นักรบจันทรา ตอนที่ 4 มารีน่า
|
 |
ไบรอัน/มารีน่า
เมื่อการ์เตรียมตัวออกเดินทางก็นึกถึงคำพูดของซาราห์ โฟรกุสเมื่อคืนก่อน ไบรอันหอบเครื่องหลังเหมือนเคยแต่ในมือทั้งสองข้างถือถุงกระดาษเล็กๆเหมือนถุงใส่เครื่องเทศ เจ้านั่นคงไม่หอบขนมปังหรืออะไรไปกินระหว่างการบินด้วยเพราะต้องใช้เวลาบินนานมาก แค่นั้นคงไม่พอกินได้ตลอดทาง
น่าจะทำตัวให้ชินไว้นะไบรอัน จะเป็นเจ้าบ่าวได้อย่างไรถ้าไม่กล้าขี่มังกรของเจ้าสาว ซาราห์พร้อมสัมภาระสะพายหลังพูดหยอกเพื่อนชายอย่างไม่กลัวเกรงเหมือนเคย แถมวางสีหน้าจริงจังผิดกับน้ำเสียงที่เกือบกลั้วหัวเราะ
ถ้าไม่ใช่เจ้า ต่อให้ต้องขี่มังกรทั้งวันทั้งคืนข้าก็ยอมแต่งด้วย ไบรอันที่ไม่กล้าหือกับเพื่อนสาวตอบกลับด้วยคำพูด ทำให้นางค้อนกลับพร้อมรอยยิ้ม เดี่ยวคอยดูหน้าคนเมามังกรก็แล้วกัน ข้าละอยากเห็นนัก ซาราห์หันมาหัวเราะกับการ์แล้วไปช่วยเรแมนขนของไปรวมกันใกล้ๆคอกม้า
มังกรสามเขามิราจทำงานได้ดีเกินคาด มันยอมให้ไบรอันผูกเชือกหนังไว้ที่ขาหน้าเพื่อให้มันแบกสัมภาระไปด้วย การ์ได้ยินนางอัศวินมังกรฮัมเพลงเบาๆระหว่างสัตว์เลี้ยงของนางขยับปีกขึ้นลงเพื่อบินขึ้นท้องฟ้า พวกการ์โบกมือให้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่ซาราห์ฝากบ้านให้ช่วยดูแลระหว่างที่นางไม่อยู่
เราจะบินห้าชั่วโมงต่อหนึ่งวัน คงถึงประมาณพรุ่งนี้สายๆ ซาราห์ตบคอมังกรสามเขาเบาๆ การ์มองทิวทัศน์ข้างใต้อย่างตื่นเต้น ดวงตะวันที่เส้นขอบฟ้ายังไม่ขึ้นพ้นเหลี่ยมเขาทำให้อากาศยังเย็นอยู่...
แค่ถึงเวลาพักการเดินทางสามชั่วโมงแรกการ์ก็รู้สึกอยากเดินด้วยขาของตัวเองแทนเสียแล้ว การบินระยะไกลของมังกรไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เขาคิด ทั้งต้องหลบหลีกภูเขา กลุ่มเมฆฝน และฝูงสัตว์วิเศษที่อาจนำอันตรายมาสู่ผู้โดยสาร การเลี้ยวแต่ละครั้งทำให้รู้สึกเหมือนเครื่องในจะออกมาดูโลกภายนอกตามแรงเหวี่ยง ระหว่างการบินไบรอันทำท่าพะอืดพะอม เรแมนเกือบปล่อยอาหารเช้าออกมา มีแค่นางอัศวินมังกรที่หัวเราะคิกคักมองดูสภาพที่ย่ำแย่ของพวกการ์อย่างรื่นเริง
อย่าอ้วกเสียงดังนักสิมังกรจะพัก ยิ่งกวนยิ่งหายเหนื่อยช้า เดี๋ยวไปถึงจุดพักค่ำกันจนได้ ซาราห์แหวเพราะเพื่อนชายพยายามข่มอาการจนเสียงดังเกินไปเล็กน้อย
นี่เวลาออกตรวจต้องบินอย่างนี้ประจำเลยหรือ การ์เค้นเสียงถาม เมื่ออ้าปากพูดอาหารเช้าก็ทำท่าจะออกมาอีกหนหนึ่ง นึกอัศจรรย์ใจที่นางไม่ได้รับผลกระทบใดๆเลยในขณะที่มิราจยังต้องกินน้ำอย่างบ้าคลั่งและแทบไม่ขยับปีกเลยสักนิด
ปกติบินแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็หอบแล้ว บังเอิญข้าแอบยืมมังกรเพื่อนมาฝึกบินต่อ นานๆเข้าจึงข้ามขีดจำกัดได้อย่างไรละ การ์คงเชื่อที่ซาราห์พูดสนิทใจถ้าเพื่อนชายของนางไม่แย้งเสียก่อน
อัศวินมังกรทุกคนต้องผ่านการฝึกหนัก สามชั่วโมงเป็นขีดจำกัดสำหรับคนธรรมดา แต่อัศวินมังกรต้องต่อสู้ทั้งที่อยู่บนหลังมังกรจึงต้องฝึกให้ทนได้มากกว่านั้น ไบรอันทำให้นางอัศวินมังกรค้อนตากลับ การ์สาบานกับตัวเองว่าจะถามเจ้าคนปากหนักเสียก่อนว่าสิ่งที่ซาราห์พูดเป็นความจริงหรือไม่ แม้นางจะบอกว่ามังกรออกลูกเป็นไข่ก็ตาม...
หลังจากต้องทนทุกข์บนหลังมังกรมาวันครึ่งพวกการ์ก็ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองของไครส์มาได้ด้วยการใช้เส้นที่ใหญ่พอๆกับเท้ามังกรของซาราห์ แต่เพราะใช้เงินส่วนมากไปกับการลัดคิวผ่านด่านตรวจทำให้ต้องไปพักแถวๆชานเมืองที่แสนโทรมเพราะเงินทุนร่อยหรอ การ์ที่เป็นเหมือนข้ารับใช้อันต่ำต้อยของหญิงสาวสองนางจึงต้องออกหางานพิเศษทำเพื่อหารายได้สำหรับเดินทางต่อ
ไครส์เป็นเมืองที่มีอาณาเขตไม่กว้างใหญ่เมื่อเทียบกับโอ๊คแลนด์เพื่อนบ้าน เพราะอาณาเขตที่ไม่เด่นชัดเนื่องจากอยู่ใกล้แนวรอยต่อการปกครองของสองเมืองใหญ่ทำให้เกิดผลัดข้างเปลี่ยนฝ่ายบ่อยครั้งจนมีชื่อเรียกเล่นๆว่าเมืองนกสองหัว สุดท้ายต้องกำหนดให้ไครส์และเมืองอื่นที่มีปัญหาเป็นเขตปกครองร่วมทำให้ปัญหาการย้ายข้างลดลง แม้ประชาชนและผู้ปกครองจะไม่ชอบที่ไครส์กลายเป็นเขตปกครองร่วมไม่เด่นชัดว่าอยู่ภายใต้การปกครองของเมืองใดระหว่างไพน์และโทรส แต่มีคนจำพวกหนึ่งที่ชื่นชอบเมืองแบบนี้ อาทิเช่น โจร นักฆ่า และนักต้มที่ใช้เมืองนี้เป็นที่กบดานเพื่อหนีไปอีกเมืองหนึ่งที่อยู่ต่างเขตการปกครองกัน การหนีข้ามเขตแดนทำให้ทหารและหน่วยป้องกันเมืองทำงานช้าลงเพราะต้องยื่นเรื่องให้เบื้องสูงจนบางครั้งไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้ เนื่องจากมีคนร้ายหนีการตามล่าพากันมาสุมหัวกันในเมืองทำให้ไครส์มีหน่วยงานพิเศษที่ยอมมอบเงินให้แลกกับข่าวสารหรือหัวของโจรที่มีประกาศจับจากทางการ แรกๆผู้คนก็ตกใจที่มีกลุ่มนักล่าค่าหัวเข้ามาเดินเตร่ แต่พอนานไปพวกเขาก็รู้ว่าคนพวกนี้จะไม่ทำร้ายชาวบ้านตราบใดที่ยังมีโจรให้จับ และพวกโจรจะไม่ทำร้ายชาวบ้านสุ่มสี่สุ่มห้าหากพวกเขาไม่นำทางนักล่าค่าหัวมาจนพบตัว
การ์และไบรอันตกลงใจจะทำงานเป็นนักล่าค่าหัวชั่วคราว โดยการ์จะต้องเดินร่อนไปตามแหล่งสลัมเพื่อตามหาคนในประกาศจับและจับตัวกลับไปส่งทางการให้ได้ด้วยตัวเอง หากพลาดท่าไบรอันจะใช้มนตร์เคลื่อนย้ายเข้ามาช่วยทันที ชื่อเสียงข้าไม่ใช่น้อยๆ แค่เห็นเงาผู้ร้ายก็หนีกันหางจุกก้น แบบนั้นข้าจับไม่ทันหรอก เจ้าปากหนักก้มหน้าอ่านหนังสือต่อหลังจากไล่ให้ไปลงทะเบียนที่หน่วยงานล่าค่าหัว...
ตอนแรกการ์รู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่ต้องเดินร่อนไปทั่วเมืองเหมือนคนไม่มีงานทำ พอเริ่มชินก็เป็นงานง่าย ผ่านไปแค่สามวันเขาไม่รู้สึกอายเลยที่ต้องเดินเข้าๆออกๆสำนักงาน กวาดสายตาไปทั่วเมืองเหมือนกำลังหาทำเลทางการค้า และสามารถจับโจรย่องเบาที่มีค่าหัวระดับกลางได้สำเร็จโดยไม่ต้องให้คนชอบอมพะนำเข้ามาช่วยเหลือ
ย่างเข้าวันที่ห้านับตั้งแต่การ์เริ่มทำงานล่าค่าหัว เขาต้องวิ่งไล่นักวิ่งราวค่าหัวสูงลิบคนหนึ่ง ตอนแรกเขาวิ่งได้เร็วดีแต่ไปๆมาๆกลับหมดแรงเสียดื้อๆ โชคดีหรือโชคร้ายไม่อาจรู้ได้ที่โจรคนนั้นวิ่งเข้าไปแทรกในกลุ่มฝูงชนเพื่อซ่อนตัว เขาคิดว่าเป็นโชคดีจึงวิ่งตามเข้าไปโดยไม่ทันไถ่ถามว่ากำลังมุงดูอะไรอยู่ ด้วยความที่มองหาแต่โจรวิ่งราวไม่ทันสังเกตเห็นทหารที่ยืนขวางไว้เป็นแนวจึงโผล่พรวดออกไปกลางถนนที่ถูกเปิดไว้ให้กองทัพยกขบวนผ่าน เสียงม้าร้องทำให้การ์ไม่กล้าขยับขา ด้านหลังของเขาคือม้าที่ยกสองขาหน้าขึ้นด้วยอารามตกใจเพราะมีสิ่งเข้ามาขวางทางอย่างปัจจุบันทันด่วน หญิงสาวบนหลังม้าสบถสาบานแล้วบังคับม้าไม่ให้เหยียบลงมาที่ตัวคน ตอนนี้ละที่การ์มองเห็นเหล่าทหารจัดเรียงขบวนข้างทางเดินอย่างเป็นระเบียบ คิดจะกลับไปอยู่กับชาวบ้านข้างทางแต่ไม่ทันเสียแล้ว หญิงบนหลังม้าสังเกตเห็นสิ่งผิดสังเกตบนตัวเขาเสียก่อน
หันหน้ามาให้เห็นชัดๆ แล้วบอกมาว่าเจ้าชื่ออะไร เสียงออกคำสั่งทำให้การ์นึกถึงเรแมนขึ้นมาเสียอย่างนั้น
การ์ จัสติน การ์ตอบอย่างซื่อๆ เขาเคยมีปัญหากับทหารระดับสูงมาครั้งหนึ่งแล้ว และได้สาบานกับตัวเองไว้ว่าไม่ขอมีเรื่องกับพวกทหารอีก ผู้กล้าแสงตะวัน ไบรอัน บรู๊ครับรองข้าได้
ถ้ารู้จักคนๆนั้นจริงก็ไปบอกเขาว่าคริสทาร่า ไอยเรสมาถึงเมืองนี้แล้ว ถ้าพาตัวจริงมาพบข้าไม่ได้รับรองว่าเจ้าจะถูกตามล่าจนไม่เหลือซาก ไม่เชื่อก็ลองดู
การ์รีบสาบานว่าจะบอกให้แล้วรีบแทรกฝูงชนเพื่อกลับไปหาเจ้าคนปากหนัก เท่าที่ฟังน้ำเสียงหญิงสาวผู้นั้นเป็นคนพูดจริงทำจริงถ้าเกลี้ยกล่อมหมอนั่นให้ไปพบไม่ได้คงเจอปัญหาหนัก แต่เขายังนึกสงสัยอยู่ว่าเหตุใดจึงต้องถูกตามล่าเอาชีวิตเพราะหาคนรับรองไม่ได้เล่า เขาเดินทางเร่ร่อนมาค่อนชีวิตไม่เคยทำความผิดขนาดถูกตั้งค่าหัวเลยสักครั้ง
รู้แล้ว รอให้นางยกกองทัพไปรวมพลกับกองทัพของไครส์ก่อนแล้วค่อยไปหา ไบรอัน บรู๊คจอมปากหนักพูดเอื่อยๆแล้วอ่านหนังสือต่อ มีเพียงซาราห์เท่านั้นที่กระตือรือร้นกับการมาถึงของกองทัพไพน์
แล้วมีแผนหรือยังไบรอัน เรแมนพูดขึ้นลอยๆส่งสายมามาทางการ์สื่อความหมายว่าให้ออกไปจากห้องเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ใช่เชื้อพระวงศ์จะเปิดช่องลับตรงนั้นไม่ได้
ต้องพึ่งมารีน่า นางจะเป็นคนจัดการทุกอย่างเอง ไบรอันกระแอมยกหนังสือขึ้นบังหน้า การ์สังเกตเห็นว่าเจ้าคนปากหนักหน้าแดงผิดสังเกต กองทัพปีศาจจะพ่ายโดยพวกเราแทบไม่เสียเลือดเนื้อ เจ้าตัวอมตะเมื่อวันก่อนจะกลับมาอีกครั้งเพื่อแสดงความเป็นอมตะอีกหนแต่ต้องล่าถอยในที่สุด ทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่ข้าเห็นและอยากให้เป็น ทั้งสิ้นทั้งปวงจะถูกจัดฉากด้วยฝีมือของมารีน่าเพียงผู้เดียว แม้แต่ข้าก็ไม่รู้ว่านางทำได้อย่างไร
การ์อยากรู้ว่ามารีน่าที่ว่าคือใคร ใจหนึ่งอยากถามให้รู้เรื่องแต่อีกใจก็คาดเดาว่าคงไม่ได้เรื่องเหมือนเคย โชคดีที่ซาราห์หลุดปากถามไปเสียก่อนว่ามารีน่าคือใคร หากเขาเป็นคนถามเจ้าคนปากหนักคงบ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอกตามตรงแน่
มารีน่าคือภาคผู้หญิงของข้า เวทสายมิติเวลาจะมีเวทมนตร์บทหนึ่งที่สามารถสลับภาคของคนได้...อธิบายให้เข้าใจง่ายๆหรือ ไบรอันใช้นิ้วเคาะสันหนังสือเบาๆเมื่อพยายามหาคำอธิบาย
โลกของเราความจริงแล้วมีโลกที่ตรงข้ามกันซ่อนอยู่เหมือนกับเงาในกระจกเงาแต่จะกลับขาวเป็นดำ ชายเป็นหญิง สลับรูปลักษณ์ภายนอกกัน ผู้รู้บางคนสามารถใช้เวทมนตร์สายมิติเปลี่ยนสลับภาคเอาสิ่งตรงกันข้ามกันออกมาแทนได้ ที่พวกปีศาจชอบพูดกันว่าเปลี่ยนโลกมนุษย์เป็นโลกปีศาจก็คล้ายๆกันนั่นละ ไม่ใช่โลกปีศาจจริงแต่เป็นโลกตรงข้ามกับโลกนี้ มารีน่าคือชื่อของภาคผู้หญิงเมื่อทำการสลับภาคให้นางออกมายืนจุดนี้แทนข้าแล้วสลับให้ข้าลงไปอยู่แทนนางในมิติตรงข้าม
ไบรอันพยายามหาคำอธิบายแทบตายแต่สุดท้ายการ์ก็เข้าใจได้แค่ครึ่งๆกลางๆ อย่างน้อยก็ยังมีซาราห์อีกคนที่ทำหน้าปั้นยากถามว่ามันเป็นอย่างไร ทำไมต้องทำอะไรให้ยุ่งยากอย่างนี้
สรุปคือ ข้าสามารถเปลี่ยนร่างเป็นหญิงได้โดยไม่ถูกตรวจจับโดยมนตราใดๆ แม้จะโดนเวทมนตร์ให้เปิดเผยความจริงก็ไม่มีผลเพราะนั่นคือความจริง เวทสายนี้จึงเหมาะกับพวกสายลับ ในปราสาทโอ๊คแลนด์มีสิ่งสำคัญซ่อนอยู่ จำเป็นจะต้องใช้เวทมนตร์เพื่อสะกดใครสักคนให้เอาออกมาจากที่ซ่อน ริเรียใช้มนตร์สะกดกับมนตร์เคลื่อนย้ายไม่ได้ ข้าก็มีชื่อเสียงเกินไปไม่สามารถทำหน้าที่สายลับได้ จึงต้องสลับให้อีกภาคของข้าออกมาทำงานแทน คราวนี้เข้าใจหรือยัง
แล้วนิสัยนางจะตรงข้ามกับท่านไหม ซาราห์ถามซื่อๆ การ์โห่ร้องให้นางถามต่ออีกเรื่อยๆ หลอกถามเรื่องลับอื่นๆให้หมดเปลือกไปเลยยิ่งดี
ถ้าเป็นกรณีอื่นนิสัยโดยรวมนอกจากรูปลักษณ์แล้วจะเหมือนกัน ในกรณีของข้าออกจะต่างกันสักหน่อย ไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน แล้วเจ้าคนปากหนักก็ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อเป็นสัญญาณว่าหมดเรื่องพูด ถึงจะถูกจับมัดเอาแส้เฆี่ยนก็ไม่ปริปากบอกเรื่องสำคัญมากไปกว่านี้อีกแล้ว...
สามวันหลังจากได้รับข่าวการมาถึงของกองทัพไพน์ ค่ายทหารของโอ๊คแลนด์จำเป็นต้องเพิ่มจำนวนทหารตามรอยต่อให้มากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัวเนื่องจากมีกองทัพปีศาจขนาดใหญ่มาตั้งป้อมอยู่ตามชายแดน ถึงจะเพิ่มกำลังพลแต่เหล่าทหารกลับสับสนกับคำสั่งใหม่ที่เบี่ยงเบนจากแนวเดิม มันแสดงเจตจำนงว่าจะเข้าข้างฝ่ายปีศาจอย่างเปิดเผยด้วยการห้ามโจมตีหรือทำร้ายกองทัพอมนุษย์พวกนั้นโดยเด็ดขาด ไม่ใช่แค่กองหน้าที่เกิดความสับสน ในปราสาทใหญ่ของโอ๊คแลนด์ก็เกิดความสับสนเหมือนกัน เนื่องจากอยู่ในช่วงเตรียมงานพิธีอภิเษกระหว่างพระราชากับเจ้าหญิงต่างเมืองจึงมีปัญหาต้องทำการเลื่อนการจัดเตรียมพิธีออกไปอย่างไม่มีกำหนด หลายฝ่ายทำงานไม่หยุดพักเพื่อแจ้งเรื่องการเปลี่ยนแผน ตั้งแต่ขุนนางใหญ่จนถึงคนเลี้ยงม้าต่างมีปัญหาให้วิ่งวุ่นกันไม่หยุดจนแทบไม่มีเวลาส่งเสบียงไปยังกองทัพหลัก
หากยังมีอยู่ฝ่ายหนึ่งที่ไม่มีเหตุผลให้เลื่อนการฝึกซ้อมหรือตัดงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ย นั่นคือฝ่ายดนตรีหลวงที่กำลังรับคนมาเป็นนักดนตรีในงานอภิเษก ถึงเป็นแค่นักดนตรีแต่จะต้องผ่านการตรวจสอบที่เข้มงวดด้วยเวทมนตร์ต่างๆ เช่นเวทมนตร์เปิดเผยความลับ หรือมนตราเหล็กกล้า วันนี้เป็นวันสุดท้ายในการรับนักดนตรีเข้าไปซ้อมสำหรับพิธีการตรวจจึงไม่รัดกุมเท่าไรนัก
ข้าชื่อมารีน่า ไอริส ส่วนนี่คือลินดา ลัสเบิร์ก หญิงสาวตาสีมรกตขานชื่อกับผู้คุมข้างประตู นางจับมือหญิงสาวร่างบางข้างหลังไว้แน่นเพราะเพื่อนร่วมทางตัวสั่นด้วยว่ากลัวทหารยาม นี่คือขลุ่ยผิวของตระกูลข้า ไม่ใช่อาวุธหรอก มารีน่าแกะห่อของที่เข็มขัดให้ตรวจด้วยความยินดีก่อนจะก้าวเข้าไปกลางอัญมณีหลากสีที่คอยตรวจจับเวทมนตร์จำแลงกายของสายลับ
ผ่านทั้งคู่ ผู้คุมยื่นของคืนให้หญิงสาวทั้งสองเพื่อให้ผ่านเข้าประตูปราสาทอย่างง่ายดาย ทหารหลายนายถอนหายใจเพราะเป็นสองคนสุดท้ายแล้วที่จะไปเล่นดนตรีในงานพิธีอภิเษกที่ถูกเลื่อนไป
มารีน่าที่เป็นภาคผู้หญิงของไบรอัน บรู๊คยิ้มอย่างร่าเริงที่เข้ามาในปราสาทได้ง่ายกว่าที่คิด เมื่อไรที่นางได้เข้าห้องพักเดี่ยวแล้วคงเริ่มทำงานได้อย่างเต็มที่ เพื่อตามหาของสำคัญและช่วยชีวิตคนที่นางหลงรักจนหมดหัวใจ บังเอิญจริงๆ เจ้าต้องอยู่คนเดียวนะไอริส ห้องพักรวมเต็มแล้ว พี่เลี้ยงฝ่ายดนตรีหลวงขีดกาชื่อบนกระดาษแล้วยื่นกุญแจให้ จะพาไปดูห้องซ้อมและห้องพัก ห้ามเดินไปไหนมาไหนคนเดียวเด็ดขาด...สำหรับเจ้าก็ไปเคาะห้องข้างๆเอาเอง ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ หญิงสาวตกลงใจแล้วว่าพอเป็นอิสระจะไปทักทายคนรู้จัก
ห้องพักของมารีน่าเป็นห้องสี่เหลี่ยมแคบๆมีเตียงสองชั้นอยู่สองเตียง โชคดีที่ห้องน้ำสะอาดและนางอยู่ห้องนี้แค่คนเดียวจึงไม่มีปัญหาในการพักอาศัย ส่วนห้องซ้อมก็อยู่ใกล้ๆกับห้องพัก เป็นห้องโถงกว้างเต็มไปด้วยเก้าอี้และตู้เก็บเครื่องดนตรีต่างๆซึ่งจัดที่นั่งตามหมวดเครื่องดนตรีและมีเครื่องแบบให้เล่นตอนงานพิธี ผ่านไปหลายชั่วโมงหลังจากเดินสำรวจห้องซ้อมและห้องพักที่น่าเบื่อหน่าย มารีน่าก็เดินไปตามทางเดินหินในปราสาทเพียงคนเดียวด้วยสีหน้าที่ไม่มีใครเดาได้ว่าคิดอะไรอยู่ ผมสีเหลืองยาวสยายถูกรวบเป็นมวยเพื่อความน่าเชื่อถือ ทางเดินหินมืดสลัวด้วยแสงยามอาทิตย์ตกดินดูน่ากลัวแต่ไม่ส่งผลต่อความร่าเริงของนางแม้แต่น้อย หญิงสาวเดินเลี่ยงทหารไปยังหอคอยแห่งหนึ่งทางส่วนตะวันตกของปราสาท
นางดั้นด้นเดินขึ้นบันไดวนหินจนถึงชั้นสูงสุดของหอคอย มันเป็นห้องโถงโล่งมองเห็นเมืองและภูเขาทางทิศเหนือได้อย่างชัดเจน มุมหนึ่งของหอคอยกลายเป็นที่นอนพักผ่อนของใครบางคน มันถูกจัดวางด้วยผ้าขึงและที่ประกอบอาหารอย่างง่ายๆ เจ้าของสถานที่พักผ่อนสุดหรูลุกพรวดจากเก้าอี้ชมวิวเพราะการมาถึงของมารีน่า เจ้าเป็นใคร เสียงคำรามดังสะท้อนไปมาในห้องโถงใหญ่ เวเบอร์ เฟียร์เลสผู้มีนัยน์ตาสีพระจันทร์แดงจ้องมองภาคผู้หญิงของไบรอันตาไม่กระพริบ
โรซาเลียที่สิบเจ็ด นางผู้หยั่งรู้ เทพพยากรณ์ ผู้มีเนตรแห่งเทพพยากรณ์ เทพตกสวรรค์สุดแล้วแต่จะเรียก สำหรับท่านไม่ต้องคุกเข่าก็ได้ เวเบอร์ โฟรเซท เฟียร์เลส ศิษย์คนเดียวของผู้กล้าพัวร์รีนกับเทพีเฟเรซิสแห่งอิเดน สายเลือดผู้มีบุญคุณต่อจอมเทพเอริส นักโทษหนึ่งเดียวที่เทพีเฟรเซียออกไล่ล่าด้วยตนเอง และเป็นคนสำคัญในประวัติศาสตร์ของดินแดนนี้ มารีน่าหัวเราะเบาๆอย่างร่าเริงทำให้อีกฝ่ายหน้าเสียแม้จะเป็นอมตะก็ตาม
โรซาเลีย เทพในตำนานที่ว่าหลีกลี้จากอิเดนมาเป็นเทพพยากรณ์ในเรมิสต์นี้อย่างนั้นหรือ เห็นท่านพี่เฟเรซิสพูดถึงอยู่หลายครั้ง ไม่คิดว่าจะเป็นความจริง เวเบอร์ผู้เป็นอมตะโค้งเล็กน้อยด้วยความเคารพ ใบหน้าที่หยิ่งทะนงกลับเป็นสงบเสงี่ยมทันตาเห็น ไม่ทราบว่าท่านมาพบข้าด้วยเหตุอันใดหรือ
ความเงียบกริบเข้าปกคลุมทั้งคู่อยู่ชั่วอึดใจ มารีน่าหัวเราะในลำคอด้วยความรู้สึกสนุกสนาน ส่วนเวเบอร์ผู้มีนัยน์ตาสีพระจันทร์นั้นนิ่งเงียบเพราะได้พบกับคนที่คาดไม่ถึงในที่แบบนี้ ข้ามีเรื่องมาขอร้องท่านสามเรื่อง มารีน่าเอ่ยปาก
เรื่องแรก ขอให้ท่านตัดใจจากขลุ่ยเทพวายุเสีย ที่อยู่กับข้าเป็นของจริง มารีน่าหยิบขลุ่ยผิวข้างเอวออกมาอวดให้อีกฝ่ายเห็น เรื่องที่สอง เปลี่ยนให้ข้าเป็นผู้ควบคุมพระราชาของเมืองนี้แทน แล้วข้าจะบอกที่อยู่ขององค์จอมเทพเอริสให้ ข้ารู้ว่าท่านขัดราชโองการของเทพีเฟรเซียจึงกลายเป็นกบฏร้ายแรง ด้วยฝีมือสูงส่งพระนางจึงลงมาตามล่าด้วยตัวเอง พระนางเบื่อเกมไล่จับนี้เมื่อไรท่านตายจริงๆแน่ มารีน่าทำให้เวเบอร์หน้าเสีย
เรื่องที่สาม ขอให้ยกกองทัพปีศาจบ้าบอคอแตกนั่นกลับไปแล้วข้าจะให้ท่านต่อสู้กับไบรอัน บรู๊คแบบตัวต่อตัว ถึงฟลอร่าอยู่ก็ไม่มีทางขวางท่านได้ เรื่องสุดท้าย วันใดที่ท่านต่อสู้กับอัศวินมังกรขอให้ถนอมศพนางสักหน่อย เพื่อตัวของท่านเอง จะตกลงหรือไม่ มารีน่าขยิบตาให้คู่อริที่กัดฟันกรอดๆ ไม่เข้าใจความคิดของคู่สนทนาแม้แต่น้อย
สองเรื่องแรกตกลงเพราะข้าควบคุมพระราชาเพื่อตามหาขลุ่ยเทพวายุ เรื่องที่สามคงไม่ได้ เรื่องที่สี่ข้าก็บอกไม่ได้เช่นกัน
ไม่อยากสู้กับหมอนั่นหรือ ถ้าอย่างนั้นอีกสามวันก็สั่งกองทัพปีศาจบุกเลยสิง่ายดีข้าจัดการเอง แต่ท่านต้องหยุดมือเมื่อฆ่าเขาได้แล้วครั้งหนึ่งเท่านั้น ถ้าสู้ต่อข้าจะจับท่านส่งให้เทพีเฟรเซียเองเลยละ หญิงสาวพูดทีเล่นทีจริง เรื่องสุดท้ายแล้วแต่ท่านก็แล้วกัน ขอให้ดูตะวันตกดินอย่างมีความสุขนะ มารีน่าก้าวไปจับมือคู่อริเป็นการทำสัญญาแล้ววิ่งลงบันไดวนอย่างร่าเริง เท่านี้แผนการของนางก็สำเร็จไปหกส่วนแล้ว เหลืออีกสี่ส่วนเท่านั้น
มารีน่าเดินไปตามทางเดินที่ซับซ้อนอย่างชำนาญ แววตาขี้เล่นเคร่งขรึมวางแผนการขั้นต่อไปอย่างเยือกเย็น จนกระทั่งพบกับทหารกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินตรวจอย่างแข็งขัน เกราะเหล็กกระทบกันดังกึกเมื่อทหารพบกับหญิงสาวออกมาเตร่เพียงคนเดียวแบบนี้ ข้าคือนางสนมคนใหม่ของฝ่าบาทอย่างไรละ นำทางไปห้องของฝ่าบาทเดี๋ยวนี้ มารีน่าพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ดวงตาสีมรกตสว่างวาบชั่วครู่แล้วดับวูบ ทันทีที่แสงอ่อนๆดับลงเหล่าทหารก็เชื่อทันทีว่านางคือพระสนมแล้วนำทางไปยังห้องบรรทมของพระราชาโดยไม่อิดออด...
สามวันหลังจากมารีน่าแทรกซึมเข้าไปในปราสาทได้เรียบร้อยแล้ว กองทัพปีศาจนับร้อยพลันบุกจู่โจมไครส์แบบสายฟ้าแลบ แต่ก็จบแบบสายฟ้าแลบเช่นกันด้วยกองทัพวิหคเพลิงของไพน์และมังกรรูปร่างประหลาดที่เรียกเปลวเพลิงออกมาสังหารเหล่าปีศาจอย่างเฉียบขาด
ไม่เข้าใจ นกเพลิงน่าจะบินเร็วกว่าม้า แล้วเหตุใดกองทัพวิหคเพลิงของไพน์ถึงเดินทางด้วยม้า การ์ใช้กล้องตาเดียวมองดูเหล่านกเพลิงที่บินฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้า พลังการทำลายล้างของนกเพลิงน่ากลัวเสียจนเขารู้สึกร้อนวูบวาบแม้จะอยู่ห่างสนามรบเกือบห้าร้อยหลา
เวลาตื่นเต้นมากๆมันมักเผาสิ่งของโดยไม่ตั้งใจ ถ้าไม่จำเป็นก็จะใช้ม้าแทน เหมือนกองอัศวินมังกร ซาราห์ตอบ นางเคี้ยวขนมกรอบไปดูการต่อสู้ไปอย่างสุโขสโมสร อุตส่าห์กินเข้าไปได้ สนามรบเบื้องหน้าเต็มไปด้วยเปลวไฟ เลือด ซากศพ และเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวด ไม่รู้ว่านางทนกินไปดูไปได้อย่างไร
ถึงบนท้องฟ้าจะถูกจับจองด้วยเหล่านกเพลิงที่แบกทหารไว้บนหลัง แต่จุดเด่นคือมังกรเกล็ดสีแดงตัวยาวเหยียด มังกรแดงตัวนี้ปรากฏตัวทันทีที่กองทัพวิหคเพลิงออกบิน ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหนหากเป้าหมายของมันคือการเข่นฆ่าเหล่าปีศาจ ปากที่เหมือนจระเข้ปล่อยไฟร้อนแรงออกมาเผาศัตรูบนพื้นดิน ส่วนอุ้งเล็บทั้งสี่พยายามคว้าจับตะปบเหล่าปีศาจที่อยู่บนท้องฟ้า
จะต้องเป็นฝีมือเจ้างั่งนั่นแน่นอน ซาราห์คิดว่าเป็นฝีมือของไบรอันที่แฝงตัวเข้าไปในปราสาทของโอ๊คแลนด์ แม้แต่เรแมนเองก็ไม่รู้ว่าเขาทำแบบนั้นได้อย่างไร หายไปแล้ว ซาราห์เรียกให้การ์ดูมังกรสีแดงที่กำลังหายไปราวกับกลุ่มควันต้องลม สุดท้ายก็เหลือเพียงวิหคไฟเท่านั้นที่บินอยู่บนท้องฟ้า นางอัศวินมังกรแทบสำลักขนมเพราะมีแสงสีเหลืองสว่างวาบขึ้นตรงหน้าแล้วดับลงให้เห็นมารีน่ายืนอยู่ตรงจุดนั้นด้วยมนตร์เคลื่อนย้าย สีหน้าของนางยิ้มกริ่มอย่างสบายอารมณ์ผิดกับซาราห์ที่สบถสาบานระคนไอโขลกเพราะสำลัก
คิดถึงข้าบ้างไหมการ์ มารีน่าพูดอย่างหน้าชื่นตาบานรีบทักทายการ์ด้วยการโอบกอด แววตาสีมรกตร่าเริงจนไม่มีใครหยุดยั้งได้ การ์จดชื่อของมารีน่าเอาไว้แล้วว่าเป็นอีกคนที่เขาแพ้ทาง และจะไม่มีทางเอาชนะได้ด้วยวิธีใดๆ ถ้าไม่บอกว่าคิดถึงไม่เปลี่ยนเป็นไบรอันนะเอ้า ว่าแล้วนางก็กอดแน่นขึ้นอย่างกับเป็นเพื่อนที่คบกันมานานแถมยังแกล้งเอาหน้าอกมาโดนแขนอีกราวกับเขาเป็นแค่ของเล่น
เกลียดคนปากแข็งจริงบอกว่ารักสักคำก็ไม่ได้ ไม่เจอหน้ากันตั้งหลายวันแท้ๆ
มารีน่าบ่นอุบหยิบผงสีม่วงจากด้านในเสื้อมาโรยบนพื้นแล้วก้าวเข้าในกลางวงฝุ่นผง นางร่ายเวทเบาๆทำให้เกิดลมหมุนพัดฝุ่นผงสีม่วงแปร่งขึ้นมาจากพื้นบดบังร่างของนางไม่ให้ใครเห็น เมื่อกำแพงสีม่วงจางลงมารีน่าก็หายไปกลับเป็นไบรอัน บรู๊คคนเดิมมายืนแทนที่ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ปากพึมพำสาบานว่าจะไม่ยอมให้มารีน่าออกมาอีกเด็ดขาด
เป็นอย่างไรบ้าง สำเร็จไหม เรแมนถามตามตรง เจ้าคนปากหนักไม่ยอมตอบกลับหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศสุก แม้แต่หูก็เป็นสีแดงน่ามองไม่แพ้กัน
อีกโลกหนึ่งที่ข้าถูกสลับไปเกิดเหตุการณ์คล้ายกับโลกนี้ข้าจึงรู้เกือบทุกอย่างที่มารีน่าอยากให้รู้ สำเร็จ...แต่อย่าไปพูดถึงมันเลย ไบรอันที่ไม่เคยหลบตาคนเลยกลับเบือนหน้าหนีเหมือนเพิ่งทำเรื่องน่าอายมา ยิ่งทำให้การ์สงสัยว่ามารีน่าไปทำอะไรหมอนี่จึงอายจนหน้าแดงแบบนี้
ในชั่วเสี้ยววินาทีที่ทุกสิ่งหยุดนิ่ง ร่างบางๆของไบรอันก็ลอยละลิ่วออกจากประตูค่ายราวกับถูกฉุดด้วยมือที่มองไม่เห็นข้ามกำแพงค่ายลงกระแทกพื้นแทบเท้าบุรุษนัยน์ตาสีพระจันทร์แดงคนเดิมที่เจอเมื่อคราวก่อน การ์จำแววตาสีน่ากลัวได้อย่างแม่นยำว่าเจ้าของดวงตานั้นเป็นอมตะ ไม่ว่าจะได้รับบาดเจ็บแค่ไหนก็รักษาตัวเองให้หายได้ในทันที
หยุดแค่นี้ละ ข้าไม่ยอมให้พวกท่านเข้าไปขวางแน่
เสียงกังวานใสหยุดการ์กับซาราห์ไม่ให้กระโจนออกไปช่วยเพื่อน เจ้าของเสียงคือกลุ่มหมอกที่ก่อตัวหนาแน่นเป็นรูปร่างของหญิงสาวคุ้นหน้า ในระหว่างนั้นเหล่าทหารในค่ายต่างพากันล้มตัวลงนอน ไม่ว่าจะยืน เดินหรือพูดคุยพวกเขาหลับสนิทโดยทันที บางคนนอนทับเพื่อนทหาร บางคนนอนทับหม้อเสบียง แม้แต่เรแมนก็ตาหรี่ปรือใกล้หลับอยู่รอมร่อ
ท่าน เป็นใคร การ์สะบัดหน้าไล่ความมึนงง หัวและแขนหนักอึ้งจนยืนโงนเงน สายหมอกนี่คืออะไร มันดูหนาแน่นจนอาจคว้าจับหรือตัดออกมากินได้ แถมใบหน้านั้นยังเป็นของมารีน่าอีกด้วย แม้เขาเคยเจอนางไม่กี่ครั้งแต่เขาจำหน้าคนแม่น ไม่ลืมง่ายๆแน่นอน
หลับสักพักเถิดนักรบจันทรา ตอนนี้เป็นเวลาของดวงตะวันสองดวง ยังไม่ถึงเวลาจันทราฉายแสง เขาได้ยินเสียงของสายหมอกอย่างแผ่วเบาก่อนจะล้มตัวลงกับพื้น เขารู้สึกว่ามีบางอย่างล้มลงกับพื้นตามเขามาติดๆคงเป็นซาราห์กับเรแมนแน่ๆ แล้วทุกสิ่งก็ตกอยู่ในความมืดสนิท...
ในเวลาเดียวกัน ไบรอัน บรู๊คยังไม่เข้าใจสถานการณ์ดี อยู่ๆเขาก็ถูกดึงตัวออกมา แถมมีสายหมอกแปลกๆทำให้พวกการ์หลับเสียอีก สิ่งที่เขามองไม่เห็นในการดูอนาคตคือสิ่งนี้เองหรือ แล้วทำไมช่วงนี้จึงตกต่ำได้ขนาดนี้ ต้องเล่นบทผู้กล้าไร้สาระ ต้องไปเป็นสนมของพระราชา แถมตอนนี้ยังถูกศัตรูเก่าเล่นงานอีก
ลุกขึ้นแล้วมาสู้กัน หากเจ้าชนะข้าจะปล่อยฟลอร่าไป ตกลงไหม คู่อริถอยออกไปให้เขาพยุงตัวลุกขึ้นด้วยแรงอารมณ์
ถ้าอย่างนั้นก็ดี กำลังอารมณ์เสียอยู่พอดี ไบรอันหยิบขลุ่ยผิวขึ้นมาเตรียมพร้อมต่อกรกับศัตรูที่เขาไม่มีวันเอาชนะด้วยการประดาบ
เกิดสิ่งประหลาดกับขลุ่ยผิวสีเงินกับไบรอัน เลาขลุ่ยเรียวยาวเปลี่ยนเป็นดาบสีแดงสด ที่กันมือมีสภาพเหมือนเปลวเพลิงที่ไร้ความร้อน คมดาบสีแดงงามเหมือนทับทิมสีสดใส
ไม่อยากเชื่อว่านั่นจะเป็นของปลอม ความจริงข้ากับเจ้าไม่ได้มีความแค้นต่อกัน น่าเสียดายที่หัวใจของฟลอร่ามาอยู่กับเจ้าเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่มาต่อกรกับลูกสุนัขตัวน้อยๆอย่างเจ้าหรอก คงเข้าใจความหมายใช่ไหม เวเบอร์ขมวดคิ้วจ้องมองศัตรูหัวใจอย่างกินเลือดกินเนื้อทำให้ดวงตาสีพระจันทร์แดงทวีความน่ากลัวขึ้น
แล้วไม่คิดแลกเจ้าการ์กับฟลอร่าบ้างหรือ เผื่อจะได้รางวัลใหญ่
คนละเรื่องกัน ที่นี่ตอนนี้คือการสะสางรักสามเส้าของเรา ข้าจะฆ่าเจ้าแล้วเอาหัวใจของนางมาครองให้ได้ เวเบอร์ยิ้มทางมุมปาก ไม่ว่าจะทำอย่างไรผู้กล้าแสงตะวันก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบ เขาไม่มีทางเอาชนะอีกฝ่ายที่เป็นอมตะ หากพาการ์หนีเมืองด้านหลังอาจถูกทำลายทิ้งด้วยมือชายผู้นี้ ต่อให้ก่อน ข้ายอมให้เจ้าลงดาบกับข้าห้าครั้ง หากฆ่าข้าได้ถือว่าเจ้าชนะ ถ้าไม่ได้ข้าจะลงมือกับเจ้าเพียงครั้งเดียว เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ไบรอันขบกรามกรอดด้วยที่ไม่เคยถูกหยามมากขนาดนี้มาก่อน ยิ่งเห็นยืนแอ่นอกรอรับดาบแล้วยิ่งเชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายไม่มีวันตาย เมื่อใช้สติไตร่ตรองดูแล้วบางทีอาจเป็นแค่การขู่ด้วยคำพูดก็ได้ เป้าหมายของเจ้านั่นอาจต้องการทำให้เขากลัวจนลงมือพลาด
ถ้าอย่างนั้นขอทดสอบดูหน่อยก็แล้วกัน ว่าเจ้าเป็นอมตะจริงหรือเปล่า
ผู้กล้าแสงตะวันเดินเข้าไปหาคู่อริอย่างเยือกเย็นแล้วบรรจง:-)ดาบสู่กลางหน้าอกของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำ ใจหนึ่งของอยากแทงที่อกด้านซ้ายแต่หากหมอนี่มีหัวใจอยู่ด้านขวาแล้วจะแทงเสียเที่ยว เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาจากหน้าอกย้อมเสื้อสีสดของเวเบอร์ให้กลายเป็นสีเลือด เมื่อแน่ใจว่าดาบแทงทะลุหน้าอกแล้วจึงถอนออกมาปล่อยให้ลิ่มเลือดมหาศาลไหลทะลักราวกับเขื่อนแตก ไบรอันจ้องหน้าคู่อรินิ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายจะรักษาตัวด้วยเวทมนตร์ไหม ร่างกายของผู้ถูกแทงเกร็งแน่นใบหน้าซีดเผือกอยู่ครู่หนึ่งจนเลือดหยุดไหล บาดแผลบนหน้าอกผสานตัวจนสนิท ใบหน้าที่กลับมาเป็นสีเลือดยิ้มเยาะอีกฝ่ายแล้วเร่งให้ลงดาบครั้งที่สองเร็วๆ
ทำหน้าอย่างกับเห็นผี ที่เจ้าแทงคือหัวใจของข้าจริงๆ แต่แค่นี้ฆ่าข้าไม่ได้หรอก เวเบอร์สำทับเสียงใส ในขณะที่ไบรอันยิ่งขบกรามแน่นขึ้นไปอีก หากแทงที่หัวใจแล้วไม่ตายคราวนี้ลองตัดหัวบ้าง ดูสิว่าจะตายไหม
คราวนี้ไบรอันเงื้อดาบสีแดงแล้วใช้แรงทั้งหมดฟันลงบนก้านคอหมายตัดหัวให้ขาดสะบั้น ความรู้สึกตอนดาบผ่าลงบนผิวเนื้อเหมือนกับเอาดาบฟันต้นไม้ใหญ่มากกว่าคอคน ดาบลงไปได้แค่นิดเดียวแล้วก็ต้องถอนออก สุดท้ายทำได้แค่ปาดคอเท่านั้น คราวนี้เวเบอร์กระอักเลือดออกมาแล้วกลับเป็นปกติได้ในไม่ถึงอึดใจ เจ้าตัวยังยิ้มเยาะให้ความพยายามที่สูญเปล่าและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยิ้ม ความเยือกเย็นของไบรอันหมดไปกับกับโจมตีครั้งที่สอง จากที่ใช้แรงทั้งหมดลงมือที่จุดตายอย่างคอหรือหัวใจกลับใช้ดาบฟันหน้าอกของเวเบอร์อย่างมั่วซัว สุดท้ายชายตาสีพระจันทร์แดงที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดไม่ได้ล้มลงหรือหมดลมหายใจตามเจตนาของคู่ต่อสู้ อีกทั้งยังรู้สึกสนุกเมื่อเห็นความพยายามที่ล้มเหลว อสูร เจ้ามันอสูรชัดๆ ไบรอันคำรามลั่น หวังว่าเหล่ากองทัพนกเพลิงจะหันกลับมาเล่นงานศัตรูของเขาต่อจากกองทัพปีศาจ
ข้าเป็นแค่คนธรรมดา แค่ระดับฝีมือของเรามันต่างกันเกินไป เหมือนมังกรกับสุนัขป่าตัวน้อยๆที่ไม่มีทางสู้นั่นละ เวเบอร์หัวเราะในลำคอ
ศัตรูของไบรอันยกมือทาบหน้าอก แสงสีแสดสว่างไสวแล่นจากฝ่ามือไปยังกลางหลัง แสงนั้นราวกับมีชีวิตรวมตัวถักทอกันเป็นปีกนกสีแสดสยายอยู่เบื้องหลังราวกับเป็นเทพบุตร ยิ่งทำให้ข้องใจหนักขึ้นไปอีก ตกลงคนผู้นี้คือใครกันแน่ อสูร มนุษย์ หรือเทพเจ้า เหตุใดจึงเป็นอมตะอย่างอสูร เหตุใดจึงมีปีกอย่างเทพ และเหตุใดจึงมีอารมณ์อย่างมนุษย์ อย่างที่บอก ข้าเป็นคนธรรมดา ปีกสีสดสองข้างผงาดขึ้น ขนปีกสีแสดเปลี่ยนเป็นสีเงินเหมือนใบมีดคมกริบ เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น รับรองว่าไม่เจ็บปวด
เพียงพริบตาเดียวเหมือนปากพูด เวเบอร์ไปปรากฏตัวด้านหลังของไบรอัน ส่วนร่างของผู้กล้าแสงตะวันนั้นกลับจมอยู่ในกองเลือด ไม่มีโอกาสได้รู้ว่าอีกฝ่ายทำอะไรและทำได้อย่างไร ในที่สุดร่างที่หมดกำลังก็สิ้นลมหายใจล้มลงบนกองเลือดของตัวเอง หมดสิ้นความเป็นผู้กล้าใดๆเกือบสิ้นเชิง...
จากคุณ |
:
Lazy return
|
เขียนเมื่อ |
:
10 ก.ย. 54 12:56:23
|
|
|
|