Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลำนำรักใต้แสงจันทร์ ตอนที่ 16 ติดต่อทีมงาน

ตอนที่ 15 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11024967/W11024967.html

คุณ Tyra : ปิ๊งป่อง ถูกต้องนะคร้าบบบบ คุณ Tyra เดาเก่งจังค่ะ

คุณ ฟ้าอาภา : ขอบคุณค่ะ ดีใจที่ได้รู้ว่ามีคนอ่านนิยายเรื่องนี้เพิ่มอีก 1 คน^_^

=================================================


       ม้าสีน้ำตาลพ่วงพีสองตัวควบตามกันไปเรื่อยๆ โดยอาศัยเส้นทางเลียบริมแม่น้ำควินส์น้อย ซึ่งไหลผ่านป่าวิเวกเข้าไปจนถึงในเขตประเทศทาเนียร์ สายน้ำนิ่งใสแจ๋วราวกับแผ่นกระจกสะท้อนภาพสองหนุ่มที่แนบตัวลงแทบจะติดกับหลังม้า แลดูเล็กจ้อยเมื่อเทียบกับภูเขาอัลล์ที่เห็นเป็นสีเทาลางเลือนอยู่เหนือแนวไม้ร่มครึ้มเขียวจัดทางด้านหลัง เมื่อเลยพ้นแนวเทือกเขาออกมา ผืนป่าก็ค่อยๆ เปิดโล่ง ต้นไม้ที่เบียดกันหนาทึบกระจายออกจนดูโปร่งตา ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่บนหลังม้าตัวแรกกระตุ้นม้าของตนให้ควบทะยานไปเบื้องหน้าเร็วขึ้นอีก ทำให้เจ้าของม้าตัวหลังต้องบังคับม้าให้เร่งฝีเท้าตามไปด้วย

       เมลิอานาร์หยีตามองผ่านแผงคอของเจ้าม้าสีน้ำตาลอ่อนอดีตม้าลากรถไปยังคนบนหลังม้าตัวที่นำลิ่วอยู่เบื้องหน้าอย่างแปลกใจ  นึกไม่ถึงว่าเอลจะขี่ม้าเก่งขนาดนี้ ปกติสาวใช้ที่มีชีวิตเรียบง่ายอยู่แต่ในวิหารมักจะกลัวม้า อย่าว่าแต่จะให้ขี่หลังมันอย่างนี้เลย แค่ให้เข้าไปยืนอยู่ใกล้ๆ พวกนางก็ยังไม่กล้า แต่เอลนอกจากจะไม่กลัวม้าแล้ว ยังดูเหมือนคุ้นเคยกับการได้อยู่บนหลังพวกมันเสียอีก...นี่เป็นเรื่องประหลาดอีกเรื่องหนึ่งของแม่สาวร่างยักษ์ที่ทำให้นางรู้สึกทึ่ง

       หลังจากผ่านเขตป่าเข้าสู่บริเวณทุ่งหญ้าราบโล่ง ชายหนุ่มทั้งสองก็ต้องควบม้าติดต่อกันเป็นระยะทางยาวอีกเกือบครึ่งวัน จึงมาถึงหมู่บ้านแห่งแรกของประเทศทาเนียร์ หมู่บ้านแห่งนี้มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับหมู่บ้านของช่างทำอัญมณีในเมืองลัสเตอร์สโตน ผู้คนที่อาศัยอยู่ก็มีจำนวนน้อยกว่า ส่วนมากเป็นพวกที่มีอาชีพเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ สังเกตได้จากโรงนาและคอกสัตว์ที่มีให้เห็นอยู่ประปรายตลอดทาง

       เอลบังคับม้าให้ชะลอฝีเท้าลงจนกลายเป็นหยุดนิ่งอยู่ใต้ต้นโอ๊คใหญ่ข้างทาง รอจนนักบวชหนุ่มชักม้าเข้ามาสมทบ จึงกระตุ้นม้าให้ย่างเหยาะเคียงข้างกันไปบนถนนดินที่ปรับไว้จนเรียบดีของหมู่บ้าน เขาเอ่ยขึ้นลอยๆ คล้ายจะปรึกษา

       “พระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้ว ข้าว่าเราควรหาที่พักกันก่อน”

       เมื่ออีกฝ่ายไม่คัดค้าน เขาจึงจัดการถามทางจากชาวนาสองคนที่พบระหว่างทาง แล้วควบม้าต่อไปจนเข้าสู่ย่านร้านค้าเล็กๆ ใจกลางหมู่บ้าน หลังจากที่จูงม้าเดินวนเวียนเพื่อหาที่พักค้างคืนอยู่ถึงสองรอบ เอลก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านขายเหล้าที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพดีที่สุดในถนน

       ชายกลางคนรูปร่างบึกบึนไว้หนวดโค้งผู้เป็นเจ้าของร้าน เงยหน้าขึ้นจากหลังเคาเตอร์พลางร้องเชื้อเชิญแขกผู้มาใหม่ ทำให้ชายฉกรรจ์อีกหลายคนที่นั่งดื่มกินอยู่ในร้านพากันหันมามองตามไปด้วย เอลพยายามส่งยิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร ก่อนจะเดินนำคนในชุดนักบวชไปยังโต๊ะว่างที่เหลืออยู่เพียงตัวเดียวตรงมุมห้อง ทันทีที่พวกเขาหย่อนกายลงนั่ง สาวเสิร์ฟในชุดเปิดไหล่เปลือยหลังสีสันฉูดฉาดก็ตรงรี่เข้ามาหา พร้อมด้วยรอยยิ้มหวานแฉล้มและเหยือกเบียร์ในมือ

       “นายท่านทั้งสองคงจะเดินทางมาจากต่างเมืองสินะคะ ข้าไม่เคยเห็นหน้าพวกท่านมาก่อน” นางเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเอง

       “ถูกแล้วแม่หญิง พวกเราเพิ่งเดินทางมาจากนอกเมืองโน่น ทั้งเหนื่อยทั้งหิว ที่นี่มีอะไรอร่อยๆ ให้กินบ้างล่ะ” เอลตอบรับด้วยสีหน้ายิ้มๆ

       “รอสักครู่นะคะนายท่าน ข้าจะไปดูซิว่าในครัวยังเหลืออะไรไว้ให้พวกท่านบ้าง”

       สาวเสิร์ฟขยิบตาให้สองหนุ่มก่อนจะเดินเร่ไปเสิร์ฟเบียร์ให้แขกที่โต๊ะข้างๆ แล้วกลับมาอีกครั้งพร้อมด้วยถาดใส่ซุปร้อนๆ ควันกรุ่น กับพายเนื้อกลิ่นหอมฉุย

       “พวกท่านจะดื่มอะไรดีคะ” นางถามระหว่างเลื่อนจานอาหารไปตรงหน้าชายหนุ่มทั้งสองอย่างคล่องแคล่ว

       “เจ้ามีไวน์หรือเปล่าล่ะ”

       “อู้ว...” หญิงสาวแสร้งทำตาโต “...เสียใจด้วยนะคะนายท่าน ที่นี่มีแต่เบียร์กับเหล้าเอลเท่านั้นแหละค่ะ”

       “งั้นก็ไปเอาเหล้าเอลมา” ชายหนุ่มตอบแม่สาวเสิร์ฟคนสวย แล้วหันไปถามเพื่อนร่วมโต๊ะ

       “แล้วท่านล่ะท่านเมล จะดื่มอะไรดี”

       “อะไรก็ได้”

       “งั้นก็เหล้าเอลเหมือนข้าแล้วกัน” เขาช่วยตัดสินใจให้

       สาวเสิร์ฟคนเดิมหายลับเข้าไปหลังร้านพักใหญ่ ก็กลับออกมาพร้อมเพื่อนสาวของนางซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อกระโปรงสีสันฉูดฉาดไม่แพ้กัน ในมือมีขวดเหล้าและแก้วเปล่าติดมาด้วย พอเดินมาถึงโต๊ะแม่สาวคนแรกก็ถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ยังว่างอยู่ แล้วลงมือช่วยเพื่อนของนางรินเหล้ายื่นส่งให้แขกหนุ่มรูปหล่อทั้งสองคนทันที

      “ข้าชื่อเอสเม่ค่ะ” นางแนะนำตัวง่ายๆ ด้วยรอยยิ้มหวานฉ่ำเช่นเคย โดยหารู้ไม่ว่าน้ำตาลจากรอยยิ้มของนางทำเอาคนในชุดนักบวชที่นั่งอยู่ทางขวามือกลืนซุปในชามแทบไม่ลง

       “ส่วนข้าชื่อริต้าค่ะ” แม่สาวอีกคนแนะนำตัวบ้าง “นายท่านมีอะไรให้รับใช้บอกข้าได้เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ” นางโน้มตัวลงพูดด้วยเสียงกระซิบที่ข้างหูของชายหนุ่มร่างใหญ่ ผู้มีดวงตาสีน้ำทะเลคมเข้มบาดใจ แล้วเลยยืนเกาะพนักเก้าอี้ของเขาอยู่ในท่านั้นไม่ยอมขยับไปไหน

      เมลิอานาร์เหลือบตามองภาพตรงหน้าแวบหนึ่ง แล้วต้องรีบเสมองไปทางอื่นที่ไม่ใช่เนินอกอวบของแม่สาวเสิร์ฟซึ่งแทบจะล้นออกมากองอยู่บนไหล่กว้างของเอล แต่ดูเหมือนเจ้าของไหล่จะไม่เดือดร้อนเพราะยังคงแนะนำตัวต่อได้หน้าตาเฉย ท่าทางชื่นมื่นมาก

       “ข้าชื่อเอล...ส่วนหมอนั่นชื่อเมลเป็นสหายของข้า ขอบใจในความเอื้อเฟื้อของพวกเจ้า สาวๆ ให้ข้าเลี้ยงเหล้าตอบแทนพวกเจ้าคนละแก้วเป็นไง”

       “อุ๊ย...ไม่ต้องหรอกค่ะนายท่าน เป็นหน้าที่ของพวกข้าอยู่แล้ว” เอสเม่หัวเราะระรื่น แล้วรินเหล้าเติมให้ชายหนุ่มจนเต็มปรี่

       เมลิอานาร์รู้สึกหมั่นไส้แม่สาวร่างยักษ์ขึ้นมาติดหมัด คงจะเป็นเพราะเสื้อผ้าที่สวมอยู่ทำให้เอลดูเหมือนผู้ชายมากจนแยกแทบไม่ออก แม่สาวเสิร์ฟทั้งสองก็เลยรุมตอมเขาราวกับมดเห็นน้ำตาล ฝ่าย ‘น้ำตาล’ เองก็ทำท่าหวานหว่านเสน่ห์ใส่พวก ‘มด’ อย่างโจ่งแจ้งชนิดไม่อายฟ้าดิน เห็นแล้วมันขัดหูขัดตาชอบกล

      เพราะอารมณ์ไม่ดีถึงขนาด หญิงสาวจึงเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาจนคนตรงข้ามชักจะผิดสังเกต

       “เป็นอะไรไปล่ะท่านเมล นั่งเงียบเชียว...อาหารไม่อร่อยหรือไง”

       เมลิอานาร์ส่งสายตาขุ่นขวางไปให้แทนคำตอบ แต่แทนที่จะรู้สึก เอลกลับหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ

       “ถามไม่ตอบอย่างนี้...โมโหเรื่องอะไรล่ะท่าน”

       “เจ้าก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว ยังจะมาถามข้าทำไม”

       “รู้ดีอยู่แล้ว...” ชายหนุ่มทวนคำแล้วแสร้งทำท่าตกใจ “ฮ้า...งั้นก็หมายความว่าท่านหึงข้าน่ะสิ”

       “บ้า ข้าจะไปหึงเจ้าหาอะไร พูดให้ดีๆ นะเอล” คนในชุดนักบวชเสียงเขียว

       “โอ๊ะโอ๋..ข้าคงจะพูดผิดไป” เอลแกล้งพูดเสียงซื่อ หากนัยน์ตาพราวด้วยรอยยิ้มขบขัน “ถ้าท่านไม่หึง ก็แปลว่าท่านอิจฉาข้า ใช่มั้ยท่านเมล”

      “ไม่ใช่”

       “จริงรื้อ...ท่านอิจฉาที่พวกนางพากันเอาใจแต่ข้าก็บอกมาตรงๆ เถอะน่า”

       เมลิอานาร์ตวัดสายตาคมปลาบมองหน้าผู้พูดแล้วแลเลยไปทางอื่นอย่างขัดใจ จะให้ตอบออกไปตรงๆ ก็กลัวจะเป็นการทำลายฝันของสาวเสิร์ฟหน้าแฉล้มทั้งสอง แถมยังอาจจะนำภัยมาให้แม่สาวใช้ประจำวิหารโดยไม่ตั้งใจด้วย นางจึงได้แต่หุบปากเงียบทั้งที่อารมณ์ยังกรุ่น

       เอลยกแก้วเหล้าในมือขึ้นจรดริมฝีปากช้าๆ ถือโอกาสใช้จังหวะนั้นลอบมองเจ้าหนุ่มหน้าสวยที่เอาแต่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดมองเมินไปทางอื่น เขารู้โดยสัญชาตญาณว่าหมอนั่นกำลังไม่พอใจ ...ยิ่งรู้ ก็ยิ่งทำให้อยากจะยั่ว ชายหนุ่มจึงแกล้งโอบเอวของริต้าเข้ามาจนชิดแล้วกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างที่ข้างหูนาง จนจมูกแทบจะชนกับแก้มนวลของฝ่ายหญิง

       ริต้าทิ้งค้อนให้ชายหนุ่มอย่างมีจริต ก่อนจะเดินยิ้มเอียงอายตรงเข้าไปหาคนในชุดนักบวช

       “ให้ข้านวดให้นะคะท่านนักบวช ท่านขี่ม้ามาไกลคงจะเมื่อยมาก”

       ใช่แต่พูดเท่านั้น หญิงสาวยังขยับเข้าประชิดตัวนักบวชรูปงามแล้วเอื้อมมือขาวนุ่มไปที่บ่าของเขาพร้อมกับออกแรกบีบเบาๆ อีกด้วย หากคนถูกนวดกลับพยายามเบี่ยงตัวหลบเป็นพัลวัล ปากก็ปฏิเสธอย่างสุภาพ

        “ไม่ต้องหรอกแม่หญิง ข้า..เอ่อ...ไม่เมื่อย”

       “แหมไม่ต้องเขินหรอกค่ะท่านนักบวช ก็เพื่อนของท่านบอกเองนี่ว่าท่านบ่นปวดเมื่อยมาตลอดทาง ข้านวดเก่งนะคะจะบอกให้”

       “ข้าไม่เมื่อยจริงๆ แม่หญิง ได้โปรดหยุดเถอะ”

       เมลิอานาร์ยุดข้อมือของแม่สาวข้างกายเอาไว้ได้สำเร็จ นางหันไปส่งสายตาเขียวปัดให้คนตรงข้าม ไม่รู้ว่าเอลเกิดนึกพิเรนทร์อะไรขึ้นมาถึงได้บอกแม่สาวเสิร์ฟไปเช่นนั้น

        “ไม่ต้องอายน่าท่านเมล ข้ายินดีแบ่งริต้าให้ท่านคนหนึ่ง” คนที่หญิงสาวถลึงตาจ้องอยู่ส่งคำพูดกลั้วหัวเราะลอยข้ามโต๊ะมา

       “นั่นสิคะท่านนักบวช ให้ริต้านวดก็ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน อ๊ะ...หรือว่าท่านจะกลัวผู้หญิง เลยไม่อยากให้นางแตะต้องตัว”

       “ไม่ใช่” เมลิอานาร์เผลอปฏิเสธเสียงแข็ง หากพอรู้ตัวก็พยายามทอดเสียงให้อ่อนลง “ข้าไม่เมื่อยจริงๆ แม่หญิง อย่าลำบากไปเลย”

       “ไม่ลำบากหรอกค่ะท่านนักบวช ข้ารู้ว่าท่านเมื่อย กล้ามเนื้อหัวไหล่ของท่านตึงเปรี๊ยะออกอย่างนี้ ให้ข้าช่วยนวดคลายกล้ามเนื้อให้ท่านดีกว่านะคะ”

       “จริงด้วยค่ะท่านนักบวช”เอสเม่หน้าระรื่นรับเป็นปี่เป็นขลุ่ย “มา...ข้าจะช่วยริต้าอีกแรง”

       ว่าแล้วสองสาวก็เข้ามามะรุมมะตุ้มอยู่รอบกายของนักบวชร่างบางอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก โดยมีสายตาคมกริบของเอลจับสังเกตอยู่ทุกอิริยาบถ เมื่อใดที่ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจัดบนใบหน้าแดงก่ำของคนในชุดนักบวชบังเอิญแลเลยมาทางเขา ชายหนุ่มก็จะแกล้งยกแก้วเหล้าในมือชูขึ้นสูงพร้อมกับส่งยิ้มกว้างขวางตอบกลับไป เสมือนไม่รับรู้ถึงความทุกข์ร้อนของฝ่ายนั้น จนกระทั่งมีเสียงไม่พอใจจากลูกค้าโต๊ะอื่นดังแว่วมาให้ได้ยินนั่นแหละ เอลจึงยื่นมือเข้าช่วยยุติสถานการณ์อันน่าอึดอัดนั้นลง

       “เอาละ พวกเจ้า...ข้าว่าปล่อยสหายนักบวชของข้าเอาไว้สักพักเถอะ พี่ชายตัวโตทางด้านโน้นต้องการเบียร์เพิ่มแน่ะ”

       แม่สาวเสิร์ฟทั้งสองยอมรามือจากนักบวชรูปหล่อด้วยท่าทางเสียดาย หากก่อนจะผละไปพวกนางยังไม่วายหันมาส่งยิ้มหวานเจี๊ยบทิ้งทายทำนองว่า...รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวพวกข้าจะกลับมาใหม่

       เมลิอานาร์รอจนแม่สองสาวเดินทิ้งสะโพกห่างออกไปพอสมควร จึงหันไปมองคนที่นั่งตรงกันข้ามด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

       “เล่นบ้าอะไรของเจ้าน่ะเอลลี่”

       “อ๊ะ...เราสัญญากันแล้วนะท่านเมล ท่านอย่าผิดสัญญาซี่”

       “ไม่ต้องพูดโยกโย้ไปเรื่องอื่น ตอบคำถามของข้ามาเดี๋ยวนี้”

       “แหม...ท่านเมลนี่ก็ ข้าแค่หวังดีเห็นท่านขี่ม้ามาทั้งวัน แล้วก่อนหน้านั้นยังต้องทำหน้าที่คนขับรถม้าให้ข้านั่งอีก ข้าก็คิดว่ากล้ามเนื้อของท่านคงเมื่อยล้าเลยบอกให้พวกนางช่วยนวดให้...แค่นี้ทำไมท่านจะต้องโกรธด้วย”

        “ข้า..ไม่..เมื่อย..” หญิงสาวกัดฟันเน้นทีละคำพูด “..แล้วก็ไม่ได้ขอร้องให้เจ้ามาหวังดีด้วย เลิกให้พวกนางมายุ่งกับข้าได้แล้ว”

       เอลหัวเราะอย่างใจเย็น

       “ท่านไม่ได้เป็นนักบวชสักหน่อยท่านเมล จะเคร่งอะไรกันนักหนา หือ?”

       “เจ้าก็ไม่ใช่ผู้ชายเหมือนกันเอลลี่ อย่าลืมสิ...เจ้าเป็นหญิงรับใช้ประจำวิหารนะ ทำตัวให้เหมาะสมหน่อย”

       ราชาหนุ่มเกือบจะสำลักเหล้าที่เพิ่งยกขึ้นจิบ “ท่านนี่พูดจาเป็นนอร์ม่าไปได้”

       “ใครคือนอร์ม่า?”

       “อ๋อ นางเป็นอดีตพี่เลี้ยงของ..เอ้อ...ท่านอย่าไปสนใจเลย เอ้านี่...”

       ชายหนุ่มยื่นผ้าเนื้อนุ่มผืนเล็กๆ ส่งให้คนในชุดนักบวช

       “เช็ดซะ มีสีแต่งหน้าของพวกนางติดอยู่ที่แก้มท่าน”

       เมลิอานาร์หน้าแดงก่ำ รีบคว้าผ้าผืนนั้นมาเช็ดคราบสีอันเกิดจากริมฝีปากของแม่สาวเสิร์ฟทั้งสองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะโยนคืนใส่หน้าเจ้าของที่นั่งมองดูอยู่ด้วยรอยยิ้มยั่วเย้า

       “ยิ้มบ้าอะไรของเจ้า รีบๆ กินซะเอล เราจะได้ไปจากที่นี่เสียที”

       “ใครว่าเราจะไปจากที่นี่” เอลแกล้งยานคางถามลอยๆ

       คนในชุดนักบวชชะงักมือที่กำลังตักซุปเย็นชืดส่งเข้าปาก จ้องมองเจ้าของคำถามอย่างไม่เข้าใจ

       เอลถ่วงเวลาด้วยการยกแก้วเหล้าขึ้นละเลียดจิบ ก่อนขยายความ

       “ท่านก็เห็นนี่ท่านเมล หมู่บ้านนี้ไม่มีที่พักสำหรับคนเดินทาง ข้าว่าคืนนี้เราคงต้องอาศัยค้างแรมที่ร้านนี่แหละ”

       “ค้างที่ร้านเหล้าเนี่ยนะ” หญิงสาวเผลอตัวอุทานเสียงแหลม แล้วต้องรีบลดเสียงลงเมื่อเห็นว่ามีสายตาหลายคู่มองมาอย่างสอดรู้

       “เจ้าบ้าไปแล้วจริงๆ ด้วย เอล”

       “บ้าที่ไหนกันท่าน ...แถวนี้นอกจากร้านเหล้าแล้วก็ไม่มีห้องพักที่ไหนอีก หรือว่าท่านอยากจะนอนข้างถนนไม่ทราบ”

       “แต่ห้องพักในร้านเหล้า มัน...เอ่อ...เป็นห้องพักแบบพิเศษ เจ้าก็น่าจะรู้” คนในชุดนักบวชมีอาการอึกอักขึ้นมากะทันหันเหมือนไม่เต็มใจจะพูด เรียกรอยยิ้มกว้างขวางยียวนให้ผุดขึ้นบนริมฝีปากของคนตรงข้ามได้อีกครั้ง

       “ท่านรังเกียจหรือไง”

       เมลิอานาร์นั่งหน้าตึงไม่ยอมตอบคำถามนั้น เอลจึงแกล้งยั่วต่อด้วยคำพูด

       “ท่านนี่แปลกพิลึก ไม่ได้เป็นนักบวชแต่ทำตัวเคร่งเสียยิ่งกว่านักบวชที่ข้าเคยพบเสียอีก...เอาน่าท่านเมล เรื่องแบบนี้ผู้ชายเขาไม่ถือกันหรอก”

       ชายหนุ่มทิ้งท้ายด้วยเสียงหัวเราะกวนๆ ก่อนจะลุกเดินตรงไปหาเจ้าของร้านที่หลังเคาเตอร์ เพื่อขอเช่าห้องพักแบบ ‘พิเศษ’ ตามที่ว่าเอาไว้จริงๆ


       เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ สองหนุ่มก็เดินตามแม่สาวเสิร์ฟสุดเซ็กซี่ขึ้นไปยังห้องพักบนชั้นสอง เอสเม่มีท่าทางกระเง้ากระงอดเล็กน้อยที่แขกรูปหล่อของนางยินดีจ่ายเงินค่าเช่าห้องราคาแพง แต่ไม่ต้องการให้มีพวกนางคอยปรนนิบัติอยู่ในห้องด้วย เอลให้เหตุผลกับเจ้าของร้านว่านักบวชหนุ่มสหายของเขาเป็นโรคนอนละเมอขนาดหนักจนไม่อาจนอนร่วมเตียงกับสาวคนไหนได้ และเขาเองก็เป็นห่วงเพื่อนจนไม่อาจแยกห้องนอนได้เช่นกัน สุดท้ายเจ้าของร้านก็ใจอ่อนยอมให้พวกเขาพักห้องเดียวกันสมใจ

       เอสเม่ผลักประตูห้องพักที่อยู่ลึกเข้าไปจนสุดระเบียงออกกว้างพลางมองชายหนุ่มรูปงามทั้งสองด้วยสายตาละห้อยเหมือนจะถามว่า...พวกเขาไม่เปลี่ยนใจแน่หรือ แต่เอลกลับตัดบทด้วยการกล่าวคำขอบคุณสั้นๆ พลางรุนหลังนักบวชร่างบางเข้าไปในห้องโดยเร็ว ก่อนที่ตัวเขาจะก้าวตามไปติดๆ แล้วปิดประตูลงกลอนแน่นหนา

       เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องพักเรียบร้อยเอลก็ถอนใจเฮือกด้วยความโล่งอก หากแล้วก็ต้องชะงักเมื่อหันไปเห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับของอีกฝ่าย

       “จ้องข้าแบบนั้น ไม่พอใจอะไรอีกล่ะท่านเมล” เขาถามด้วยความรู้สึกกึ่งขันกึ่งรำคาญ ไม่รู้ว่าอาจารย์ของเจ้าหญิงกาอิยาห์เป็นอะไรนักหนา ถึงได้มีปัญหากับเรื่องที่พักค้างคืนมาตลอดตั้งแต่คราวที่กระท่อมล่าสัตว์โน่นแล้ว

       “ข้าก็อธิบายไปแล้วนี่ว่าไม่มีทางเลือก ถ้าไม่นอนที่นี่ก็ต้องยอมตากลมหนาวอยู่ข้างนอกอย่างเดียวเท่านั้น”

       “เรื่องนั้นข้ารู้แล้ว”

       “รู้แล้วก็ดี งั้นก็เตรียมเข้านอนเถอะ ข้าชักจะง่วง” เอลว่าพลางหาวเสียงดังประกอบ เป็นการบอกให้รู้ว่าง่วงจริงๆ

       เมลิอานาร์มองตามหลังคนตัวโตที่เดินหายเข้าไปหลังฉากไม้มุมห้อง ซึ่งกั้นแบ่งบริเวณอันเป็นที่อาบน้ำเอาไว้ไม่ให้ปะปนกับส่วนของห้องนอน แล้วทอดตามองไปยังเตียงไม้ปูฟูกนุ่มหนาริมผนังอีกด้านด้วยท่าทางอึดอัดใจ ถึงเตียงจะมีขนาดใหญ่กว้างขวางพอจะนอนสองคนได้สบายๆ หากก็มีแค่เตียงเดียวอยู่นั่นเอง...ที่จริงนางไม่ได้รังเกียจที่จะต้องแบ่งเตียงนอนกับเอล แต่ถ้าเลือกได้ หญิงสาวก็ยังรู้สึกสะดวกใจที่จะนอนคนเดียวมากกว่า นางจึงอดตั้งคำถามขึ้นมาไม่ได้

       “ทำไมเจ้าถึงขอเช่าห้องแค่ห้องเดียวล่ะเอล ห้องอื่นก็ยังว่างไม่ใช่หรือ”

       “ใช่ ว่าง แต่มันก็จะทำให้กระเป๋าของพวกเราว่างตามไปด้วย...”

       เอลเยี่ยมหน้าออกมาจากหลังฉากไม้ที่สูงแค่อก ถอนหายใจยืดยาวก่อนจะพูดต่อไป

       “...เอาเถอะ ถ้าท่านอยากจะรู้เหตุผลจริงๆ ข้าก็จะบอกให้ ข้อแรกนะท่านเมล ห้องพักที่นี่ราคาแพงมาก เพราะเป็นห้องพักแบบพิเศษอย่างที่ท่านว่า ข้อสองเงินที่ข้าพกติดตัวมาเหลือไม่มากแล้วและยังไม่รู้ว่าพวกเราจะต้องอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน ข้าเลยอยากประหยัดไว้ก่อน ส่วนข้อสุดท้าย...การที่ท่านกับข้าพักห้องเดียวกันก็ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน นอกจากว่าท่านอยากจะได้เอสเม่หรือริต้ามาช่วยปรนนิบัติพัดวี มันก็อีกเรื่อง”

       เมลิอานาร์มีสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงฤทธิ์ของแม่สาวเสิร์ฟเมื่อตอนเย็น ถ้าต้องนอนร่วมห้องกับแม่พวกนั้น นางยอมนอนกับแม่สาวร่างยักษ์ตรงหน้านี่ยังจะดีกว่า

       เมื่อเห็นคนในชุดนักบวชนิ่งงันไป เอลก็ก้าวออกมายืนอยู่หน้าฉากไม้ กล่าวด้วยน้ำเสียงของคนที่ตัดสินใจเด็ดขาดหลังจากตรึกตรองอยู่นาน

       “ถ้าท่านยังกังวลใจเรื่องที่ต้องนอนร่วมเตียงกับข้าอยู่อีกละก็ ขอบอกว่าเลิกคิดได้ เพราะข้าไม่ได้เป็นหญิงรับใช้ประจำวิหารอย่างที่ท่านเข้าใจว่าข้าเป็น...หรือถ้าจะพูดให้ถูก ข้าไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็นผู้ชายทั้งแท่งเหมือนกับท่านนั่นแหละ”

       พูดแล้วชายหนุ่มก็ลงทุนถอดเสื้อเชิ้ตโชว์แผงอกกว้างที่แบนเรียบหากแน่นตึงไปด้วยกล้ามเนื้อให้คนตรงหน้าดูเสียเลย

       “ทีนี้เข้าใจแล้วนะท่านเมล ข้าหวังว่าท่านคงจะเลิกคิดมากเรื่องที่นอนได้เสียที”

       แม้เอลจะพูดเช่นนั้น...หากอาการของคนในชุดนักบวชหลังจากที่ฟังคำบอกเล่าของเขาจบ เรียกได้ว่า ‘เกินกว่าจะเข้าใจ’ เสียอีก เพราะเจ้าตัวทำท่าเหมือนตกตะลึงตาค้าง พูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปเลย...




        บ่ายวันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มทั้งสองก็เดินทางมาถึงตัวเมืองบัลซาร์อันเป็นเสมือนเมืองหน้าด่านของประเทศทาเนียร์ ที่นี่มีบ้านเรือนและผู้คนคึกคักหนาตาเพราะเป็นเมืองใหญ่ ทั้งยังมีเส้นทางเชื่อมต่อกับเมืองสำคัญๆ อีกหลายแห่ง ตามถนนจึงมีทั้งพ่อค้าเร่ คนเดินทาง และนักบวช ปะปนอยู่ในหมู่ชาวเมืองอย่างไม่มีใครเห็นเป็นเรื่องแปลก แม้กระนั้นเมลิอานาร์ก็ยังอดรู้สึกว่าตนเองตกเป็นเป้าสายตาไม่ได้อยู่ดี

       “ข้ารู้สึกเหมือนถูกจับตามองยังไงก็ไม่รู้ เจ้ารู้สึกมั้ยเอล”

       นางกระซิบถามเพื่อนร่วมทาง หากไม่รู้ว่าเอลความรู้สึกช้าหรือว่าชินกับการถูกมองกันแน่ ชายหนุ่มจึงส่ายหน้าปฏิเสธ

       “ไม่นี่ ท่านคิดมากไปเองหรือเปล่า...เอ หรือบางที” เขาหยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “คนพวกนั้นอาจจะมองเพราะชื่นชมในความหล่อของเราสองคนก็ได้นะท่าน”

       “เพี้ยน!” หญิงสาวสรุปคำเดียวสั้นๆ แล้วเลิกสนใจคนข้างกายไปเลย ปล่อยให้เขาเดินหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังตามมาห่างๆ

       ...ตาบ้านี่ ไม่รู้จะขำอะไรกันนักหนา...

       เมลิอานาร์พยายามจูงม้าหลบหลีกบรรดารถเข็นและผู้คนพลางสอดส่ายสายตามองหาที่พักไปด้วย โชคดีที่ย่านร้านค้าในเมืองบัลซาร์ไม่ได้มีแต่เฉพาะร้านเหล้า ไม่นานนักหญิงสาวจึงพบเข้ากับอาคารก่ออิฐสีน้ำตาลแดงโอ่อ่า มีป้ายแขวนบอกไว้ชัดเจนว่าเป็นที่พักสำหรับคนเดินทาง นางมุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่แห่งนั้น  จัดการผูกม้าไว้กับหลักไม้เตี้ยๆ ด้านข้าง แล้วตั้งท่าจะก้าวเข้าไปภายในโดยไม่คิดจะรอชายหนุ่มตัวโตที่เพิ่งเดินเอื่อยๆ ตามมาถึง ทว่ายังไม่ทันได้ขยับตัวก็ถูกเสียงใสๆ ของเด็กสาวผู้หนึ่งเรียกรั้งไว้เสียก่อน พร้อมด้วยมือขาวนวลที่เอื้อมมายุดปลายแขนเสื้อ

       “นายหญิงเจ้าคะ อยู่นี่เอง ข้าตามหาซะแทบแย่ รถม้าพร้อมอยู่ทางด้านโน้นแล้วเจ้าค่ะ”

       เมลิอานาร์ใจหายวาบ หันขวับไปมองเจ้าของประโยคทันที แรกทีเดียวนางคิดว่าคนที่โรสอคาเซียออกติดตามค้นหานางจนเจอ แต่พอเห็นว่าผู้ที่ยืนกระตุกแขนเสื้อของนางอยู่เป็นเด็กสาวแปลกหน้า ก็โล่งใจจนกล้าย้อนถามด้วยรอยยิ้ม

       “สาวน้อย เจ้าทักคนผิดหรือเปล่า”

       เด็กสาวเงยหน้ามองผู้ที่ตนร้องเรียกเต็มปากว่า ‘นายหญิง’ ด้วยท่าทางงุนงงในทีแรก ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นตื่นตระหนก รีบชักมือกลับคืนมาทันทีพลางกล่าวคำขอโทษละล่ำละลัก

       “อภัยให้ข้าด้วยเจ้าค่ะท่านนักบวช ข้าเห็นแต่ข้างหลังเลยจำผิดไป”

       “จำผิด?”

       สาวน้อยยิ้มเขิน รีบกล่าวแก้ตัวเป็นพัลวัล

       “คงเป็นเพราะข้ากำลังรีบน่ะเจ้าค่ะ พอเห็นท่านใส่ชุดนักบวช มองเผินๆ ก็เลยคิดว่าเป็นนายหญิง”

       “นายหญิงของเจ้าเป็นนักบวชหรือ?”

       “เจ้าค่ะ นายหญิงของข้าเป็นนักบวช...”

       ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะได้อธิบายอะไรมากกว่านั้น ก็มีเสียงเรียกชื่อคนดังแว่วมาจากโค้งถนนด้านหลัง นางเหลียวกลับไปมองแล้วรีบร้อนวิ่งจากไปโดยไม่ลืมหันมากล่าวคำขอโทษอีกครั้ง

       เมลิอานาร์ทอดสายตาตามร่างเด็กสาวไปห่างๆ จึงได้เห็นผู้ที่น่าจะเป็น ‘นายหญิง’ ของแม่สาวน้อยแวบหนึ่ง นักบวชหญิงผู้นั้นกำลังสนทนาอะไรบางอย่างกับแม่ค้าวัยกลางคนร่างอ้วนท้วม ก่อนจะกล่าวลาเมื่อเด็กสาววิ่งเข้าไปถึงตัว แล้วพากันเดินหายไปในฝูงชน

       “ชะเง้อมองอะไรอยู่หรือท่านเมล”

       เสียงห้าวทุ้มที่ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยข้างหู ทำเอาคนถูกถามสะดุ้งโหยง รีบหันขวับไปมองตามสัญชาตญาณ ผิวแก้มเนียนละเอียดจึงสัมผัสเข้ากับปลายจมูกโด่งคมของชายหนุ่มโดยไม่ตั้งใจ เจ้าตัวรีบผละออกห่าง ยกมือเช็ดแก้มแรงๆ ใบหน้าร้อนซู่

       “เล่นบ้าอะไรของเจ้าน่ะ เอล” เสียงที่ถามหากมีสีคงเขียวจัดทีเดียว

       ชายหนุ่มมองท่าทางฉุนเฉียวและใบหน้าแดงก่ำของสหายร่วมทางด้วยรอยยิ้มใจเย็น

        “ไม่ได้เล่น ข้าถามท่านว่ามองอะไรอยู่ เห็นตั้งอกตั้งใจมากกระทั่งข้าเดินเข้ามาใกล้ก็ยังไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า...อ๊ะ...บอกไว้ก่อนนะว่าข้ามายืนอยู่ข้างหลังท่านตั้งนานแล้ว”

       ประโยคสุดท้ายของเอลทำให้คนที่กำลังอ้าปากเตรียมต่อว่าเปลี่ยนเป็นย้อนถามทันควัน

       “ถ้ามายืนอยู่นานแล้ว ก็ต้องรู้สิว่าข้ามองอะไรอยู่”

       “เด็กสาวคนนั้นน่ะหรือ ก็น่ารักดีนี่...ท่านชอบแบบนี้เองหรือท่านเมล”

       “นักบวชหญิงต่างหาก” เมลิอานาร์กระชากเสียงตอบด้วยท่าทางที่เห็นได้ชัดว่าต้องพยายามสะกดอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง

       “นักบวชหญิง?...มีด้วยหรือ”

       “มีสิ นักบวชจากวิหารรีอาไงล่ะ”

       “วิหารรีอา ท่านหมายถึงวิหารที่พวกเรากำลัง...” เอลพูดได้แค่นั้นก็เงียบไป ดวงตาสีน้ำทะเลเป็นประกายวาบขึ้นอย่างดุดัน เขาชะเง้อมองไปยังทิศทางที่คนในชุดนักบวชมองอยู่เมื่อครู่ก่อน

       “นางอยู่ไหนล่ะ ข้าเห็นแต่หญิงอ้วนคนนั้นคนเดียว”

       “ไปตั้งนานแล้ว ก็เพราะเจ้านั่นแหละข้าเลยไม่ทันเห็นว่านางเดินไปทางไหน”

       เมลิอานาร์ตอบยัวะๆ ขณะจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มข้างกายสลับกับโค้งถนนข้างหน้า แล้วความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในสมอง

       “เอล..”

       “หือม์”

       “เจ้าเป็นหนุ่มเสน่ห์แรงไม่ใช่หรือ...”

       เอลไม่ได้ตอบประโยคกึ่งคำถามนั้นเพราะเดาไม่ถูกว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน หากน้ำเสียงที่ฟังนุ่มหูเป็นพิเศษของนักบวชหนุ่มทำให้เขาอดเกร็งตัวด้วยความระแวงไม่ได้

       เมลิอานาร์อมยิ้มไม่น่าไว้ใจพลางกวาดสายตามองอีกฝ่ายขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายตลบ ในที่สุดนางก็กล่าวต่อ

       “ข้าคิดว่าได้เวลาใช้เสน่ห์ของเจ้าให้เป็นประโยชน์แล้วละ”

       “อะไรนะ...”

       “จุ๊ๆ ไม่ต้องตกอกตกใจไปน่า ข้าไม่ได้จะเอาเจ้าไปฆ่าไปแกงที่ไหนหรอก แค่อยากให้เจ้าได้บริหารเสน่ห์นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น”

       พูดจบ หญิงสาวก็ส่งยิ้มหวานเจี๊ยบให้ ‘หนุ่มเสน่ห์แรง’ พร้อมกับรุนหลังเขาตรงดิ่งเข้าไปหาสตรีวัยกลางคนในชุดผ้ากันเปื้อนที่ยืนอยู่หน้าร้านขายของตรงโค้งถนนถัดไป ไม่เปิดโอกาสให้ชายหนุ่มได้ปฏิเสธแม้แต่คำเดียว

       ทว่าเมลิอานาร์หารู้ไม่... ทันทีที่นางก้าวพ้นไปจากที่ตรงนั้น บุรุษผู้หนึ่งก็ปรากฏกายออกมาจากเงามืดของร้านค้าฝั่งตรงข้าม ดวงตาเรียวรีเหมือนตางูเปล่งประกายชั่วร้ายขณะจ้องจับตามหลังเอลไปไม่วางตา จากนั้นเจ้าตัวก็หันหลังกลับ ก้าวเดินอย่างเร่งร้อนไปสู่คฤหาสน์ของข้าหลวงใหญ่แห่งเมืองบัลซาร์เพื่อแจ้งข่าวสำคัญให้ผู้เป็นนายรู้

จากคุณ : akihiro
เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 00:04:37




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com