Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
บันทึกของคนบ้า 1/2..............ความรักในเมืองร้าง ติดต่อทีมงาน

==================
Diary of a madman
ความรักในเมืองร้าง)
: PSYCHO MAN
==================



เมืองร้างอย่างนั้นหรือ...ก็ไม่เชิงจะเป็นอย่างนั้นหรอกครับ

ความจริงผมก็ไม่อยากบันทึกเรื่องราวพวกนี้เอาไว้หรอกครับ รู้ว่ามันหลุดโลกและวิปริตผิดเพี้ยน แต่ความจริงบางอย่างเลวร้ายกว่าที่เราคาดคิด ผมเพียงหวังว่าคุณจะอ่านอย่างใคร่ครวญก็เท่านั้น...ถ้าเป็นไปได้นะครับ


อย่างน้อยก็ยังมีผมอาศัยอยู่ในเมืองนี้ รับรู้สภาพของเมือง... เมืองซึ่งกำลังตายไปเพราะการถูกโจมตีด้วยอาวุธชีวะนิวตรอน ผมคงเรียกชื่อไม่ถูกเพราะไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ ข้อเท็จจริงอย่างไรไม่รู้เพราะผมเองก็ฟังผ่านๆจากวิทยุ ก่อนจะเกิดการโจมตี..ไม่ใช่แค่เมืองนี้ แต่มันหมายถึงทั้งโลก อานุภาพอาวุธมหาประลัยครอบคลุมไปทั้งโลก อันเกิดจากความแบ่งแยกและแปลกแยกบ้าคลั่งของพวกผู้นำ สุดท้ายก็แทบไม่เหลืออะไร แต่ผมคิดว่าถ้าธรรมชาติยิ้มได้มันคงยิ้มไปแล้ว อาวุธที่ว่ามีผลโดยตรงเฉพาะสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะพวกมนุษย์

ผมรอดอยู่ได้เพราะในขณะเกิดการโจมตี ผมลงไปห้องใต้ดิน เพื่อค้นหาเอกสารเก่าๆ ตามคำสั่งของหัวหน้างาน ซึ่งชอบกลั่นแกล้งผมเป็นประจำ แต่ตอนนี้ผมต้องขอบคุณเขา...ห้องใต้ดินบริษัทของเราอยู่ลึกมากพอจนไม่มีใครอยากลงไป และมันกลายที่ปลอดภัย

เมื่อผมกลับขึ้นมาด้านบนอีกครั้ง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

ความจริงแล้วทุกอย่างก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก ตึกรามบ้านช่องยังคงสภาพเดิม ผู้คนยังอยู่ในสภาพเดิม แต่พวกเขาเหมือนติดอยู่ในกาวกับดักแน่นหนาของกาลเวลา

ผู้คนทั้งหมดชะงักค้างเป็นรูปปั้น แข็งทื่อ ไร้ชีวิต...พวกเขาตายแบบไม่รู้ตัว อาวุธมหาประลัยพรากชีวิตของพวกเขาออกจากร่าง แต่รักษาร่างกายเอาไว้ ผมไม่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากพอจะอธิบายถึงเรื่องเหลือเชื่อแบบนี้

คุณคงรู้ว่ามันยากจะทำใจขนาดไหน เมื่อพบว่าเมืองทั้งเมืองเต็มไปด้วยซากศพนับแสนนับล้าน พวกเขา..และเธอ อยู่กันอย่างเงียบเชียบ ในอาคารบ้านเรือน   ในยานพาหนะ  ตามถนนสายต่าง ๆ ซากศพไร้วิญญาณซึ่งให้เกิดความรู้สึกเยือกเย็นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจเมื่อคิดว่ากำลังอยู่ในสุสานขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา วิญญาณของคนตายจะลอยวนเวียนอยู่ในเมืองนี้ รอบๆ ตัวผมหรือไม่...พวกเขาตายแบบไม่รู้ตัว จะหลงเหลืออะไรให้ยึดเหนี่ยวหรือต้องกลายเป็นวิญญาณไร้จุดหมายตลอดกาล

ช่วงแรกผมกลัวจนแทบบ้า เมื่อเห็นถนนเต็มไปด้วยซากศพในลักษณะอาการต่างๆ กัน บางคนกำลังอยู่ในท่าพูดคุยกัน ใบหน้ายังประดับด้วยรอยยิ้ม บนถนนสายต่างๆ มีรถชนกันระเกะระกะ คงเป็นเพราะชีวิตดับหายแบบไม่รู้ตัว ในร้านค้าผู้คนกำลังอยู่ในท่าจับจ่ายซื้อข้างของ มันช่างเหมือนภาพถ่ายที่ชะงักค้างคา แค่ให้ความรู้สึกสยดสยองแบบไร้สภาพ

เวลากลางวันยังไม่เท่าไร ผมพยายามพาตัวเองไปอยู่ในที่มีแสงสว่างโล่งแจ้ง พยายามคิดว่าผู้คนรอบกายยังมีชีวิต พวกเขาไม่ได้เน่าเปื่อยผุพังไปตามกาลเวลา ไม่มีอะไรน่ากลัว ผมพยายามคิดแบบนั้น

แค่พอตะวันบ่ายคล้อย ผมจะเริ่มรู้สึกหนาวเย็นจับจิตจับใจ เพราะไม่สามารถควบคุมอารมณ์แล้วความคิดได้ เจ้าความคิดของตัวผมเองกลับกลายเป็นสิ่งน่ากลัวและหันปลายหอกแห่งความน่าสะพรึงกลัวกลับมายังตัวเอง ..พวกเขาเป็นศพ..ตายไปแล้ว.....ไม่ๆๆ...ไม่คิดแบบนั้น พวกเขาเป็นแค่รูปซึ่งไร้วิญญาณ ไม่ต้องกลัว..แต่ถ้าพวกเขาลุกขึ้นมาล่ะ จะทำอย่างไร..พวกเขาอยู่มานานอาจจะหิวแล้วลุกขึ้นมาเพื่อกินเนื้อของผม....

เป็นไปไม่ได้...เรื่องแบบนั้นมันเป็นได้ในหนังสยองเท่านั้น แต่ถ้าเป็นไปได้ล่ะ...คุณลุงซึ่งนั่งทำท่าให้อาหารนกอยู่บนเก้าอี้ห่างออกไปไม่มากนัก ถ้าเกิดแกค่อยๆหันมายิ้มให้ จะทำอย่างไร แล้วถ้าทุกคนหันมามองเป็นตาเดียวพลางแสยะยิ้มด้วยความหิวกระหาย...ตรงเข้ามาฉีกกระชากกัดกินเนื้อ ผมจะหนีไปไหนในเมืองในเมืองมีพวกเขาอยู่เต็มไปหมด

เมื่อความมืดมาเยือน ผมไม่กล้าแม้จะมองออกมาจากหน้าต่าง เพราะรู้ว่าถนนเบื้องล่าง เต็มไปด้วยคนตายและความตาย...เงาของพวกเขาอาจสั่นไหววูบวาบราววิญญาณร้าย ความมืดและความกลัวสามารถสร้างอะไรก็ได้ในสิ่งที่เหลือเชื่อ

เห็นไหมครับว่าความคิดของเราเองมันน่ากลัวขนาดไหน

ผมมักจะรีบกลับห้องพักโดยเร็ว เปิดไฟฟ้าให้สว่าง ขอบคุณว่าระบบไฟฟ้าของเมืองไม่ถูกทำลาย มันจะใช้งานไปนานเท่าไรก็ไม่อาจทราบได้ แต่อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ผมเปิดเพลงจากเครื่องเล่นดีวีดีดังลั่นเพื่อให้สิ่งขับไล่ความเงียบเหงาและความหวาดกลัวออกไป มันเป็นราตรีอันยาวนานและน่ากลัว ผมมักจะหลับๆและตื่นๆ อยู่กับฝันร้ายทั้งคืน ก่อนตื่นขึ้นมาด้วยอาการเหนื่อยล้ามึนซึมก่อนล้างหน้าล้างตา แต่งตัว ออกไปหาอาหาร

ก็น่าขำว่าผมยังรักษารูปแบบการใช้ชีวิตบางอย่างอยู่ ทั้งที่ไม่จำเป็น ผมไม่ต้องทำงาน จะทำตัวอย่างไรก็ได้ แต่ผมก็ยังเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสม มองนาฬิการอเวลา..ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องรอ

บางวันผมนั่งรอโทรศัพท์ บ่งวันลองสุ่มโทรออกไป...ท่านกำลังเข้าสู่บริการฝากข้อความ…ไม่สามารถติดต่อกับหมายเลขนี้ได้....เป็นประโยคฟังจนเบื่อ ทั้งที่น่าจะมีคนรอดชีวิตหลงเหลืออยู่บ้าง กรณีอย่างผมยังรอดมาได้

ออกจากบ้านแถมล็อคกุญแจอย่างเรียบร้อย ราวกับจะกลัวขโมย ทั้งที่ไม่มีหัวขโมยคนไหนมาก่อกวน เงินทองไม่มีความหมายมากไปกว่ากระดาษธรรมดา

แต่ผมก็พกเงินในกระเป๋าเสมอ ไปขอยืมมาจากธนาคาร โดยไม่ลืมจะเขียนโน้ตบอกไว้ด้วย เห็นไหมว่าผมเองก็มีมารยาทดีพอสมควร ไม่ถือโอกาสหยิบไปดื้อๆ แบบนั้นมันผิดสามัญสำนึก

เปล่า..ผมไม่ได้กลัวบาป ตอนนี้ผมไม่แคร์อะไรด้วยซ้ำ แต่ผมรู้ตัวเองว่าไม่ควรทำ ระเบิดบ้าๆ นั่นทำลายเมืองทั้งเมืองได้ แต่มันจะทำลายสามัญสำนึกของผมไม่ได้ มันเป็นของผมที่ใครจะเอามันไปไม่ได้

ดังนั้นผมจึงต้องไปจ่ายเงินกับแคชเชียร์ให้ตรงกับราคาสินค้าทุกครั้ง และไม่ลืมทิ้งทิปเล็กๆน้อยๆ ในร้านอาหารด้วยแม้ว่าจะเริ่มมองการไกลว่าวันหนึ่ง ถ้าหมุนเงินไม่ทัน ผมจะทำอย่างไร...แน่นอนว่าผมจะไม่ปล้นธนาคารหรือคดโกงใครเด็ดขาด แบบนั้นผมรู้สึกว่ามันไม่ดี ไม่ต้องมีใครมาบอกผมก็รู้ว่ามันไม่ดี และไม่ควรจะทำเช่นนั้น และผมไม่เคยบุกขึ้นไปในอาคารหรือบ้านของใคร ไม่ใช่เรื่องถูกต้องหรือดีงามแม้แต่น้อย สุสานไม่ควรถูกรบกวน...

เล่ามาถึงตอนนี้คุณคงคิดว่าผมเริ่มบ้าแล้วใช่ไหม....ในสถานการณ์แบบนี้ยังมาพูดถึงคุณธรรมมโนธรรมและจิตสำนึกที่ดี ก็อย่างที่ผมบอกล่ะครับว่ามันเป็นของผมที่ใครจะมาพราดมันไปไม่ได้ มันเป้นความรู้สึกดีๆ ที่หลงเหลืออยู่ในรู้สึกว่า ไม่ได้อยู่แบบคนไร้ค่าและคนสิ้นคิด คนเราต้องมีอะไรบางอย่างยึดเหนี่ยวบ้างชีวิตจึงจะไม่ไร้ความหมาย และสิ่งที่ผมยึดเหนี่ยวก็คือสันดาน หรือธรรมชาติแห่งความเป็นตัวของผมเอง ซึ่งก่อนหน้านี่มันยังไม่ฉายรัศมีเต็มที่ เนื่องจากถูกระบบของสังคมผู้คนเบียดบังและบดบังราวหมอกควันของโมหะ แต่ตอนนี้ผมเป็นตัวของตัวเอง

พล่ามอะไรมากมาย...คุณต้องคิดแบบนี้..ก็คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะครับ อย่างน้อยคุณจะได้รู้ว่าการอยู่กับตัวเองอย่างโดดเดี่ยวในเมืองร้างซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นไอของความตาย จะรู้สึกอย่างไร ลองคุณมาเป็นผมดูจะรู้สึก

จะช้าจะเร็ว ผมก็เริ่มคุ้นเคยกับสภาพแบบนี้ ผมเริ่มกลัวน้อยลง หรือบางทีผมอาจเริ่มมีความบ้าเข้ามาทดแทนก็ได้...ความบ้าอาจเป็นกลไกในการป้องกันตัวอย่างหนึ่ง เหมือนบางคนเป็นลม สลบ เพื่อพาตัวเองหนีจากสภาวการณ์ไม่พึงประสงค์

วันหนึ่งผมอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็ออกมาเดินอย่างไม่รีบร้อนภายในเมือง และคิดว่าจะกินอะไรดีนะ มีอาหารมากมายในเมือง พวกมันไม่ได้เน่าเปื่อยไปกับกาลเวลา

แต่ถ้ามองถึงสภาพในเมืองกลับดูสกปรกเพราะไม่มีคนมาดูแล สายลมพัดพาขยะออกมาเกลื่อนถนน ตึกรามบ้านช่อง ยานพาหนะมีฝุ่นจับอยู่หน้าและสีของเมืองเริ่มซีดและเก่าแก่ตามกาลเวลา เหมือนภาพถ่ายนับวันยิ่งเก่าแก่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ชีวิตก็ยังไม่ดับหายไปจากเมืองนี้ ท้องฟ้าเบื้องบนยังคงแจ่มใสราวกับไม่รับรู้กับความตายของโลกเบื้องล่าง

จำได้ว่าเขตชานเมืองมีร้านอาหารเล็กๆสงบเงียบอยู่แห่งหนึ่ง  ในเงาไม้ร่มรื่นเป็นธรรมชาติ  อาหารดี เด็กเสิร์ฟดูแลดี และดูน่ารักทุกคน...ซึ่งพวกเราชอบไปกันทุกเดือนก่อนเกิดสงคราม ผมคิดว่าน่าจะไปลองชิมดูบ้าง นอกเมืองผู้คนไม่ค่อยมากแออัด และบรรยากาศ ผมจึงเริ่มมองหารถแท็กซี่ แม้จะเสียดายเงินอยู่บ้างก็ตาม ไม่เป็นไร คงพอหางานทำเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายได้

ยังดีว่าผมอาศัยอยู่ชานเมือง การจราจรไม่คับคั่ง ในที่สุดผมก็เจอรถแท็กซี่ซึ่งต้องการ คนขับไม่ได้ล็อครถ เพราะ นั่นเข้าทางที่ผมต้องการเลยล่ะครับ คนขับนั่งตัวแข็งอยู่ในรถ ผมต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการย้ายเขามาเบาะหลังรถ ผมให้เกียรติคนตายเสมอราวกับเป็นอนุสรณ์ของสิ่งมีชีวิต

“เอาล่ะ...”

ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง แม้ว่าจะเพิ่งเจอหน้าเจอตากันก็ตาม

“ท่าทางคุณไม่สบาย พักก่อนนะครับ”

ใช่แล้ว ..คนไม่สบายต้องไม่ขับรถ เพราะคนโดยสารอาจเกิดอันตรายได้จากอุบัติเหตุ  หลังจากเรียบร้อยแล้วผมก็พาตัวเองไปนั่งตำแหน่งคนขับ

“จะไปไหนครับ”

ผมถามก่อนนึกว่าผู้โดยสารคนนี้ท่าทางไว้ใจได้ คงไม่ลวงผมไปฆ่าทิ้ง

“ไปร้าน.....”

ผมบอกชื่อร้าน และคำนวณค่าโดยสาร นานๆครั้งนั่งรถแท็กซี่บ้างก็คงไม่เป็นไร

“ได้ครับ..”

ผมรับปาก เส้นทางไม่ไกลมากนัก วันนี้ผมคงได้เงินค่าทิปมาบ้างล่ะน่า...หมอนี่ท่าทางใจดี แม้จะดูเพี้ยนๆ บ้างก็ตาม

ผมออกรถอย่างนุ่มนวล ผู้โดยสารจะต้องได้รับบริการที่ดีการหลักสากลการบริการ

ผู้โดยสารคนนี้ดูเงียบๆ ไม่พูดจาอะไร ไม่เป็นไร ผมก็แค่เปิดวิทยุฟังพอให้บรรยากาศไม่เงียบเกินไปนัก แต่ทุกสถานีเงียบกริบราวป่าช้า ผมเปลี่ยนมาเป็นกดเล่นแผ่นดีวีดี แล้วก็ยิ้มออกมาได้เมื่อได้ยินเสียงของ jim danny แห่งวง Black Oak Arkansas  กำลังแหกปากร้องเพลงด้วยสำเนียงกวนๆ อย่างน้อยก็ไม่เหงา

“เพลงเพราะดีนี่..”

ผมพยายามหาเรื่องคุยกับคนขับ “คุณชอบฟังเพลงพวกนี้หรือครับ”

“ครับ....มันสนุกดี บางทีผมยังฟัง ซิมโฟนีหมายเลข 5 ในบันไดเสียง ซี ไมเนอร์ ไปโน่นเลยครับ”

“ฟังหลากหลายดีนะครับ”

“เพลงก็คือเพลง ผมว่าเราไม่ต้องไปแบ่งเขาแบ่งเรา ไม่ว่าจะเป็นเพลงของชนชาติไหนก็ตาม ไม่ต้องมาชาตินิยมแบบไม่ลืมหูลืมตา ไม่ต้องเสแสร้ง  สำคัญฟังแล้วมีความสุขใจก็พอแล้วนะครับ”

นั่น....พูดจาแนวปรัชญาเสียด้วย....

ฟังได้สามสี่เพลงก็มาถึงร้านอาหาร ผมลงจากรถ มองดูมิเตอร์บอกราคา แล้วหยิบเงินจ่ายให้คนขับเกินราคาไปพอสมควร ในฐานะที่เขาเปิดเพลงเพราะๆให้ฟัง

ผมยิ้มด้วยความพอใจ ยื่นมือไปรับเงินจากลูกค้า...นึกแล้วว่าเขาจะต้องใจดี

“จะให้รอไหมครับ” ผมถามอย่างมีน้ำใจ

ผมมองนาฬิกา และคิดว่าไม่ควรให้เขารอ มันเสียเวลาทำมาหากินมากกว่า

“อีกสองชั่วโมงมารับผมดีกว่านะครับ”

ผมเสมอทางเลือกที่ดีกว่าให้คนขับแท็กซี่  แบบนี้น่าจะลงตัวที่สุด ต่างฝ่ายต่างไม่เสียประโยชน์ เสียโอกาส

เห็นไหมว่าบางครั้งผมก็ต้องทำแบบนี้ เพียงเพื่อจะไม่รู้สึกว่าเงียบเหงาอ้างว้างจนเกินไป บางครั้งผมก็สร้างบุคลิกภาพใหม่ขึ้นมาเป็นเพื่อนให้กับตัวเอง

ร้านอาหารยังคงเปิดไฟทิ้งเอาไว้แม้จะเป็นเวลากลางวัน  ผู้คนมีอยู่หลายโต๊ะ บ้างก็กำลังอยู่ในท่าดื่มกิน บางคนก็กำลังพูดคุย  บางคนล้มลงไปอยู่บนพื้น คาดว่าขณะโดนโจมตีคงอยู่ในท่าทางไม่เหมาะสมเท่าไร คงเมามากกว่า....ผมพยายามคิดไปในทางที่ดี

ผมเลือกโต๊ะใกล้ทางออกและยังคงว่างอยู่ มองหน้าเด็กเสิร์ฟซึ่งมีอยู่หลายคน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของคนเอง สาวแคชเชียร์นั่งเหม่อลอยท่าทางคงจะคิดถึงคนรัก ตนซึ่งตกอยู่ในห้วงรักจะมีใบหน้าพิเศษพิสดารแตกต่างไปจากอารมณ์แบบอื่น

นั่นเองที่ผมเห็นเธอเป็นครั้งแรก

เธอมาคนเดียวนั่งอยู่คนเดียว บางทีเธออาจจะรอใครบางคนอยู่ แต่ช่างเถอะ อย่างไรก็ไม่มีใครมาอีกแล้ว

ทันใดนั้นเองสติของผมก็กลับมาอีกครั้ง

ใช่..ผมต้องหยุดการหลอกตัวเองไว้สักพัก เพื่อพิจารณาดูเธอคนนั้นให้เต็มที่โดยไม่ฟุ้งซ่าน

เธอไม่ได้สวยบาดใจเหมือนหลุดออกมาจากหนังสือนางแบบ ไม่ได้กระโดดออกมาจากบทของนางเอกภาพยนตร์ แต่มีอะไรบางอย่างกระทบความรู้สึกอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน

เธออาศัยอยู่ในชุดเสื้อกระโปรงยาวสีแดงเข้ม ผมยาว ใบหน้าสวยใสไม่เหมือนคนตายเลยสักนิด ปกติเมื่อมองคนตาย ผมจะต้องรู้สึกกลัวๆ แบบไม่มีเหตุผลไม่มากก็น้อย  แต่ไม่ใช่กับเธอคนนี้ ดูเหมือนว่าเธอจะมีอะไรบางอย่างซึ่งคนอื่นไม่มี ที่แน่ๆ คือผมชักรู้สึกสนใจเธอขึ้นมาแล้ว

ทำอย่างไรจะได้พูดกับเธอบ้างนะ ผมจะหาเหตุผลอย่างไร จะเดินตรงเข้าไปนั่งต่อหน้าต่อตามันก็ผิดธรรมเนียม เผลอๆจะกลายเป็นคนไม่ดีไปในสายตาของเธอ

การจะเริ่มต้นพูดจากับใครสักคนซึ่งพิเศษกับเรา บางครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย  จะต้องหาเหตุผลและโอกาสอันเหมาะสม

สวัสดีครับ..วันนี้อากาศดีนะครับ...คุณตายมานานหรือยังครับ....ต้องไม่ใช่แบบนี้ มันดูขัดหูขัดความรู้สึกและเชยๆ น่าจะมีวิธีการดีกว่านั้น

ผมวางเงินลงบนโต๊ะ เรียกแท็กซี่ กลับไปตั้งหลักที่บ้าน ผมรู้ว่าเธอไม่หนีไปไหนแน่นอน ดังนั้นผมไม่จำเป็นต้องรีบร้อน รักแรกพบหรือรักแรกศพ ทำให้อึ้งไปเลย

ต่อมาไม่บอกคุณเองก็คงเดาถูกใช่ไหมครับ ผมมาร้านอาหารนั้นทุกวัน มีรถอยู่มากมายทั้งรถแท็กซี่ รถประจำทาง หรือกระทั่งการโบกรถ บางวันผมทำงานครึ่งวันในร้านสรรพสินค้า โดยการรับจ้างทำความสะอาดแลกกับค่าจ้างและค่าอาหาร ผมเริ่มหาข้าวของมาประดับบ้านเผื่อว่าวันหนึ่งจะมีโอกาสต้อนรับคนรัก

เธอยังไม่ใจอ่อน และยังไม่ยอมพูดกับผม ซึ่งผมได้แต่หวังว่าวันหนึ่งเธอจะยอมเปิดใจให้ผมบ้าง ทุกวันผมจะดูแลรักษาเธออย่างดี คอยเช็ดหน้าเช็ดตัวให้อย่างอาทรเอาใจใส่ บางวันผมก็คุยกับเธออยู่เป็นชั่วโมง โดยไม่เบื่อหน่าย แน่นอนว่าเธอไม่เคยพูดอะไรกับผม มันเป็นเรื่องเศร้าร้าวลึกๆ แต่ผมก็พยายามทำใจว่า การรักเขาข้างเดียวก็เป็นแบบนี้  ไม่ต้องการอะไรตอบแทน ได้มาดูแลเธอทุกวันก็พอใจแล้ว

เวลาผ่านๆผเป็นเดือน ผมจึงเริ่มรู้ว่ามีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป ครั้งแรกที่เจอเธอ ใบหน้าของเธอเรียบเฉยเหมือนรอใครบางคน แต่ตอนนี้ผมสังเกตว่าเธอมีรอยยิ้ม...ใช่แล้ว เธอยิ้มให้ผม แม้ว่าจะต้องใช้เวลานานเป็นเดือนก็ตามในการยิ้ม ใบหน้าของเธอมีความสุขมากขึ้น ผมรู้ว่าเป็นแบบนั้น และก็เหลือเฟือแล้วกับความรักที่ผมมีให้เธอ อย่างน้อยเธอก็ตอบสนองผมแล้วแม้จะแบบค่อยเป็นค่อยไปก็ตาม
ทำไมผมถึงไม่พาเธอกลับมาอยู่ที่บ้าน

ผมแน่ใจว่าคุณสงสัยเหมือนกันใช่ไหมครับ.....ก็อย่างที่ผมบอกตั้งแต่ตอนแรกว่าทุกคนในเมืองนี้ตายในสภาพชะงักค้างแข็งเป็นหุ่นปั้น ผมอยากให้เธออยู่ในสภาพธรรมชาติแบบนี้มากกว่า มันดูดีกับเธอมากกว่าจะจับเธอไปอยู่สถานที่อื่น ทุกอย่างย่อมต้องการความเหมาะสมของตัวเอง เธอมีความสวยงามแม้จะเป็นร่างไร้วิญญาณ แต่ผมเชื่อว่าจิตใจของเธอยังคงอยู่ และผมจะคอยดูแลปกป้องเธอตลอดไป สายตาของผมจะไม่แลเหลียวซากศพสวยๆของคนอื่นอีกต่อไป

ต่อมาผมเริ่มสังเกตว่าเส้นผมของเธอเริ่มนุ่มนิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเดือนต่อมาเส้นผมของเธอก็เริ่มเล่นกับสายลมได้ มันเป็นภาพน่าดูเชียวล่ะครับ ผมอยู่กับเธออย่างมีความสุขทุกวัน บางวันผมหาหนังสือดีๆมาอ่านให้เธอฟัง และผมคิดว่าเธอชอบ บางวันเราฟังเพลงด้วยกัน

ในขณะเดียวกัน ผมก็เริ่มสังเกตว่าในความนิ่งและความเงียบของเมือง เริ่มมีอะไรบางอย่างผิดปกติ  สองเดือนก่อนผมจำได้ว่าใกล้หน้าร้านมีคนรถคันหนึ่งจอดทิ้งเอาไว้ มันเป็นรถราคาแพง เจ้าของเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี แรกๆ ผมก็ไม่สนใจอะไรหรอกครับ แต่พักหลังผมเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ชายหนุ่มคนนั้นครั้งแรกที่เห็น เขาอยู่ในรถ แต่หลังๆ ผมเห็นเขาค่อยเคลื่อนออกจากจากรถตามวันเวลาที่ผ่านไป ทิศทางเป็นเส้นตรงมายังร้านทีละน้อย

มันเรื่องบ้าอะไรกัน..

ผมเริ่มรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาในจิตใจขนขนลุกเกรียว  อะไรบางอย่างบอกผมว่าชายหนุ่มคนนี้ กำลังมุ่งหน้ามาหาคนรักของผมวันละนิดจนแทบสังเกตไม่ได้ ผมกำลังจะมีศัตรูหัวใจแล้วหรืออย่างไร

นับวันผมยิ่งแน่ใจ...เขาคนนั้นมุ่งหน้าตรงมาหาเธอทีละน้อยๆ แค่มั่นคง   ใบหน้าประดับรอยยิ้มนิดๆ อย่างน่าหมั่นไส้ ความร้อนจากไฟแห่งความหึงหวงลุกโชนขึ้นมาในใจทันทีจนเร่าร้อนราวไฟนรกเผาผลาญ

มารหัวใจเริ่มทำงาน

ตอนนี้เขามาอยู่ในร้านแล้ว หันหน้ามองมาหาเธอ ดูเหมือนเธอกำลังจะหันไปมองเขาเช่นกัน ความคิดแบบนี้ทำให้รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาในใจ ทั้งที่พยายามบอกตัวเองว่า นั่นมันคนตาย.....


แต่อย่างไรก็ตาม ผมอยู่ในสถานะเป็นต่อ ร่างของชายคนนั้นเพียงผมกระแทกแรงๆ เขาลงล้มลงไปกลิ้งเป็นพื้นอย่างไม่เป็นท่า  


ผมจะต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว








....
โปรดติดตามตอนต่อไป

แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 54 18:58:02

แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 54 17:44:14

 
 

จากคุณ : Psycho man
เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 54 17:02:48




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com