Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เพลงดวงดาว ตอนที่ 11 ติดต่อทีมงาน

“ยังไม่นอนอีกหรือลูก”

หญิงสาวเอ่ยถามเบาๆ พร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวลูกสาวตัวน้อยที่นอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหนานุ่ม อากาศบนพื้นผิวโลกอบอุ่นขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังต่ำกว่าในสมัยที่มนุษย์เคยยึดครองมันเอาไว้อย่างเบ็ดเสร็จอยู่หลายองศา

ถึงแม้ชุดเครื่องแบบเก่าๆ ของสภานวโลกาที่ได้รับตั้งแต่เมื่อนานมาแล้วนั้น จะช่วยกักเก็บอุณหภูมิ และลดการสูญเสียความร้อนของร่างกายเอาไว้ได้เป็นอย่างดี แต่พวกเขาก็ยังต้องอาศัยหนังของสัตว์ขนฟูบางชนิดที่เอามาเย็บรวมกัน เพื่อให้ความอบอุ่นเพิ่มเติมในยามค่ำคืนเช่นนี้

ชายหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นมานั่งที่ข้างกายของทั้งสอง ก่อนโอบกอดทั้งหมดเอาไว้ด้วยกัน ชุดที่เขาสวมใส่อยู่เรืองแสงขึ้นเล็กน้อยโดยอาศัยพลังงานที่ได้จากการเคลื่อนไหวร่างกายในยามเดินทาง เมื่อตอนกลางวันที่ผ่านมา

สถานที่พักผ่อนหลับนอนในคืนนี้ เป็นส่วนหนึ่งของซากสิ่งก่อสร้างบางอย่างที่ไม่อาจบอกได้แล้วว่า มันเคยเป็นสิ่งใดมาก่อน กำแพงเตี้ยๆ ที่หลงเหลืออยู่เพียงสองด้านของมันยังคงสามารถช่วยป้องกันลมหนาวเอาไว้ได้บางส่วน

เหล่าสิ่งก่อสร้างทั้งหลายที่เคยสูงเทียมฟ้า ล้วนพังทลายลงมาจนหมดสิ้นแล้ว พวกมันไม่อาจทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่รุนแรง และที่สำคัญคือไม่มีการบำรุงรักษาจากมนุษย์ที่เป็นผู้ให้กำเนิดพวกมันขึ้นมาอีกต่อไป

เขาค้นหาไปรอบๆ บริเวณนี้ และไม่พบสิ่งใดที่จะนำมาใช้ในการก่อไฟเพื่อเพิ่มความอบอุ่นได้เลย มีเพียงเศษพลาสติกหลากรูปแบบจำนวนมากที่กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่พวกมันก็ยังคงสภาพ และมีอายุยืนยาวมาจากในยุคสมัยที่ถูกผลิตขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

แม้ว่าพวกมันจะติดไฟได้เช่นกัน แต่เขารู้ว่าควันสีดำที่เกิดขึ้นนั้นมีความเป็นพิษ ดังนั้นการต้องนอนอยู่ท่ามกลางความเย็นแบบนี้ ก็ยังดีกว่าการจุดพวกมันขึ้นมาเพื่อให้ได้ความอบอุ่น

เด็กหญิงตัวน้อยลืมตากลมโตจ้องมองขึ้นไปบนฟากฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่เมฆดำขมุกขมัว นานๆ ครั้งที่พวกมันจะเปิดออกเผยให้เห็นดวงดาวระยิบระยับที่อยู่ไกลออกไป และหากโชคดีก็อาจจะได้เห็นวงกลมสีเหลืองนวลอันเป็นที่เล่าขาน แต่ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ก่อนที่พวกมันจะถูกบดบังไปอีกครั้ง

“คุณพ่อ เล่านิทานเรื่องนั้นให้หนูฟังอีกได้ไหมคะ”

“มันดึกแล้วนะลูก”

หญิงสาวต้องการให้ลูกได้นอนหลับพักผ่อนมากที่สุด แต่ผู้เป็นพ่อกลับใจอ่อนให้กับแววตาที่ออดอ้อนคู่นั้น ก่อนค่อยๆ เอ่ยปากเล่านิทานเรื่องเดิมด้วยท่วงทำนองน่าฟังอย่างชำนาญ

“นานมาแล้ว ณ ดินแดนแห่งหมู่เกาะซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ชายชราที่ไร้ทายาทผู้หนึ่งกำลังเดินอยู่ในป่าไผ่ ซึ่งเป็นต้นไม้ที่มีลักษณะเป็นข้อปล้องขนาดใหญ่ ที่เคยมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ในอดีตเมื่อนานแสนนานมาแล้ว ในสมัยที่พื้นโลกยังเต็มไปด้วยสีเขียวของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า พืช...”

ชายชราได้พบเจอกับปล้องไม้ไผ่ที่ส่องแสงเรืองรองอย่างประหลาด เขาจึงตัดมันออกมา และได้พบกับเด็กทารกหญิงตัวน้อยที่มีขนาดเท่ากับหัวแม่มือของเขา

เขานำเธอกลับบ้านด้วยความยินดี และสองตายายก็เรียกเธอว่า คางูยะ ซึ่งต่อมาได้เติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวที่มีขนาดตัวเท่าคนปกติ แต่มีความงดงามที่เกินกว่าธรรมดามากนัก

“เหมือนกับลูกเลย”

เด็กหญิงตัวน้อยยิ้มหวานรับคำชมจากผู้เป็นพ่อ

เจ้าชายจากห้าประเทศใหญ่ในยุคสมัยนั้น ต่างเดินทางมาเพื่อขอแต่งงานกับเธอ แต่เธอกลับตั้งเงื่อนไข ให้พวกเขาต้องออกไปค้นหาสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง

'ข้าต้องการชุดเครื่องแบบที่ทำให้ผู้สวมใส่มีพลังเหนือมนุษย์'

'ข้าต้องการแหล่งกำเนิดพลังงานที่ใช้ไม่มีวันหมด'

'ข้าต้องการสิ่งที่สามารถให้ความอบอุ่นกับโลกทั้งใบ'

'ข้าต้องการกิ่งไม้ที่สามารถสร้างต้นไม้ขึ้นใหม่ได้อย่างรวดเร็ว'

'ข้าต้องการสิ่งมีชีวิตที่สามารถมีลูกหลานเป็นสัตว์ได้ทุกชนิด'

แน่นอนที่ไม่มีใครสามารถหาสิ่งของเหล่านี้มาให้กับเธอได้ เจ้าชายบางคนถึงกับต้องสังเวยชีวิตของตนเองไปกับการค้นหาสิ่งเหล่านี้ แม้แต่พระราชาแห่งหมู่เกาะนั้นก็ยังไม่อาจพิชิตใจของเธอได้

หลังจากนั้น ในทุกค่ำคืนเธอจะเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์เต็มดวง พร้อมด้วยประกายของน้ำตา เมื่อถูกคาดคั้นถามจากสองตายาย เธอก็ยอมเปิดเผยว่า ความจริงแล้วเธอคือชาวจันทรา และตอนนี้สงครามบนสวรรค์ได้สิ้นสุดลงแล้ว และชาวจันทราก็จะเดินทางมารับเธอกลับไปในไม่ช้า

พระราชาได้ใช้เจ้าหน้าที่จำนวนมากมายให้คอยเฝ้าเธอเอาไว้ แต่เจ้าหน้าที่เหล่านั้นกลับไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังลึกลับของชาวจันทราที่เดินทางมาถึงด้วย บันไดแห่งแสง

'ข้ารักโลกใบนี้ แต่ข้าก็ต้องกลับสู่จันทราอันเป็นบ้านเกิด'

เธอได้ทิ้งชุดเครื่องแบบของเธอไว้เป็นที่ระลึกให้กับสองตายาย และมอบ กุญแจแห่งสวรรค์ ให้กับพระราชา ก่อนที่เธอจะหมดสิ้นความเป็นมนุษย์ สูญสิ้นความผูกพันธ์ และกลับคืนสู่ฐานดวงจันทร์ในที่สุด

ในจังหวะเวลานั้น หมู่เมฆทะมึนก็แยกตัวออกเผยให้เห็นลูกกลมสีเหลืองนวลอยู่ชั่วครู่ เด็กหญิงชี้มือขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมกับร้องออกมาด้วยความยินดี

“หนูเห็นพระจันทร์ด้วย...นั่นมันอะไรกันคะ...”

ชายหนุ่ม และหญิงสาวมองตามทิศทางที่ลูกชี้ไปพร้อมกัน ทั้งสองได้เห็นลูกกลมเล็กๆ ร่วงตรงลงมาจากท้องฟ้าห่างออกไปไม่ไกลนัก ในขณะที่จ้องมองดูอยู่นั้น มันก็ค่อยๆ บวมพองใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ผิวกลายสภาพเป็นตะปุ่มตะป่ำ ก่อนลับหายไปจากสายตา พร้อมเสียงตกกระแทก และแรงสะเทือนเบาๆ ที่รู้สึกได้

“...ใช่พวกชาวจันทราหรือเปล่าคะ...”

เด็กน้อยถามพร้อมกับเบียดร่างเข้ามากอดมารดาของเธอ สองหนุ่มสาวมองหน้ากัน ก่อนที่ผู้เป็นบิดาจะยิ้ม พร้อมกับใช้มือขยี้หัวลูกสาว

“ไม่ใช่หรอกน่า ลูกยังกลับดวงจันทร์ตอนนี้ไม่ได้หรอก...ลูกยังต้องอยู่กับพวกเราไปอีกนาน”

เขาทำท่าจะลุกขึ้น แต่หญิงสาวยื่นมือมาจับแขนเขาไว้เบาๆ

“...คุณจะออกไปดูหรือ”

ชายหนุ่มทำท่าคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เปลี่ยนใจเมื่อเห็นท่าทางของลูกน้อยที่ยังคอยตั้งใจฟังอยู่

“อาจมีใครต้องการความช่วยเหลือก็ได้ คุณก็รู้ว่าพวกเราต้องช่วยกัน”

“แต่...เขาอาจไม่ใช่ พวกเรา”

ชายหนุ่มยิ้มพร้อมกับขยี้หัวหญิงสาวราวกับเป็นเด็กหญิงตัวน้อยอีกคนหนึ่ง

“ไม่เอาน่า...ดูลูกให้รีบนอนด้วย”

แต่สองแม่ลูกต่างยังคงเฝ้าดูแผ่นหลังของชายหนุ่มที่กำลังเดินจากไปอย่างไม่วางตา ชุดของเขาหยุดเรืองแสงทำให้ร่างกายกลืนหายไปกับความมืด เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่งเพื่อประเมินทิศทางการตกของวัตถุปริศนาเมื่อครู่ ก่อนเริ่มมุ่งหน้าออกไปด้วยความรวดเร็ว

#####

ในการเดินทางด้วยยานพาหนะชนิดต่างๆ นั้น ความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นสิ่งสำคัญ จึงต้องมีการออกแบบ ติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม เพื่อช่วยลดการบาดเจ็บ หลีกเลี่ยงการสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น และสำหรับ รถ ที่คีย์โดยสารอยู่นี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น

เมื่อพลังงานถูกตัดขาด สนามแม่เหล็กไฟฟ้าจะยังคงสภาพอยู่อีกครู่หนึ่ง เพียงพอให้ผู้โดยสารสามารถนั่งลงและรัดเข็มขัดนิรภัยได้ทัน ก่อนที่การตกจะเริ่มขึ้น และหลังจากนั้นระบบรักษาความปลอดภัยในส่วนอื่นๆ ก็จะเริ่มทำงาน

ถุงลมนิรภัยที่อยู่ภายในห้องโดยสารจะพองตัวออกอย่างรวดเร็ว และนั่นเป็นแรงกระแทกที่เขารู้สึกได้ในตอนแรก ซึ่งไม่ได้เกิดจากการตกกระทบแต่อย่างใด ดังนั้นหลังจากที่เขาเริ่มกรีดร้อง ตัวรถก็ยังคงตกต่อไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นถุงลมนิรภัยภายนอกที่มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างออกไปก็จะพองตัวขึ้นรอบๆ ตัวรถ ทำให้มันมองดูเป็นตะปุ่มตะป่ำ ซึ่งจะช่วยลดความเร็วในการตก และยังทำหน้าที่เป็นวัสดุดูดซับแรงกระแทกที่เกิดจากการตก ทำให้ตัวรถไม่ได้รับความเสียหายจากการตกด้วย

ตามปกติแล้วใต้เส้นทางที่รถเหล่านี้วิ่งผ่านในอดีตจะมีการเตรียมพื้นผิวเพื่อรองรับการตกเอาไว้ด้วย แต่เนื่องจากการฟื้นฟูระบบรถของสำนักวิทยาศาสตร์นั้นไม่ได้รวมสิ่งนี้เข้าไปด้วย ดังนั้นข้างล่างจึงเต็มไปด้วยเศษซากของสิ่งต่างๆ จากอดีต เหมือนกับพื้นที่บนผิวโลกโดยทั่วไป

การตกกระแทกพื้นของรถจึงไม่ได้ราบรื่นอย่างที่ควรจะเป็น ถุงลมนิรภัยภายนอกหลายใบเกิดการฉีกขาด หลังจากที่ตัวรถเด้งขึ้นลงไปบนซากของสิ่งต่างๆ ก่อนที่จะหยุดลงได้ในที่สุด ประตูที่ถูกออกแบบให้หงายขึ้นด้านบนเมื่อการตกจบสิ้นลงกลับถูกทับอยู่ทางด้านล่าง ทำให้เปิดออกได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ถุงลมนิรภัยภายในเริ่มยุบตัวลง เผยให้เห็นร่างของคีย์ที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเก้าอี้โดยสาร ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมายนัก แต่แรงกระแทกที่เกิดขึ้นคงทำให้เขาหมดสติไป

ชายหนุ่มที่พึ่งมาถึงมองดูเขาผ่านทางช่องเปิดนั้น และมองเห็นไอพีที่อยู่บนแขนเสื้อของเขาได้ในทันที ถึงแม้ว่าตัวเขาเองก็ใส่ชุดเครื่องแบบที่ดูคล้ายกัน แต่บนชุดของพวกเขาไม่มีไอพีอยู่ด้วย ที่ตรงนั้นว่างเปล่า เป็นเพียงแขนเสื้อธรรมดาเท่านั้น

มันคือสิ่งที่บ่งบอกถึงฐานะที่แตกต่าง ระหว่าง ชาวนวโลกา กับ ผู้พเนจร อย่างพวกเขา ชายหนุ่มหยิบ มีดสั้น ซึ่งเป็นอาวุธเพียงชิ้นเดียวของเขาออกมา ก่อนมุดหายเข้าไปภายในรถ

#####

“เกิดอะไรขึ้น”

คุรุ อุทานกับตนเอง เมื่ออยู่ๆ รอบกายของเขาก็ตกอยู่ในความมืดมิด เขาเป็นครูชายวัยกลางคนที่ทำการสอนอยู่ในโรงเรียนอพอลโลแห่งนี้มาเกินสิบปีแล้ว เขามีงานอีกอย่างหนึ่งที่มีคนรู้ไม่มากนัก นั่นคือเขายังเป็นส่วนหนึ่งของสำนักวิทยาศาสตร์อีกด้วย โดยคอยทำหน้าที่ส่งรายงานเกี่ยวกับนักเรียนที่มีความน่าสนใจให้กับทางสำนักงาน

เขาเป็นคนที่แจ้งเรื่องเกี่ยวกับ คีย์ และ หล่ง ไปยังสำนักงานเอง แต่ยังคงลังเลเกี่ยวกับ จูเลียต ว่าจะมีความเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าหน้าที่พิเศษหรือไม่ บุคคลิกภาพส่วนตัวของเธอยังคงทำให้เขาไม่ค่อยมั่นใจนัก

วันนี้เขาได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ทรีดให้มาทำงานอีกอย่างหนึ่งซึ่งแตกต่างออกไป เขาเคยได้ยินคำเล่าลือเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่พิเศษทริกมานานแล้ว และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มาเห็นผลงานของเธอด้วยตาของตนเอง ความเสียหายเหล่านี้อาจดูไม่มากมายอะไรนัก แต่เมื่อรู้ว่าเป้าหมายของเธอเป็นเพียงแค่เด็กเพียงคนเดียวเท่านั้น มันก็ดูจะรุนแรงเกินไป โดยเฉพาะร่างของเด็กสองคนนั้น แถมยังเป็นเด็กที่เขารู้จักเป็นอย่างดีด้วย

'เธอบ้าไปแล้วหรือไง ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้' แม้จะคิดอย่างนั้น แต่เขาก็ลงมือทำตามคำสั่งที่ได้รับมาอย่างรวดเร็ว 'เก็บกวาดทุกอย่างให้เรียบร้อย อะไรที่เสียหายมากก็ให้ทิ้งไว้ก่อน รอทีมเสริมที่จะตามไปในภายหลัง' เมื่อจัดการกับร่างของเด็กทั้งสองคนนั้นแล้ว ก็คงเหลือเพียงร่องรอยต่างๆ อีกเล็กน้อย 'ถ้าไม่นับรอยพิมพ์ร่างของเธอที่อยู่ตรงประตูลิฟท์นั่นนะ' เขายังนึกไม่ออกเลยว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือเขาได้พบเจอกับชุดสีดำที่เป็นของเจ้าหน้าที่พิเศษที่แปลกแตกต่างจากชุดทั่วไปถูกถอดทิ้งเอาไว้ด้วย เขามั่นใจในทันทีว่ามันต้องเป็นชุดของทริก และทรีดก็ช่วยยืนยันความคิดของเขา 'เก็บมันเอาไว้ก่อน แล้วจะมีคนไปรับเอง'

สิ่งที่เขาแปลกใจก็คือ เธอจากไปพร้อมกับร่างที่เปลือยเปล่าอย่างนั้นหรือ ดูเหมือนเธอคนนี้จะมีการกระทำที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจเข้าใจได้ 'ถ้าอย่างนั้น บางที จูเลียตอาจจะเหมาะกับงานแบบนี้ก็เป็นได้'

ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเก็บรวบรวมมาไว้ในห้องเก็บของที่ไม่มีใครสนใจ และมีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเปิดมันออกได้ หลังจากที่ปิดผนึกเรียบร้อย เขาก็ยืนอยู่หน้าห้องนั้นท่ามกลางความมืดมิด

“...พลังงานดับ...”

ชุดของเขาค่อยๆ เรืองแสงขึ้นมาอย่างช้าๆ ในขณะที่ไอพีเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานที่ป้องกันไม่ให้ผู้ใช้สามารถทำอะไรได้มากนัก จนกว่าพลังงานจะกลับคืนสู่ภาวะปกติอีกครั้ง 'ไม่มีประกาศเตือนล่วงหน้าสักหน่อย' ทุกครั้งที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ต้องมีการแจ้งเตือนล่วงหน้า และแต่ละครั้งจะกินเวลาเพียงสั้นๆ ไม่กี่นาทีเท่านั้น

เขาหยุดยืนรออยู่ตรงนั้นปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ 'นานเกินไปแล้ว' แม้จะมีความมั่นใจต่อสำนักวิทยาศาสตร์ที่เขาทำงานอยู่ แต่ความมืดมิดที่ยาวนานกว่าปกติโดยไม่มีคำเตือนล่วงหน้าเช่นนี้ก็ทำให้เขารู้สึกเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาเช่นกัน 'หรือว่า หรือว่า' จินตนาการของเขาเริ่มเตลิดเปิดเปิงไปอย่างไม่อาจควบคุม

ถึงแม้ว่าระบบของเมืองใต้ดินทั้งหมดจะหยุดลง แต่การหมุนเวียนของอากาศจะยังคงไม่เป็นปัญหา นอกจากมันจะหยุดไปเป็นเวลานานมาก อากาศจึงจะเริ่มเข้าสู่ระดับที่ไม่เหมาะกับการหายใจ และปริมาณรังสีภายในเมืองก็จะเพิ่มสูงขึ้นด้วย

นอกจากภายในสภานวโลกาแล้ว เหล่าผู้ที่อาศัยอยู่ภายในเมืองใต้ดินทุกแห่งที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก ต่างเกิดความแตกตื่นมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เนื่องจากในซีกโลกแถบนี้เป็นเวลากลางคืน ผู้คนส่วนใหญ่ต่างขังตัวเองอยู่ภายในห้องอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงทำอะไรได้ไม่มากนักนอกจาก กรีดร้อง ทุบประตู หรือไม่ก็นั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ตรงมุมห้อง

ส่วนในซีกโลกที่เป็นเวลากลางวัน มีผู้ที่อยู่ในพื้นที่ส่วนกลางมากกว่า พวกเขาส่วนใหญ่ต่างจับกลุ่มกันอยู่กับที่ แต่ก็มีบางส่วนที่เกิดอาการคุ้มคลั่งวิ่งร้องตะโกน 'ยุคมืดที่สุดกลับมาแล้ว' ไปอย่างไร้ทิศทาง หรือไม่ก็ทำอะไรแปลกๆ อย่างอื่น ที่ทำให้ตัวเอง และคนอื่นๆ ต้องเดือดร้อน หรือได้รับบาดเจ็บ

ศาสนจักรแห่งศาสนาจักรวาลเองก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน แต่พวกเขามีความคุ้นเคยกับความมืดมากกว่าชาวนวโลกา เพราะมีความใกล้ชิดกับเหล่าผู้พเนจรที่อาศัยอยู่บนพื้นผิวโลกอย่างแน่นแฟ้น พวกเขาทั้งสองส่วนต่างถูก สภานวโลกา หรือในความเป็นจริงก็คือ สำนักวิทยาศาสตร์ กีดกันไม่ให้มีการติดต่อกับเมืองของชาวนวโลกาโดยตรง

พวกเขามีเมืองเป็นของตนเอง แม้จะมีอยู่เพียงเจ็ดแห่ง และไม่ใหญ่โตเหมือนกับเมืองใต้ดินของทางสภา แต่ก็มีการใช้เทคโนโลยีต่างๆ มีการใช้ไอพีที่จำกัดอยู่ในวงแคบๆ เฉพาะพวกนักบวชที่มีตำแหน่งสูงๆ เท่านั้น พลังงานดับที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จึงไม่ส่งผลกระทบมากมายอะไรนัก เพียงแค่เพิ่มความรู้สึกไม่พอใจที่มีอยู่ให้มากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น

สิบนาทีอันแสนเนิ่นนานผ่านพ้นไปในที่สุด พลังงานกลับคืนสู่สภาวะปกติอีกครั้ง ความวุ่นวายทั้งหมดจบสิ้นลง แล้ววิถีชีวิตแบบเดิมก็เริ่มดำเนินต่อไปอีกครั้ง

คุรุ ตรวจดูประตูห้องเก็บของอีกครั้งก่อนเดินจากไป เขาจะกลับไปนั่งรอที่ห้องจนกว่าทีมเสริมที่ทรีดบอกจะมาถึง แล้วค่อยให้พวกเขาตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป 'กลับไปนั่งเล่นไอพีต่อดีกว่า'

เบื้องหลังบานประตู จูเลียตค่อยๆ พื้นคืนสติขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนที่เธอจะสะดุ้งแล้วลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว 'หัวของฉัน' ความรู้สึกนั้นยังคงชัดเจน ราวกับหัวของเธอถูกดึงออกไปจริงๆ เมื่อยามที่ระบบต่อเชื่อมการเคลื่อนไหวของชุดกล้ามเนื้อเทียมที่อยู่ในหมวกถูกทริกดึงขาดออกทั้งหมดพร้อมๆ กัน ก่อนที่จะเหยียบมันจนแตกละเอียด

'ยายบ้านั่น ทำแสบนัก' ชุดของเธอไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว ความเสียหายระดับนี้คงไม่อาจซ่อมแซมได้โดยง่าย นอกจากจะทำขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้นั่นคือ ทริกสามารถดึงหัวของเธอให้ขาดออกจากร่างได้จริงๆ แต่เธอก็ไม่ได้ทำ 'ฝากไว้ก่อนเถอะ ฉันต้องคืนให้เธอเป็นสิบเท่าเลยคอยดู'

เธอค่อยๆ มองไปรอบตัว 'ห้องอะไรกัน แต่ดูเหมือนน่าจะอยู่ในโรงเรียนนะ' เธอรีบพุ่งไปยังประตู มันไม่ตอบสนองกับคำสั่งตามคาด เธอจึงเริ่มสำรวจไปรอบๆ ห้อง และพบร่างอวบๆ ของใครอีกคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่ 'ถ้ายังอยู่ในโรงเรียน เจ้าหมอนี่ก็น่าจะมีประโยชน์' เธอใช้เท้าเขี่ยร่างอ้วนนั้น

“เจ้าหมูขี้เซา ตื่นได้แล้ว”

หล่งยังคงนอนนิ่งไม่ขยับ เธอจึงเปลี่ยนเป็นเตะเข้าไปที่สีข้างของเขาแทน

“โอ๊ย”

เจ้าตัวร้องลั่น ดูเหมือนจะได้ผล เขาดีใจที่ได้ตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายซึ่งกำลังถูกทริกทำการทรมานด้วยวิธีการสารพัด แต่เขายังไม่รู้ตัวว่ามีใครบางคนที่อาจน่ากลัวพอๆ กับฝันร้ายเมื่อครู่นี้ กำลังรอคอยอยู่

จากคุณ : zoi
เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 54 20:19:06




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com