พิศวาสนาคา เสน่หานิรมิต (บทที่ 14 การปรากฎตัวของรักตปักษ์)
|
 |
บทที่ 14 การปรากฎตัวของรักตปักษ์
หลังมื้ออาหารเย็นชลธิชาก็รีบปราดลงจากเรือนพักหลังย่อม เร่งฝีเท้าไปตามขอบฝั่งโขงในยามราตรียังดีที่แสงเดือนแสงดาวบนฟ้ายังพอส่องแสงนำทางให้หญิงสาวได้
สีหน้าและแววตาของเก็จลดาที่มองเธอมันทำให้ชลธิชาไม่สบายใจเอาเสียเลย หากไม่ได้ปรับความเข้าใจกันเธอก็คงไม่มีความสุขแน่
สองตาของหญิงสาวหรี่มองสตรีร่างสมส่วนที่ยืนอยู่ริมฝั่ง อาภรณ์สีดำทึบอันหม่นหมองทำให้มองเห็นไม่ชัดนัก ชลธิชาค่อยๆ สืบเท้าเข้าไปใกล้จนกระทั่งแน่ใจว่าเธอคือเก็จลดาไม่ผิดแน่
ดวงตาสีดำสนิทแหงนมองดวงจันทร์ที่ทอแสงบนฟากฟ้า ลมเย็นหวีดหวิวยามดึกพัดหอบเอาไอน้ำจากกลางสายธารกว้างใหญ่ปะทะสองร่างที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง
ดา... คำเดียวที่หลุดออกจากปากได้ดึงให้เก็จลดาหันขวับมา ความจริงเธอรู้อยู่แล้วว่ามีคนอยู่ใกล้เพียงแต่ทำเป็นไม่สนใจเท่านั้นเอง
ดวงตาสีดำสนิทอันทรงอำนาจเพ่งมองวงหน้าเนียนละเอียดของชลธิชา มีเรื่องอะไร? เอ่ยถามผู้เป็นเพื่อนก่อนเชิดหน้าขึ้นสูง
ฉันอยากอธิบาย...
อธิบายอะไรชล...เธอมีอะไรต้องอธิบายงั้นเหรอ?
ที่พวกฉันมาที่นี่โดยไม่ได้บอกเธอ มันคงทำให้เธอโกรธ ชลธิชาลากเสียงค้าง
ไม่หรอก...ฉันไม่ได้โกรธเธอเรื่องนี้... น้ำเสียงของเก็จลดาฟังดูเย็นเยียบและแข็งกระด้างเหมือนแววตาที่จ้องมองฝั่งตรงข้าม คำพูดของคนเป็นเพื่อนทำให้ชลธิชาได้แต่ยืนนิ่ง... เธอรู้อยู่เต็มอกว่าเก็จลดาคิดเช่นไรกับศรัณย์ แต่...เขาคือคนรักของเธอนะ !
เธอไม่คู่ควรกับศรัณย์...ชลธิชา สิ่งที่ได้ยินทำให้หญิงสาวอ้าปากค้าง ร่างอรชรที่อยู่ในอาภรณ์สีดำสนิทก้าวเข้ามาหาอย่างรวดเร็วจนถึงตัว
ฉันกับศรัณย์...เรามีบางอย่างที่เหมือนกัน แต่เธอไม่... เก็จลดายกยิ้ม ดวงตาสีดำสนิทจ้องลึกลงไปยังสองตาที่ไหวระริกของชลธิชา ออกไปจากชีวิตเค้าซะ...
ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น...เธอไม่มีสิทธิ์มาพูดอย่างนี้นะเก็จลดา เธอไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิด คำตอบกลับที่ได้ยินทำให้ความโกรธที่กำลังแผดเผาหัวใจของเก็จลดาลุกโชนขึ้นไปอีก มือเรียวยกขึ้นสูงหมายจะฟาดลงยังใบหน้าของอีกฝ่ายแต่ทว่าสุ้มเสียงห้าวห้าวหาญที่ดังขึ้นก็ทำให้เธอหยุดชะงักเสียก่อน
หยุดเดี๋ยวนี้นะ... ศรัณย์ร้องก้องมาแต่ไกลก่อนวิ่งดุ่มๆ เข้ามาหาคนรักและยึดร่างเธอไว้ สองตาเขียวคล้ำจ้องหน้าเก็จลดาด้วยความไม่พอใจ
เธอจะทำอะไรเก็จลดา... มือที่ยังนิ่งค้างอยู่กลางอากาศค่อยๆ ลดลงต่ำในขณะที่สองตาได้แต่เพ่งมองชายหนุ่มตรงหน้าที่ยืนปกป้องคนรักไว้อย่างหวงแหน
ความปวดร้าวแล่นปราดขึ้นมาตั้งแต่ปลายเท้าจรดศีรษะ ความห่วงใยแม้เพียงนิดศรัณย์ก็ไม่เคยมีให้เธอแต่เธอก็ยังอุตส่าห์เฝ้าหวัง เฝ้าคิด เฝ้าปรารถนาว่าเขาอาจจะมีใจให้เธอบ้างในสักวัน...
เธอควรจะตาสว่างและตัดใจจากเขาได้สักที... ในเมื่อเขาไม่ได้คิดกับเธอมากไปกว่าเพื่อนคนนึงเลย
เก็จลดาค่อยๆ ถอยหลังทีละก้าว หากสายตายังคงครอบครองวงหน้าคร้ามคมของชายหนุ่มอยู่อย่างนั้น หยดน้ำตาใสๆ รินไหลลงอาบเปื้อนแก้มทั้งสองข้าง ภาพวันคืนเก่าๆ ในสมัยอดีตค่อยๆ ปรากฎในมโนจิต เธอทำได้เพียงแค่แอบรักเขาโดยที่ไม่อาจจะแสดงความรู้ที่แท้จริงให้ใครได้รับรู้ การรักใครสักคนโดยที่เขาไม่เห็นคุณค่าในรักของเรามันช่างเป็นทุกข์ยิ่งนัก... คงต้องให้ตายจากกันไปเสียกระมังเธอถึงจะลืมเขาได้...
ญาดาวีคอยมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนทั้งสามของเธออยู่ห่างๆ เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์จบลงด้วยดีจึงตรงเข้าสู่ห้องพักและกดสายไปหาใครบางคนที่เธอกำลังคิดถึง
สวัสดีค่ะคุณวายุ... ทันทีที่ได้ยินเสียงชายหนุ่มทักกลับมาก็ทำให้ริมฝีปากเรียวสวยคลายยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว เขาจะรู้บ้างรึเปล่าว่าเกิดเรื่องไม่คาดฝันที่นี่มากมายแต่ทว่าญาดาวีกลับรู้สึกอุ่นใจคล้ายว่ามีเขาอยู่เคียงข้างกายอยู่ทุกเวลา
ทุกอย่างเรียบร้อยใช่มั้ยครับ? คำถามของเขาทำให้หญิงสาวเบิกตากกว้างด้วยความตกใจ
คุณรู้เรื่องเหรอคะ? ชายหนุ่มไม่ยอมตอบคำถามหากแต่ว่าได้แต่คลายยิ้มบางๆ โดยที่หญิงสาวไม่มีทางเห็น
ช่างเถอะครับ...ว่าแต่ที่โทร.มาหาผมนี่มีเรื่องอะไรให้ช่วยใช่มั้ยครับ?
แหม...วีก็แค่... จะบอกไปว่ากำลังคิดถึงเขาก็ไม่กล้าพูดออกไปซะอย่างนั้น ได้พบกันแค่สองสามครั้งแต่หัวใจมันกลับรู้สึกผูกพัน อย่างบอกไม่ถูก เอ่อ...คือว่าตอนนี้วีมาที่บ้านคุณน้ากลิ่นจันทร์น่ะคะ แล้วก็ได้ทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว ที่แท้คุณน้ากลิ่นจันทร์ก็เป็นเพื่อนกับคุณป้าพิมพ์ดาวจริงๆ ด้วย เรื่องที่คุณวายุเล่าให้ชั้นฟังก็เป็นเรื่องจริงทุกอย่าง...
ครับ... ชายหนุ่มตอบรับอ่อนโยน
แต่...ญาติของน้ากลิ่นจันทร์บอกว่า ในอดีต...คุณเป็นสมุนของรักตปักษ์... คำพูดของญาดาวีทำให้รอยยิ้มกรุ้มกริ่มของชายหนุ่มค่อยๆ จางหายไป ไม่มีใครสามารถกลับไปแก้ไขเรื่องราวในอดีตชาติได้แน่... เขาเคยเป็นสมุนของรักตปักษ์ มันคือความจริง
คุณวี... เขาเรียกหญิงสาวเบาๆ จนญาดาวีต้องย่นคิ้ว คุณเชื่อเรื่องอดีตชาติมั้ยครับ? คำถามของเขาทำให้หญิงสาวเผลอหัวเราะเบาๆ
แต่ก่อนอาจจะไม่ แต่มาตอนนี้ชั้นได้เจอเรื่องราวไม่คาดฝันมากมาย...มันทำให้ชั้นอดที่จะเชื่อเรื่องเหนือจินตนาการอื่นๆไม่ได้ค่ะ ญาดาวีตอบตามความคิดก่อนที่วายุจะสูดหายใจเข้าปอดก่อนจะเริ่มเรื่อง
ในอดีตชาติ ผมเกิดเป็นครุฑและเคยเป็นสมุนของรักตปักษ์ตามที่คุณว่า แต่ต่อมาผมขอตอนตัวจากรักตปักษ์... ญาดาวีถึงกับนิ่งค้างไปพักใหญ่ก่อนจะเรียกสติคืนกลับมาได้เพราะเสียงเรียกของวายุ
แล้ว...เราสองคนมาเกี่ยวข้องกันได้ยังไง ทำไมคุณถึงบอกให้ชั้นคอยช่วยเหลือชลธิชา ทำไมคุณถึงเชื่อว่าชั้นจะช่วยพวกเค้าได้...
คุณเคยกำเนิดเป็นนาคในตระกูลวิรูปักษ์...นาคสีทองที่ทรงฤทธานุภาพ คำพูดของชายหนุ่มช้าชัดจนคนฟังถึงกับขนลุกซู่ เบื้องบนส่งคุณลงมาอารักขาหญิงสาวผู้นำพามณีนาคสวาทสีเขียวมรกต ซึ่งก็คือคุณกลิ่นจันทร์ ซึ่งต่อมาตระกูลนิลนาคก็ได้ครอบครองมณีนาคสวาท...
แล้วเราสองคน... หญิงสาวเอ่ยถามติดๆ ขัดๆ พวงแก้มเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เราสองคนจะรักกันได้ยังไงใช่มั้ยครับ?... ผมเป็นครุฑ แล้วคุณเป็นนาค... วายุยิ้มเรียบๆ ก่อนระบายลมหายใจออกเบาๆ ช่างมันเถอะครับ มันก็แค่เรื่องในอดีต ผมไม่อยากพูดถึงมัน... ญาดาวีสัมผัสได้ถึงความหดหู่ใจในน้ำเสียงของชายหนุ่ม
แล้วตอนนี้ตระกูลรักตปักษ์ยังคงคิดที่จะทำร้ายน้ากลิ่นจันทร์กับศรัณย์อยู่รึเปล่าคะ คำถามของญาดาวีทำให้สองตาของวายุต้องเบิกโพลง ศรุตาผู้เป็นน้องสาวในอดีตชาติของเขายังคงอยู่เคียงข้างตรีดาวไม่ยอมห่างกาย ไหนจะได้มนุษย์สาวนามว่าศราวินคอยเป็นหูเป็นตาให้อีก เห็นทีว่านิลนาคคงจะต้องเผชิญกับการต่อสู้กับรักตปักษ์อีกครั้งเป็นแน่
ใช่ครับ... พวกเขากำลังตามหาตัวคุณกลิ่นจันทร์อยู่ วานคุณช่วยบอกคุณกลิ่นจันทร์ว่าให้ระวังสตรีในอาภรณ์สีแดงให้ดี ระยะนี้พยายามอย่าออกไปไหนไกล ตราบใดที่รักตปักษ์ยังไม่รู้ที่พำนักของพวกเขาก็ยังไม่มีอะไรต้องน่าห่วง
ค่ะ...ชั้นจะบอกคุณน้ากลิ่นจันทร์ตามนี้ ญาดาวีรับคำ
ส่วนคุณ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะไปรับนะครับ
คุณรู้ได้ยังไงว่าชั้นจะกลับบ้านพรุ่งนี้... ญาดาวีลากเสียงค้าง แปลกใจที่คนปลายสายรู้ถึงสิ่งที่เธอกำลังคิดอยู่ได้อย่างไร
คงเพราะผมสามารถสื่อถึงหัวใจคุณได้มั้งครับ... ดูแลตัวเองด้วยนะครับ เจอกันพรุ่งนี้... น้ำเสียงทุ้มกังวานสั่งเป็นครั้งสุดท้ายในขณะที่ญาดาวีเอาแต่นั่งม้วนอายอยู่บนเตียงนอน
ค่ะ...ชั้นจะรอคุณนะ
กลิ่นจันทร์เดินขึ้นบ้านมาพร้อมกับถาดเงินที่ว่างเปล่าภายหลังจากออกไปรอใส่บาตรพระในยามเช้าเช่นทุกวันในขณะที่กลุ่มหนุ่มสาวกำลังจัดเตรียมโต๊ะอาหารกันอย่างขมักเขม้น
คุณแม่มาพอดีเลย วันนี้ผมกับชลเตรียมอาหารเช้าไว้เพื่อคุณแม่โดยเฉพาะเลยนะครับ ศรัณย์โอบเอวมารดาก่อนพาไปนั่งยังโต๊ะอาหาร ชลธิชายกแกงอ่อมร้อนๆ มายังโต๊ะกับข้าวในขณะที่ญาดาวีถือถ้วยน้ำพริกปลาร้าและผักสดตามหลังมา
ได้เห็นลูกชายมีความสุข... กลิ่นจันทร์ก็พลอยมีความสุขไปด้วย ศรัณย์ได้คู่ครองที่รักใคร่และน่าเอ็นดูอย่างชลธิชาก็ทำให้เธอสุขใจไปได้ครึ่งนึง จะเหลือก็แต่สิ่งสุดท้ายที่คนเป็นแม่จะหวังกับบุตรชาย นั่นคือได้เห็นชายผ้าเหลือง หวังจะได้เกี่ยวเกาะขึ้นสรวงสวรรค์ยามลาโลกไป
เมื่อเก็บสำรับกับข้าวเรียบร้อยญาดาวีก็ขอลาจากไปโดยบอกกับเพื่อนสนิทว่ามีชายหนุ่มมารับรอรับที่หน้าหมู่บ้าน ไม่นานนักภุชคินทร์ที่ลงไปรักษาตัวยังบาดาลก็ขึ้นมาจากลำโขงพร้อมกับอรวินทร์ผู้มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้อง
ชั้นขอให้ลูกพักอยู่ที่นี่อีกสักสองสามวัน ชั้นยังไม่อยากให้เค้ากลับกรุงเทพฯ ช่วงนี้... คนเป็นแม่เปรยเสียงค่อยขณะยืนเกาะขอบระเบียงกว้างของเรือนพัก ทอดสายตาไปยังสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ เบื้องล่าง ภุชคินทร์ยกมือขึ้นแตะต้นแขนของคนรักเบาๆ
อย่าห่วงไปเลย อรวินทร์จะไปคอยดูแลลูกของเราด้วย จะไม่มีใครทำร้ายศรัณย์ได้แน่
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ชั้นก็ยังวางใจไม่ได้อยู่ดี... กลิ่นจันทร์ค่อยๆ ผินหน้ามาหาผู้เป็นสามีและจ้องหน้าเขาตรงๆ
ฉันอยากให้ลูกของเราบวช... ชั้นอยากจะเห็นชายผ้าเหลือง... น้ำใสๆ เคลียคลอที่สองเบ้าตาของหญิงวัยสี่สิบก่อนที่ภุชคินทร์จะขบกรามแน่นด้วยความอึดอัดใจ
แต่ลูกเราเป็น...เค้าเป็น...
ไม่ลองก็ไม่รู้นี่ เค้ามีสายเลือดมนุษย์อยู่ครึงนึง ต้องบวชได้สิ... กลิ่นจันทร์ยืนยันเสียงแข็งขณะที่ภุชคินทร์ค่อยๆ พริ้มตาหลับและถอนหายใจยาว
นาคสูงวัยเบิกดวงตาสีเขียวคล้ำจ้องมองผู้เป็นภรรยาตรงหน้า ก็ได้...แต่ต้องถามใจลูกก่อนนะ คำตอบจากสามีทำให้กลิ่นจันทร์ใจชื้นขึ้นมาบ้าง ภุชคินทร์ค่อยๆ ยกนิ้วขึ้นเช็ดน้ำตาให้คนรักเบาๆ ในขณะที่สองหนุ่มสาวกำลังเดินเล่นริมฝั่งโขงเหมือนอย่างเคย
สายรายงานว่าเห็นพวกนาคสีเขียวเกิดการปะทะกันแถบทางใต้ของอุบลฯ เมื่อสามวันก่อนค่ะ เป็นพวกนิลนาคไม่ผิดแน่... ศรุตายิ้มอย่างมั่นใจทันทีที่บอกเรื่องสำคัญแก่คนเป็นนาย ตรีดาวสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างฮึกเหิม ก่อนที่ศรุตาจะรายงานต่ออย่างตาลุกวาว
พวกมันยังบอกอีกว่า เห็นพวกชาวบ้านที่ปลูกเรือนอาศัยอยู่ริมฝั่งโขงกลายร่างเป็นนาคต่อสู้กับพวกเอราปถที่ขึ้นมาจากบาดาลด้วยนะคะ...
จริงเหรอ? ตรีดาวทวนถามเสียงสูง
ค่ะ...ตาสงสัยว่ามันอาจจะเป็นพวกนิลนาค อาจจะเป็นภุชคินทร์... ชื่อของตนนั้นทำให้ความโกรธของตรีดาวลุกโชนขึ้น พวกนิลนาค...พวกมันทำลายทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเธอ พรากตรัศวินผู้เป็นน้องชายไปจากเธอ ถึงเวลาที่เธอจะต้องเอาคืนให้สาสมแล้ว
ไปบอกศราวินให้เตรียมตัว...เราจะไปสืบให้รู้ว่าคนที่กลายร่างเป็นนาคาตนนั้นมันเป็นใคร เอ่ยสั่งแก่สมุนคนสนิทก่อนที่ศรุตาจะน้อมรับบัญชารีบไปหาศราวินเพื่อมุ่งสู่ดินแดนอีสานใต้
ญาดาวียื่นซองจดหมายให้กับนางพิมพ์ดาวผู้เป็นป้าก่อนที่หญิงวัยสี่สิบจะคลี่ออกอ่านอย่างใจเต้น ทันทีที่เห็นลายมือในกระดาษแผ่นเล็กก็ถึงกับทำให้คนอ่านน้ำตาซึม
จันทร์...นี่ลายมือกลิ่นจันทร์จริงๆ ด้วย พิมพ์ดาวพูดเสียงสะอื้น รีบอ่านข้อความในจดหมายที่อีกฝ่ายฝากญาดาวีมาให้
นี่ฉันเองนะพิมพ์ดาว... ฉันต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้ติดต่อกลับมาหลังจากที่หายไปในคราวนั้น ชีวิตของฉันที่ผ่านมามันช่างวุ่นวายเสียเหลือเกิน ฉันต้องขอโทษมะลิและป้าสายบัวที่ไม่ได้มีโอกาสไปดูแล แต่ตอนนี้เธอไม่ต้องเป็นห่วงนะ ฉันกับภุชคินทร์สบายดี หวังว่าเราคงได้พบกันอีกครั้ง.... กลิ่นจันทร์...
พิมพ์ดาวละสายตาจากกระดาษแผ่นเล็กก่อนเงยหน้าขึ้นจ้องหลานสาว ตอนนี้กลิ่นจันทร์อยู่ที่ไหนยัยวี ถามเสียงดังจนญาดาวีตกใจ
อุบลฯ ค่ะ... อยู่โขงเจียม
เหรอ?...พาป้าไปหาจันทร์หน่อยได้มั้ย ไปเดี๋ยวนี้เลย
คุณป้าคะ คุณวายุเพิ่งพาหนูกลับมาถึงเมื่อกี้นี่เองนะ...หนูว่ารออีกซักพักดีกว่า รอให้คุณน้ากลิ่นจันทร์เธอพร้อมแล้วเราค่อยไปหาก็ได้... ญาดาวีคิดว่าคนเป็นป้าคงไม่พร้อมที่จะรับรู้เรื่องราวที่เหนือความคาดหมายในตอนนี้แน่ นางพิมพ์ดาวคงช็อคหรือเสียสติไปแน่หากรู้ว่าภุชคินทร์คือนาคาและลูกชายของกลิ่นจันทร์ก็เป็นครึ่งนาคครึ่งมนุษย์
แต่ว่า...
ไม่ต้องแต่อะไรทั้งนั้นนะคะคุณป้า เชื่อวีค่ะ... คุณน้ากลิ่นจันทร์เธอสบายดีคุณป้าไม่ต้องเป็นห่วง
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะยัยวี แกจะไปรู้อะไรว่า สมัยอดีตน่ะเกิดเรื่องขึ้นตั้งมากมาย พวกเราต่างสงสัยและอยากรู้กันทั้งนั้นว่ากลิ่นจันทร์หายไปไหน และหายไปได้ยังไง แต่ได้รู้ว่ายัยจันทร์ลงเอยกับภุชคินทร์ป้าก็ดีใจไปได้ครึ่งนึง...
ค่ะ...แถมยังมีลูกชายด้วยกันอีกต่างหาก เดี๋ยววันหลังหนูจะพามาให้รู้จัก เขาเป็นแฟนยัยชลน่ะค่ะ
นี่จริงเหรอเนี่ย?... พิมพ์ดาวลากเสียง แววตาดูสุกใสขึ้นมา
แต่ตอนนี้ทั้งคู่คงยังอยู่ที่โขงเจียม เอาเป็นว่าต่อไปนี้คุณป้าก็ไม่ต้องคิดมากกับเรื่องเพื่อนสนิทที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้วนะคะ ญาดาวีบอกพร้อมกับคลี่ยิ้มกว้าง
กลิ่นจันทร์ลืมคำพูดของญาดาวีเสียสนิท วันที่สามหลังที่หญิงสาวผู้มีบารมีพิเศษจากไปเธอก็ตรงเข้าสู่ตัวเมืองเพื่อนำผ้าไหมผืนใหม่ที่เพิ่งทอเสร็จไปขายยังร้านประจำ วันนี้ลูกค้าค่อนข้างเยอะแต่กลิ่นจันทร์ก็ไม่รู้สึกหงุดหงิดแม้ต้องรอนาน จนกระทั่งเสร็จธุระจึงแวะหาซื้อข้าวของที่ตลาดใกล้ๆ แถบนั้น
สตรีทั้งสามผู้อยู่ในอาภรณ์สีแดงฉานเดินเกาะกลุ่มกันมา ดวงตาอันแหลมคมค่อยกวาดสายตาไปรอบบริเวณที่ล่วงผ่าน เหล่าพ่อค้าแม่ค้าและคนที่ผ่านไปมาต่างจ้องมองหญิงสาวทั้งสามผู้สง่างามอย่างตาไม่กระพริบ
เราต้องแยกกันแล้ว... ศราวินไปกับศรุตา อีกครึ่งชั่วโมงพบกันที่นี่ ตรีดาวสั่งผู้เป็นลูกน้องเมื่อมาหยุดอยู่ที่กลางตลาดที่ขายของชำนานาชนิด ศรุตารับคำก่อนนำหน้าศราวินเดินไปอีกทาง ส่วนตัวเองก็หันไปด้านซ้ายและมุ่งตรงไปอีกทาง
กลิ่นจันทร์หยิบเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนขึ้นดูแล้วก็นึกถึงผู้เป็นลูกชายก่อนจะต่อรองราคากับแม่ค้าจนเป็นที่พอใจจึงตกลงใจซื้อไปให้ศรัณย์ใส่ พอได้เข้าร้านเสื้อผ้าก็ทำให้หญิงวัยสี่สิบเพลินตา เสื้อลูกไม้สีขาวที่แขวนโชว์ไว้ตรงมุมร้านปักลวดลายได้ปราณีตบรรจงสะดุดตาไม่น้อย กลิ่นจันทร์ก้าวขาเดินตรงไปเพื่อจะหยิบมันมาดูก่อนที่หางตาจะเหลือบไปเห็นชายผ้าสีแดงสดเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หัวใจที่อกซ้ายเต้นระรัวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ก่อนจะค่อยๆ เบือนหน้าไปมองสตรีที่ยืนเด่นอยู่หน้าร้าน... ดวงหน้าขาวผ่องและเครื่องหน้าที่จัดวางได้อย่างเหมาะเจาะลงตัวอีกทั้งดวงตาสีน้ำตาลแดงคู่นั้น...กลิ่นจันทร์ยังจำได้ติดตา ตรีดาว รักตปักษ์ นั่นเอง...
จากคุณ |
:
ผีเสื้อสีดำ
|
เขียนเมื่อ |
:
20 ก.ย. 54 16:56:07
|
|
|
|