 |
บทที่ ๕
นางพญาบุปผา [2/2]
งานเทศกาลฉลองนางพญาบุปผาที่จัดขึ้นทุกๆ หนึ่งร้อยปีนั่นคือเทศกาลที่มวลบุปผาสวรรค์จะพร้อมใจกันเบ่งบานเผยประกายความงามโดยไม่คำนึงถึงฤดูกาล ทั้งยังเป็นงานชุมนุมเข้าเฝ้าราชวงศ์กิเลนของบรรดาภูติบุปผาทั้งหลายเพื่อขอประทานตำแหน่งอันทรงเกียรติสูงสุด นางพญาบุปผา ให้แก่ดอกไม้ที่งดงามที่สุดอีกด้วย
ท้องพระโรงหลวงแห่งราชวงศ์กิเลนในวันนี้ประดับไปด้วยพฤกษาสีเขียวสดนานาพันธุ์ ลานหินขัดมันคราคร่ำไปด้วยฝูงชนชาวกิเลนและภูติบุปผา บุปผาสวรรค์งดงามอ่อนช้อยหลายร้อยนางต่างพากันแต่งองค์ทรงเครื่องอลังการงานสร้าง ดวงหน้าเล็กๆ งดงามล้วนยิ้มพริ้มเพราอย่างมีจริต สรรพางค์กายแต่งแต้มไปด้วยสีสันอันหลากหลาย เมื่อมองรวมกันแล้วก็เหมือนดั่งสายรุ้งนับร้อยสีพาดผ่านสู่ผืนดิน
ต้นไผ่สวรรค์ถูกนำมาตกแต่งเป็นกอไผ่หนาทึบขนาดย่อมโดยรอบ เหตุเพราะเหล่าขุนนางกิเลนผู้แยบยลต้องการปราการซ่องสุม กำลังพลซุ่มดู เหล่าภูติบุปผา ในมือขุนนางหนุ่มและแก่แต่ละท่านถือกระดาษและพู่กันเพื่อบันทึกอันดับนางในดวงใจ บางคนพูดคุยหยอกล้อหัวร่อสนุกสนาน หัวข้อสนทนานั้นทำให้สาวใช้ที่เดินผ่านไปผ่านมามีสีหน้าแดงระเรื่ออย่างช่วยไม่ได้
องค์ราชันเสด็จ! องค์ชายน้อยทั้งสองเสด็จ!
พลันเสียงนางกำนัลขานรับเป็นทอดยาว สองราชินีกิเลนที่ประทับคอยท่าอยู่แล้วต่างพากันถวายบังคมด้วยท่าทีอ่อนหวาน เหล่าข้าราชบริพารและภูติบุปผาพร้อมใจกันจับจ้องราชันกิเลนและองค์ชายน้อยทั้งสองในอ้อมแขนราชันอย่างไม่วางตา...
เยว่เทียนหมิงใช้สองแขนเกาะไหล่บิดาพลางจ้องมองผู้คนแปลกหน้าไปทั่ว รอยยิ้มสว่างไสวแฝงพลังหยางอบอุ่นขององค์ชายน้อยพาให้ฝูงชนเคลิ้มฝันในทันที ถึงขนาดเริ่มมีขุนนางหัวใสบางคนรีบจัดตั้งสมาพันธ์องค์ชายเทียนหมิงเพื่อรวบรวมสาวๆ
ทางด้านเยว่เทียนอ๋าวเพียงปรายตาเหยียดมองเย่อหยิ่งด้วยแววตาน้ำแข็งแฝงพลังหยินหนาวเหน็บ ส่งผลให้ภูติบุปผาบางตนถึงกับใจละลายรำพึงเพ้อฝันอย่างลืมตัว... ได้โปรดมองหม่อมฉันด้วยแววตาเย็นชากว่านี้อีกเถิดเพคะ
ภายใต้การสังเกตของบิดา ราชันกิเลนสวรรค์อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มชื่นชมในความ เป็นที่นิยม ของบุตรชาย โดยหารู้ไม่ว่า...แค่พระองค์หยักยิ้มก็พาให้สาวน้อยสาวใหญ่ทั้งหลายแทบจะขาดใจตายไปกับรอยยิ้มที่สว่างไสวจนตาพร่านั้น...
เมื่อองค์ชายน้อยทั้งสองเสด็จมาถึงแล้วเช่นนี้ ก็ได้เวลาเริ่มงานฉลองนางพญาบุปผาอย่างเป็นทางการเสียที ข้าน้อยภูติโบตั๋นจะเป็นผู้แนะนำเหล่าภูติบุปผาเองเจ้าค่ะ!
อนงค์น้อยหน้าตาน่ารักท่าทางคล่องแคล่วนางหนึ่งกระโดดลงมาด้านหน้าปะรำเวทีอย่างว่องไว ผมสีดำขลับของนางเกล้าเป็นมวยสองข้างประดับด้วยดอกโบตั๋นสีชมพูสดดอกใหญ่ นางก้าวเดินอย่างร่าเริงขึ้นบันไดตรงไปหากิเลนจันทร์น้อยทั้งสองที่นั่งอยู่บนตักของบิดา
เมื่อห่างเพียงเอื้อมจึงหยุดเท้าลงพร้อมกับปรบมือเล็กๆ เป็นจังหวะสนุกสนาน เสียงกำไลข้อมือกระทบกันดัง กริ๊ง~กริ๊ง~ ภูติโบตั๋นวาดเท้าไปด้านหลังย่อตัวโค้งคารวะอย่างงดงาม มือทั้งคู่ประนมกลางหน้าอกจากนั้นจึงวาดออกเผยให้เห็นดอกโบตั๋นสีแดงสดสองดอกบนฝ่ามือ
งานฉลองนางพญาบุปผาครั้งนี้ ขอประทานเกียรติจากฝ่าบาทกิเลนจันทร์ทั้งสองเป็นผู้ตัดสินเพคะ
โบตั๋นสองดอกน้อยพลันลอยอย่างนิ่มนวลไปทางเทียนหมิงและเทียนอ๋าว กลีบดอกละเอียดซ้อนกันนับร้อยชั้นขยับแผ่วพลิ้วเบาๆ อย่างเริงร่า
ดวงตาโตใสแจ๋วของเทียนหมิงเบิกตากว้าง ใบหน้างดงามน่ารักยิ้มรับดอกโบตั๋นอย่างไร้เดียงสา ทางด้านเทียนอ๋าว ใบหน้าสวยงามเจือความเย็นชาหรี่ตามองครู่หนึ่งก่อนหันไปทางมารดา เมื่อเห็นมู่ตานกุ้ยฮวาส่งยิ้มให้พลางพยักหน้า กิเลนจันทร์น้อยจึงยอมรับดอกโบตั๋นแต่โดยดี
หากองค์ชายน้อยพอใจภูติบุปผาตนไหน ขอทรงโปรดประทานดอกโบตั๋นอันได้รับการแต่งตั้งเป็นนางพญาบุปผาในครั้งที่แล้วให้แก่นางพญาบุปผาคนใหม่เถิดเพคะ ภูติโบตั๋นกล่าวพลางเหลียวมองไปยังสองราชินีกิเลนที่นางแอบชื่นชมด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ จากนั้นจึงกระโดดลงไปยืนด้านล่างอย่างรวดเร็ว
เอ้า! แขกผู้มีเกียรติทุกท่านจับตาดูให้ดี ภูติบุปผาแต่ละนางในปีนี้งามหยาดฟ้ามาดินทั้งนั้น!
จริงรึๆ ! เหล่าขุนนางกิเลนตาลุกวาว
ข้าเอาหัวเป็นประกัน ท่านเสนาบดีใหญ่ทั้งหลายอย่าพึ่งหัวใจวายตายไปก่อนล่ะ ภูติโบตั๋นตอบขึงขังเป็นการเป็นงาน
ขอเบิกตัวสี่อนงค์นางแรก! ภูติบุปผาประจำฤดูกาล เริ่มด้วยข้าโบตั๋นแห่งฤดูใบไม้ผลิ! ภูติโบตั๋นสะบัดเสื้อคลุมแล้วหมุนตัวรอบหนึ่งเพื่อแนะนำตัว
ต่อไป! เหอฮวาแห่งฤดูร้อน จวี๋ฮวาแห่งฤดูใบไม้ร่วง เหมยฮวาแห่งฤดูหนาว[1]
เสียงพลุถูกจุดขึ้น ควันสีขาวหอมกลิ่นดอกไม้กรุ่นกำจายไปทั่ว ภูติบุปผาสามนางยืนหันหลังชนกันปรากฏร่างอย่างอลังการกลางแสงสีของไฟเย็นที่เต้นระยับจากพื้นสู่อากาศ เหอฮวาประคองดอกบัวสีขาวไว้แนบอก จวี๋ฮวาหอบดอกเบญจมาศสีเหลืองสดเต็มสองแขน เหมยฮวาถือกิ่งเหมยประดับดอกเหมยช่อเล็กๆ สีชมพูอ่อน สี่บุปผาผู้ยิ่งใหญ่ (เพราะเป็นตัวเก็งครองตำแหน่งทุกครั้ง) ออกโรงมาพร้อมเสียงฮือฮาด้วยความชื่นชมดังสนั่น
สุดยอด! ชั้นเลิศจริงๆ!
ต่อไปคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามอง! กุ้ยฮวาผู้บานหอมไปทั้งสิบทิศ ตู้จวนฮวาสมญาสีแดงสะท้อนภูเขา สุ่ยเซียนฮวานางฟ้าบนเกลียวคลื่น[2] ! เสียงดนตรีประโคมเพลงเปิดตัวดังกระหึ่ม บุปผาเยาว์วัยสามนางร่ายรำตามจังหวะออกมายืนเทียบเคียงบุปผาประจำฤดูกาลอย่างงดงาม
จังหวะนั้นสายตาหกคู่ประสานกันส่งประกายไฟแล่นเปรี๊ยะๆ
กุ้ยฮวาคือดอกไม้แห่งแดนสวรรค์โดยแท้ กลิ่นหอมเพียงนิดก็สามารถปลุกดอกไม้อื่นให้พร้อมใจกันเบ่งบาน ภูติกุ้ยฮวาผู้ถือช่อดอกหอมหมื่นลี้สีส้มเย็นตากล่าวชื่นชมบุปผา (ตัวเอง) เป็นรายแรก
ถึงจะหอมเช่นไรเจ้าก็ไม่อาจเบ่งบานในฤดูหนาว เป็นได้เพียงกิ่งไม้ไร้ดอกกลางหิมะพิสุทธิ์ ภูติเหมยฮวาตอบโต้
พวกท่านคิดน้อยไปแล้วกระนั้น หอมแล้วอย่างไร เบ่งบานในขณะที่ผู้อื่นหลับใหลวิเศษตรงไหน ตู้จวนฮวาสิคือขุมทรัพย์แห่งหุบเขา สมุนไพรล้ำค่าที่ได้รับการยกย่องเป็นยอดหญิงงามในขณะที่ดอกบัวเป็นได้แค่เพียงหญิงชราน่าเกลียด ภูติตู้จวนฮวาผู้ประดับเรือนกายไปด้วยดอกนกแขกเต้ากล่าวท้าทายส่งผลให้ภูติเหอฮวาหันขวับมาจ้องเขม็ง บรรยากาศเริ่มมาคุ
ฟังเสียงแว่วของสาวๆ ภูติบุปผา ราชินีกิเลนทั้งสองเพียงปิดปากหัวเราะคิกคักกับการโต้คารมของเหล่าบุปผาสวรรค์ ส่วนราชันกิเลนได้แต่ยิ้มบางๆ พลางนึกในใจ...จะเป็นศึกไหนก็ไม่หวั่นยกเว้นศึกวาจาของสตรีเท่านั้นที่จะขอยอมแพ้โดยดุษฎี
ไม่ต้องทะเลาะกันๆ ยังมีภูติบุปผาตนอื่นรอให้องค์ชายน้อยคัดเลือกอีก ขอเบิกตัวเถาฮวาแห่งดอกท้อ หลานฮวาแห่งดอกกล้วยไม้ เหม่ยกุยแห่งดอกกุหลาบ ม่อลี่แห่งดอกมะลิ...
ภูติโบตั๋นสมแล้วที่รั้งตำแหน่งนางพญาบุปผา นางมีพรสวรรค์ในการเพิกเฉยความตึงเครียดได้ชะงัดนัก จากนั้นบรรดาสาวงามทั้งหลายก็เดินขบวนออกมากันอย่างสนุกสนาน
องค์ชายน้อยเทียนหมิงจ้องมองเหล่าผู้เข้าประกวดตาแป๋ว ร่างเล็กกลมป้อมเบียดกระแซะน้องชายพลางเกี่ยวแขนชี้ชวนดูเหล่าภูติบุปผาที่ออกมาร้องเพลง เต้นรำ ว่ากลอน เล่นกายกรรม แสดงกลต่างๆ ฯลฯ แล้วแต่จะสรรหาเพื่อจะได้เป็นผู้ชนะ
เทียนอ๋าวดูนั่นสิๆ อ๊า~ ยอดไปเลยๆ!
ทว่าฝ่ายองค์ชายน้อยเทียนอ๋าวกลับนั่งหน้ามุ่ยในใจนึกรำคาญที่ต้องมานั่งเบียดกับพี่ชายแถมยังต้องช่วยกันเลือกนางพญาบุปผาอีก ยิ่งถูกมือเล็กๆ นุ่มนิ่มเกาะเกี่ยวติดหนึบก็ยิ่งหงุดหงิด
เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนแดดอ่อนแสงลงมากแล้ว...
ภูติบุปผานับร้อยตนยืนอยู่เบื้องหน้าสององค์ชายกิเลนน้อยรอการตัดสิน ทว่ากิเลนน้อยเทียนหมิงผู้มีท่าทีพออกพอใจกับภูติบุปผาทุกตนขมวดคิ้วมุ่น นัยน์ตาสีใสมีแววครุ่นคิด หาทางที่จะแบ่งโบตั๋นดอกน้อยในมือให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน กลับกันข้างฝ่ายกิเลนน้อยเทียนอ๋าวกลับมีสีหน้าเย็นชาเรียบเฉย กิเลนจันทร์แห่งความมืดไม่ใคร่พิศวาสเหล่าดอกไม้ที่เปล่งประกายสว่างเจิดจ้าเหล่านี้ แสงสว่างนั้นน่ารำคาญน้อยไปกว่าพี่ชายข้างๆ เท่าไรกันเล่า? เทียนหมิงที่เห็นเทียนอ๋าวไม่ยอมตัดสินใจก็ทำหน้าเลิ่กลั่กบอกไม่ถูก ใบหน้าอ่อนเยาว์แฝงรอยลำบากใจเสียแปดส่วน
องค์ชายน้อยแห่งความมืดย่อมไม่อาจสำราญใจกับบุปผาแห่งแสงสว่าง เช่นนั้นแล้วฝ่าบาทโปรดประทานโอกาสให้แก่เหล่าบุปผาแห่งความมืดดูเถิดเพคะ
พลันเสียงหวานบาดหูทว่าเย็นเยียบเสียงหนึ่งดังขึ้นในความคิดของเยว่เทียนอ๋าว พลังด้านลบแสนคุ้นเคยผุดขึ้นมาเป็นระลอกราวกับน้ำพุที่ผุดรดผืนดินแห้งผาก...
กิเลนจันทร์แห่งความมืดแสยะยิ้ม เด็กน้อยเอนตัวพิงบิดาพลางเท้าคาง สีหน้าไม่สบอารมณ์กลับมาสนุกสนาน
เราอนุญาต
เยว่เทียนอ๋าวกล่าวเรียบๆ ให้ผู้ที่ได้ยินงงงวย ไม่ทันขาดคำแผ่นดินก็สั่นไหวสะเทือนขึ้นน้อยๆ พื้นหญ้าสีเขียวเหี่ยวเฉาลงในพริบตา... ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาบางเหยียบย่ำใบหญ้าแห้งกรอบดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ขบวนของบุปผาแห่งความมืดอันลึกลับระคนงดงามพลันปรากฏขึ้นในยามโพล้เพล้ ตะวันสีส้มแดงฉายฉานเคลือบรอยยิ้มอาบยาพิษของพวกนางอย่างแนบเนียน...
ภูติบุปผาแห่งราตรีกาล!
ภูติโบตั๋นกล่าวน้ำเสียงเจือกังวล ควรทราบว่าบุปผาแห่งทิวาและราตรีนั้นไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ด้วยเหตุว่าพวกนางต่างดูดซับพลังฟ้าดินในเวลาต่างกัน บุปผาแห่งแสงสว่างเติบโตด้วยพลังหยางในขณะที่บุปผาแห่งความมืดหล่อเลี้ยงตนด้วยพลังหยิน งานฉลองนางพญาบุปผาของฝั่งแสงสว่างจึงไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากบุปผาแห่งความมืดมาก่อน
ผู้นำขบวนของบุปผาแห่งความมืดนับร้อยตนนั้นคือสตรีน้อยนางหนึ่งผู้มีเส้นผมและนัยน์ตาสีม่วงลึกล้ำ สีม่วงนั้นหม่นเข้มจนเกือบดำ หากมองผ่านก็สามารถกลืนหายไปในราตรีกาลโดยง่าย ในมือของนางถือดอกไม้ช่อหนึ่งรูปร่างประหลาดตา พิศมองผิวเผินดูคล้ายโคมไฟส่องแสงนวล ทว่าหากจ้องให้ดีโคมไฟนั้นคือดอกไม้ดอกน้อย ก้านอ่อนสีเขียวสดทิ้งตัวลงล่างตัดกับกลีบดอกสีม่วงเข้ม ลวดลายนูนแดงราวเส้นเลือดแตกแขนงบนกลีบดอกดูน่าสะพรึงกลัวยิ่ง กลางดอกคือพู่เกสรสีชมพูสดสุกใสราวกับดวงประทีป
เติงหลงฮวา[3] คารวะองค์ชายน้อยกิเลนจันทร์เพคะ
เมื่อได้ยินเสียง กิเลนจันทร์แห่งความมืดทราบได้ทันทีว่านางภูติดอกโคมไฟผู้นี้เองคือผู้ที่สื่อสารผ่านจิตกับตน
เยว่เทียนอ๋าวจ้องมองดอกโคมไฟอย่างหลงใหล ราวกับประทีปแห่งแสงอันมืดมิดบริสุทธิ์ฉายชัดจับนัยน์ตา โดยไม่สนใจเยว่เทียนหมิงที่เกาะกุมตน กิเลนน้อยแห่งความมืดสะบัดตัวออกจากวงแขนของพี่ชายแล้วเดินลงมาหาเติงหลงฮวา มือน้อยๆ ขาวสะอาดยื่นดอกโบตั๋นไปด้านหน้าประทานแก่นางภูติราตรี
เจ้าคือนางพญาบุปผา
==== โปรดติดตามตอนต่อไป ====
[1] เหอฮวา หมายถึง ดอกบัว, จวี๋ฮวา หมายถึง ดอกเบญจมาศ และ เหมยฮวา หมายถึง ดอกเหมย
[2] กุ้ยฮวา หมายถึง ดอกหอมหมื่นลี้, ตู้จวนฮวา หมายถึง ดอกนกแขกเต้า และ สุ่ยเซียนฮวา หมายถึง ดอกแดฟโฟดิล หรือ นาร์ซิสซัส
[3]เติงหลงฮวา หมายถึง ดอกโคมไฟ
* แก้ไขเพราะลงเชิงอรรถผิดอันค่ะ ^^"*
แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 54 07:42:12
จากคุณ |
:
ZZ&ฟารา (นู๋ครีมสด)
|
เขียนเมื่อ |
:
12 ก.ย. 54 22:42:59
|
|
|
|
 |