เสียงฝีเท้าวิ่งโครมๆ ขึ้นบันได กริชวางมือจากงาน ไขไส้ตะเกียงลานที่วางอยู่ตรงหน้าให้สูงขึ้นอีกนิด การพรางไฟทำให้ต้องไขไส้ไว้ต่ำเสมอ
พอลุกไปเปิดประตู ก็เห็นสุชัยยืนหอบอยู่ที่ระเบียง ข้างตัวมีผู้ชายวัยเดียวกันอีกคน แสงจากตะเกียงช่วยให้เห็นสีหน้าตื่นๆ ของทั้งคู่ชัดเจนทีเดียว จึงดึงบานประตูให้กว้างขึ้นพลางหลีกทางให้เข้ามาภายใน พอเดาได้ว่าเพิ่งไปทำอะไรกันมา
พอประตูเปิด สุชัยแทบจะเรียกว่าพุ่งตัวผ่านชายหนุ่มผู้ซึ่งตัวนับถือเป็นพี่เข้ามากองลงบนพื้นไม้ หลังพิงฝาห้อง สองขาเหยียดยาวมาข้างหน้า หอบจนตัวโยน อีกคนตามติดเข้ามา แล้วทิ้งตัวโครมลงข้างๆ ในสภาพไม่ต่างอะไรกัน
กริชชะโงกหน้ามองออกไปภายนอก พอไม่เห็นว่ามีใครอีกก็ปิดประตูอย่างใจเย็น เดินเนิบๆ กลับมาที่โต๊ะทำงาน วางตะเกียงกลับลงที่เดิม แล้วไขไส้ให้เหลือสั้น แสงสว่างจากดวงไฟหรี่วูบตามไปด้วย
"ไปทำอะไรกันมาล่ะ ชิต"
เอ่ยปากถามเด็กหนุ่มซึ่งฟังเสียงพูดได้ยิน เขาคุ้นเคยกับสิ่งที่สองหนุ่มได้กระทำมาระยะหนึ่งดีอยู่แล้ว มือหมุนดินสอบนโต๊ะเล่น เคยตั้งใจจะเตือนสุชัยไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ไม่ใช่เพราะไม่เห็นด้วย หากเพราะความพิการ ทำให้รู้ว่าอันตรายเพียงไรที่เด็กหนุ่มซึ่งตัวดูแลมาแต่เล็กแต่น้อยเข้าไปทำงานเสี่ยงตายแบบนั้น
แต่เมื่อมาคิดอีกที ถ้าตัวไม่ใช่ข้าราชการ ไม่มีคนสองคนให้ต้องดูแล...คนหนึ่งพิการ อีกคนแก่มากแล้ว
ก็อาจเข้าร่วมงานลักษณะนั้นด้วยก็เป็นได้ การทำงานเช่นปกติไปทุกเมื่อเชื่อวัน ราวไม่มีอะไรเกิดขึ้นรอบตัว ราวประเทศชาติไม่ได้ถูกรุกราน และกลายเป็นสนามรบไปโดยไม่มีเจ้าของประเทศคนใดยินยอมอย่างเต็มอกเต็มใจนั้นบางครั้งก็ให้รู้สึกละอาย
วิชิตได้แต่หัวเราะแหะๆ ไม่มีคำตอบให้ ในขณะที่อีกคนเอาแต่นั่งเงียบเพราะไม่ได้ยินคำถาม
ประตูห้องนอนทางขวามือเปิดออกครึ่งๆ ร่างผอมเกร็งเยี่ยมหน้าออกมาดู
"มีอะไรกันรึพ่อกริช เสียงเอะอะโครมครามไปหมด"
นายธรรมการหนุ่มละสายตาจากเด็กหนุ่มบนพื้นแล้วเหลียวหลังไปดู
"ไม่มีอะไรครับยาย สุชัยกับวิชิตเพิ่งมาถึง"
กริชบอกเพียงเท่านั้น นางไวไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรสักเท่าใดนัก และเขาก็ต้องการให้เป็นอยู่อย่างนี้ต่อไปอีกสักพัก 'คุณหญิง' ฝากบ่าวสูงวัยคนนี้ไว้กับเขา เช่นเดียวกับที่เธอฝากสุชัยให้อยู่ในความดูแลของเขามานานปี จึงถือเป็นหน้าที่สำคัญที่จะต้องดูแลทั้งคู่ให้ดีที่สุด และความรับผิดชอบสำคัญที่สุดในเวลาเช่นนี้คือให้แน่ใจว่าทั้งคู่จะอยู่รอดปลอดภัยจนสงครามสิ้นสุด
บ่าวเก่าแก่ของไอรีนมองมาที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนแวบหนึ่ง พยักหน้ารับรู้ แต่ก็ยังไม่วายถามต่อ
"กินอะไรกันรึยัง"
คำถามนั้นช่วยให้กริชคิดได้ เมื่อเขาเลิกงานกลับบ้านพัก สุชัยก็ไม่อยู่เสียแล้ว
"ผมจัดการให้เอง ยายกลับไปนอนเถอะ"
นางไวเองก็เริ่มจะคุ้นเคยกับการหายตัวไปในเวลาค่ำคืนของเด็กหนุ่มหูหนวกเป็นใบ้ ยิ่งระยะหลัง ยิ่งถี่ขึ้นเรื่อยๆ หากก็ไม่เคยติดใจสงสัย ด้วยคิดว่าเด็กรุ่นหนุ่มแบบนี้ต้องมีบ้างหรอกที่อยากไปไหนมาไหนตามประสา และยิ่งมีชายหนุ่มผู้มีความรู้สึกรับผิดชอบสูงอย่างกริชคอยสอดส่องดูแลอยู่อย่างนี้ด้วยแล้ว นางก็ยิ่งวางใจ
จึงผลุบหายกลับเข้าไปในห้องโดยไม่ซักถามอะไรอีก
เมื่อมีนางไวมาอยู่ด้วย กริชยกห้องนอนของตัวเองให้ และเมื่อต้องนอนห้องเดียวกับสุชัย เวลาเย็นค่ำ เรื่อยไปจนดึกดื่น จากที่เคยเอางานแต่ละวันกลับมาทำต่อในห้องนอน ก็จำต้องย้ายตัวเองมานั่งทำงานในห้องอเนกประสงค์ห้องนี้แทน ด้วยเกรงว่าแสงสว่างซึ่งตามอยู่ครึ่งค่อนคืนเป็นประจำนั้นจะรบกวนเวลานอนของเด็กหนุ่มจนเกินไป
"กินอะไรกันหรือยัง" ย้ำคำถามนั้นเสียเอง คราวนี้เขาถามสุชัย ทั้งด้วยคำพูดประกอบภาษามือซึ่งเป็นที่เข้าใจกัน
เด็กหนุ่มส่ายหน้า
"ยายทอดปลาไว้ให้ตั้งแต่เย็น เห็นไม่กลับ ก็เลยเก็บเข้าตู้ไว้"
เป็นเรื่องเกือบจะปกติเสียแล้วที่สุชัยกลับมารับประทานอาหารเย็นเมื่อดึกแล้วเช่นนี้ อาหารซึ่งนางไวเป็นคนลงมือทำ จึงมักถูกแบ่งไว้ให้ส่วนหนึ่งเสมอ
"มา...ชิต พี่จะทำแกงจืดไข่ให้กิน ปลาทอดก็ยังมีเหลืออยู่อีกสองตัว"
ในเวลาสงครามเช่นนี้ เนื้อหมู เนื้อวัว และเนื้อไก่เริ่มขาดแคลน อาหารทะเลยังพอมีบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองชายทะเลอย่างชะอำ รัฐบาลจึงส่งเสริมให้ประชาชนปลูกผักและเลี้ยงสัตว์เพื่อใช้เป็นอาหารในครัวเรือน ด้วยรู้ว่าสถานการณ์ที่เลวร้ายลงจะทำให้ข้าวปลาอาหารขาดแคลน บ้านนายอำเภออรุณจึงเริ่มเลี้ยงไก่เพื่อได้มีไข่มาปรุงอาหาร บ้านนั้นเลี้ยงไก่กันอย่างเป็นล่ำเป็นสันเลยทีเดียว วันๆ ได้ไข่มาทำอาหารกินกันอย่างเหลือเฟือ จนต้องแจกจ่ายไปตามบ้านคนสนิทชิดชอบอยู่เสมอ
เรือนครัวนั้นสร้างแยกออกไปเป็นเรือนอีกหลัง ต่อออกไปทางด้านหลังของเรือนซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย
กริชติดเตาไฟเพื่อหุงข้าวขึ้นใหม่อีกหม้อ ด้วยเห็นว่าข้าวสวยที่เหลือคงไม่พอสำหรับชายหนุ่มกำลังกินกำลังนอนถึงสองคน ถ้าเป็นสุชัยเพียงคนเดียว คงกินแต่ปลาทอดกับข้าวเย็นที่เหลือได้ แต่เมื่อมีวิชิตอีกคน ปลากระบอกสองตัวไม่พอแน่นอน คงต้องทอดปลาเพิ่มอีกสักสองตัว
เสียงรถยนต์ดังแว่วมาจากหน้าบ้าน วิชิตซึ่งกำลังซาวข้าวถึงกับชะงักมือ ระมัดระวังตัวตลอดเวลาอยู่แล้ว กริชเองก็เช่นกัน
"อยู่นี่แหละ อย่าออกไปให้พวกนั้นเห็น" กริชสั่ง แล้วผลุนผลันลงบันไดเรือนครัวไปดู
นอกประตูรั้วหน้าบ้านมีรถทหารเพิ่งแล่นเข้ามาจอดสองคัน แสงจากโคมไฟหน้ารถส่องให้เห็นทหารญี่ปุ่นกลุ่มใหญ่ทีเดียวกำลังทยอยกันลงจากรถ
กริชไม่เสียเวลานับว่าจำนวนทหารที่เห็นมีกันกี่คน สาวเท้ากลับขึ้นเรือนครัวแล้วออกปากสั่งอีกครั้ง
"ทหารญี่ปุ่น หลบกันไปทางข้างหลังนี่แหละ พวกนั้นคงจะมาค้นบ้าน"
วิชิตวางหม้อข้าวลงกับพื้นครัว ขยับลุกยืน เด็กหนุ่มเตรียมตัวพร้อมรับเรื่องแบบนี้มานานแล้ว
กริชคว้าแขนสุชัยซึ่งยืนงงด้วยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นให้หันมาหา แล้วออกคำสั่งช้าๆ ทีละคำ
"หลบไปก่อน สุชัย ทหารญี่ปุ่นคงรู้แล้วว่าอยู่กันที่นี่ ระวังตัวให้ดีๆ เรื่องเงียบแล้วค่อยกลับมา"
เด็กหนุ่มผงกศีรษะรับรู้อย่างสงบ ด้วยเตรียมตัวเตรียมใจมานานแล้วเช่นกัน
นายธรรมการหนุ่มสั่งเสีย น้องชาย แล้วคว้าได้ใบตองซึ่งนางไวตัดเตรียมไว้ห่ออาหาร เทข้าวเย็นที่เหลือลงไปหมดทั้งจาน หยิบปลาจากอีกจานโปะลงไปด้วย ห่อลวกๆ แล้วยัดใส่มือสุชัย ก่อนหมุนร่างซึ่งเล็กกว่าให้หันไปทางวิชิตที่ยืนคอยอยู่เชิงบันไดเรือนครัวแล้ว
เด็กหนุ่มพิการยังไม่วายเหลียวมาหาคนซึ่งตัวนับถือไม่ต่างอะไรจากพี่ชายอีกครั้ง นานนับสิบปีแล้วที่ตัวเป็นเหมือนเงาของ พี่ชาย คนนี้ ไม่ว่าชีวิตจะหักเหอย่างไร ก็ยังไม่เคยแยกจากกันไปไหนนานๆ เลยสักครั้ง
"ดูแลตัวเองให้ดีๆ นะชัย อย่าให้พวกญี่ปุ่นจับได้"
ในความสลัวราง สุชัยผงกศีรษะรับรู้
กริชแน่ใจว่าในแววตาซึ่งสงบนิ่งอยู่เป็นนิตย์ แทบไม่เคยสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ออกมาให้เห็นสักครั้งเลยนั้น มีร่องรอยห่วงหาอาวรณ์สะท้อนวาบออกมาให้เห็น