เกวียนขนของค่อยๆ ชะลอตัวช้าลงจนหยุดสนิทอยู่กับที่ เสียงพูดคุยถามไถ่ของสตรีนางหนึ่งดังลอดผ้าฝ้ายผืนหนาเข้ามาให้ได้ยินอยู่แว่วๆ ทำให้เจ้าคนที่ชายหนุ่มลอบจับตามองเริ่มขยับตัว พร้อมกับหันมาสะกิดให้เขาดึงกระสอบเปล่าอีกผืนขึ้นมาคลุมร่างไว้ จากนั้นเจ้าตัวก็บ่นอะไรงึมงำอยู่คนเดียวด้วยภาษาที่ชายหนุ่มฟังไม่รู้เรื่อง พอขาดคำ ผ้าผืนหนาที่ปิดคลุมสินค้าในเกวียนอยู่ก็ถูกกระชากเปิดออกแทบจะทันที เอลเผลอกลั้นหายใจ หลับตาแน่นโดยไม่รู้ตัว เฝ้ารอเวลาที่จะถูกมือของใครบางคนกระชากร่างออกจากกองสัมภาระตามติดผ้าผืนนั้นไปบ้าง หากรออยู่นานก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายหนุ่มจึงกล้าพอที่จะลืมตาขึ้นมอง ภาพที่เขาเห็นผ่านทางช่องตารางห่างๆ ของผืนกระสอบ คือร่างสูงสง่าน่าเกรงขามของนักบวชหญิงที่เดินวนเวียนตรวจตราสินค้าในเกวียน แล้วบังเอิญมาหยุดยืนตรงตำแหน่งที่เขาขดตัวซ่อนอยู่พอดี ชายหนุ่มพยายามทำตัวให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหงื่อไหลจนเปียกชุ่มแผ่นหลังไปหมดทั้งที่อากาศยามนั้นก็ไม่ได้ร้อนสักนิด เป็นเวลานานทีเดียวกว่านักบวชหญิงผู้นั้นจะละสายตาจากกองสัมภาระรอบร่างเขา หันไปส่งสัญญาณให้แม่ค้าชาวบัลซาร์พาเกวียนเคลื่อนที่ต่อไปได้ เอลรับรู้อาการไหวสะเทือนน้อยๆ ใต้ร่างขณะที่ล้อเกวียนเริ่มหมุนอีกครั้งด้วยความโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เขาเกือบจะเผลอถอนหายใจออกมาแล้ว หากต้องพยายามกลั้นเอาไว้ด้วยกลัวว่าจะเกิดเสียงดังจนได้ยินไปถึงคนบังคับเกวียน ชายหนุ่มนึกแปลกใจอยู่ครามครันที่นักบวชหญิงมองไม่เห็นทั้งเขาและเมล ทั้งที่กระสอบป่านก็ใช่ว่าจะผืนใหญ่ ต่อให้พยายามขดตัวยังไง ก็คงต้องมีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายโผล่ออกไปให้เห็นบ้างละน่า...แล้วทำไมนางถึงไม่สังเกตเห็น? ชายหนุ่มยังไม่ทันจะได้คิดหาคำตอบให้ตนเอง เกวียนขนของก็แล่นอ้อมตัวตึกเก่าแก่ด้านหน้า ผ่านสวนสมุนไพรและแปลงปลูกองุ่นขนาดย่อม มาหยุดนิ่งอยู่ในพื้นที่ส่วนหลังของวิหารซึ่งมีโรงครัวชั้นเดียวสร้างด้วยหินสีเทาทึมตั้งอยู่โดดเดี่ยว ด้านหนึ่งติดกับลานซักล้างเยื้องบ่อน้ำขนาดใหญ่ก่อด้วยหินมีหลังคาคลุม อีกด้านติดกับทางเดินออกสู่ป่าละเมาะนอกอาณาเขตวิหาร เอลแอบมองผ่านรอยต่อของแผ่นไม้ข้างเกวียน เห็นแม่ค้าร่างอ้วนเดินตรงไปเคาะประตูบานเล็กด้านหลังโรงครัวอย่างคุ้นเคย สักพักประตูบานนั้นก็เปิดออก หญิงผู้หนึ่งชะโงกหน้าออกมามองแล้วทำกิริยาเชื้อเชิญให้นางก้าวเข้าไปภายใน พอลับร่างของสตรีทั้งสอง เอลก็ถูกสะกิดอีกครั้งโดยคนข้างกาย ฝ่ายนั้นส่งสัญญาณบอกให้เขากระโดดลงจากเกวียนแล้วพุ่งตัวนำลงไปก่อน ชายหนุ่มจึงรีบกระทำตามบ้าง แต่ด้วยความที่ไม่ค่อยเคยคุ้นกับการเคลื่อนไหวทำนองนี้ เขาจึงเสียหลักล้มกลิ้งไม่เป็นท่า เสียงดังพลั่กและฝุ่นดินที่ฟุ้งตลบ ทำให้คนนำหน้าต้องหันกลับมามองด้วยทีท่าอนาถใจ ก่อนจะขยับเข้ามาลากแขนเขาให้วิ่งต่อไปจนถึงบ่อน้ำใกล้ๆ ได้สำเร็จ ทันเวลาก่อนที่แม่ค้าชาวบัลซาร์จะย้อนกลับมาที่เกวียนพอดี ชายหนุ่มค่อยๆ แนบแผ่นหลังเข้ากับก้อนศิลาชื้นเย็นเต็มไปด้วยคราบตะไคร่ พยายามงอตัวให้ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับขอบบ่อไว้เสมอ เขาเหลียวมองรอบกายอย่างระแวดระวังเต็มที่ โชคดีที่การซักผ้าช่วงเช้าเสร็จสิ้นไปแล้ว บริเวณลานซักล้างจึงปราศจากผู้คน เอลลอบระบายลมหายใจแผ่วๆ ก่อนจะเอี้ยวกาย ยืดร่างขึ้นแค่พอให้ดวงตาโผล่พ้นเหนือขอบบ่อ เฝ้ามองความเคลื่อนไหวที่โรงครัวด้วยหัวใจเต้นระทึก นอกจากแม่ค้าชาวบัลซาร์แล้ว ยังมีหญิงรับใช้และสตรีวัยกลางคนร่างท้วมอีกผู้หนึ่งตามหลังนางออกมาด้วย สตรีคนหลังสุดนี้ยืนมองดูสาวใช้ช่วยกันลำเลียงข้าวของจากเกวียนเข้าไปเก็บในห้องครัวด้วยท่าทางเข้มงวด สักพักนางก็หันไปพูดอะไรบางอย่างกับคนเป็นแม่ค้า อาการทำไม้ทำมือของนางบ่งบอกถึงความไม่พอใจชัดเจน ...นางคงรู้แล้วว่าสินค้าที่นำมาส่งคราวนี้ไม่ครบตามจำนวน เอลรู้สึกเห็นใจแม่ค้าร่างอ้วนอยู่เหมือนกัน แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะถ้าเขากับเมลไม่แอบขนสินค้าบางส่วนลงเสียบ้างก็คงไม่สามารถเข้าไปขดตัวซ่อนอยู่ในเกวียนขนของแคบๆ เช่นนั้นได้ ชายหนุ่มละสายตาจากภาพตรงหน้า หันไปกระซิบถามคนข้างกาย ทีนี้เอาไงต่อล่ะท่านเมล ฝ่ายถูกถามขบริมฝีปากล่างทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า ไปหลบทางโน้นก่อนแล้วกัน เอลทอดสายตามองข้ามลานกว้างด้านขวามือไป ทางโน้น ตามที่ชายหนุ่มหน้าสวยพูดถึง สิ่งที่เขาเห็นผ่านบรรดาผ้าปูเตียงและชุดเสื้อกระโปรงหลากสีซึ่งโบกสะบัดล้อลมอยู่บนราวไม้ คือที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้างขนาดกะทัดรัดประกอบขึ้นจากไม้ทั้งหลัง ลักษณะเป็นห้องทรงสี่เหลี่ยมห้องเดียว ไม่มีหน้าต่าง แต่มีประตูและช่องระบายอากาศเป็นซี่ไม้ตีโปร่งๆ อยู่สูงขึ้นไป หลังคาด้านหนึ่งยื่นล้ำออกมาเหมือนปีกรองรับด้วยเสาไม้แข็งแรง แผ่ร่มเงาปกคลุมท่อนฟืนสดจำนวนมากที่วางเรียงซ้อนเป็นกองสูงอยู่บนยกพื้นเตี้ยๆ หน้าประตูบานแคบมีแท่นไม้ทรงกลมสำหรับผ่าฟืนตั้งอยู่ ขวานเล่มใหญ่วางพิงอยู่ข้างๆ พร้อมด้วยมัดฟืนขนาดเล็กสองสามมัด ห่างออกไปอีกหน่อยเป็นที่ตั้งของเรือนแถวยาวก่อด้วยอิฐสีแดงดูโอ่อ่า จำนวนหน้าต่างหลายสิบบานที่เห็น ทำให้เอลเดาได้ไม่ยากว่าอาคารหลังนี้คงจะเป็นเรือนพักของพวกนักบวชนั่นเอง เมลิอานาร์ชะเง้อมองกลุ่มสตรีที่พากันออกมายืนอออยู่หลังโรงครัวอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าพวกนางต่างก็พุ่งความสนใจไปที่เกวียนขนของ จึงส่งสัญญาณให้เอลออกวิ่งตัดลานกว้าง เร้นกายลัดเลาะไปตามช่องว่างระหว่างราวไม้แต่ละแถว อาศัยบรรดาเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ตากอยู่บนนั้นช่วยกำบังร่างไว้จากสายตาของคนในวิหารอีกชั้นหนึ่ง เมื่อมาถึงจุดหมาย หญิงสาวก็ออกแรงดึงประตูบานแคบให้แง้มเปิดออก แล้วแทรกกายเข้าไปภายในอย่างรวดเร็วโดยมีเอลก้าวตามมาติดๆ สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตาของคนทั้งคู่เมื่อปิดประตูลงตามหลังคือห้องสี่เหลี่ยมค่อนข้างมืด มีละอองฝุ่นบางเบาปลิวให้เห็นอยู่ยิบๆ ในแสงแดดซีดจางที่ส่องกระทบฝาผนังเป็นลำผ่านทางช่องลม มุมหนึ่งของห้องเต็มไปด้วยไม้ฟืนที่ผ่านการตากจนแห้งสนิทดีแล้ว เรียงเป็นกองสูงท่วมศีรษะ อีกมุมหนึ่งมีตะกร้าสำหรับขนฟืนทำจากแผ่นหนังรูปรีพร้อมหูหิ้วโค้งๆ วางสุมอยู่ นอกจากนี้ยังมีกิ่งไม้แห้งขนาดเล็กมัดรวมกันเป็นกำ วางพิงฝาห้องอยู่หลายสิบกำ เอลทิ้งตัวลงนั่งแปะกับพื้นด้วยอาการคล้ายคนหมดแรง ถอนหายใจออกมาเสียงดังอย่างโล่งอก เฮ้อ...นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว ทำไมล่ะ อ้าว.... เขาร้องพลางเงยหน้ามองคนถามที่ยืนหมุนไปหมุนมาอยู่ข้างกาย แต่ไม่อาจเห็นสีหน้าของฝ่ายนั้นได้ถนัด ท่านไม่เห็นตอนที่นักบวชหญิงยืนจ้องอยู่ข้างเกวียนหรือไง ข้านึกว่าจะถูกนางจับโยนออกไปนอกวิหารซะแล้ว ยังแปลกใจไม่หายที่นางยอมปล่อยให้เกวียนผ่านเข้ามาง่ายๆ เหมือนกับมองไม่เห็นพวกเราอย่างนั้นแหละ ก็ไม่เห็นน่ะสิ เมลิอานาร์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงธรรมดาที่สุด แล้วขยายความต่อเมื่อได้ยินเสียงอุทานเหมือนไม่เชื่อถือของคนฟัง ข้าท่องคาถาทำให้เกิดภาพลวงตาขึ้น นางคงมองเห็นเราสองคนเป็นกระสอบมันฝรั่งหรืออะไรสักอย่างละมั้ง คาถา? เอลทวนคำก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักกับตนเอง มิน่าล่ะ ชายหนุ่มนึกทบทวนเหตุการณ์ที่เพิ่งประสบมาเมื่อครู่แล้วอดหัวเราะไม่ได้ แผนการบ้าบิ่นของท่านนี่นับว่าไม่เลวเหมือนกันนะท่านเมล อย่าเพิ่งด่วนดีใจไป เอล ฝ่ายถูกชมไม่ยักปลื้มไปด้วย ส่วนที่ยากที่สุดของแผนข้ามันอยู่ต่อจากนี้ต่างหาก พูดแล้วหญิงสาวก็สะกิดไหล่คนที่นั่งขวางทางอยู่ให้หลีก ก่อนจะแง้มประตูให้เปิดออกอีกครั้ง นางสอดส่ายสายตาผ่านช่องแคบๆ ออกไปสำรวจสภาพภายนอก เมื่อตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่าปลอดภัยดีจึงหันกลับมา บอกกับชายหนุ่มเพียงสั้นๆ ว่า
เจ้ารออยู่นี่ก่อนนะเอล ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ คนออกคำสั่งก็ก้าวพรวดออกนอกห้องไป เขาจึงจำต้องเดินไปทรุดตัวลงนั่งพิงผนัง หลบอยู่ในเงามืดข้างกองฟืน เหม่อมองไปที่ประตูบานเดียวในห้องนั้นอย่างไม่รู้จะทำอะไร ดีหน่อยที่ตอนนี้เพิ่งจะย่างเข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วง ห้องเก็บฟืนจึงถือได้ว่าเป็นที่ซ่อนที่ปลอดภัยพอสมควร อย่างน้อยก็จนกว่าจะมีใครสักคนต้องการใช้ฟืนขึ้นมานั่นแหละ
แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 54 12:52:42
จากคุณ |
:
akihiro
|
เขียนเมื่อ |
:
18 ก.ย. 54 12:22:17
|
|
|
|