Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
์NPL Sleeping Beauty ติดต่อทีมงาน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  ยังมีพระราชาและพระราชินีสองพระองค์  แม้จะเสกสมรสกันมานานแล้วหากทั้งสองพระองค์นั้นไร้ซึ่งบุตรธิดา  ดังนั้นเมื่อจำเนียรกาลผ่านเลยและพระราชินีทรงให้กำเนิดพระธิดาพระองค์หนึ่งในยามอรุณรุ่ง  ทั้งสองพระองค์จึงดีพระทัยมาก  จัดงานเฉลิมฉลองใหญ่โตทั้งอาณาจักร  และอัญเชิญผู้วิเศษมาร่วมอวยพรแก่พระธิดาพระองค์น้อย

ผู้วิเศษสองคนแรกมอบพรแห่งความงามและเสียงเพลงอันไพเราะให้แก่พระธิดา  แต่ในขณะที่ผู้วิเศษคนที่สามกำลังจะมอบพรนั้น  ก็มีผู้วิเศษที่เป็นที่รังเกียจของผู้วิเศษทั้งหลายนางหนึ่งบุกเข้ามาด้วยความโกรธ  เพราะนางหาได้รับเทียบเชิญไม่  ด้วยเหตุนั้นนางจึงมอบคำสาปให้พระธิดา  เจ้าหญิงพระองค์น้อยจะมีพระสิริโฉมงดงาม  เสียงร้องเพลงไพเราะและเป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป  ทว่าเมื่อพระองค์มีพระชนมายุสิบหกชันษา  พระองค์จะถูกเข็มของเครื่องปั่นด้ายแทงนิ้วและทิวงคตในทันที  

หากยังเป็นโชคของพระธิดา  ผู้วิเศษคนสุดท้ายที่ยังไม่ได้มอบพรให้จึงใช้พรของตนบรรเทาคำสาป  แม้พระธิดาจะถูกเข็มปั่นด้ายแทงนิ้วตอนสิบหกชันษา  แต่พระองค์หาได้ทิวงคตไม่  เพียงแต่หลับใหลไปหนึ่งร้อยปี  จนเมื่อได้รับจุมพิตของเจ้าชายเมื่อนั้นถึงจะฟื้นขึ้นมา  

แม้จะได้ยินดังนี้  หากหัวใจของคนเป็นพ่อก็ย่อมอยากให้ลูกปลอดภัย  ดังนั้นพระราชาจึงได้สั่งเผาเครื่องปั่นด้ายทั่วราชอาณาจักร  ออกคำสั่งมิให้มีผู้ใดครอบครองเครื่องปั่นด้าย  

ทว่าคำสาปของผู้วิเศษนั้นไม่อาจเลี่ยงได้  ในวันประสูติครบรอบที่สิบหกปีของเจ้าหญิงนั้น  พระองค์ได้เสด็จไปพบกระท่อมแห่งหนึ่ง  ภายในกระท่อมนั้นมีหญิงชรานั่งปั่นด้ายอยู่  ด้วยความไม่เคยเห็นเครื่องปั่นด้าย  เจ้าหญิงจึงได้เอานิ้วไปสัมผัสกับเข็มเครื่องปั่นด้าย  และนิทราไปตามคำสาปและพรของผู้วิเศษ

พระราชาพระราชินีและปวงประชาต่างทุกข์ทนปิ้มจะขาดใจกับการหลับใหลของเจ้าหญิงเป็นที่ยิ่งนัก  ดังนั้นผู้วิเศษผู้แก้ไขคำสาปของเจ้าหญิงจึงบันดาลให้คนทั่วราชอาณาจักรพากันหลับใหลตามเจ้าหญิงไป  เถาวัลย์กุหลายมากมายมหาศาลก็งอกขึ้นปกคลุมปราสาทราวกับจะปกป้องเจ้าหญิงพระองค์น้อย  วันเวลาของอาณาจักรแห่งหยุดลงราวกับจะรอคอยวันที่พระองค์จะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

แล้วกาลเวลาก็ผ่านไป...


“พอแล้วเสด็จปู่  จะนานอะไรหนักหนา  แค่ร้อยปีที่แล้วเอง”  ชายหนุ่มในเสื้อผ้าเนื้อดีทักขึ้น  “อีกอย่าง  หม่อมฉันได้ยินเรื่องนี้มาแต่อ้อนแต่ออก  จำได้ขึ้นใจแล้ว  เสด็จปู่ไม่ต้องทรงเล่าประทานย้ำหรอก”

ชายชราหรี่ตามองหน้าผู้พูด  หลานของพระองค์นั้นเป็นหนุ่มรูปงาม  ผมทองเป็นเงาดั่งพระอาทิตย์ขึ้น  ดวงเนตรสีฟ้าสดราวนภา  โครงหน้าได้รูปสมส่วนดั่งชื่อ ‘ปริ๊นซ์ชาร์มมิ่ง’  แม้กระทั่งไรผมตรงหน้าผากยังเป็นรูปตัววีเล็กๆ สมชื่อ  ก่อนที่อีกหน่อยอาจจะค่อยๆ ขยายขนาดขึ้นจากชามเป็นกะละมังมิ่งเหมือนพระองค์  กินลึกเข้าไปถึงขมับ...

เสียอย่างเดียว  ปากเปราะเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของเจ้าตัว  หากไม่พูดขัดอะไรก็คงจะเป็นปริ๊นซ์ชาร์มมิ่งจริงๆ อยู่หรอก

“ข้าต้องย้ำ  เพราะมันถึงเวลาที่เจ้าต้องไปทำภารกิจของราชตระกูล  เจ้าบ่ายเบี่ยงมาหลายปีแล้ว”  
เจ้าชายพระโอษฐ์เปราะถอนพระทัยเฮือกใหญ่ดุจทุกข์หนัก

“เสด็จปู่  เราเป็นเจ้าหนี้เขาหรือเขาเป็นเจ้าหนี้เรากันแน่?  ทำไมมันถึงเป็นภารกิจของราชวงศ์เราที่ต้องไปปลุกยัย...เจ้าหญิงติงต๊องนั่นด้วย”

“เพราะเราเป็นเจ้าหนี้เราถึงต้องไปปลุกเขา  ลูกหนี้ที่หลับจะใช้หนี้เราได้อย่างไร?"

ความจริงประการหนึ่งที่ตกหล่นไปจากตำนานแสนโศกซึ้งนั้นคือ  หลังจากที่พระราชาได้เที่ยวเผาเครื่องปั่นด้ายในราชอาณาจักรจนสิ้น  อาณาจักรพระองค์ก็เริ่มประสบภาวะวิกฤต  ไม่มีด้ายจะใช้ทอผ้า  เสื้อผ้าของชาวประชารวมไปถึงข้าหลวงขุนนางไม่เว้นกระทั่งเชื้อพระวงศ์ในปราสาทราชวังเริ่มขาดวิ่น  จะซ่อมก็ไม่รู้จะไปหาด้ายที่ไหนมาชุนมาปะ  ทำให้พระราชาตัดสินพระทัยนำเข้าม้วนด้ายที่ปั่นสำเร็จแล้วจากอาณาจักรข้างเคียง  อันเป็นอาณาจักรที่เกรียงไกรด้านสิ่งทอของปริ๊นซ์ชาร์มมิ่ง

เนื่องด้วยด้ายที่สั่งซื้อมีปริมาณมหาศาล (และการฉวยโอกาสของพระราชสององค์ก่อนผู้เป็นเทียดของปริ๊นซ์ชาร์มมิ่ง) ทำให้มูลค่าของด้ายที่นำเข้ามีมากกว่าเงินสดในท้องพระคลัง  แม้พระราชทรัพย์ทั้งหมดที่ไม่ใช่เงินจะมีค่ามากพอจ่ายค่าสินค้า  ทว่าก็ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง  ผู้ขายไม่รับเป็นค่าสินค้า  ทำให้พระราชาผู้ซื้อตัดสินพระทัยซื้อเชื่อไว้ก่อน  และทำสัญญาว่าจะจ่ายเงินให้เมื่อพระธิดาของพระองค์มีพระชนมายุสิบเจ็ดชันษา

แต่แล้วก็มาเกิดเหตุหลับหนีหนี้กันทั้งเมืองเสีย  เจ้าหนี้ถึงได้เดือดร้อนเป็นหนักหนา  สินค้าที่ซื้อเชื่อไว้ก็ไม่ใช่น้อยๆ หากได้เงินมาจะสามารถนำไปพัฒนาฟาร์มหม่อน  ผสมพันธุ์ไหม  จีเอ็มโอฝ้าย  โคลนแกะและโปรเจคปรับปรุงสินค้าหลักของอาณาจักรได้อีกมากมาย

ภาระปลุกลูกหนี้ให้ตื่นขึ้นมาจ่ายหนี้นั้นจึงตกเป็นของเชื้อพระวงศ์ชายทุกพระองค์  ยังไม่ทันจะยี่สิบดี  ทุกพระองค์ก็ต้องรอนแรมบุกป่าฝ่าหนามกุหลาบขึ้นไปจุมพิตเจ้าหญิงบนหอคอย  แต่จนกระทั่งบัดนี้  เจ้าหญิงนิทรารับจุมพิตจากเจ้าชายสิริรวมเกือบยี่สิบพระองค์เข้าไปแล้วก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเสียที

ภาระน่ารำคาญนั้นจึงสืบทอดมาถึงปริ๊นซ์ชาร์มมิ่งในที่สุด...

ปริ๊นซ์ชาร์มมิ่งถอนพระทัยอีกครั้ง

“เสด็จปู่  หม่อมฉันไม่อยากจูบผู้หญิงคราวย่านะพระเจ้าค่ะ...ไม่สิ  คราวทวดเสียด้วยซ้ำ  หลับอยู่อีกต่างหาก  รู้ถึงไหนชื่อเสียงหม่อนฉันคงป่นปี้ไม่มีชิ้นดี  ลักหลับ  เอ๊ย  ขโมยจูบหญิงชรา”

“อายุเป็นเพียงตัวเลข  จนบัดนี้แล้วนางก็ยังงามดุจดรุณีแรกแย้มอยู่หาได้เป็นหญิงชราไม่”

“แล้วชื่อเสียงหม่อมฉันล่ะพระเจ้าค่ะ?”

“ชื่อเสียงเป็นของนอกกาย  ไม่ตายหาเอาใหม่ได้”  เสด็จปู่ย้อนอย่างไม่ไยดีอาการกลัดกลุ้มของเสด็จหลาน

“นั่นมันทรัพย์พระเจ้าค่ะ!”

“แล้วเจ้าจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวคนเดียวรึอย่างไร?  ทั้งพ่อทั้งลุงทั้งอาเจ้าก็ชื่อเสียงป่นปี้ไปแล้วเหมือนกัน  ไหนจะพี่ๆ เจ้าอีก  ทุกคนเป็นเจ้าชายลักหลับไปแล้วทั้งนั้น”

“...แล้วนั่นเป็นเหตุผลที่หม่อมฉันต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงไปด้วยหรือพระเจ้าค่ะ?”

เสด็จปู่ถอนพระทัยเฮือกใหญ่บ้าง

“ข้าจะยกขึ้นมาว่ามันเป็นหน้าที่  แม้ผลลัพธ์จะเลวร้ายขนาดไหนก็ต้องทำเพราะเจ้าเป็นเจ้า  เจ้าคือผู้มีภาระอันยิ่งใหญ่  เจ้าเป็นเจ้าชาย  จะปฏิเสธหน้าที่ได้อย่างไร?”

ปริ๊นซ์ชาร์มมิ่งรู้สึกว่าพระดำรัสเสด็จปู่ฟังดูเกร่ออย่างไรพิกล

“เสด็จปู่”  น้ำเสียงของเจ้าชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่าย  “หม่อมฉันไม่ได้คิดปฏิเสธหน้าที่นะพระเจ้าค่ะ  แต่หม่อมฉันคิดถ้าวิธีการไม่ถูกต้อง  ให้ปฏิบัติยังเหลนโหลนก็ไม่เกิดอะไรขึ้นมาเพราะเจ้าค่ะ”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“หมายความว่าอายุของเจ้าชายที่ไปจุมพิตเจ้าหญิงนิทราไม่ถูกต้องอย่างไรพระเจ้าค่ะ”  เสด็จปู่หรี่พระเนตรให้กับคำดำรัสของเสด็จหลาน  ทำให้ปริ๊นซ์ชาร์มมิ่งทรงอธิบายต่อไปว่า  “เสด็จปู่ลองคิดดูนะพระเจ้าค่ะ  ทางเราก็ส่งเจ้าชายหนุ่มรูปงามไปจุมพิตตั้งมากมาย  แต่เจ้าหญิงนิทราก็หาได้ลืมตาตื่นไม่  มีข้อสังเกตที่น่าสนพระทัยอย่างคือ  ทุกพระองค์ล้วนเป็นหนุ่ม  ดังนั้นหม่อมฉันจึงคิดในมุมกลับ  หากผู้ที่ไปจุมพิตเป็นผู้สูงวัย  นางอาจลืมตาตื่นขึ้นมาก็ได้นะพระเจ้าค่ะ”  ตรัสแล้วเจ้าชายหนุ่มก็แย้มสรวลกว้าง  “เสด็จปู่นั่นแหละที่ควรไปจุมพิตเจ้าหญิงนิทราเพราะเจ้าค่ะ”

“เฮ้ย  ข้าไปมาแล้ว  เจ้าจะให้ข้าไปอีกหรืออย่างไร!?”  เสด็จปู่ทรงร้องพระสุรเสียงหลง  

“ตอนที่เสด็จไปตอนยังหนุ่มก็เป็นอีกเรื่องสิพระเจ้าค่ะ  ตอนนี้เรามีข้อสันนิษฐานใหม่ว่าเจ้าหญิงนิทราต้องได้รับจุมพิตจากเชื้อพระวงศ์ชราถึงจะฟื้น  เสด็จปู่ก็ควรต้องลองก่อนใคร  เพราะเสด็จปู่อาวุโสสุดนะพระเจ้าค่ะ”

“นี่เป็นแผนการจะส่งให้ข้าไปหัวใจวายตายคาหอคอยแล้วจะฮุบบัลลังก์ใช่ไหม?”

“หามิได้พระเจ้าค่ะ  หม่อมฉันจะไปแผ้วถางทางให้เสด็จปู่เป็นอย่างดี  ไปสร้างลิฟต์ให้เสด็จปู่ด้วย  จะได้ไม่ต้องทรงตะกายหอคอยให้พระทัยวาย  เพียงแค่เสด็จปู่เสด็จในรถม้าเท่านั้น  หม่อมฉันจะพาไปเทียบเตียงของเจ้าหญิงให้เองพระเจ้าค่ะ”

“งั้นเจ้าก็หวังให้ข้าเป็นหอบหืดเพราะเกสรกุหลาบตายและจะฮุบบัลลังก์ละสิ   เจ้าก็รู้นะว่าข้าแพ้เกสรกุหลาบ!”

“ไม่ต้องเป็นห่วงพระเจ้าค่ะ  ขอเวลาหม่อมฉันไปศึกษาวิชาเรียกฝนกับฤาษีอู้บุนตู้สักพัก  แล้วหม่อมฉันจะเรียกฝนลงมาชะเกสรกุหลาบในอากาศให้หมดไปเอง  เพียงเท่านั้นเสด็จปู่ก็ไม่ต้องผจญกับเกสรหายนะนั่นแล้ว”

เสด็จปู่ทรงเงียบกับดำรัสของเสด็จหลานไปนาน  ก่อนที่จะถอนพระทัยออกมาในที่สุด

“เอาล่ะ  ข้าเข้าใจแล้วว่าเจ้าไม่อยากไปขนาดไหน  ถึงขนาดยอมเสี่ยงไปอยู่กับฤาษีชื่อไม่น่าวางใจนั่น  ข้าเองก็ใช่ว่าจะเป็นปู่ใจร้าย  บีบบังคับหลานจนไร้ซึ่งทางออกหรอกนะ”  เสด็จปู่ตรัสด้วยสุรเสียงเห็นอกเห็นใจเป็นที่ยิ่ง  ก่อนที่จะแย้มสรวลโฉดออกมา  “ถ้าเจ้าจะคืนเงินที่กู้ไปลงทุกวิจัยปรับปรุงพันธุ์หม่อนมา  จะไม่ไปก็ได้  ข้าไม่ว่า  ข้าจะไปให้เอง  ถือเสียว่าเป็นค่าเหนื่อยข้าก็แล้วกัน”  เสด็จปู่งัดไม้ตายขึ้นมาใช้  ด้วยรู้ใจหลานชายคนเล็กว่าเป็นคนรักหนอนใบหม่อนเป็นนักหนา  จนน่ากลุ้มใจว่าอาจจะหาคู่ไม่ได้ตลอดชีวิต  ต้องเป็นปู่โสมเลี้ยงหนอนไปจนตาย

แน่นอนว่าปริ๊นซ์ชาร์มมิ่งแทบจะกรีดร้องเป็นภาษาหนอนใบหม่อน  เงินที่กู้มานั้นเขาลงทุนไปกับการวิจัยจนเกลี้ยงแล้ว  จะเอาที่ไหนไปคืนเสด็จปู่  ขืนบอกความจริงไป  มีหวังฟาร์มหม่อนแสนรักได้ถูกริบเข้าหลวงแทนเงินทุนเป็นแน่แท้

ดังนั้นทางเลือกสุดท้ายของเจ้าชายคือละทิ้งแผนการต่างๆ แล้วทำราชภารกิจของพระราชวงศ์แต่โดยดี  กระนั้นพระทัยก็นึกหน่ายเป็นกำลัง  ทั้งเสียเวลาทั้งเหนื่อยนัก  ไหนจะต้องขี่ม้าเป็นวันๆ  ต้องตัดไอ้เถากุหลาบที่โตวันโตคืนราวกับมีคนใส่ฮอร์โมน  ไหนจะต้องตะกายหอคอยสูงปรี๊ดเสียดฟ้า  แล้วยังต้องไปจุมพิตเจ้าหญิงติงต๊องที่ไม่ได้แปรงฟันมาเป็นร้อยปี...

พระดำริสุดท้ายทำให้เจ้าชายทรงสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย  อันสุดท้ายนี่แหละที่เขาอยากให้เสด็จปู่รับกรรมไปแทน...

“เสด็จปู่  ถ้าเกิดเจ้าหญิงนั่นฟื้นขึ้นมาแล้วเห็นหน้าหม่อมฉัน  แล้วเรียกร้องให้หม่อมฉันแต่งงานด้วยโทษฐานทำให้นางแปดเปื้อนจะทำยังไงพระเจ้าค่ะ?  หม่อมฉันไม่ชอบผู้หญิงโง่  แล้วถ้าเกิดลูกหม่อมฉันออกมาไร้สามัญสำนึกเหมือนแม่ละแย่เลย  ไม่ใช่แค่หม่อมฉัน  แต่อาณาจักรนี้อาจจะแย่ไปด้วยนะพระเจ้าค่ะ”  ปริ๊นซ์ชาร์มมิ่งหันกลับมาตรัสถามเสด็จปู่อีกครั้งพร้อมความหวังสุดท้ายในพระทัย  หวังว่าเหลนที่อาจปัญญาอ่อนไม่มีคอมมอนเซ้นส์ขนาดไม่รู้ว่าไม่ควรเอานิ้วไปแหย่เข็มที่กำลังหมุนนั้นจะพอทำให้เสด็จปู่เปลี่ยนพระทัยได้บ้าง

ทว่าเสด็จปู่เพียงทอดพระเนตรเสด็จหลานด้วยสายตาสมเพช

“ถ้าเจ้าไม่มีปัญญาสลัดผู้หญิงโง่ไร้สามัญสำนึกได้  ก็อยู่กับผู้หญิงโง่ไปก็แล้วกัน”

คำตอบไร้ซึ่งเยื่อใยนั้นทำให้ปริ๊นซ์ชาร์มมิ่งน้ำตาตกใน  ได้แต่ก้มพระพักตร์รับกรรมที่ไม่ได้ก่อไปแต่โดยดี

รอพ่อก่อนนะโจเซฟิน  อลิซาเบท  แอนนาลี  โมนาลิซ่า  พ่อจะรีบกลับมาป้อนใบหม่อนให้ลูกโดยเร็วที่สุด...

ความคิดของปริ๊นซ์ชาร์มมิ่งล่องลอยไปยังหนอนใบหม่อนสุดรัก ณ ฟาร์มส่วนตัวที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไป...

***

คืนวันบนหลังม้าผ่านไป  ในที่สุดปริ๊นซ์ชาร์มมิ่งก็มาถึงปราสาทของเจ้าหญิงนิทรา  

เบื้องหน้าเจ้าชายหนุ่มคือดงกุหลาบเมาะลำเลิงที่เลื้อยพันกำแพงจนทึบหนา  ออกดอกสีชมพูงามสะพรั่ง ทว่าหนามแหลมเรียวเล็กราวเข็มที่พร้อมจะแตกได้ทุกเมื่อยามถูกทิ่มแทงนั้นช่างดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

มิน่าเล่า  เสด็จพี่แต่ละองค์ถึงได้เต็มไปด้วยบาดแผลมากมายปานไปสู้กับเสือมา

เจ้าชายหนุ่มมองเถาต้นไม้ตรงหน้าชั่วครู่แล้วก็หันพระพักตร์ไปยังสัมภาระที่แขวนอยู่บนอานม้า  เอื้อมพระหัตถ์ไปหยิบถุงมือหนังออกมาสวมทั้งสองข้าง  จากนั้นก็ล้วงอุปกรณ์ที่เตรียมมาสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ

กรรไกรตัดกิ่ง  กรรไกรตัดกิ่งต่อด้าม  กรรไกรตัดหญ้า  มีดดายหญ้า  ขวาน  คราด  บุ้งกี๋  หินลับมีดและรถเข็น...มีแต่คนโง่เท่านั้นที่เอาดาบไปฟันต้นไม้  ทำอะไรไม่รู้จักดูจุดประสงค์ของอุปกรณ์เอาเสียเลย...เจ้าชายแอบดำริปรามาสเสด็จพี่และเสด็จอาบางองค์

แล้วจากนั้น  ปริ๊นซ์ชาร์มมิ่งก็ลงมือตัดเถาวัลย์ที่เลื้อยพันประตูปราสาท  ตัด  ตัด  ตัด  ตัดไปเรื่อยจนกระทั่งพระองค์ก็ชักจะเลือนๆ ไปเสียแล้วว่าที่พกอุปกรณ์ทำสวนมากมายขนาดนี้มาเพื่อทำอะไร  กว่าจะรู้สึกพระองค์  เถาวัลย์ที่หนาทึบบนกำแพงสองข้างประตูก็มีรูปทรงละม้ายคล้ายเปกาซัสกำลังทะยานฟ้าเสียแล้ว

(ยังมีต่อครับ)

แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 54 14:17:21

แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 54 14:16:18

จากคุณ : runaway guy
เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 54 14:15:42




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com