Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ภาพเขียนสีตะแบก บทที่ 4+5 ติดต่อทีมงาน

รอบนี้หายไปนานหน่อย มีปัญหาต้องรีบไปสะสางนิดหน่อยคะ  และอาจจะหายไปนานอีก  พอดีใกล้สอบแล้วต้องเคลียร์งานและเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบ  รอบนี้ขอลงสองบทเลยนะค่ะ  ยังยินดีน้อมรับคำติชมเหมือนเดิมนะค่ะ

บทนำ+บทที่1  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10980646/W10980646.html

บทที่ 2  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10996299/W10996299.html

บทที่ 3  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11017601/W11017601.html



          ห้องเล็กรกรุงรังไปด้วยเฟรมเขียนรูป จานสี บ้างก็รูปที่เขียนเสร็จแล้ววางเรียงรายบนขาตั้งอย่างโดดเด่น ตรงเก้าอี้ไม้ตัวเล็กมีชายคนหนึ่งกำลังใช้ฟู่กันลงสีภาพอย่างพลิ้วมือ  เยี่ยงกันนั้นชายอีกคนกำลังยืนมองอีกฝ่ายทำงาน


“แล้วทำไมเอ็งถึงไม่วาดเองอย่างที่เขาขอร้องล่ะ อีกอย่างงานนี้มันเป็นงานศิษย์เก่าไม่ใช่เหรอ ข้าว่าเอ็งทำเองเหมือนที่เขาบอกน่ะถูกแล้ว”

คนเป็นเจ้าของห้องพูดพลางใช้ฟู่กันจุ่มสีในจาน ก้องเกียรติเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่ชยินกล้าบากหน้ามาขอความช่วยเหลือ คนอื่นๆพอเรียนจบก็แยกย้ายกันไป  นานๆครั้งจะได้พบเจอกันบางคนก็ไม่เคยเจอกันอีกเลย


“เอ็งก็รู้ว่าข้าเลิกเขียนภาพไปนานแล้ว มือไม้มันก็แข็งไม่อ่อนพลิ้วเหมือนเอ็ง ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่มาขอร้องเอ็งหรอก”    
ชยินแจกแจงความให้เพื่อนเข้าใจ  


“แล้วทำไมเอ็งถึงไม่ลองกลับไปลองดูอีกทีละ บางทีเอ็งอาจจะตะหวัดฟู่กันได้พลิ้วพอๆกับข้าหรือว่าอาจจะพลิ้วกว่าข้าด้วยซ้ำ”

คนพูดมั่นใจในความสามรถของเพื่อน   เพราะสมัยเรียนเขาจำได้ว่าอีกฝ่ายไม่เคยหลุดหนึ่งในสามของคนที่มีคะแนนดีระดับต้นๆของห้อง

และอีกหลายครั้งที่งานของคนเป็นเพื่อนถูกนำมาจัดแสดงในงานแสดงภาพเขียนประจำปีของสถาบัน ไหนจะแฟ้มสะสมงานที่อาจารย์ชอบนำมาเป็นตัวอย่างแก่รุ่นน้อง


“ข้าคงทำไม่ได้” หนุ่มหน้าคมเข้มยังยืนกรานคำเดิม


“เอ็งทำไม่ได้หรือเอ็งไม่อยากทำกันแน่” ก้องเกียรติพูดน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับการผละสายตาจากฟู่กันในมือขึ้นมองหน้าเพื่อนอย่างเพ่งพิศ


“ข้าไม่อยากกลับไปจับฟู่กันอีกแล้ว” คนพูดไม่ได้สู้หน้าอีกฝ่าย


“เอ็งกลัวอะไรหนักหนาไอ้ชาติ อดีตมันผ่านไปแล้วนะ เราแก้ไขมันไม่ได้ ต่อให้เอ็งล้างสมองลืมวิชาศิลป์ทั้งหมดที่เรียนมาพ่อเอ็งก็ไม่ฟื้นขึ้นมาหรอก ทำวันนี้ให้ดีที่สุดสิ ในเมื่องานเขียนภาพเป็นสิ่งที่เอ็งรักทำไมเอ็งไม่ลองอีกสักครั้งล่ะ”

คนพูดทิ้งช่วงนิดหนึ่งเพื่อให้อีกฝ่ายใคร่ครวญตามแล้วพูดต่อว่า


“เอ็งลองถามตัวเองดูว่ายังอยากมีแกลอรี่แสดงภาพเป็นของตัวเองเหมือนที่เคยฝันไว้หรือเปล่า ถ้าคิดว่ายังอยากอยู่เอ็งก็ควรเลิกคร่ำคราญแล้วกลับไปจับฟู่ได้สักที แต่ถ้าไม่ก็เรื่องของเอ็ง”
พูดเสร็จก้องเกรียติก็หันกลับไปจัดการกับเฟรมภาพตรงหน้า ปล่อยให้ชยินคิดหาคำตอบให้กับตัวเอง



             อากาศเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศทำให้คนที่กำลังสาระวนมืออยู่กับแป้นคีย์บอร์ดหน้าจอคอมพิวเตอร์คลายความตึงเครียดจากงานที่ทำอยู่ได้บ้าง  แต่ดูเหมือนว่าเจ้าหัวสมองที่เก็บรวบรวมความรู้จะไม่ยอมพลั้งพรูความคิดต่างๆออกมาอาจจะด้วยความเหนื่อยล้าที่เจ้าตัวต้องนั่งพิมพ์งานมาตลอดบ่ายจึงทำให้คิดไอเดียดีๆไม่ออก


“วสีไปออกกำลังกายคลายเครียดกันเถอะ”
เสียงถีรดาร้องชวนเพื่อนในขณะที่เจ้าตัวอยู่ในชุดเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว


“ดีเหมือนกันสมองจะได้ปลอดโปร่งขึ้น ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว”
พูดเสร็จก็เก็บงานปิดเจ้าเครื่องสมองกลแล้วลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที ไม่ถึงห้านาทีเจ้าหล่อนก็ออกมาในชุดทะมัดทะแมงที่พร้อมขยับร่างกายตามสเต็ปแอโรบิด


ทั้งสองสาวมาถึงสนามกีฬาที่แบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งมาจากส่วนสาธารณะเพื่อเป็นบริเวณออกกำลังกายที่เรียกกันว่าการเต้นแอโรบิด วสีและถีรดามาถึงก่อนเวลาเลยใช่เวลาที่ว่างออกวิ่งเบาๆเพื่ออบอุ่นร่างกาย เพียงวิ่งไปแค่ไม่ถึงห้าสิบเมตร เจ้าลูกพลาสติกสานกลมก็ปะทะเข้าที่หัวของวสีอย่างจัง


“โอ๊ย” สาวหน้าขาวนวลร้องลั่น  


“เป็นไรมากหรือเปล่าวสี” ถีรดาที่วิ่งนำไปนิดหนึ่งต้องถอยกลับมาดูอาการคนข้างหลังอย่างเป็นห่วง


“มึนๆว่ะ ขอนั่งพักเดี๋ยวนึงนะแกไปก่อนได้เลย” ว่าพรางเดินหลบเข้าข้างทางแล้วหย่อนกายลงนั่งตรงโคนต้นไม้ใหญ่


 “ไม่เป็นไรมากก็ดีแล้ว แกนั่งรอฉันตรงนี้นะเดียวฉันวิ่งครบรอบมาถึงตรงนี้แล้วเราค่อยไปเต้นกัน”
พูดเสร็จถีรดาก็ออกวิ่งไปตามเส้นทางเดิม

ปล่อยให้วสีลูบคลำหัวตรงตำแหน่งที่โดนลูกตะกร้ออัดใส่ สายตามองตรงไปยังสนามที่เด็กๆกำลังเล่นแตะเจ้าลูกพลาสติกสานกันอย่างสนุกสนาน ภาพเด็กหนุ่มคนหนึ่งลอยเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง


แดดยามบ่ายทำให้เด็กหญิงที่อยู่ในชุดพละของโรงเรียนหน้าบูดเบี้ยวเพราะคาบพละศึกษาเป็นวิชาที่เธอไม่ชอบเอาเสียเลยยิ่งต้องมาเรียนแตะเจ้าลูกกลมกลวงที่เรียกกันว่ากีฬาตะกร้อเธอยิ่งอยากจะร้องให้เสียให้ได้    

ที่สำคัญอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงข้างหน้าเธอต้องลงสนามแข่งขันเจ้ากีฬาชนิดนี้เพื่อเป็นคะแนนเก็บในการสอบ  ในขณะที่แค่แตะให้โดนลูกเธอก็ยังทำไม่ได้  


“มาซ้อมให้” เด็กหนุ่มน้อยเดินเข้ามาอาสาเป็นคู่ฝึกซ้อม


“โฮ้ ทำไมวันนี้ใจดีจัง”   เด็กหญิงพูดเย้าเล่นกับอีกฝ่าย


“อาจารย์ใช้ให้มาช่วยเป็นคู่ซ้อมให้กับเธอ”
เขาตอบหน้านิ่งเพราะขณะที่ตัวเองกำลังเป็นฝ่ายมีคะแนนนำในการแข่งขันกับเพื่อนๆกลับต้องถูกอาจารย์เรียกตัวมาให้เป็นคู่ซ้อมให้กับยายเฉิ่มนี่  


“งั้นหรอกเหรอ แต่ก็ขอบใจนายมากนะ”


“ไม่เป็นไร”  เขาตอบเรียบๆ แล้วทั้งสองจึงลงมือฝึกซ้อมกันโดยคนเป็นผู้ชายจะคอยควบคุมลูกไม่ให้ล่วงสู่พื้นพร้อมกับต้องควบคุมทิศทางของลูกเพื่อให้อีกฝ่ายสามารถแตะลูกได้ง่ายขึ้น  


“โธ่ ยายโง่เอ๋ยแตะอย่างนี้แล้วเมื่อไรจะทำได้สักที”
เขาระเบิดคำพูดหงุดหงิดกับคนเป็นคู่ซ้อมเพราะแม้เขาจะพยายามส่งลูกสวยๆให้แต่อีกฝ่ายก็ยังแตะไม่โดนอยู่ดี    


 “ก็ฉันทำไม่ได้นิจะให้ทำไงล่ะ โง่ก็โง่สิ”      
สาวน้อยโพล่งคำพูดเสียงดังแบบเหนื่อยอ่อนต่อความสามารถของตนเอง ใบหน้าขาวนวลเริ่มแดงระเรื่อด้วยอารมณ์น้อยใจดวงตาคู่นั้นเอ่อคลอด้วยน้ำใสๆเพราะเธอก็ขัดใจตัวเองที่ทำไม่ได้สักที


“เออๆ เอาใหม่ก็ได้ตั้งใจหน่อยยายเฉิ่ม”
น้ำเสียงที่เคยขุ่นสูงกลับเรียบใสเพราะอาการหน้าเจื่อนของคู่ซ้อมทำให้เขาเห็นใจเธออยู่นิดๆเหมือนกัน การฝึกซ้อมเริ่มขึ้นใหม่อีกครั้งคราวนี้ทั้งคู่เต็มที่มากกว่าเดิม เมื่อถึงเวลาลงสนามจริงผลการจับฉลากปรากฏว่าทั้งสองต้องจับคู่กันเพื่อแข่งขันกับอีกฝ่าย


“คราวนี้แพ้ยับแน่” เขาพูดเบาๆใส่หน้าเธอทำให้เด็กสาวค่อนหน้าคว่ำใส่ชายหนุ่มด้วยเพราะไม่อยากฟัง


 “คอยดูก็แล้วกัน” สาวน้อยหน้าขาวนวลบ่นเงียบๆกับตัวเอง

จบเกมส์ผลการแข่งขันคือคู่ของเขาและเธอชนะอีกฝ่ายแบบเฉียดฉิว สาวน้อยหันไปฉีกยิ้มฟันขาวกับเด็กชายจนเจ้าตัวต้องหมุนหลบหน้าอย่างเสียไม่ได้เพราะอาการหน้าแตกที่ได้เคยประหม่าสาวน้อยไว้ได้เกิดขึ้นกับตัวเองแล้ว


                   อากาศในห้องค่อยข้างอบอ้าวชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปเปิดหน้าต่างให้กว้างมากกว่าเดิม   เพื่อระบายอากาศหวังให้อุณหภูมิในห้องลดลง  แต่ลมเย็นที่โชยมาไม่สามารถลดความร้อนลุ่มภายในใจเขาได้  

ชยินถอดหายใจเบาๆขณะที่ยืนมองดูกระดาษเปล่าบนเฟรมเขียนภาพ  เขาเสียเวลากับมันมาตั้งแต่เช้าแต่ก็เริ่มจรดปลายฟู่กันบนแผ่นเฟรมไม่ได้สักที่   ครั้งเมื่อเริ่มมีความคิดดีๆที่จะเสกสรรผลงานอารมณ์แห่งความข่มขื่นบางอย่างก็พลันแล่นขึ้นจุกอกปลายฟู่กันที่เคยลงเส้นอย่างประณีตก็แกว่งไกวไม่เป็นเส้นสายดังที่ได้จิตนาการไว้  ทำให้เขาต้องเปลี่ยนกระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า    


เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเขาจำเป็นต้องผละจากเฟรมเขียนภาพตรงหน้า  หน้าจอมือถือแสดงชื่อคนต้นสายว่า ‘วสี’เขามีท่าทีลังเลเล็กน้อยก่อนจะกดรับสาย  


“ทำอะไรอยู่ คุยได้ใช่ไหม”
เสียงใสๆจากปลายสายยังคงชัดเจนเช่นทุกครั้ง


“อืม”         “เธอจะให้ฉันช่วยขนภาพไปไว้ที่งานโรงเรียนให้ไหม  ฉันคิดว่าเธอคงไปคนเดียวลำบาก ไปด้วยกันหลายคนจะได้ช่วยกันได้”


“ไม่เป็นไรฉันไปเองได้” เขาตอบเสียงนิ่งเรียบ  


“แล้วเธอจะไปยังไงมันลำบากนะของก็หนักด้วย” วสียังคงยืนยันความตั้งใจของตน


“ไม่เป็นไรฉันไปได้”   ชยินกล่าว สั้นๆแล้วจึงวางสายจากคู่สนทนาไปดื้อๆ  



นิ่งเงียบเนิ่นนานหลังจากการพูดคุยทางสายโทรศัพท์ผ่านไป เสียงนั้นยังคงใสเย็นเหมือนทุกครั้ง ไม่ว่าเวลาจะพรากวันคืนที่สดสวยในอดีตของเขาและเธอไปแล้ว  และบางช่วงเวลาในชีวิต  เขาก็ได้พรากดวงไฟแห่งความฝันของตัวเองไปแล้วเช่นกัน  

แต่สำหรับเธอคนนั้นเวลาไปเคยเปลี่ยนความเป็นเธอไปได้บ่อยครั้งในอดีตที่เธอมักออดอ้อนให้เขาช่วยทำงานศิลปะให้เพราะเจ้าตัวแม้แต่เขียนวงกลมก็ยังเบี้ยว

อาวุธอันเฉียบคมที่เธอใช้มาตลอดก็คือน้ำเสียงอันสดใสและใบหน้าอ้อนวอนอันเป็นไม้ตายที่หลายคนต้องสยบราบแก่เธอ  ในอดีตชยินไม่เคยชนะเสียงใสหวานภายใต้ใบหน้าขาวนวลนั้นได้  แต่ปัจจุปันเธอไม่มีวันใช้กลยุทธ์นั้นกับเขาได้อีกแล้ว เพราะการกระต่อไปที่เขาเลือกทำ เขาทำมันด้วยการตัดสินใจของเขาเองเท่านั้น  


ชยินวางโทรศัพท์แล้วหันมาตั้งใจกับงานที่ค้างไว้ต่อ  อะไรบางอย่างในใจที่เคยสงบนิ่งมาชั่วคราวพลันลุกพล่านขึ้นอีกครั้งเมื่อเขาทอดอารมณ์ลอยล่องไปในอดีต ภาพเหตุการณ์อันโหดร้ายและใบหน้าของบุคคลอันเป็นที่รักผุดขึ้นสลับกันไปมา


ชยินชงักมือจากเฟรมภาพวงหน้าขรึมคมปรากฏเม็ดเหงื่อบางๆ มือที่เคยจรดปลายฟู่กันลงบนกระดาษอย่างคล้องแคล้วสั่นสะท้านไม่สามารถควบคุมได้ ชยินหยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่างรีบเก็บอุปกรณ์เครื่องมือเขียนภาพใส่กระเป๋าเป้แล้วรีบออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าขาวนวลยังคงลอยเด่นอยู่ทุกห้วงคำนึง แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถทำเพื่อเธอดั่งในอดีตได้อีกแล้ว



       ห้องแถวขนาดไม่ใหญ่มาก ประตูด้านหนึ่งมีกระถางดอกบัวหลวงวางประดับอยู่ผึ้งน้อยสองตัวกำลังดูดดื่มน้ำหวานจากเกสรดอกบัว  ส่วนอีกด้านของประตูมีภาพเรือน้อยในท้องทะเลต้องแสงอาทิตย์ยามเย็นบรรจุในกรอบไม้แกะสลักขนาดใหญ่


ภายในห้องแถวเต็มไปด้วยผลงานภาพเขียนที่วางโชว์อยู่อย่างสวยงาม ตอนกลางของห้องมีแผ่นไม้ที่ผ่านการแกะสลักแล้วและบางส่วนยังคงรูปเรียบเนียนรอการเสกสรรเป็นงานฝีมือชั้นเอก  


ลึกเข้าไปเกือบท้ายสุดของห้องเป็นบริเวณที่กั้นไว้สำหรับการทำงานเขียนภาพของจิตรกรประจำร้าน  ที่นี่เป็นร้านรับอัดกรอบรูปและรับจ้างเขียนภาพ ภายในห้องแถวแห่งนี้จึงมีบรรยากาศของแกลอรี่เล็กๆบวกกับกลิ่นไอของงานไม้แบบไทยแท้  


“กิจการไปได้ดีนี ไอ้ก้อง”  ชยินกล่าวทักจิตรกรหนุ่มที่กำลังใช้ฟู่กันแต้มสีบนกระดาษด้วยเทคนิคเฉพาะตัวอย่างอย่างประณีต


“อ้าว......ไอ้ชาติวันนี้ไม่ทำงานประจำเหรอ  ถึงมาหาข้าถึงที่นี่ได้” ถ้อยคำและน้ำเสียงที่ใช้แก่กันไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องรู้ว่าทั้งคู่สนิทกันแค่ไหน


“วันนี้วันหยุดไม่ต้องไปทำงาน”


“นั่นมันหน้าที่   แต่งานที่ข้าหมายถึงคืองานกินเหล้าต่างหากละ”
แม้ว่าวาจาที่พูดใส่กันจะค่อยข้างแรงแต่สำหรับชยินและก้องเกรียติความสนิทสนมและความผูกพันที่ผ่านมาทำให้ทั้งสองไม่ถือความกัน


“ไอ้บ้า......นั่นมันงานอดิเรกยามว่าง”
ชายหนุ่มผู้มาเยือนร้องบอกเพื่อนใบหน้ากลั้วยิ้ม


“ไม่รู้สิ ก็เห็นฟ้าจะถล่มลมพายุจะมาเอ็งก็กินมันได้ตลอดอ้ายน้ำสีชาเนี้ย” ชายหนุ่มพูดทั้งที่มือยังไม่ละจากงาน


“วันนี้มาหาข้าถึงที่มีธุระอะไรรึเปล่า”
จิตรกรหนุ่มวางมือจากฟู่กันแล้วหันมาพูดกับผู้มาเยื้อนอย่างจริงจัง


 “ก็เห็นกิจการกำลังไปได้ดีข้าเลยเอาลาบมาฝาก”


 “เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นเอาลาบมาฝากข้าแล้วเหรอ เห็นทุกทีมีแต่แกงไตปลา ไหนเอามาดูหน่อยสิถุงใหญ่แค่ไหน จะได้จัดการแกล้มเหล้าซะเลย”


“ข้าหมายถึงลาบทรัพย์ไม่ใช่ลาบน้ำตกโว้ย”
ชยินกล่าวด้วยอาการขัดใจในขณะที่อีกฝ่ายทำท่ายิ้มกลุ้มกริ่มแบบสบายอารมณ์ที่สามารถยั่วอารมณ์เพื่อนได้


“ทรัพย์อะไรของเอ็งว่ามาสิเผื่อน่าสนใจ”


“ข้ามีงานมาจ้างเอ็ง”  ชยินพูดพลางชำเลืองมองหน้าเพื่อนเล็กน้อย จึงสบสายตาของอีกฝ่ายที่มองจ้องมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว


“นี่เอ็งขอร้องให้ข้าช่วยเอ็งไม่ได้  เอ็งเลยทำทีจะจ้างข้าแทนใช่มั้ย  ข้ารู้ทันเอ็งหรอกน้า”  เรื่องราวคราวก่อนทำให้ก้องเกียรติเข้าใจไปอย่างนั้น


“เรื่องนั้นมันจบไปแล้วโว้ย  อันนี้มันคนละเรื่องกัน”  
ถ้าความจริงทำให้เขาไม่ได้รับความร่วมมือจากเพื่อนเขายอมไม่พูดเสียดีกว่า


 “แล้วคราวนี้ยังไงอีกล่ะ”  


“คือมีคนรู้จักเขาขอให้หาคนวาดภาพสวยๆให้หน่อยเพราะเห็นว่าข้ามีเพื่อนเขียนภาพสวยๆหลายคน เขาจะเอาไปให้ญาติผู้ใหญ่ ข้าเลยนึกถึงเอ็งขึ้นมา เอ็งจะรับงานนี้ไหม”  


“ช่วงนี้ข้าไม่ค่อยมีเวลาเท่าไร อาจจะได้ช้าหน่อยนะ”  


“ลูกค้าคนนี้เขารีบซะด้วย เห็นบอกว่าถ้าสวยจริงจะทุ่มไม่อั้น ไม่เป็นไรถ้าเองไม่ว่างเดี๋ยวข้าไปหาคนอื่นก็ได้”  


“เฮ้อ.....เดี๋ยวสิคุยกันก่อน จะว่าไปแล้วข้าก็พอเคลียร์เวลาให้ได้เรื่องแค่นี้เองคนกันเองทำไมจะช่วยไม่ได้วะ” ชยินมองใบหน้านั้นก่อนจะยิ้มน้อยๆอย่างโล่งใจ ในขณะที่ฝ่ายนั้นกำลังครุ่นคิดคำนวณอะไรบางอย่าง



         บรรยากาศจอแจพลุกพล่านภายนอกศูนย์การค้าชื่อดังกลางกรุงในวันหยุดสุดสัปดาห์ทำให้เกิดอารมณ์หงุดหงิดขึ้นได้ง่ายๆแต่ภายในสถานที่อันโอ่อ่าแห่งนี้กลับเย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศ ทำให้ผู้ที่มาเยือนสามารถเดินทอดอารมณ์ได้อย่างสบายใจ


มุมกาแฟเล็กๆตกแต่งด้วยต้นไม้และตุ๊กตารูปสัตว์หน้ารักทำให้บรรยากาศในร้านผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น  วสียังคงจ้องมองโทรศัพท์ในมือเหมือนกำลังหาคำตอบบางอย่างให้กับตัวเอง


‘ทำไมบุคคลปลายสายถึงดูเปลี่ยนไปจากชยินคนเดิมที่เคยรู้จัก หรือถ้าจะเพราะ เวลา สังคม หรือความรุ่งเรื่องของเมืองใหญ่ที่ทำให้เขามีท่าทีแปลกไป แต่ชยินที่เคยรู้จักไม่มีทางที่จะยอมให้กระแสสังคมกลืนกินความเป็นตัวเขาไปได้ แต่น้ำเสียงจาการพูดคุยกันสองสามครั้งที่ผ่านมาเขาแทบจะไม่เหลือตัวตนคนเดิมให้จำได้เลย’


“วสีแกช่วยเอากาแฟไปเสิร์ฟให้หน่อย” เสียงถีรดาที่ดังเข้ามาทำให้วสีหลุดจากภวังค์  แล้วจึงไปรับถาดที่ถีรดาไปเสิร์ฟลูกค้าตามคำขอของเพื่อน


“ต้องให้แกช่วยหน่อยนะวันหยุดก็อย่างนี้แหละ  บางทีเด็กในร้านทำไม่ทันเราก็ต้องช่วย”  ถีรดาร้องบอกพร้อมกับที่ วสียื่นถาดคืนมาให้เก็บ


“ฉันไปรับออเดอร์ลูกค้าก่อนนะ”


“เดี๋ยวฉันไปรับให้เองขี้เกียจอยู่เฉยๆ น่ะ” โดยไม่ฟังเสียงทัดทานวสีรีบเดินตรงไปยังลูกค้าชายหญิงที่เพิ่งเข้ามาไหม่


“เอาโกโก้เย็น กับคาปูชิโน้ไม่ใส่น้ำตาลคะ”


“แอน แอนใช่ไหม” วสีร้องถามขึ้นหลังจากที่เพ่งมองใบหน้านั้นสักครู่จนอีกฝ่ายหันหน้ามาสบกับวสีจึงจำได้ว่าลูกค้าสาวคนนี้คือเพื่อนเก่าสมัยเรียน ม.ต้นนั่นเอง


“ใช่ค่ะ นี่ใช่วสีใช่ไหม”


“ใช่ ฉันวสีเอง”      ไม่ใช่เพียงแต่พูดแต่ทั้งคู่จับมือและสวมกอดกันอย่างดีใจ  กับการได้เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนาน  


“ไม่ได้เจอกันนานวสียังเหมือนเดิมไม่ค่อยเปลี่ยนเลยดูเหมือนจะหน้าเด็กลงด้วยซ้ำ”


“แอนก็ยังปากหวานเหมือนเดิมเลยแต่ดูเหมือนจะสวยขึ้นนะ เนี้ย”  


“วสีมาทำอะไรที่นี่อย่าบอกนะว่าที่นี่ร้านของวสีเอง”  


“ไม่ใช่ร้านของฉันหรอกเจ้าของร้านตัวจริงอยู่โน้น” วสีพูดพรางชี้นิ้วไปยังเคาเตอร์ที่ถีรดานั่งอยู่


“ดาเหรอ ดาใช่ไหม”  ลูกค้าสาวมีท่าทางแปลกใจสุดๆเมื่อเห็นเพื่อนเก่าอีกคน  


“ดาเป็นผู้จัดการที่นี่”  


“ดีใจจังได้เจอทั้งวสีและถีรดาพร้อมกันเลย”  


“วันนี้เต็มที่เลยนะไม่ต้องเกรงใจ เดี๋ยวเราไปเรียกยัยดามานั่งคุยด้วย”  

แอนเป็นสาวอ่อนหวานนุ่มนวลสมัยเรียนแอนเป็นเหมือนน้องสุดท้องที่เพื่อนในห้องต้องคอยดูแลไม่มีใครกล้าแกล้งหรือเล่นกับแอนแรงๆแม้แต่พูดคุยเล่นหัวหรือเย้าแหย่ตามประสาเพื่อนชายหญิงสำหรับแอนแล้วคือข้อยกเว้นด้วยความที่แอนเป็นผู้หญิงเรียบร้อยขี้โรค  

บ้านของแอนดูมีฐานะและร่ำรวยที่สุดในบรรดาเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกันแต่แอนก็ไม่เคยถือตัวหรืออวดเบ่งกับเพื่อนตรงกันข้ามเวลามีกิจกรรมที่โรงเรียนเราจะได้รับอุปกรณ์และการอำนวยความสะดวกจากบ้านของแอนเสมอ  


ตอนเรียนม.ต้นมีข่าวว่าแอนแอบชอบผู้ชายคนหนึ่งมาตลอดแต่ ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธข่าวที่ออกมาระหว่างเขาและแอน วสีไม่เคยเห็นแอนคบกับผู้ชายคนไหนจนเรียนจบและแยกย้ายกันไปก็ไม่มีใครได้เจอกันอีกเลย แต่วันนี้ผู้ชายที่มากับแอนวสีไม่เคยเห็นและแน่ใจได้ว่าวสีไม่รู้จักผู้ชายคนนี้มาก่อนแน่


"แกเห็นผู้ชายที่มากับแอบไหม”
ถีรดาเปิดประเด็นขึ้นเมื่อส่งแขกกลับเรียบร้อยแล้ว


“เห็น ตัวอย่างกับยักษ์ไม่เห็นก็ตาบอดแล้ว”  
วสีพูดจงใจให้เป็นเรื่องตลก


“แฟนแอนเหรอ หล่อดีแหนะ แต่ไม่ยักกะใช่นายชาติ เมื่อก่อนมีข่าวว่าเขาแอบกิ๊กๆกันคิดว่าได้คบกันจริงๆเสียอีก แกว่าไหม”
วสีเพียงพยักหน้านิ่งๆเบาๆให้เพื่อน ถีรดาไม่ทันสังเกตใบหน้านั้นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าจืดเจื่อนลงไป


‘หรือนายชาติจะอกหักจากแอนแล้วเสียใจมาก’ วสีคิดในใจปากเม้มสนิทปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ นึกตลกกับความคิดของตัวเองเพราะรู้ดีว่าคนอย่างนายชยินไม่มีทางจมอยู่กับความเศร้าจากเรื่องพวกนี้ได้ คนอย่างนั้นจะรู้จักความรักหรือเปล่าวสีเองก็ยังไม่แน่ใจ



        ท้องฟ้ายามเย็นดูเงียบเหงาดวงอาทิตย์ฉายแสงสีทองต้องพื้นน้ำในบรรยากาศที่ความมืดกำลังใกล้เข้ามาความสวยงามของผืนฟ้าและผืนน้ำที่ฉาบด้วยแสงตะวันยามพลบค่ำทำให้มองดูเหงาๆบรรยากาศเช่นนี้อาจทำให้บางคนที่จิตใจหวั่นไหวร้องไห้ได้ง่ายๆ

ชยินเดินมาหยุดตรงบริเวณส่วนสาธารณะแห่งหนึ่งที่นี่ไม่ค่อยมีคนพลุ่กพล่านมองทอดไปด้านหน้าคือแม่น้ำเจ้าพระอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำคือ  วัดแจ้งหรือวัดอรุณราชวราราม


ด้านหลังคือถนนสายเก่าแก่ของกรุงเทพมาหานคร ฝั่งตรวข้ามถนนคือพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีตัรนศาสดาราม ชยินชอบมาที่นี่เพราะเป็นที่เดียวที่เขารู้สึกว่าได้เป็นตัวเองที่สุด และเป็นที่พักผ่อนยามเมื่อเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้ในสังคมภายนอก

เขาชอบมองทอดอารมณ์ไปเรื่อยๆดูความเป็นไปในแม่น้ำสายใหญ่ที่เบื้องหลังคือภาพวัด โบสถ์ เจดีย์  ทำให้เขารู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่ในโลกของตัวเอง  ช่วงที่เขาเรียนที่เพาะช่างเขาชอบมาเขียนรูปที่นี่เขาสามารถอยู่ที่นี่ได้ทั้งวัน บางทีก็เปลี่ยนไปมุมโน้นทีมุมนี้ที  หรือเปลี่ยนไปหามุมเขียนภาพสวยๆในวัด ที่นี่ไม่เคยน่าเบื่อสำหรับเขา ภาพความเป็นไปเบื้องหน้า


ทำให้เขานึกถึงครั้งหนึ่งในอดีต คนคนหนึ่งมักจะเอาการบ้านวิชาศิลปะมาให้เขาทำ  ครั้นจะปฏิเสธก็ไม่ได้เพราะเจ้าหล่อนก็จะไม่ยอมทำการบ้านวิชาคณิตให้เขาเช่นกัน แต่เมื่อเริ่มทำงานบทวิจารณ์ต่างๆจะพลั้งพลูออกมาจากปากของคนที่ตั้งตัวว่ามีอำนาจเหนือกว่า  


“ทำไมไม่เติมสีต้นไม้ให้มันเข้มๆล่ะ”  
สาวน้อยเริ่มบทวิจารณ์ ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงทำงานเงียบ  


“ฉันว่าน่าจะทำให้ท้องฟ้ามันดูสว่างๆหน่อยนะ”
เมื่ออีกฝ่ายยังเงียบคนพูดก็ได้ใจ


“แล้วทำไมแม่น้ำต้องสีหม่นๆด้วยละ ฉันว่าน้ำน่าจะสีใสนะ”


“แล้วมันทำได้มั้ยละสีใสน่ะ เรื่องมากนักมาทำเองเลยมั้ย ที่ทำอย่างนี้น่ะมันเป็นเทคนิคการลงสีเข้าใจมั้ย”
เมื่อความอดทนหมดลงคำพูดเสียงสูงจึงหลุดจากปากหนุ่มน้อย    


“ฉันก็แค่แสดงความคิดเห็น  ก็ฉันไม่รู้เรื่องนิไอ้เทคนงเทคนิคการลงสีอะไรนั่นน่ะ เธอก็บอกฉันบ้างสิ ฉันจะได้ไม่ต้องถามเซ้าซี้เธอไง”


“ขี้เกียจ พูดไปก็ไม่เข้าใจ”  


“แน่ะ อย่ามาดูถูกกันนะ เวลาฉันสอนคณิตเธอ เธอก็สมองทึบเหมือนกันแหละ”


 “ทึบตรงไหน คณิตก็คือ บวก ลบ คูณ หาร เวลาไปตลาดฉันยังช่วยแม่คิดตังได้เลย แค่นี้ก็พอแล้วคณิตของฉัน”
สาวน้อยมองคนตรงหน้าแล้วส่ายหัวเบาๆ แถไปจนได้


“ทำไมภาพมันดูเหงาๆจัง” วสีเปลี่ยนเรื่องไปสนใจภาพเขียนเบื้องหน้าแทน


“ก็ตอนนี้มันพลบค่ำบรรยากาศมันเป็นอย่างนี้แหละ”  


“ทำไมเธอชอบเขียนภาพวัด โบสถ์ จังละ”
เพราะคนถามสังเกตมาตลอดว่าผลงานที่ชยินใช้ส่งอาจารย์มักจะเป็นภาพวัด โบสถ์ หรือไม่ก็ภาพสถานที่โบราณที่ให้บรรยากาศเหงา อบอุ่น  


“ก็มันสวยดีได้บรรยากาศไทยๆด้วย”


“เธอชอบเขียนภาพวัด หรอ”


“ไม่ อะ ชอบภาพทะเลมากกว่า”


“ดี...... งั้น...... เดี๋ยวคราวหน้าเราไปเขียนภาพที่ทะเลกันนะ”


“ใครจะไปกับเธอ” ชยินมองหน้าขาวนวลนั้นอย่างไม่แน่ใจ


“ก็เธอไงล่ะ” วสีว่าพรางบุ้ยปากไปทางหนุ่มน้อย


“รออีกนาน” เขาพูดหน้านิ่งตามเคย


“ใช่ ซี่ ฉันมันไม่ได้ชื่อแอนนิจะได้ขออะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้นแหละ”


“คนพาล” เสียงพูดนิ่งๆเบาๆ แต่อีกฝ่ายก็ยังได้ยิน


“ใครพาล” คราวนี้สาวน้อยมีอารมณ์ขึ้นมาบ้าง


“เธอนั่นแหละ”


“ฉันพาลเรื่องไรไม่ทราบ แค่เอ่ยถึงบุคคลที่สามเท่านั้นเอง”


“ก็ถ้าไม่เอ่ยถึงแบบกระแน่ะกระแหนะก็ไม่พาลหรอก”


“แล้วฉันกระแน่ะกระแหนะตรงไหน ก็แค่บอกว่าฉันไม่ใช่ชื่อแอนแค่นั้นเอง เธอนั่นแหละที่ร้อนตัวแทน กลัวคนอื่นจะไม่รู้รึไงว่าแคร์กันมาก”


 “เออๆ ไม่พาลก็ไม่พาลเลิกพูดมากได้แล้วสมาธิแตกหมดแล้วโว้ย ถ้าอยากได้ภาพสวยๆก็เงียบเข้าใจมั้ย”
คนฟังพยักหน้าหงิกๆ แต่เงียบได้ไม่นานก็ต้องออกปากวิจารณ์ผลงานอีก  


“เธอ ฉันว่าน่าจะมีนกบินกลับรังบ้างนะ ได้บรรยากาศพลบค่ำดีออก”
คราวนี้ไม่มีคำพูดปรามใดๆออกจากปากหนุ่มน้อยแต่อาการตวัดหน้าจ้องตานิ่งบอกให้รู้ว่ากำลังเอาจริง คนพูดจึงได้แต่ทำถลนตาปลิ้นใส่หนุ่มน้อยแล้วนั่งนิ่งๆแค่นั้นเอง  ทั้งๆที่เขาชอบทะเลแต่ก็ยังหาโอกาสดีๆไปเขียนภาพที่ทะเลไม่ได้สักที


บางที่เขาอาจจะเหมาะกับการเขียนภาพวัด โบสถ์ มากกว่าเพราะคนที่มั่วแต่จมอยู่กับอดีตอย่างเขาคงมีความสุขกับความทรงจำมากกว่าที่จะปล่อยใจไปตามกระแสสังคม อากาศเย็นลอยระลิ่วตามลม ดวงตะวันสีส้มลอยเด่นอยู่เคียงเจดีย์องค์ใหญ่ท่ามกลางความเป็นไปของแม่น้ำเจ้าพระยา ชยินหยิบกระดาษ  ดินสอออกมาขีดๆลากๆเส้นสายไปตามภาพนั้น

จากคุณ : idakok
เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 23:41:06




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com