Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
นักรบจันทรา ตอนที่ 5 นกเพลิงประจำตัว ติดต่อทีมงาน

ตอนที่ 5 นกเพลิงประจำตัว


การ์ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นเพราะเสียงหัวเราะแสนหนวกหู มันเป็นเสียงทุ้มต่ำเปี่ยมไปด้วยความยินดีแทบบ้าคลั่ง เมื่อมองภาพตรงหน้าให้ชัดๆแล้วกลับยิ่งอยากให้มันเป็นเพียงความฝัน ผู้กล้าแสงตะวันไบรอัน บรู๊คนอนตายจมกองเลือดไม่มีสัญญาณของชีวิตเหลืออยู่ ศัตรูร้ายผู้เป็นอมตะเมื่อวันวานอ้าปากหัวเราะไม่หยุดทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดเช่นกัน ระหว่างที่เขาหลับอยู่เกิดอะไรขึ้น ไบรอันเป็นถึงผู้กล้าเหตุใดจึงพ่ายได้ง่ายดายนัก

“ขออภัยด้วยท่านมาเวอร์ริค ผู้กล้าแสงตะวันของท่านสิ้นชีพแล้ว” แสงสีแสดด้านหลังบุรุษนัยน์ตาสีพระจันทร์แดงค่อยๆสลายไปเหมือนม่านหมอกยามเช้า “เสียดายที่ข้าให้สัญญากับคนผู้หนึ่งไว้ว่าให้พอแค่นี้ เรื่องของท่านเอาไว้คราวหน้าก็แล้วกัน” ชายตัวชุ่มเลือดโค้งคำนับการ์แล้วกลายเป็นแสงสีทองพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า คงเป็นมนตร์เคลื่อนย้ายแบบหนึ่ง อย่างน้อยศัตรูคนสำคัญก็ไปจากที่นี่แล้ว เขาวิ่งอย่างงุ่มง่ามลงไปดูร่างที่นอนขดเหมือนกับหนอนตัวมหึมากลางกองเลือด ไบรอันคนนั้นไม่หายใจ มือและใบหน้าเย็นชืดจนน่าตกใจ

“ถอยออกมาก่อน” เสียงราบเรียบด้านหลังบอกให้การ์ถอยออกมาจากศพของเพื่อน ถอยเพราะเหตุใดกันเล่า “อยากลองดีกับข้าหรือ บอกให้ถอยมา!” การ์หันไปมองเจ้าของเสียง นางคือคริสทาร่า ไอยเรสผู้ซึ่งเกือบขี่ม้าเหยียบเขาเมื่อวันก่อน ผมสีเงินทรงพลังสมกับเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพวิหคเพลิง มือหยาบกร้านกระชากคอเสื้อจนการ์หงายหลังลงพื้น แค่อยู่กับศพเพื่อนต่ออีกนิดมันผิดตรงไหนกัน

เขาถูกจับคอเสื้อเอาไว้ไม่ให้ลุกขึ้นได้ก็จริง แต่ตาของเขามองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างชัดเจน เลือดทุกหยดที่ล้อมรอบร่างของไบรอัน บรู๊คกลายเป็นเปลวไฟร้อนแรงลุกท่วมกลายเป็นทะเลเพลิงกองย่อมๆปิดบังศพไว้อย่างมิดชิด การ์มองกองไฟสลับกับคริสทาร่า เป็นฝีมือนางหรือที่ช่วยฌาปนกิจศพของให้

“สวยเหมือนคำเล่าขาน คราวนี้อยากลองจับดูไหม มือไหม้หมดแน่” คริสทาร่ายิ้มเย็นเยือกมองเปลวไฟตรงหน้าไม่ละสายตา “ตระกูลบรู๊คตายได้สองครั้งด้วยพรจากเทพเจ้า หากครั้งแรกไม่ได้ตายด้วยโรคชรา เลือดเนื้อจะเผาผลาญตัวเองแล้วกำเนิดร่างกายขึ้นจากเปลวไฟอีกครั้งเหมือนกับนกเพลิงยามแก่เฒ่า ไฟศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นจะเรียกวิญญาณและความทรงจำกลับมาจากนรกเพื่อการคืนชีพ การสิ้นชีพครั้งที่สองจึงเป็นการตายอย่างแท้จริง นี่เป็นอภิสิทธิ์หนึ่งเดียวสำหรับสายเลือดตระกูลบรู๊คละ”

การ์เกือบเสียน้ำตาเก้อ เขาเพิ่งรู้จริงๆว่าไบรอันสามารถคืนชีพได้เองหนึ่งครั้ง เป็นโชคดีที่ผู้รุกรานคนนั้นไม่อยู่รอจนมั่นใจว่าเจ้าปากหนักไม่คืนชีพ ไม่อย่างนั้นคงลงมือซ้ำจนแน่ใจว่าไม่สามารถลุกได้อีกหนเป็นแน่ หรือไม่เวเบอร์คนนั้นอาจไม่รู้ว่าตระกูลบรู๊คสามารถคืนชีพได้จึงล่าถอยไปเสียก่อน ซาราห์และเรแมนก็ตื่นจากการหลับใหลแล้วเช่นกัน มือของซาราห์บีบบ่าของการ์แน่นด้วยความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นอะไรแปลกๆ เปลวไฟค่อยๆลดระดับลงจนเห็นร่างเปล่าเปลือยของไบรอันนอนคู้ตัวอยู่ ลำบากคริสทาร่าต้องโยนเสื้อของทหารไปคลุมร่างไว้ก่อนเจ้าตัวฟื้น เมื่อเปลวเพลิงดับสนิทคนที่เพิ่งคืนชีพก็ค่อยๆลืมตาอย่างช้าๆเหมือนเด็กแรกเกิด ร่างของเจ้าปากหนักไม่ต่างกับตอนก่อนตาย ไม่มีรอยแผลหรือรอยเลือดแม้แต่นิด มีเพียงรอยสักคำสาปที่ยังคงอยู่เหมือนภาพหลอน

“เกิดอะไรขึ้น” คำพูดแรกของไบรอันทำให้เขาคิดว่าการคืนชีพคงเหมือนกับการตื่นนอน มึนงงสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก “คืนชีพใช่ไหม ข้าเคยคืนชีพครั้งแรกเลยนะ” ไบรอันกุมหัวพยายามเรียกความทรงจำกลับคืน การ์มั่นใจว่าคนปกติไม่เคยคืนชีพแบบนี้แน่นอน

“เล่าทุกอย่างมา ไม่อย่างนั้นข้าจะเอาเสื้อตัวนั้นคืน ไม่เชื่อก็ลองดูสิ” คริสทาร่าฉุดร่างของไบรอันให้ลุกขึ้นยืน เจ้าคนปากหนักสาบานว่าจะเล่าให้ฟังทุกอย่างเพื่อรักษาอาภรณ์หนึ่งเดียวในตอนนี้เอาไว้...


ตกเย็นเมื่อไบรอันกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในที่พักของทหารเสร็จแล้วจึงเล่าให้พวกการ์ฟังคร่าวๆว่าตนกับเวเบอร์ประลองกันอย่างสมศักดิ์ศรี แถมยังตอกย้ำให้มั่นใจอีกว่าเวเบอร์ผู้นั้นเป็นอมตะไม่มีวันตายแม้จะถูกแทงลงที่หัวใจก็ตาม

“โง่พอกัน” คริสทาร่าวิจารณ์ด้วยน้ำเสียงราบเรียบมั่นใจ “ถ้าเป็นอมตะจริงคงไม่กันคอตัวเองเอาไว้หรอก น่าจะลองแทงตัดขั้วหัวใจกับฟันลงท้ายทอย ดูสิว่าจะยังฟื้นตัวได้อีกไหม” คริสทาร่าสรุปให้การ์ฟังว่าศัตรูคนน่าจะฟื้นตัวได้มากกว่าจะเป็นอมตะ “แล้วจะไปไพน์ได้เมื่อไร ไปพร้อมกองทหารเลยสิจะได้ไม่ต้องกลัวเจ้านั่นอีก”

การ์ไม่รู้ว่าคริสทาร่าพูดถึงเรื่องอะไร เมื่อสี่วันก่อนไบรอันเข้าไปพูดคุยกับคริสทาร่าเพียงผู้เดียวจึงไม่มีใครรู้ว่าทั้งพูดถึงอะไรอยู่ เหตุใดพวกเขาถึงต้องไปไพน์ด้วย แม้จะเป็นจุดหมายแต่การไม่บอกเหตุผลยิ่งทำให้หงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม “ขอเวลาข้าพักอีกสักหน่อย ที่สำคัญถึงจะมีทหารสักพันคนก็หยุดเจ้านั่นไม่ได้หรอก” ไบรอันพูด การ์คิดว่าเห็นมือของไบรอันสั่นด้วยความกลัว...


สุดท้ายก็ต้องกลับไปพักในโรงแรมเก่าซอมซ่อที่พักคราวแรก ภาพปีกของเวเบอร์ เฟียร์เลสสังหารเขาได้ในพริบตายังติดในดวงตาของไบรอันจนยากจะลืมเลือน สัมผัสก่อนสิ้นชีพนั้นรวดเร็วพลิ้วไหวเหมือนถูกขนนกนับร้อยพาดผ่านทั่วตัวไม่รู้สึกสักนิดว่าขนนกพวกนั้นคือเครื่องมือแห่งความตาย เมื่อเห็นเลือดก็สิ้นชีพในทันทีไม่มีเวลาให้กระ:-)กระสนด้วยความเจ็บปวด

“ขอคิดอะไรคนเดียวสักพัก ให้สบายใจก่อนค่อยเดินทางกันต่อ” เขาพูดกับริเรีย เรแมนด้วยอาการสงบตอนที่นางขึ้นมาเก็บอาหารเย็น

ความเยือกเย็นแต่ดั้งเดิมกลับคืนมาอีกครั้งหลังการคืนชีพ การต่อสู้กับเวเบอร์ครั้งนี้สร้างคำถามให้มากมาย ใครเป็นคนทำให้พวกการ์หลับ เวเบอร์ฆ่าเขาได้แล้วทำไมไม่พาตัวการ์ไปด้วยในเมื่อมีโอกาส เวเบอร์เป็นอมตะจริงหรือ เวเบอร์คือใครกันแน่ มารีน่าร่างผู้หญิงของเขาวางแผนอะไรอยู่ คำถามเหล่านี้ทำให้ไม่อยากคิดเรื่องอื่นไปพักใหญ่ ที่อยากทำตอนนี้คือการนอนพักให้สบายใจก่อนเดินทางต่อ

ตกดึกยิ่งไม่รู้สึกง่วง เขาเป็นอย่างนี้ประจำเวลามีปัญหาที่คิดหาคำตอบไม่ได้ ประสาททุกส่วนถูกกระตุ้นเพื่อคิดหาคำตอบอย่างถี่ถ้วน จนแล้วจนรอดก็หาคำตอบที่ใกล้เคียงความจริงไม่ได้สักที จนกระทั่งมีลำแสงพุ่งทะลุหน้าต่างเข้ามาแล้วก่อรูปเป็นเวเบอร์ เฟียร์เลสคนที่เพิ่งฆ่าเขาไปเมื่อกลางวันนั่นเอง ผู้กล้าแสงตะวันกระโจนลงจากที่นอนเป็นอันดับแรกเผื่ออีกฝ่ายหวังฆ่าซ้ำให้ตาย

“นั่งก่อนก็ได้ ตอนนี้ข้าแค่มาหาเพื่อนคุย” เวเบอร์ เฟียร์เลสคนนั้นนั่งแหมะลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะอ่านหนังสือ ไบรอันเพิ่งสังเกตว่ามือของคู่อริถือขวดเหล้าและแก้วมาด้วยหนึ่งใบ “ถ้าอยากกินก็หาแก้วมาเอง เดี๋ยวจะหาว่าวางยาพิษที่แก้ว”

ไบรอันนั่งบนที่นอนด้วยความงงงวย คู่อริที่จะเป็นศัตรูชั่วนิรันดรใช้มนตร์เคลื่อนย้ายเข้าตอนกลางดึกบอกว่ามาหาเพื่อนคุย แถมยังถือเหล้ามากินอีกต่างหาก มีปัญหาให้ขบคิดอีกแล้วว่าเวเบอร์คนนี้เป็นตัวจริงหรือเปล่า หรือว่าเมาจนครองสติไม่อยู่

“ข้าคือตัวจริงและยังไม่เสียสติ คืนนี้เป็นข้อยกเว้น ขอเป็นเพื่อนกับเจ้าสักคืนก็แล้วกัน อยากหาคนที่นิสัยคล้ายๆกันมานั่งคุยด้วย” เวเบอร์รินเหล้าลงแก้วทรงสูง ไบรอันปฏิเสธเพราะยังระแวงอยู่ “คงไม่รังเกียจหรอกนะถ้าวันนี้ศัตรูหัวใจจะมานั่งคุยกันแบบนี้”  

“ทำไม ทำไมตอนนั้นไม่พาตัวการ์ไปด้วย ในเมื่อมีโอกาส” ไบรอันคิดว่าเป็นโอกาสดีที่จะถามอะไรจากคนเมาได้ แต่เขาคิดผิดถนัด

“ตอบให้แค่คำถามเดียวเพราะข้ามาเพื่อพูด ข้าให้สัญญาเอาไว้กับคนๆหนึ่งว่าจะหยุดแค่ฆ่าเท่านั้น ที่ไหนได้เจ้าเล่นฟื้นขึ้นมาดื้อๆทำเอาข้าแทบเป็นลม” เวเบอร์กระดกเหล้าเข้าปาก เป็นปัญหาขึ้นมาอีกข้อแล้วว่าเวเบอร์ให้สัญญากับใคร “มาพูดเรื่องอื่นกันดีกว่า ข้ากับเจ้ามีอะไรเหมือนกันหลายอย่าง กำพร้า มีสายเลือดต้นตระกูลมาจากที่เดียวกัน มีคนรู้จักเป็นผู้กล้าเหมือนกัน แถมยังมาชอบผู้หญิงคนเดียวกันอีก”

“สายเลือดที่ว่าคืออะไร” สมองของไบรอันเริ่มส่งเสียงประท้วงเพราะปริศนามีมากเกินไป

“เรื่องนั้นข้าพูดมากไม่ได้ แต่ข้า เจ้า ท่านมาเวอร์ริค และแม่อัศวินมังกรนั่น พวกเราทั้งหมดมีต้นตระกูลเดียวกันสืบสายเลือดต่อกันมาเป็นพันปี พวกเจ้าคือสายที่ถูกแยกมาไม่รู้ก็ไม่แปลก...ไม่ๆที่ข้าต้องการพูดตอนนี้คือเรื่องฟลอร่าต่างหาก นางเป็นคนหัวแข็งจริงๆ”

เวเบอร์ทำให้ไบรอันนิ่งเงียบ ทั้งคู่จ้องหน้ากันนิ่งจนแทบลืมหายใจ ตอนนี้ในหัวของเขามีเรื่องของฟลอร่ามาแทนที่จนหมด นางยังอยู่ดีไหม เวเบอร์ทำอะไรนางหรือเปล่า นางรู้หรือไม่ว่าเขาคืนชีพได้ครั้งหนึ่ง แล้วเวเบอร์มาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่ คำถามในหัวหยุดลงเมื่อคู่อริกระดกเหล้าเข้าปากรวดเดียวหมดแก้ว อย่างน้อยถ้ามาทับถมคงไม่หยิบเหล้ามาด้วยหรอก

“ก็บอกแล้วว่านางหัวแข็ง” เวเบอร์รินเหล้าแล้วกระดกเข้าปากอย่างต่อเนื่องเหมือนกินน้ำ “ขนาดบอกว่าฆ่าไปแล้วก็ไม่เชื่อ บอกว่าตอนต่อสู้เจ้าไม่หลุดชื่อนางออกมาก็ไม่ฟัง เอาแต่พูดว่าคนที่นางรักคือเจ้า ในใจนางมีแต่เจ้าบ้าง ทำไมนางไม่ยอมมองคนที่รักนางบ้างนะ เอาแต่พร่ำถึงเจ้าจนเบื่อจะแย่”

“ก็ปล่อยนางเป็นอิสระสิ”

“อยากทำแบบนั้นเผื่อจะได้ซื้อใจนางได้บ้าง ปัญหาคือเรื่องนางอยู่เป็นสายมันแดงมานานแล้ว ข้าต้องช่วยกลบเกลื่อนเรื่องให้หลายต่อหลายครั้ง คนที่เข้ามาคุมกองทัพปีศาจไม่ได้มีแค่ข้ากับนาง ยังมีอีกสองคนและฝีมือพวกนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่านางเลย หากปล่อยไปตามยถากรรมคงถูกฉีกเนื้อเป็นชิ้นๆ ถึงตอนนั้นข้ากับเจ้าคงใจสลายพร้อมกัน จะจัดฉากว่าตายก็ไม่ยอม จะให้เลิกเป็นสายก็ไม่เอา”

ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งห้องอีกครั้ง เปลวไฟจากตะเกียงทำให้ไบรอันมองเห็นความเศร้าหมองของคู่อริได้อย่างชัดแจ้ง คราวนี้เวเบอร์ยกทั้งขวดขึ้นซดโดยไม่ต้องใช้แก้ว ทำให้ยิ่งเชื่อแน่ว่าคนๆนี้เป็นคนที่มีเลือดเนื้อมีความรู้สึกอย่างคนธรรมดาทั่วไป แถมยังทุ่มเทให้กับความรักถึงอย่างมากมาย หากไม่ใช่ศัตรูคงมาเป็นเพื่อนดื่มได้

“ขอถามตามตรง เจ้าคิดกับนางอย่างไรกันแน่” เวเบอร์หมุนขวดเหล้าอย่างสบายอารมณ์แต่ไม่มีอาการเมาหรือมึนจากการดื่มสุราสีขาวใสสักนิด “เจ้าไม่เคยบอกนางว่ารักเลยไม่ใช่หรือ เมื่อตอนหัวค่ำข้าเข้าไปหว่านล้อมนางถึงในห้อง ข้าไม่ใช่เดนคนที่เข้าไปขืนใจหญิงสาวถึงในห้องหรอกข้ามีเกียรติสูงส่งกว่าที่เจ้าคิดเสียอีก ก็แค่กอดล่ะนะเพราะนางคิดจะหนีท่าเดียว” เวเบอร์คำรามเบาๆในลำคอ ไบรอันไม่แน่ใจว่าคู่อริหน้าแดงเพราะอายหรือเพราะเมากันแน่

“ข้ายกเหตุผลมาพูดสารพัด เจ้าอาจไม่ได้คิดเหมือนกับนางบ้าง ทำไมไม่หันมารักคนที่เขารักเราบ้าง เจ้าอาจรังเกียจอมนุษย์บ้าง สุดท้ายข้าก็คิดว่าคงไม่มีทางเปลี่ยนใจนางได้ และทนไม่ไหวต้องมาหาเพื่อนคุยแกล้มเหล้าแบบนี้อย่างไรละ” คู่อริของไบรอันขว้างขวดเหล้ากระแทกกำแพงจนแตกกระจาย ผู้มาเยือนยิ้มแห้งขยับมือเล็กน้อย เศษแก้วแตกก็ลอยออกไปนอกหน้าต่างในทันที

“แล้วจะไม่เสื่อมเกียรติหรือ ที่เข้าไปในห้องนอนผู้หญิงตอนกลางคืนโดยพลการ” ไบรอันเพิ่งรู้ตัวว่าเลี่ยงคำถามของอีกฝ่าย ความจริงเขาคิดอย่างไรกับฟลอร่ากันแน่ เป็นคนสำคัญในมุมมองใดกัน

“ข้าทำตัวเสื่อมเกียรติมามากพอแล้ว ทรยศความคาดหวังของพี่บุญธรรม ตัดสินใจผิดพลาดจนถูกตามล่าเอาชีวิต ดำรงชีวิตอยู่กับปีศาจขัดแย้งกับอุดมการณ์และสถานภาพของผู้มีพระคุณอย่างฟ้ากับเหว แต่เรื่องขืนใจหญิงสาวกับทำร้ายผู้หญิงเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดที่ข้าจะไม่ให้อภัยตัวเองเลยหากทำลงไป จึงถือเป็นเรื่องเสื่อมเกียรติที่สุดที่ข้าไม่อยากทำ ข้าทำมาเกือบทุกวิธี ทำดีด้วยทั้งต่อหน้าและลับหลัง ยอมตามใจทุกอย่าง ไม่ว่าจะทำเช่นไรนางก็ยังเกลียดข้าอยู่ดี ที่ข้ายังไม่เคยใช้ก็มีแค่วิธีต่ำช้า วางแผนให้เจ้ากับนางผิดใจกัน ใช้เวทมนตร์ชักจูงนาง สุดท้ายก็คือขืนใจเอาดื้อๆ ถ้าเป็นเจ้าจะทำอย่างไร จะเอาใจนางต่อ หรือจะใช้วิธีต่ำช้าแต่ได้ผลดี” เวเบอร์หัวเราะเสียงต่ำ ไบรอันคิดว่าอีกฝ่ายเมาแล้ว

“ไม่รู้ ตอนนี้ข้าคิดแต่เรื่องล้างแค้นเท่านั้น ไม่มีเวลามาพร่ำรำพันเรื่องนี้หรอก”

“ยิ่งดูยิ่งเหมือน ตอนที่ข้าหนีออกจากบ้านแรกๆก็อย่างนี้ละ ตั้งหน้ามุ่งมั่นกับอุดมการณ์ศรัทธากับตัวเองเท่านั้น หากไม่คิดว่าเป็นศัตรูหัวใจข้าอยากกินเหล้ากับเจ้าอีกครั้ง” เวเบอร์หมุนแก้วในมือเล่นแล้วลุกบิดขี้เกียจ “ได้เวลาไปแล้ว เอาไว้ว่างๆเรามาคุยกันแบบนี้อีกได้ไหม แต่คราวหน้าเจ้าต้องดื่มด้วยนะ” เวเบอร์ยิ้มให้ไบรอันอย่างใสซื่อ มันเป็นรอยยิ้มที่เขาไม่คิดว่าจะได้พบจากศัตรูคนนี้

“ตกลง ข้าจะรอวันนั้น” ไบรอันถอนหายใจ ไม่คิดว่าจะได้พบกับคนที่เป็นทั้งมิตรและศัตรูอย่างนี้ “แต่เจอคราวหน้าข้าฆ่าเจ้าได้แน่”

“ขอแสดงความเสียใจ คนที่ฆ่าข้าได้มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น” เวเบอร์สะอึกเบาๆ ไบรอันแอบคิดว่าคงจะกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง “แต่ก็อย่างว่า ดวงตะวันขึ้นเมื่อไรเราสองคนค่อยเป็นศัตรูกันต่อ” คู่อริของไบรอันหัวเราะอย่างร่าเริง

“ฝากบอกฟลอร่าด้วย ข้าจะต้องช่วยนางออกมาให้ได้”

เวเบอร์ยิ้มให้ศัตรูก่อนจะใช้มนตร์เคลื่อนย้ายหายตัวไปในพริบตา ไบรอัน บรู๊คยังสับสนกับตัวเอง ตกลงเวเบอร์ผู้นี้เป็นศัตรูหรือมิตรของเขากันแน่ ตอนกลางวันเพิ่งฆ่าเขาไปหยกๆ พอตกกลางคืนกลับหาเรื่องมาดื่มเหล้าด้วยเสียอย่างนั้น

“ถ้าไม่ตายไปเสียก่อนเราคงได้ดื่มเหล้าด้วยกันอีก” ไบรอันพูดกับอากาศในห้องแล้วล้มตัวลงนอน ความสบายใจเรื่องฟลอร่าทำให้เขาสามารถนอนหลับได้อย่างสนิทใจ อย่างน้อยคู่อริคนนี้ก็ไม่ใช่คนที่ใช้วิธีต่ำช้าอย่างที่เขากลัว...


รุ่งสางการ์ต้องกลายเป็นเบี้ยล่างอีกครั้ง เรื่องแรกที่ถูกใช้ให้ทำคือไปซื้ออาหารเช้าแล้วนำไปส่งให้ถึงห้องพัก รู้สึกเหมือนกับเป็นการแกล้งกันของเด็กตัวเล็กๆเสียมากกว่าการใช้งานจริงจัง หรือไม่เขาอาจอยู่ในชนชั้นกรรมกรในสายตาของเรแมนก็ได้  เขาไม่เคยเห็นหญิงสาวคนนั้นก้มหัวให้ใครนอกจากไบรอัน แม้แต่คริสทาร่าแห่งกองทัพวิหคเพลิงนางยังตีสนิทโดยไม่เกรงกลัวในขณะที่การ์ทั้งกลัวทั้งเกรงจนหางแทบจุกก้น

“เจ้าของโรงแรมบ่นใหญ่เลย มีใครไม่รู้โยนเศษแก้วเกลื่อนเต็มหน้าประตู โชคดีที่ไม่มีใครเหยียบเข้า” การ์วางถาดอาหารไว้บนโต๊ะทานข้าว วันนี้เจ้าคนปากหนักอารมณ์ดีผิดสังเกต ลุกขึ้นมาจัดถุงสะพายหลังแต่เช้าเตรียมตัวออกเดินทางต่อทั้งที่เมื่อวานยังไม่มีแก่ใจทำอะไรเลยแท้ๆ

“รีบจัดของให้เรียบร้อย คริส เอ้อคริสทาร่าจะให้ขี่นกเพลิงไปจนถึงไพน์ ประมาณสามวันคงถึง” ไบรอันผิวปากไปพลางยัดหนังสือไว้ในซอกข้างกระเป๋าไปพลาง “หรือจะเดินไปเอง ต้องใช้เวลาเป็นเดือนเชียวนะ”

การ์เดินไปจัดของของตนด้วยความสงสัย วันนี้ทำไมไบรอัน บรู๊คจึงอารมณ์ดีนัก ปกติต้องทำหน้าครุ่นคิด อ่านหนังสือยากๆ หรือตีสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ ซาราห์เสียอีกที่ดูตึงเครียดผิดปกติราวกับกำลังกังวลเรื่องอะไรสักอย่างอยู่

“อย่าลืมนะการ์ สัญญาที่ให้กับข้าเมื่อตอนนั้น” นางอัศวินมังกรกลายเป็นหญิงชวนสยองขึ้นทันควันเมื่อนางโผล่หน้าให้เขาเห็นแค่ครึ่งเดียวพร้อมกับรอยยิ้มแสยะไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ มังกรสามเขามิราจถูกย่อส่วนลงมาให้เกาะบ่าของนางได้คำรามเบาๆทำให้การ์รู้สึกว่ากำลังเดินทางกับพวกตัวร้ายในนิยายมากกว่าตัวเอก

“เรื่องเหตุผลเอาไว้ทีหลัง โชคดีที่นกเพลิงบินได้นิ่มกว่ามังกร” ไบรอันคนใหม่ที่ไม่มีความเครียดเหลืออยู่ขนของไปรวมกันหน้าโรงแรมพร้อมออกเดินทางเมื่อนกเพลิงมาถึง

“ไปกับมังกรข้าดีกว่าไหม นางสนมคนใหม่” น้ำเสียงหัวเราะแบบน่าสยองขวัญของซาราห์ทำลายรอยยิ้มของเพื่อนชายทันควัน การ์คิดว่าหมอนี่จะต้องมีความทรงจำที่เจ็บปวดกับคำๆนี้แน่ “ข้ามีพรรคพวกอยู่โอ๊คแลนด์เลยรู้เรื่องของมารีน่ามาบ้าง เห็นว่านางเป็นนางสนมอยู่เป็นช่วงเวลาสั้นๆสองสามวันนี่ละ ยิ่งข่าวบอกว่าหลังจากนั้นแทบไม่มีใครจำเรื่องนี้ได้ยิ่งแสดงให้เห็นว่าต้องเป็นฝีมือท่านแน่ๆ”

“ต้องการอะไร” ไบรอันกลับมาเป็นคนเดิมทันทีที่ทำได้ ใบหน้ากลับเคร่งเครียดเหมือนเก่าด้วยเวลาที่รวดเร็วจนการ์แปลกใจ

“เมื่อคืนข้าได้ยินเสียงพูดคุยมาจากห้องท่าน เลยอยากรู้ว่าคู่สนทนาของท่านเป็นใครเท่านั้น” ซาราห์หัวเราะในลำคอ การ์สังเกตเห็นเรแมนทำหูผึ่งรอฟังอยู่ใกล้ๆ “แต่ถ้าท่านรับงานพิเศษนอกสถานที่ไม่ต้องเล่าก็ได้นะ ข้าไม่ค่อยอยากฟังเรื่องวิปริตผิดเพศนักหรอก”

มีเพียงนางอัศวินมังกรที่หัวเราะส่วนคนอื่นนอกเหนือจากไบรอันต่างนิ่งเงียบคอยเงี่ยหูฟัง เป็นอีกครั้งเช่นกันที่การ์เห็นเจ้าปากหนักหน้าแดงจัดด้วยความอายสาบานว่าจะต้องแก้แค้นเพื่อนสาวให้ได้ในสักวันหนึ่ง “ถ้าท่านไม่ตามใจข้าบ้างข้าจะเรียกท่านว่าสนมคนใหม่แบบนี้ละ” หญิงสาวหัวเราะเสียงดังลั่น เรแมนเสบถเสียดายเบาๆที่ไม่ได้ฟังเรื่องที่ไบรอันไม่อยากเล่า

การ์ใช้เวลาตลอดสายล่ำลาคนรู้จักในเมืองให้หมด เขาเริ่มสนิทกับบริการของห้องพักและพนักงานตรวจเอกสารของสำนักงานล่าค่าหัวแล้ว สิ่งน่าเศร้าไม่ใช่เรื่องที่ต้องจากเมืองนี้กลับเป็นเรื่องเงิน เงินจากการทำงานหนักแทบล้มประดาตายถูกชิงไปเป็นเงินเดินทางเกือบสองในสาม ความจริงเงินทั้งหมดนั่นควรเป็นของเขาคนเดียวด้วยซ้ำ

“เอาไว้ถึงไพน์เราก็สบายแล้ว” ไบรอันกลับมาเป็นคนเดินอย่างสิ้นเชิง หน้าเรียบเฉยมีรอยความเครียดเกาะเป็นพักๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่แต่คงเป็นเรื่องสำคัญ “สาเหตุที่ไปคือการพิสูจน์ตัวของเจ้า กับการล้างคำสาปของข้า ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว” เป็นครั้งที่สิบที่เขาไม่รู้ว่าเจ้าคนปากหนักคิดสิ่งใดอยู่และกำลังถึงพูดเรื่องอะไร

“เดี๋ยวไปด้วยกันนะคุณสนมคนใหม่” เสียงร้องของนางอัศวินมังกรมาถึงก่อนตัวเสียอีก พาหนะที่รอรับนอกจากนกเพลิงสองตัวพร้อมกับทหารเจ้าของแล้วยังมีมังกรสามเขาของซาราห์อีกตัวหนึ่ง “ถ้าไม่ขี่มังกรกับข้ารับรองข้าจะบอกเรื่องนั้นกับทุกคนที่เจอหน้าเลย”

เจ้าคนปากหนักเบ้หน้าไม่พอใจแต่ถูกอีกฝ่ายกุมความลับเอาไว้จึงเลี่ยงไม่ได้ การ์ไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงชอบแกล้งเพื่อนชายนัก บางครั้งซื้อของไม่ชอบมาให้กิน บางครั้งเอาเรื่องเก่าๆมาแฉให้อาย คราวนี้บังคับให้ขี่มังกรทั้งที่รู้ว่าไม่ถูกโรคกับการบินของมังกร...


ในเวลาสามวันที่เดินทางด้วยการขี่นกเพลิงเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อ ต้องนั่งนิ่งๆอยู่บนหลังนกเพลิงเกือบครึ่งวันไม่ได้บินไปโน่นมานี่ตามใจเหมือนตอนนั่งมังกรกับซาราห์ พอตกเย็นก็ต้องให้เจ้าของนกเพลิงและผู้โดยสารนั่งพัก คนที่ลำบากที่สุดก็คือไบรอันที่ถูกขู่บังคับให้นั่งมังกรทั้งที่ไม่อยาก

“เขาเรียกเมามังกรน่ะการ์ ต้องให้นั่งมังกรบ่อยๆจึงจะหาย” ซาราห์ปดให้ฟังระหว่างพักทานอาหารเย็น คนปากหนักหน้าซีดเผือดคำรามในลำคอจะเถียงว่านางขี่มังกรโลดโผนตีลังกาสิบตลบก็เถียงไม่ได้เพราะถูกกุมจุดอ่อนน่าอายไว้ ตัวคนแกล้งก็แสนใจร้าย เห็นอยู่ว่าเจ้าตัวอาการหนักขนาดนี้ยังบังคับให้นั่งมังกรต่อจนถึงไพน์อย่างไม่ใยดี

“ถึงไพน์เมื่อไหร่ ข้าจะแก้แค้น” คนปากหนักส่งรังสีอมหิตมายังคนแกล้งแล้วกลับไปโก่งคออาเจียนลงข้างพงหญ้าต่อ การ์คิดว่านี่เป็นสภาพที่น่าอนาถที่สุดของไบรอันเท่าที่เขาเคยเห็นมา ไม่นับคราวก่อนที่นอนจมกองเลือด แม้ในวันที่สองนางอัศวินมังกรเกิดสงสารยอมให้ไปนั่งวิหคเพลิงกับเขาแต่เจ้าตัวถือสัญญาอย่างหนักแน่นว่าจะนั่งกับซาราห์ไปจนถึงที่หมาย

สามวันผ่านไปอย่างทุลักทุเล อย่างที่รู้กันว่าคนที่สภาพต่างจากเดิมมากที่สุดคือไบรอัน บรู๊ค ผมสีเหลืองเคยหวีรวบอย่างดียุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ใบหน้าที่เหลืองซีดอยู่แล้วยิ่งซีดมากกว่าเดิม สิ่งที่เหมือนเดิมคือความปากหนัก แต่คราวนี้เขาอ้าปากเมื่อไรก็เกิดอาการคลื่นไส้ขึ้นทันทีจนกลายเป็นภาระไปโดยไม่ตั้งใจ

“ไปพักในปราสาท กล้าขัดคำสั่งข้าก็ลองดู” เสียงถือดีแกมบังคับของคริสทาร่าเบนทิศฝูงบินได้อย่างยอดเยี่ยม ไบรอันส่งเสียงแหวะประท้วงเบาๆ ส่วนการ์รู้สึกเหนื่อยจนไม่เอะใจ คิดว่าอย่างน้อยก็ไม่ต้องขนของเข้าไปในห้องด้วยตัวเอง

การ์เคยได้ยินมาบ้างว่าปราสาทของการ์ไม่เหมือนปราสาทของเมืองอื่นๆไม่คิดว่าจะสวยงามอย่างนี้ รั้วปราสาทสีดำสนิททอดยาวแบ่งเขตเมืองเขตปราสาท ส่วนด้านในกำแพงดูไม่เหมือนปราสาทใหญ่ๆทั่วไป มันเป็นตึกเตี้ยสองถึงสามชั้นเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบภายในเส้นขอบสีดำ ขอบกำแพงด้านหนึ่งมีสนามหญ้าขนาดใหญ่มีนกเพลิงบินขึ้นบินลงตลอดเวลา คงเป็นส่วนที่ใช้ฝึกทหาร ฝูงวิหคเพลิงพ่วงด้วยมังกรอีกหนึ่งตัวลดเพดานบินต่ำลงแล้วลงพื้นบริเวณประตูปราสาท ทหารในเกราะสีเงินออกมาต้อนรับคริสทาร่าแล้วช่วยกันขนของขึ้นรถม้าที่จัดเตรียมเอาไว้ การ์ได้กลิ่นกำมะถันอ่อนๆชวนจาม แถมอากาศยังร้อนอบอ้าวแม้จะย่างเข้าฤดูหนาวได้เกือบครึ่งเดือน คริสทาร่าบอกว่าไพน์ตั้งอยู่ใกล้เขตภูเขาไฟจึงหายสงสัย

“ท่านไปพักเถอะ” นางอัศวินวิหคพูดกับไบรอันที่แทบยืนไม่ติดพื้น “ไม่เป็นไร” เจ้าคนปากหนักพูดเบาๆปิดปากด้วยความคลื่นไส้ ซาราห์วางสีหน้าสำนึกผิดแล้วมาช่วยพยุงเพื่อนชายขึ้นรถม้าด้วยตัวเอง

“แล้วจะไปรอที่ตึกพักแขกเชื้อพระวงศ์นะ” เรแมนทำให้การ์เพิ่งสังเกตว่ามีรถม้าสองคัน คันหนึ่งมีสัมภาระของพวกเขากองเต็มหลังคา ส่วนอีกคันหนึ่งคือคันที่ไบรอันกับซาราห์ขึ้นไปนั่งรออยู่แล้ว พวกเขามีกันแค่สี่คนแต่ทำไมต้องใช้รถม้าสองคันเล่า

“ไม่ใช่เวลาถาม อยากถ่วงเวลาข้าอีกก็ลองดู” คริสทาร่าสงสายตาข่มขู่แกมบังคับให้การ์ไปขึ้นรถม้าคันเดียวกับไบรอัน

“ดีขึ้นไหม ขอโทษนะ” เขาอยากแคะขี้หูออกมาแล้วฟังนางพูดอีกครั้ง ตั้งแต่คบกันมาเพิ่งได้ยินคำว่าขอโทษหลุดออกมาจากปากของนางอัศวินมังกรผู้นี้ แถมน้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความสำนึกผิดอีกต่างหาก “ถ้าหายแล้วไปขี่มังกรด้วยกันอีกนะ” อย่างไรมังกรก็คือมังกรวันยันค่ำ ทำตัวอ่อนโยนได้ไม่กี่น้ำก็กลับเป็นแบบเดิม

ความจริงการ์อยากถามว่ารถม้าคันนี้จะพาไปที่ใดแต่ไม่กล้าเอ่ยปากถามเนื่องจากคนหนึ่งนั่งหลับตานิ่งพึมพำไม่เป็นศัพท์ คนหนึ่งนั่งหน้านิ่งครุ่นคิดส่งสายตาชั่วร้ายออกมาเป็นระยะ ส่วนอีกคนทำทีเป็นห่วงเพื่อนชาย มือก็ช่วยนวดแขนนวดบ่าให้หายโกรธส่วนปากก็เอ่ยชวนไปขี่มังกรแสนรักต่อเป็นพักๆ เมื่อรู้ตัวอีกทีรถม้าก็จอดเทียบอาคารทรงสูงแห่งหนึ่ง เขาคิดว่ามันถูกสร้างด้วยหินภูเขาไฟเพราะเป็นสีดำสนิทเหลี่ยมมุมดูแหลมคมชวนสยอง

“ลงไป” คริสทาร่าไล่การ์ให้ลงไปคนแรก

ประตูหน้ามีชายหญิงสองคนยืนรอพวกเขาอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม คนหนึ่งมีเรือนผมสีฟางนัยน์ตาสีพระจันทร์เหมือนการ์ไม่มีผิด ส่วนอีกคนมีผมสีน้ำตาลและมีดวงตาสีพระจันทร์เช่นกัน นี่เป็นวันแรกในชีวิตที่เขาได้พบกับคนที่มีดวงตาสีเดียวกัน หากเขามาอยู่กับคนพวกนี้คงไม่มีวันถูกล้อเรื่องสีตาแน่นอน เมื่อหันกลับไปถามคนข้างหลังก็พบการกระทำที่น่าสงสัย ทั้งสามโค้งคำนับคนทั้งคู่จนตัวเกือบขนานกับพื้น ซาราห์ช่วยประคองเพื่อนชายอย่างทุลักทุเล

“ตามมา อย่าถามมาก” คริสทาร่าใช้ดวงตาทรงพลังจิกหัวการ์ให้เดินตามไปอย่างไร้คำถาม “ไม่เป็นไรแล้วน่า” ไบรอันปฏิเสธการช่วยเหลือจากเพื่อนสาวแล้วเร่งเดินให้ทัน

ในอาคารหลังนี้เป็นห้องโถงห้องเดียวดูคล้ายโบสถ์หรือวิหาร หน้าต่างเรียงรายสองข้างผนังไม่ช่วยบรรเทาความร้อนอบแม้แต่น้อย ปลายทางเดินหินอ่อนมีรูปปั้นนกสยายปีกสีดำทมิฬตั้งตระหง่านเป็นจุดเด่นหนึ่งเดียว ดวงตาสีแดงของรูปปั้นเป็นทับทิมดูคล้ายกำลังจับจ้องการ์ที่ไม่รู้เรื่องอะไรแม้แต่นิด

“นี่คือรูปปั้นเทพแห่งวิหคเพลิงโฟเลน ราชนิกุลหรือลูกขุนนางชั้นสูงของไพน์ทุกคนจะต้องมาอยู่หน้ารูปปั้นนี้เพื่อทำพิธีขอนกเพลิงประจำตัว” ไบรอันกระแอม เขาเกือบกลับมาเป็นคนเดิมแล้ว เสียแค่ยังโทรมเหมือนไม่ได้นอนมาหลายคืน “แค่ยืนตรงนั้นแล้วมองตาของรูปปั้นก็พอ ถ้ายังไม่เคยเข้าพิธีก็จะกลายเป็นการทำพิธีทันที”

ไม่ต้องให้สั่งการ์ก็ก้าวไปยืนบนแผ่นหินอ่อนลายแปลกโดยไม่รู้ตัว แถมตายังเงยไปจ้องมองดวงตาของรูปปั้นโดยสัญชาติญาณเสียอีก เมื่อจะออกปากถามต่อก็รู้สึกเหมือนถูกเหวี่ยงไปกลางอากาศสักสิบรอบจนมึนหัวคิดอะไรไม่ออก ความชาตามมือและขาเข้าครอบงำ ตาหรี่ปรือใกล้หลับแหล่ไม่หลับแหล่ เขาพยายามถามว่าพิธีเป็นแบบนี้หรือ เสียงไม่ทันออกก็หลับตายืนโงนเงนทันที โชคดีที่ไบรอันช่วยประคองเอาไว้ไม่ให้ล้มหน้าทิ่มพื้น

ทันทีที่คริสทาร่าเข้ามาช่วยพยุงปีกอีกข้างร่างของไบรอันก็กระตุกแล้วเกิดเปลวไฟสีฟ้าขึ้นปกคลุมทันที ทุกคนในห้องจ้องมองร่างที่ถูกปกคลุมด้วยเปลวเพลิงสีประหลาดด้วยความฉงนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดเพลิงสีฟ้าจึงลุกท่วมร่างของผู้กล้าแสงตะวันผู้นี้ได้...

จากคุณ : Lazy return
เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 54 10:27:52




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com