัดผมอย่างที่เคย

เย็นวันหนึ่งในขณะที่ผมกับพจน์นั่งดูข่าวการเมืองบนจอโทรทัศน์ ข่าวดูเหมือนเหตุการณ์ที่ผ่านมาซ้ำๆซากๆวนเวียนไม่รู้จบสิ้น รัฐบาลถูกตรวจสอบโครงการทุจริต ส.ส.ในสภายกมือไม่ไว้วางใจนายกและรัฐมนตรีหลายคน พร้อมบทวิเคราะห์จากสื่อว่ารัฐบาลเตรียมประกาศยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเร็ววันทันใดนั้น โดยไม่ตั้งตัวพจน์ขอให้ผมลงสมัคร ส.ส.ด้วยเหตุผลที่ว่ามันเป็นความฝันของพ่อและของพจน์เอง ผมปฏิเสธไปหลายครั้งแต่พจน์ยังคงชักโยงเหตุผลต่างๆนานามาประกอบและในที่สุดผมก็พ่ายแพ้แก่เหตุผลเหล่านั้น ผมตกลงสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเดิมของพ่อ ด้วยนามสกุลของพ่อที่ทางพรรคเห็นว่ายังคงมีอิทธิพลต่อคนในพื้นที่ผมจึงได้ลงสมัครในจังหวัดบ้านเกิด

ก่อนการขึ้นปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้ายพจน์ขอร้องผมว่าให้เขาขึ้นปราศรัยแทน ผมมองหน้าพจน์แล้วก็เพิ่งตระหนักเดี๋ยวนี้เองว่าพจน์กับผมเหมือนกันจนแยกไม่ออก พจน์ปล่อยผมยาวแล้วจัดทรงเดียวกัน ผมมองพจน์ราวกับส่องกระจกดูตัวเอง พจน์ให้เหตุผลว่าอยากจะสัมผัสการเมืองอีกครั้ง อยากจะขอจดจำการปราศรัยครั้งสุดท้ายนี้แล้วจะกลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง เขาพร่ำพรรณนาถึงความลุ่มหลงในการเมืองของตัวเอง และก็อย่างทุกครั้งผมไม่เคยเถียงชนะพจน์เลยแม้แต่ครั้งเดียว พจน์สามารถยกเอาเหตุผลทุกอย่างในโลกมาประกอบการตัดสินใจของตัวเองได้หมด ผมตกลงให้พจน์ขึ้นปราศรัยแทน บางทีอาจจะดีเหมือนกัน พจน์เองก็มีประสบการณ์การปราศรัยมากกว่าผมน่าจะทำได้ดีกว่า พจน์ยังเสนอว่าเพื่อความปลอดภัยเราควรจะแลกเอกสารแสดงตัวอาทิบัตรประชาชน ใบขับขี่หรือเอกสารทั้งทางราชการและทางการเมืองอื่นๆเผื่อในกรณีมีเหตุไม่คาดคิด ผมหยิบบัตรจากกระเป๋าสตางค์ส่งให้พจน์ "เงินในกระเป่าคงไม่ต้องแลกด้วยมั๊ง"ผมหยอดมุข เมื่อจัดการเรื่องเอกสารเรียบร้อยแล้ว ผมกับพจน์หารือเรื่องการร่างคำปราศรัย

เมื่อวันปราศรัยใหญ่มาถึงพจน์ขึ้นเวทีด้วยความมุ่งมั่นและมั่นใจเต็มเปี่ยม ไม่มีใครสงสัยในการสลับตัวกันทำหน้าที่ของเรา ช่วงแรกของการปราศรัยพจน์พูดตามสคริปต์ที่เราวางไว้ด้วยกัน แต่หลังจากนั้นผมรู้สึกราวกับถูกฟาดด้วยไม้หน้าสาม นโยบายเก่าที่พจน์เคยหาเสียงถูกเอาขึ้นมาพูดอีกครั้งบนเวที ผมนิ่งฟังอยู่พักนึงจนทนไม่ได้ ผมพยายามจะขึ้นไปบนเวทีพร้อมตะโกนว่าพจน์ แต่ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจับตัวไว้ ด้วยความโมโหผมพยายามดิ้นรนขัดขืน พร้อมตะโกนบอกทุกคนว่าผมคือเพชร คนบนเวทีคือพจน์แต่ไม่มีใครเชื่อ พจน์บนเวทีกล่าวขอโทษประชาชน เขาหาว่าผมคือพจน์ที่เสียใจจากการหมดอนาคตทางการเมืองจนเพี้ยนไป พร้อมยืนยันหลักฐานบัตรประชาชนชูให้ผู้คนที่มาฟังการปราศรัยดู ผมโกรธจัดพยายามจะเหวี่ยงใครบางคนที่ล็อคแขนผมออกไป แต่ตอนนี้ผู้คนแน่นขนัดล้อมรอบผม ผมรู้สึกมีอะไรบางอย่างมากระแทกทางด้านหลังบริเวณท้ายทอย ผมล้มลงเอามือกุมท้ายทอยด้วยความเจ็บปวด" มรึงนี่เองทำให้ ส.ส พงษ์ ต้องตาย" เสียงใครคนหนึ่งตะโกนออกมาพร้อมๆกันกับที่เท้าของใครอีกคนกระทืบลงมาที่ท้องของผม "แล้วยังจะมาก่อกวนน้องตัวเองอีก ชั่วจริงๆ" เสียงรุมประนามสาปแช่งรวมถึงเท้าหนักๆของใครอีกหลายคนโหมกระหน่ำมาที่ผม นั่นเป็นความรู้สึกสุดท้ายก่อนที่ผมจะหมดสติ


...เมื่อรับไม่ไหวอีกต่อไปผมลืมตาขึ้นมา มันเป็นวิธีการที่ผมใช้พาตัวเองหลบหนีมาจากเหตุการณ์ในอดีตที่ตามมาหลอกหลอนผมในความคิด ร่างของผมชุ่มไปด้วยเหงื่อ ผมผ่อนลมหายใจยาวด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นแสงรุ่งอรุณอีกครั้ง อย่างน้อยผมก็ยังอยู่รอดมาได้อีกหนึ่งคืน

ในขณะที่ผมพยายามสูดเอาแสงแห่งรุ่งอรุณนี้เข้าปอดผมรู้สึกถึงกลิ่นบางอย่างที่คุ้นเคย เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกปีบนั่นเอง ผมเหลือบมองตามกลิ่นเห็นแก้วน้ำใส่ดอกปีบวางอยุ่บนโต๊ะ ยังไม่ทันที่ผมจะคาดเดาใดๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พี่พรเปิดประตูเข้ามาพร้อมรอยยิ้มทักทาย เรานั่งสนทนากันราว 20 นาที พี่พรทราบเรื่องจากข่าวทางอินเตอร์เน็ตจึงรีบเดินทางกลับมาเยี่ยม ตอนมาถึงผมยังไม่รู้สึกตัว พี่พรกลับไปที่บ้านแต่ไม่พบใคร แต่นึกขึ้นได้ว่าผมอาจจะอยากได้กลิ่นปีบมันอาจช่วยให้รู้สึกเหมือนอยู่บ้านมากขึ้น ผมรู้สึกอบอุ่นที่อย่างน้อยก็ยังมีพี่พรที่ยังคิดถึงผม หลังสนทนาพี่พรขอตัวกลับก่อนเนื่องจากมีธุระอีกมาก ผมขอให้พี่พรหยิบปีบดอกหนึ่งมาวางบนหน้าอกของผมก่อนกลับ

ผมมองตามพี่พรเดินไปถึงหน้าประตูห้องคนป่วยด้วยความอาลัย ทันใดนั้นพี่พรหันกลับมาสีหน้าราวกับหลงลืมอะไรบางอย่าง...

"ฝากความคิดถึงเพชรด้วยนะ" พี่พรพุดออกมาก่อนจะเดินออกจากประตูไป

ผมพยายามใช้สองมือฉีกกลีบด้านที่เป็นแฝดของดอกปีบให้แยกออกจากกัน แต่ดูเหมือนมันจะกินแรงมากเกินไป ผมเหนื่อยหอบมองดูดอกปีบที่อยู่บนหน้าอกแต่ไม่สามารถทำอย่างไรกับมันได้ กลิ่นหอมของมันที่ยังคงโชยมาแตะจมูกทำให้ผมได้คิด "ดอกปีบก็คือดอกปีบผมเพียงสมมุติให้มันเป็นตัวแทนของสิ่งนั้นสิ่งนี้ เมื่อไม่พอใจก็จะทำลายมันเสีย แต่ผมไม่สามารถทำลายหรือเปลี่ยนมันได้หรอกเพราะปีบจะยังคงเป็นปีบอยู่วันยังค่ำ"

ผมสูดกลิ่นหอมของมันจนชื่นใจ ก่อนจะหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน...

......................................................

..............................................................................

....เวอร์ชั่นที่ท่านอ่านจบลงไปนี้เป็น "หอมกลิ่นปีบ Narin's version" ยังมีอีก 1 เวอร์ชั่นคือ "หอมกลิ่นปีบ Thitiwach's version" ที่ http://noknoi.com/magazine/article.php?t=3558
ท่านสามารถร่วมเป็นกรรมการในการตัดสินให้ 1 ใน 2 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้รับชัยชนะในหัวข้อเรื่องสั้น "หอมกลิ่นปีบ" ประจำปี 2554 นี้

หอมกลิ่นปีบ Thitiwach's version
http://noknoi.com/magazine/article.php?t=3558
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11031794/W11031794.html
หอมกลิ่นปีบ Narin's version
http://noknoi.com/magazine/article.php?t=3559
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11031781/W11031781.html



ขอเชิญร่วมสนุกในการเป็นกรรมการตัดสินเรื่องสั้นคราวนี้ด้วยนะคะ ขอบพระคุณมากค่ะ

แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 54 12:21:43

จากคุณ : วาฬอันดามัน
เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 54 12:03:53




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com