Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ยมทูต บทที่ 6 นรกหลังประตูวิจิตร ติดต่อทีมงาน

ยมทูต บทต้น

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=moonyforever&month=02-08-2011&group=13&gblog=1

บทที่ 5 อัคนีและวายุ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11022945/W11022945.html

บทที่ 6

นรกหลังประตูวิจิตร

กระแสวายุอันเกิดจากลมมรสุมพัดปั่นป่วนรุนแรงจนถึงขนาดทำให้ต้นมะพร้าวที่กำลังโยกไหวไปมาต้องถอนรากหลุดจากพื้นดินปลิวหายไปกับสายลม ผู้คนที่เคยเดินอย่างคับคั่งบนท้องถนนต่างพากันหลบอยู่ภายในอาคารที่พักอาศัย เสียงหวีดหวิวของลมฟังคล้ายปิศาจที่กำลังร่ำร้องเรียกวิญญาณของมนุษย์สร้างความหวาดหวั่นต่อทุกคนที่ได้ยิน

เว้นไว้แต่เพียงชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ในเครื่องแต่งกายสีดำ

ดวงตาคมเข้มดุจสนิมเหล็กมองท้องฟ้าสีเทาทึบและหม่นหมองอย่างปราศจากความรู้สึก ร่างที่ยืนนิ่งอยู่กลางลานกว้างดูเหมือนจะไม่แยแสต่อสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ซึ่งก็น่าจะเป็นเช่นนั้นเพราะนอกจากจะไม่สามารถสร้างความเปียกชื้นใดๆบนร่างกายของเขาแล้วกระแสลมที่พัดโหมอย่างบ้าคลั่งยังไม่อาจทำให้แม้ชายเสื้อสีดำสนิทสะบัดเคลื่อนไหว ชายหนุ่มยืนนิ่งอย่างไม่สนใจต่อสภาวะแวดล้อมอันเลวร้ายอยู่เช่นนั้นราวกับรอคอยกระทั่งมีแสงแลบแปลบปลาบของสายอสุนีบาตตามมาด้วยเสียงกึกก้องกัมปนาทดังลั่นขึ้น ร่างในเครื่องแบบรัดกุมสีแดงเข้มปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่างฉับพลัน เขาค้อมตัวลงเล็กน้อยเป็นเชิงแสดงความเคารพก่อนจะเอ่ยทักทาย

“ท่านพสุธา”

“มีอะไรหรือท่านอาชา” บุรุษนามพสุธากล่าวถามด้วยความสงสัย เพราะอาชาเป็นยมทูตระดับสองที่นอกจากจะมีหน้าที่นำดวงวิญญาณคนตายไปยังนรกแล้วยมทูตกลุ่มนี้ยังเป็นผู้นำสารสำคัญอีกด้วย

“ฝ่ายตรวจสอบพลังเร้นลับแจ้งมาว่าพบกลุ่มพลังบางอย่างในบริเวณนี้” ยมทูตอาชาตอบพลางหันไปมองลานซีเมนต์ที่ทอดยาวไปจนเกือบถึงภูเขาขนาดย่อมก่อนจะเบนสายตาไปยังเครื่องบินลำหนึ่งที่กำลังร่อนลงมา “ใช่ที่ท่านรอหรือไม่”

“ไม่ใช่” ยมทูตพสุธาตอบเสียงเรียบและมองอีกฝ่ายก่อนจะถาม “แล้วทางนั้นแจ้งมาหรือเปล่าว่าพลังที่ว่าคืออะไร”

“ไม่อาจตรวจสอบได้อย่างแน่ชัด รู้แค่ว่ามันกำลังเคลื่อนตัวมาที่นี่ ในเวลานี้” ยมทูตอาชาพูดพลางไล่สายตามองผ่านเม็ดฝนไปรอบๆ เสียงกระหึ่มที่ดังขึ้นเหนือศีรษะทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมองและจ้องอากาศยานลำใหญ่อีกลำที่กำลังบินวนเป็นวงกลมด้วยความแปลกใจในขณะที่พสุธานั้นมองด้วยสายตาที่ฉายแววเหมือนพบสิ่งที่กำลังรอคอย

“ใกล้จะถึงเวลาแล้ว”

ยมทูตหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แทบจะไม่ผ่านริมฝีปากออกมา ทั้งสองยืนจ้องเครื่องบินลำโตที่กำลังบินเข้าสู่เส้นทางสำหรับการร่อนลงพร้อมกับผายมือทั้งสองข้างออกเพื่อเตรียมสร้างม่านพลังป้องกัน ฉับพลันทันใดนั้นก็บังเกิดคลื่นพลังมหาศาลพลุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน พสุธาจ้องพลังงานสีดำสนิทรูปกรวยที่พุ่งสูงไปในอากาศและเริ่มโอบล้อมอากาศยานลำใหญ่เอาไว้ด้วยสายตาตระหนกส่วนอาชานั้นหลุดปากถามออกมาด้วยความตกใจ

“นั่นอะไรน่ะ”

“อนธกาล” พสุธาตอบเสียงเครียดพร้อมกับชูกำปั้นที่เปล่งแสงสีน้ำเงินเข้มขึ้นและเหวี่ยงเข้าใส่คลื่นพลังรูปกรวยอย่างรวดเร็ว มันหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศก่อนจะแตกสลายหายไป ยมทูตหนุ่มมองด้วยดวงตาวาว

“พลังของข้าทำอะไรมันไม่ได้”

เขากล่าวด้วยเสียงที่ฟังเหมือนการคำรามและจ้องเครื่องบินที่ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศด้วยความแค้นใจเพราะถึงต้องการจะช่วยเหลือแต่ชะตากรรมของคนที่อยู่บนอากาศยานลำนั้นได้เดินทางมายังจุดสิ้นสุดแล้ว แม้นักบินจะพยายามบังคับเครื่องให้หลุดจากสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นตาพายุแต่ไม่สำเร็จเพราะนอกจากแรงดูดของอุโมงค์ลมจากเบื้องล่างแล้วยังมีแรงกดดันของอากาศจากด้านบนที่บดกระแทกลงมา ผู้โดยสารที่อยู่ในเครื่องต่างพากันส่งเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวเมื่อได้ยินเสียงทุบระรัวดังมาจากด้านบนของเครื่อง คล้ายมีมือขนาดยักษ์กำลังกระหน่ำทุบเครื่องบินทั้งลำอย่างบ้าคลั่ง และเมื่อมีเสียงโครมดังลั่นขึ้นอีกครั้งเครื่องบินลำนั้นก็ร่วงลงไปกระแทกกับพื้นดินและลื่นไถลจนหลุดจากลานวิ่งไหลเลื่อนไปตามหินที่ขรุขระ แรงเสียดสีสร้างประกายไฟให้ปะทุขึ้นระเบิดถังน้ำมันจากปีกด้านหนึ่งจนเปลวเพลิงลุกท่วมและไหม้ลามเครื่องบินทั้งลำอย่างรวดเร็ว เผาทุกชีวิตที่อยู่ในนั้นจนดับสูญภายในเวลาชั่วอึดใจ

วิญญาณที่ถูกกระชากออกจากร่างนับร้อยเดินสะเปะสะปะออกจากเครื่องและถูกคลื่นพลังสีดำดูดกลืนไปอย่างรวดเร็ว พสุธาเห็นดังนั้นจึงตัดสินใจรวบรวมพลังทั้งหมดสร้างดาบแสงเล่มหนึ่งขึ้นมา เขาเงื้อง่าขึ้นและตวัดฟันลงไปทันที เปลวอัคคีรูปจันทร์เสี้ยวพุ่งเข้าใส่คลื่นอนธกาลตัดม่านพลังของมันจนขาดกระจุย คลื่นสีดำสั่นระริกราวกับเจ็บปวดก่อนจะคลายวงรัดออกจากซากเครื่องบินและหดหายลงไปในพื้นดินภายในพริบตา พสุธารีบหมุนดาบในมือสร้างพลังล้อมรอบวิญญาณแต่ละดวงเอาไว้พร้อมกับหันไปสั่งยมทูตอาชาที่ยังคงตกตะลึงยืนนิ่ง

“รีบสร้างม่านยมทูตปกป้องดวงวิญญาณพวกนี้เร็วท่านอาชา”

ยมทูตระดับสองสะดุ้งเหมือนได้สติ เขารีบลอยตัวขึ้นไปในอากาศและสร้างพลังครอบคลุมดวงวิญญาณตามที่พสุธาสั่งไม่ช้าทั้งสองจึงสามารถรวบรวมผู้เสียชีวิตที่เหลือได้ทั้งหมด หลังจากนำมารวมกลุ่มและตรวจนับจำนวนแล้วพสุธาจึงเตรียมนำวิญญาณทั้งหมดไปยังนรกแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อยมทูตอาชาร้องเรียก

“หยุดก่อนท่านพสุธา”

ยมทูตนักรบหันกลับไปมองและเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังก้าวเข้ามาหาพร้อมดวงวิญญาณสีขาวบริสุทธิ์ดวงหนึ่ง เขามองรายชื่อที่ปรากฏบนแผ่นหนังและส่ายหน้า

“วิญญาณดวงนี้ไม่ได้อยู่ในรายชื่อของข้า”

“แต่เธออยู่ในเครื่องบินลำนั้น” ยมทูตอาชาแย้งพลางส่งวิญญาณดวงนั้นให้กับผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่า “ท่านคงต้องพานางไปที่นรกด้วย”

“จะไปได้ยังไงถ้าไม่มีรายชื่อ และถึงลงไปที่นั่นวิญญาณดวงนี้ก็ไม่อาจผ่านด่านตรวจไปได้จนกว่าจะถึงเวลา”

“หน้าที่ของผมคือแจ้งข่าวเรื่องพลังปริศนาที่เหลือจากนั้นถือเป็นความรับผิดชอบของท่าน” ยมทูตอาชากล่าวพลางก้าวถอยหลังและค้อมตัวลงเล็กน้อย “ผมต้องขอลา”

เขาจางหายไปในท่าที่ยังคงค้อมตัวอยู่เช่นนั้น พสุธาขมวดคิ้วยืนนิ่งด้วยความหนักใจก่อนจะลดสายตาลงมองวิญญาณสีขาวสะอาดในมือ ประกายแสงบางอย่างที่ทอระริกอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยทำให้ยมทูตหนุ่มอึ้งไปเล็กน้อยราวกับนึกสิ่งสำคัญบางอย่างขึ้นมาได้ มือที่กุมวิญญาณดวงน้อยบีบกระชับแน่นในขณะที่เขาหลุดปากพึมพำ

“หรือว่า...”

คำพูดหยุดค้างไว้แค่นั้น พสุธามองร่างน้อยที่กำลังยืนสบตาตนแน่วนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเลื่อนสายตามองตรงไปข้างหน้าและยกมือขึ้นโบก ประตูศิลาบานหนึ่งปรากฏขึ้นในช่องว่างของอากาศ ยมทูตหนุ่มสะบัดมืออีกครั้งมันก็เลื่อนเปิดออกเผยให้เห็นอุโมงค์มืดสนิทภายใน และเมื่อพสุธาเอ่ยคำพูดศักดิ์สิทธิ์ ลำแสงสีดำก็พวยพุ่งออกมารวบทั้งเขาและดวงวิญญาณทั้งหมดเข้าไปในอุโมงค์ จากนั้นประตูศิลาก็เลื่อนปิดและจางหายไปเหลือไว้แต่เพียงสายฝนและกระแสลมที่ยังคงพัดกระหน่ำอย่างน่ากลัว
*/*/*/*

ผมเคยดูการ์ตูนญี่ปุ่นกับหนังฝรั่งแนววิทยาศาสตร์มามาก ฉากที่พระเอกอุ้มนางเอกแล้วหายตัวแว่บไปยังอีกที่หนึ่งมันทำให้ผมทึ่งจนนึกอยากทำอย่างนั้นได้บ้างแต่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้มาเจอกับสภาพแบบนี้จริงๆหลังจากที่ตายไปแล้ว แถมแรงกระชากจากการเคลื่อนย้ายก็ไม่ได้นุ่มนวลเหมือนในหนังเลยสักนิดเพราะดูเหมือนแม่ยมทูตคนสวยจะใช้พลังเต็มที่เล่นเอาท้องไส้ของผมแทบจะทะลักออกจากปากทันทีที่ปลายเท้าแตะพื้น

เอ๊ะ! ปลายเท้าแตะพื้นอย่างนั้นเหรอ

ผมนึกอย่างแปลกใจและก้มหน้าลงมองเพราะตั้งแต่ตายร่างกายของผมมันเหมือนลอยอยู่เหนือพื้นดินตลอดเวลา คงอย่างที่โบราณเขาว่าวิญญาณคนตายไม่สามารถสัมผัสแม่พระธรณีได้ แล้วทำไมที่นี่ผมถึงยืนได้เหมือนคนปรกติ

“เพราะเรากำลังอยู่ใต้พื้นพิภพ” ยมทูตอัคนีพูดขณะส่งแผ่นอะไรบางอย่างให้ชายในชุดแต่งกายสีดำสนิทแต่ดูสุภาพเรียบร้อยผิดไปจากเทวดาหน้าเกาหลีมาก เขารับไปใส่ในเครื่องคอมพิวเตอร์และกดเรียกข้อมูลขึ้นมาดู

“ครบตามจำนวน” ชายคนนั้นพูดเสียงดังพลางกดปุ่มสีแดงข้างตัว ประตูรูปหัวกะโหลกบานใหญ่เลื่อนเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า แรงดันอากาศจากภายนอกไหลพรั่งพรูเข้าไปด้านในชั่วขณะหนึ่งก่อนจะถูกผลักกลับออกมาด้วยไอร้อนอันมหาศาลจากนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ในความสงบ  ผมมองชายฉกรรจ์ร่างใหญ่หลายคนเดินออกมาและพาดวงวิญญาณคนตายทั้งหมดเข้าไปด้านใน ยกเว้นชายหน้าเสี้ยมคนหนึ่งซึ่งถูกนำตัวแยกไปเข้าประตูขนาดเล็กที่แกะสลักอย่างสวยงามดูดีกว่าประตูกระโหลกเหล็กมาก ผมมองด้วยความแปลกใจ สงสัยจะเป็นพวกได้รับโทษไม่แรงนักหรือมีอะไรพิเศษกว่าคนอื่นแหง

“ไม่ยักรู้ว่านรกก็มีพวกอภิสิทธิ์ชน” ผมแกล้งพูดเสียงดัง ยมทูตที่กำลังป้อนข้อมูลเงยหน้าขึ้นพร้อมกับเลิกคิ้ว

“ทำไมวิญญาณตนนี้ยังยืนอยู่ที่นี่อีก” เขาหันไปมองประตูนรกซึ่งกำลังเลื่อนปิดลงก่อนจะเบนสายตากลับมายังอัคนี

“เขาเป็นวิญญาณที่ตายก่อนกำหนด” เธอตอบเสียงห้วนและกระตุกโซ่ล่ามคอผมค่อนข้างแรงพลางพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ระวังปากเอาไว้บ้าง”  

“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย” ผมเถียงทันควัน “แค่ถามว่าทำไมผู้ชายคนนั้นถึงไม่เข้าทางประตูกระโหลกเหมือนคนอื่นเท่านั้นเอง”

ผมบุ้ยใบ้ไปทางที่วิญญาณชายหน้าเสี้ยมหายเข้าไป ยมทูตอัคนีหันไปมองแล้วยิ้ม

“อ้อ ประตูลวงตานั่นเอง” เธอตอบพร้อมกับหันหน้ากลับมาที่ผมอีกครั้ง “มนุษย์ เพียงแค่เห็นสิ่งสวยงามก็เข้าใจว่าเบื้องหลังคงเป็นสิ่งแสนวิเศษ หลงใหลไปกับภาพเหล่านั้นจนลืมนึกถึงพิษร้ายที่ถกฉาบไว้ภายใน”

น้ำเสียงเต็มไปด้วยการดูถูกและสมเพชไปในเวลาเดียวกันจนผมนึกฉุนขึ้นมา

“ฉันไม่ได้หลงไปกับความสวยงามแต่สงสัยว่าทำไมเขาถึงถูกพาไปทางนั้น”

“อยากรู้ไปทำไม” ยมทูตอัคนีถาม ผมนิ่งไปเล็กน้อยก่อนตอบเสียงห้วน

“เคยได้ยินว่าในนรกไม่มีการแบ่งแยก ทุกคนจะได้รับการตัดสินอย่างเป็นธรรม ไม่มีคนรวยคนจนหรือยศฐาบรรดาศักดิ์มาเกี่ยวข้อง แต่เท่าที่เห็นแค่ประตูก็แตกต่างกันมาก แล้วแบบนี้จะให้คนกลัวเรื่องบาปบุญคุณโทษได้ยังไง”

“แค่ประตูบานเดียวคิดไปได้ตั้งไกล” ยมทูตสาวพูดอย่างระอาก่อนจะหันหน้าไปทางเจ้าหน้าที่ “ฉันจะพาเขาไปพบหัวหน้า”

“แต่วิญญาณดวงนี้ยังไม่ได้รับตราผ่านทาง ประตูมรณะคงไม่เปิดให้”

“ใช้ตราของฉัน” ยมทูตสาวพูดพลางหงายมือยื่นไปตรงหน้าเขา ปานรูปเปลวไฟปรากฏขึ้นไม่ชัดนัก ผมจ้องด้วยความประหลาดใจเพราะไม่เคยเห็นมันมาก่อน เจ้าหน้าที่รักษาประตูขมวดคิ้ว

“ถึงจะเป็นท่านอัคนีแต่ทางเราคงไม่สามารถปล่อยให้ผ่านเข้าไปได้ มันผิดกฏ”

เสียงแหลมเล็กดังมาจากกล่องสีดำที่วางไว้มุมโต๊ะ เจ้าหน้าที่ผู้นั้นรีบกดปุ่มพร้อมกับขานรับอย่างสุภาพ

“ครับท่าน” เขาฟังอีกฝ่ายแล้วนิ่วหน้าเล็กน้อยก่อนจะผงกศีรษะรับอย่างจำใจ “ผมจะปฎิบัติตามที่ท่านสั่งครับ”

เจ้าหน้าที่รักษาประตูนรกเงยหน้าขึ้นและหันมาที่ยมทูตสาว

“ท่านอนุญาตให้นำดวงวิญญาณตนนี้เข้าไปได้” เขามองหน้าผมเขม็ง คงนึกสงสัยแต็มแก่ว่าทำไมหนุ่มผอมแห้งหน้าซื่อบริสุทธิ์แบบนี้ถึงได้รับอนุญาตให้เข้าพบยมทูตระดับหัวหน้าง่ายนัก อีกฝ่ายเลิกคิ้ว

“แค่แปลกใจว่าทำไมเจ้าจึงยังไม่โดนทันฑ์นรกเท่านั้น อย่าลำพองใจไปนักเจ้าวิญญาณดิบ”

เสียงสัญญาณเตือนทำให้เขาละสายตาจากผมและหันกลับไปจ้องข้อมูลที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจออีกครั้ง มือกดปุ่มบนแป้นรัวเร็วขณะที่ปากร้องสั่งชายชุดดำที่ยืนอยู่ด้านข้าง

“ขอกำลังสนับสนุนด่วน ยมทูตพสุธากำลังนำวิญญาณเข้ามาอีกสองร้อยดวง อ้อท่านอัคนี” ประโยคสุดท้ายเขาหันหน้ามาทางยมทูตสาว “ท่านสามารถนำเขาผ่านประตูยมทูตได้”

“เราจะใช้ประตูวิจิตร” ยมทูตคนสวยตอบพลางดึงโซ่ลากผมให้เดินตรงไปยังประตูบานเล็กที่วิญญาณชายหน้าเสี้ยมหายเข้าไป เจ้าหน้าที่รักษาประตูนรกมองตามด้วยความแปลกใจและทำท่าจะร้องห้ามแต่เสียงระเบิดที่ดังกึกก้องตามมาด้วยฝุ่นฟุ้งกระจายทำให้เขาต้องหันหน้ากลับไปยังทางเข้าอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยปากทักเงาร่างสูงใหญ่ที่กำลังปรากฏขึ้นท่ามกลางฝุ่นคลีดิน

“มาอย่างอึกทึกเหมือนเคยนะครับท่านพสุธา”

ผมหันไปมองด้วยความอยากรู้แต่สู้แรงของแม่สาวยมทูตที่กำลังลากวิญญาณของผมตรงไปยังประตูไม่ไหวจึงต้องจำใจหันหน้ากลับ ปากก็อดถามไม่ได้ตามวิสัย

“พวกยมทูตนี่มีกี่คนกันแน่”

“อยากรู้ไปทำไม”

ยมทูตคนสวยย้อนเสียงห้วน ผมเลิกคิ้ว

“ก็เท่าที่ได้ยินในตอนนี้มีสาม แถมชื่อยังเหมือนกับธาตุทั้งสี่ที่เคยเห็นในหนัง” ผมชูมือขึ้นมาแล้วทำท่านับ “พสุธา วายุ อัคนี อีกคนคงไม่พ้นวารีหรืออะไรแนวนี้แน่”

ยมทูตสาวชะงักกึกและหันหน้ามาจ้องผมด้วยดวงตาวาว เธอพูดเสียงกร้าวอย่างไม่พอใจ

“อย่ามาทำเป็นสู่รู้”

“แสดงว่าใช่” ผมพูดและยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำของแม่สาวยมทูต เวลาโกรธหน้าตาเจ้าหล่อนน่ารักไม่ใช่เล่น นี่ถ้ายังไม่ตายและเธอไม่ได้เป็นยมทูตแล้วล่ะก็เป็นโดนผมจีบแน่

“มีแต่กิเลสกับตัณหา” ยมทูตคนสวยพูดด้วยใบหน้าดุดัน “น่าระเบิดให้แตกยับแล้วจับไปต้มในหม้อรวมวิญญาณสักห้าร้อยปี”

แค่ห้านาทีก็แย่แล้ว ผมแย้งในใจก่อนจะรีบก้มหน้าหลบสายตาของเจ้าหล่อน โธ่ ถึงผมจะซ่าแค่ไหนก็คงไม่กล้าขัดใจแม่ยมทูตคนสวยในตอนนี้หรอกครับ เดี๋ยวจับพลัดจับผลูคุณเธอเกิดอารมณ์เสียขึ้นมามีหวังได้ระเบิดวิญญาณผมกระจุย ยังไม่อยากลงไปดิ้นในหม้ออย่างที่ปู่เจ้าที่เคยสาธยายให้ฟัง ดูเหมือนยมทูตอกสวยจะรู้ทันความคิดเพราะผมเห็นหล่อนยิ้มพร้อมกับลดมือลง

“ยังดีที่รู้จักคิด” เธอกระตุกโซ่เบาๆ มันเลื่อนหลุดจากคอผมและจางหายไปทันที “เสียเวลามามากแล้ว รีบไปกันเถอะ”

ยมทูตสาวหมุนตัวเดินนำหน้าเข้าประตูไปอย่างรวดเร็ว ผมมองด้วยความลังเลก่อนตัดสินใจก้าวตามเข้าไปด้วยความอยากรู้ว่าข้างในนั้นมีอะไรมากกว่า

“เดินตามฉันอย่าได้เฉออกนอกทางถ้ายังไม่อยากถูกหมาเฝ้านรกลากลงไปนอนแช่ในกระทะทองแดง”

ยมทูตอัคนีหันกลับมาเตือนก่อนจะเดินนำอีกครั้ง ผมรีบก้าวตามอย่างว่องไวโดยสายตาคอยชำเลืองมองไปรอบตัวอย่างระแวง แหมเคยได้ยินมาว่าหมาเฝ้านรกน่ะตัวใหญ่เท่ากับวัวตัวดำปี๋แถมดุยิ่งกว่าเสือ ถ้าเจอกันจริงๆมีหวังได้วิ่งกันป่าราบ

“นายไม่มีวันหนีพ้น” แม่สาวยมทูตพูดขึ้น ทำไมชอบอ่านความคิดคนอื่นจังเลยนะ ผมคิดในใจอย่างนึกฉุน เธอเหลือบตามามองพร้อมกับตอบเสียงเรียบ “ฉันเองก็ไม่อยากจะฟังความคิดประหลาดลามกแบบนั้นเท่าไหร่ นายต่างหากที่คิดซะดังลั่น”

ความคิดเนี่ยนะ มันคงไม่ดังจนถึงขนาดนั้นมั้ง ผมนึกเถียงในใจแต่อีกฝ่ายกลับยักไหล่ขณะเดินขึ้นสะพาน

“พวกหมานรกน่ะหูไวมาก พวกมันวิ่งมาหานายแน่ถ้าหากยังไม่เลิกคิด” ยมทูตคนสวยกระตุกยิ้ม “เจ้าพวกนี้ไม่ได้แค่ตัวใหญ่อย่างเดียวเท่านั้น มันยังมีเขี้ยวเป็นเหล็กกับน้ำลายกรดที่ละลายวิญญาณได้ แต่ไม่ต้องกลัวถ้าเกิดวิญญาณของนายโดนน้ำลายหมาพวกนั้นจนสลาย ฉันจะใช้น้ำทิพย์ราดให้ฟื้นขึ้นมาใหม่เหมือนวิญญาณนรกพวกนั้น”

ยมทูตอัคนีชี้มือไปยังด้านล่าง ผมมองตามและอ้าปากค้างเมื่อพบว่าตอนนี้เราสองคนกำลังยืนอยู่บนสะพานแขวนที่ทอดผ่านหุบเหวลึก เบื้องล่างมีคนจำนวนมากกำลังเดินอยู่บนพื้นสีดำสนิท พวกเขาพากันส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด หลายคนทรุดล้มลงและนอนดิ้นทุรนทุรายเมื่อเปลวไฟสีแดงฉานลุกท่วมร่างของเขาจนมอดไหม้ ยมทูตตนหนึ่งหันไปหยิบกระบวยที่แขวนไว้เหนือทางน้ำที่ไหลคู่ขนานไปตลอดเส้นทางเดินแล้วตักน้ำราดลงไปบนซากดำเกรียม ไอร้อนระเหยพลุ่งขึ้นมา ร่างนั้นค่อยๆกลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้งและลุกขึ้นเดินต่อไปด้วยท่าทางทรมาน

“จำวิญญาณดวงนั้นได้ไหม” ยมทูตสาวเอ่ยถาม ผมขมวดคิ้วอย่างแปลกใจและเปลี่ยนไปเป็นเบิกตากว้างด้วยความตระหนกเมื่อเห็นหน้าวิญญาณที่ถูกเผาเมื่อครู่เต็มตา เขาคือผู้ชายหน้าเสี้ยมที่ถูกพาเข้านรกทางประตูแกะสลักนั่นเอง เสียงยมทูตอัคนีถามต่อ

“อยากรู้ไหมว่าเขาทำบาปอะไรถึงได้โดนลงโทษแบบนี้”

ผมพยักหน้าเพราะกลัวจนพูดไม่ออก ท่าทางในตอนนี้คงดูตลกหรือไม่ก็น่าสมเพชในสายของแม่สาวยมทูตเพราะผมเห็นรอยยิ้มบนมุมปากและจางหายไปแทบจะทันที ยมทูตอัคนีพูดเสียงเรียบ

“ตอนยังมีชีวิต ชายคนนี้เป็นหนึ่งในพวกที่ชอบเดินขบวนประท้วง”

“หมายถึงพวกก่อม็อบน่ะเหรอ” ผมอุทานด้วยความประหลาดใจ “เหลือเชื่อ ก็เขาทำเพื่อส่วนรวมนี่นาไม่เห็นว่ามันจะบาปตรงไหน”

“อะไรก็ตามที่ทำแล้วสร้างความเดือนร้อนให้กับผู้อื่น ถือว่าเป็นบาปทั้งนั้น” ยมทูตสาวพูดเสียงเรียบ “นายไม่มีทางรู้หรอกว่าระหว่างที่ฝูงชนกำลังก้าวเดิน พวกเขาได้เหยียบย่ำทำลายมดแมลงไปมากมายเท่าไหร่ ยังไม่นับเหล่าบรรดานกหนูที่ถูกฆ่าด้วยความคึกคะนอง การเผาทำลายสิ่งของของคนอื่น จริงอยู่ที่การะกระทำเช่นนี้อาจถูกใจหลายคน แต่มันก็สร้างความทุกข์ระทมให้กับคนอีกกลุ่มในเวลาเดียวกัน”

“ไม่น่าแปลก ใครชอบก็ชม ไม่นิยมก็ว่าเลว” ผมพูดพลางหันไปมองชายคนนั้นอีกครั้งและเบ้หน้าด้วยความสยองเมื่อเห็นเหล็กแหลมโผล่ขึ้นมาจากพื้นแทงทะลุเท้าทั้งสองข้างของเขาจนเลือดไหลโซม และเมื่อชายคนนั้นอ้าปากร้อง หนอนตัวเท่าหัวแม่มือก็ไหลทะลักพรั่งพรูออกมา มันร่วงหล่นไปตามลำตัวและเริ่มชอนไชกลับเข้าไปในร่างกายของเขาอีกครั้ง

“นั่นเป็นผลจากการใช้คำผรุสวาท” ยมทูตสาวอธิบาย “การด่าทอผู้อื่นให้ได้รับความเจ็บช้ำน้ำใจถือเป็นบาปอย่างหนึ่งเหมือนกัน นี่ยังไม่นับถึงเรื่องเหล้ายาที่เขาดื่มกินระหว่างก่อความเดือนร้อนเพราะบาปส่วนนั้นคือการถูกกรอกน้ำกรดเดือดๆในกระทะทองแดง”

ก่อม็อบก็ต้องรับกรรม นี่เป็นความรู้ที่ผมไม่เคยได้ยินหรือนึกถึงเลยด้วยซ้ำ ก็เท่าที่เห็นพวกประท้วงมักได้รับการสนับสนุนหรือชมเชยว่าเป็นการแสดงออกที่กล้าหาญ เป็นการเสียสละกระทำเพื่อส่วนรวม มองยังไงก็ไม่รู้สึกว่ามันจะบาปเลยสักนิด

“มนุษย์มักจะคิดเข้าข้างตัวเองอยู่เสมอ” ยมทูตอัคนีพูดขณะหมุนตัวและเดินด้วยท่าทางไม่เร่งรีบนัก “เคยคิดบ้างไหมว่าผลพวงของการกระทำจะสร้างความเดือดร้อนแบบลูกโซ่ให้กับคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่”

“ฉันไม่เข้าใจ”

“พอมีการประท้วง สิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่ารถก็ต้องหยุดวิ่ง เส้นทางที่เคยใช้ถูกปิด คนป่วยไข้ไม่สบายที่จำต้องใช้ถนนสายนั้นก็ต้องเลี่ยงไปไกล บางคนถึงกับสิ้นใจตายไประหว่างทาง นี่ยังไม่นับเด็กนักเรียนที่ต้องหยุด บางคนอ้อมไปไกลจนได้รับอันตรายจากการจี้ปล้นโดยเฉพาะเด็กผู้หญิง”

ดวงตาคมตวัดมาทางผม

“คงรู้สินะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์เพศนี้มันร้ายแรงแค่ไหน”

น้ำเสียงเย็นจนผมไหวเยือกไปทั้งตัว เธอเบนสายตามองตรงไปข้างหน้าอีกครั้ง

“วิญญาณบาปของคนกลุ่มนี้จะถูกนำสู่นรกโดยผ่านประตูวิจิตรเพื่อเตือนให้เขาสำนึกว่า เบื้องหลังคำป้อยออันสวยหรูนั้นคือความทุกข์ทรมานที่ไม่มีวันจบสิ้น เพราะทันทีที่พวกเขาก้าวผ่านพ้น ดวงวิญญาณก็จะตกลงไปบนพื้นหินที่ร้อนจัด คนไหนเหยียบย่ำทำลายชีวิตก็จะโดนหนามพิษโผล่ขึ้นมาทิ่มแทง ใครเผาทำลายข้าวของก็ต้องโดนกระทำในแบบเดียวกัน จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่กรรมของแต่ละคน”

ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดฝืนและพยายามที่จะไม่ชำเลืองตามองไปยังกลุ่มวิญญาณที่ยังคงย่ำเดินอยู่บนแผ่นหินร้อนจัดเบื้องล่าง แต่ปากก็ยังอดถามยมทูตสาวตามนิสัยอยากรู้ไม่ได้

“พวกเขาต้องรับกรรมกันกี่ปี”

“อย่างต่ำก็สองร้อยปี” แม่สาวยมทูตตอบ “จะว่าไปนรกเองก็เพิ่งจะมีระบบการลงโทษคนกลุ่มนี้เพราะเราถูกร้องเรียนจากวิญญาณสัตว์ที่ต้องตายจากการกระทำของพวกเขา”

เธอหยุดยืนอยู่หน้าประตูหินสีดำบานใหญ่และยกมือขึ้น เปลวไฟสีฟ้าลุกสว่างโชติช่วง ยมทูตสาวแนบมือข้างนั้นลงไปในรอยแตกตรงกลาง เสียงครืดดังลั่นเมื่อประตูนั้นเลื่อนเปิดออก ยมทูตอัคนีก้าวเข้าไปในทันที

“สงบคำไว้เพราะตอนนี้เราได้เข้ามาภายในที่ทำการของเหล่ายมทูต สงสัยอะไรก็ขอให้หุบปากเงียบเอาไว้ก่อนไม่อย่างนั้นนายอาจถูกโยนออกไปให้อีกาปากเหล็กฉีกเนื้อ”

คำขู่ของเจ้าหล่อนได้ผลเพราะผมรีบเม้มปากแน่นราวกับรูดซิปและเดินตามหลังเธอเหมือนเงา ระหว่างทางผมเห็นยมทูตชายหญิงทั้งหนุ่มสาวและผู้มากวัยหลายคนกำลังเดินไปมา บางคนมองผมด้วยสายตาแสดงความแปลกใจแต่เมื่อเห็นแม่สาวอัคนีเดินนำหน้า พวกเขาก็หันกลับไปทำงานของตนตามเดิม ดีเหมือนกันแฮะเพราะถ้าเป็นบนโลกป่านนี้คงได้มีการจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์หรือหาเรื่องซุบซิบนินทากันสนุกปากไปแล้ว

ยมทูตคนสวยพาผมตรงไปยังอาคารแห่งหนึ่ง นี่ก็เป็นอีกหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์เพราะตั้งแต่เล็กจนโตผมเคยเห็นแต่ภาพพญามัจจุราชนั่งอยู่บนบัลลังก์หินภายในสิ่งที่ดูเหมือนถ้ำ มันช่างต่างจากอาคารสีทึบที่สูงตระหง่านอยู่ตรงหน้าราวกับฟ้าดิน

“เมื่อคนทำบาปมากขึ้น ยมทูตก็ต้องเพิ่มจำนวนขึ้นตาม นรกจึงต้องมีการพัฒนาอยู่ตลอด” ยมทูตสาวพูดขึ้นราวกับรู้ทัน ผมเลิกคิ้วขณะคิดว่าพวกเขาไปหาวิศวกรหรือช่างก่อสร้างกันที่ไหน อ้อ แล้วยังบรรดาเทคโนโลยี่ทั้งหลายนั่นอีก ถ้าเกิดวันดีคืนดีพวกวิญญาณโปรแกรมเมอร์นึกอยากจะประท้วงขึ้นมา อุปกรณ์ไฮเทคทั้งหลายมิโดนไวรัสเข้าไปป่วนจนวุ่นวายหมดเรอะ

“สิ่งปลูกสร้างที่นายเห็นเป็นทั้งภาพลวงและของจริง ภายในนรกมีทรัพยากรอยู่มากมายให้พวกเราเลือกใช้ได้ไม่จำกัด ส่วนข้อสงสัยในเรื่องความซื่อของโปรแกรเมอร์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาคิดทรยศขึ้นมา ท่านพญายมได้ทำข้อตกลงเอาไว้ว่าหากวิญญาณตนใดทำแบบนั้นพวกเขาจะถูกส่งไปยังเวตตรณีนรก จมอยู่ในทะเลน้ำกรดซักร้อยสองร้อยปีก่อนแล้วค่อยถูกส่งไปเกิดเป็น สัตว์เดรัจฉานจำพวกอปทติรัจฉานอีกห้าร้อยชาติ”

“อะปะอะไรนะ” ผมถามด้วยความสงสัย แม่สาวยมทูตหันมามองด้วยสายตาดูถูก

“อปทติรัจฉาน ก็พวกสัตว์จำพวกไม่มีขาทั้งหลายนั่นไง”

อ้อ พวกไส้เดือน งู ปลิงทั้งหลายนี่เอง ผมคิดอย่างนึกฉุน ก็เล่นพูดภาษาแบบนี้ใครมันจะไปเข้าใจกันเล่าแม่ยมทูตอกสวย

“อันที่จริงฉันจะอธิบายด้วยคำสามัญที่เข้าใจง่ายก็ได้ แต่เห็นพวกมนุษย์มักสรรเสิรญเยินยอคนที่พูดภาษาแปลกที่ตัวเองไม่เข้าใจว่าเป็นคนวิเศษเลิศเลอกันเหลือเกิน ทั้งที่คำเหล่านั้นบางครั้งเป็นเพียงแค่คำสามัญในพื้นถิ่นกำเนิดของมันเอง”

“แต่บางครั้งมันก็เป็นภาษาเก่า” ผมแย้ง ยมทูตสาวเลิกคิ้ว

“แล้วไง ก็แค่ท่องจำให้แม่นเท่านั้นก็พอแล้วไม่ใช่หรือ อีกอย่างต่อให้ฉันพูดผิดนายก็ไม่มีทางรู้เพราะไม่เคยได้ยินว่าคำจริงน่ะมันออกเสียงยังไง”

น้ำเสียงของเจ้าหล่อนดูสะใจพิลึก นี่ถ้าเป็นมนุษย์ แม่ยมทูตคนนี้คงเป็นคนประเภทเชื่อมั่นในตัวเองสุดขั้ว เผลอๆอาจจะเป็นพวกหัวรุนแรงสุดกู่ชนิดต่อต้านสังคมไปเลยด้วยซ้ำ ดูเหมือนคราวนี้เจ้าหล่อนจะไม่ได้สนใจในสิ่งที่ผมคิดเท่าไหร่นักเพราะท่าทางของเธอในตอนนี้ดูเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างฉับพลัน ผมมองบานประตูหินสีดำขัดมันที่ปิดสนิทอยู่ตรงหน้า ตราวงกลมรูปหัวกระโหลกมีเขาที่กำลังแสยะยิ้มที่ประทับอยู่ตรงกลางทำให้ผมเข้าใจได้ในทันทีว่าเบื้องหลังประตูบานนั้นเป็นห้องของใคร

“ตอนนี้นายกำลังยืนอยู่หน้าห้องหัวหน้าของเหล่ายมทูต ระวังกิริยาและคำพูดให้ดี อย่าทำอะไรรุ่มร่ามออกมาอย่างเด็ดขาด”

ยมทูตสาวเตือนผมอีกครั้งก่อนจะหันหน้ากลับไปที่ประตูพร้อมกับพูดเสียงเรียบ

“ยมทูตอัคนี ขออนุญาตเข้าพบท่านหัวหน้าสัตตภูมิพร้อมดวงวิญญาณของผู้ที่ตกอยู่ภายใต้คำทำนาย”

ประโยคสุดท้ายทำให้ผมหูผึ่ง ผู้ที่ตกอยู่ภายใต้คำทำนายคืออะไร อย่าบอกนะว่าเป็นผมแบบนี้มิต้องไปทำหน้าที่กอบกู้โลกเหมือนในหนังการ์ตูนหรือวรรณกรรมเยาวชนที่วางขายกันดาษดื่นในร้านหนังสือเรอะ

แต่ยังไม่ทันที่คำถามทั้งหลายสิ้นสุดลง ผมก็ต้องชะงักความคิดทั้งหมดและยืนตัวแข็งเมื่อได้ยินเสียงทุ้มทรงอำนาจดังมาจากภายในห้อง

“พาเขาเข้ามา”

*/*/*/*/*

คราวนี้ลงช้ากว่าบทที่แล้ว ขอสารภาพว่าลืมค่ะ T.T เพราะตอนนี้กำลังเร่งเขียนเซ็นซูภาคสองเลยแทบไม่ได้เปิดเน็ต มานึกได้อีกทีก็ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์ ต้องขออภัยผู้อ่านทุกท่านด้วยนะคะ

สารภาพว่า นิยายเรื่องนี้
ผมโฟกัส
ไปที่ ยมฑูตสาวอกโต คนเดียวจริงๆครับ
คนอื่นเป็นตัวประกอบรายการเท่านั้น...

^__^...
จากคุณ : Psycho man  
- หุ หุ ตอนนี้มียมทูตสาวสองคนแล้วนะคะ ^^

ฮา ลามกจริงๆ ด้วย ^^
จากคุณ : scottie  
- ลามกตามวัย มันน่าโดนยมทูตสาวอัดสักสองสามผัวะนะคะ

ฮาาาาากำลังพยายามนึกตอนที่เคยอ่านๆไปแล้วอ่ะค่ะ จำๆได้นิดหน่อย แต่ไม่ชัด
จากคุณ : Tyra  
- ดูเหมือนครั้งที่แล้วจะลงไว้แค่บทที่ 6 นี่แหละค่ะ และบทนี้มูนนี่ก็เขียนฉากพสุธาเพิ่มเข้าไปด้วย ดังนั้นจะไม่เหมือนครั้งที่แล้วแน่นอน

นึกถึงอยู่นะคะ แต่ว่าแทบไม่มีเวลาเลย สู้ๆค่ะ ว่างจะรีบมาตามเก็บแน่นอนค่ะ
จากคุณ : มนต้นไม้ (Setakan)  
- ค่า คิดถึงคุณมนเช่นเดียวกัน

เอาละสิ เริ่มเข้าเรื่องแล้ว 'ดวงวิญญาณแห่งศิลาทำนาย'
รอตอนต่อไปค่ะ
จากคุณ : ดินสอสีน้ำ
- ต่อไปจะเริ่มเข้าสู่แนวของมูนนี่แล้วล่ะค่ะ นั่นก็คือระเบิดภูเขา เผากระท่อม(ไม่ใช่ล่ะ) แหะๆ

ความจริงร่างรูปยมทูตพสุธาเอาไว้แต่ยังไม่มีเวลาลงสีเลยขอผลัดไปคราวหน้านะคะ ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามนิยายของมูนนี่ค่ะ

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 12:24:27




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com