รำพึงถึงความหลังอันใกล้ (อีกที)
|
 |
บันทึกของคนเดินเท้า
รำพึงถึงความหลังอันใกล้(อีกที)
เทพารักษ์
วันนั้น...................................
ผมก้าวลงจากรถเมล์ปรับอากาศเย็นเจี๊ยบ ซึ่งได้นั่งมาด้วยความสุขเป็นระยะทางกว่ายี่สิบกิโลเมตร จากอนุสาวรีย์ขัยสมรภูมิ ผ่านถนนพหลโยธิน มาถึงป้ายใกล้สามแยกทางไปตำบลลำลูกกา ออกมาปะทะกับอากาศที่ร้อนจี๋แทบจะเผาผิวหนังให้ไหม้เกรียม ผมควักหมวกผ้ากลม ๆ ที่มีกระบังหน้ายื่นออกมาป้องกันแสงอาทิตย์ยามเที่ยงไม่ให้แยงลูกนัยตา ซึ่งสมัยก่อนเรียกกันว่าหมวกจ็อกกี้ มาสวมใส่ ก่อนที่จะออกเดินตามทางเท้าที่มีต้นไม้สองข้าง ยืนชะลูดอยู่เป็นระยะ โดยยื่นส่วนยอดออกมาประสานกัน จนเกิดร่มเงาให้อาศัยประโยชน์ได้ตลอดเส้นทางนั้น พลางก็กวาดสายตาไปตามภูมิประเทศทางด้านขวา ที่เป็นพื้นที่คล้ายจะรกร้างกว้างขวาง แต่ที่จริงเป็นร้านประเภทสวนอาหาร ตั้งเรียงกันห่าง ๆ อยู่ข้างหน้า
ผมต้องมาเดินอยู่แถวนี้ในเวลานี้ก็เพราะเหตุว่า ผมมีนัดพบกับเพื่อนหญิงชายซึ่งยังไม่เคยพบหน้ากันเลย ในย่านนี้เท่านั้น
**************
ผมเคยเล่ามาแล้วว่า ในปีแรกที่ผมเข้ามาเดินเล่นในโลกของอินเตอร์เนต ผมได้รู้จักมักคุ้นและพูดคุยกับนักอ่านและนักเขียนหลายท่าน ผ่านทางหน้าเวปไซด์ที่ชื่อพันทิป และได้พบกันครั้งแรกเป็นจำนวนหกคน ครั้งที่ สองเพิ่มเป็นสิบสองคน ในสถานที่เดียวกัน คือร้านอาหารที่มีชื่อเสียงมาหลายสิบปี ในย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พอถึงต้นปีที่สองก็ได้รับเชิญให้ไปเป็นแขกในงานแต่งงาน ของนักเขียนสองท่านซึ่งเป็นงานเดียว เพราะคู่สมรสทั้งสองเป็นนักเขียน ของห้องสมุดพันทิปทั้งคู่ ในงานนี้ผมก็ได้พบหน้าตาของนักเขียนนักอ่าน ที่รู้จักกันในหน้าถนนนักเขียนอีกหลายท่าน มีผู้เข้ามาทักทายและแนะนำตัวหลายท่าน ส่วนอีกหลายท่านก็ได้แต่นั่งมอง ด้วยความเป็นมิตรไมตรี ซึ่งบางท่านก็อาจจะทึ่งอยู่เล็กน้อยว่า นี่น่ะหรือเจ้าของนามปากกา เจียวต้าย ผู้ชอบเล่าเรื่องความหลังอันเป็นสิ่งที่คนแก่ชอบประพฤติ ที่แท้ก็เป็นคนแก่ จริง ๆ ไม่ใช่อย่างบางท่านที่ชอบเป็นลุง เป็นปู่ เป็นป้า อีกเยอะแยะในเวปไซด์
แต่ผมก็แทบจะจำหน้าค่าชื่อ ของเพื่อนเหล่านั้นไม่ได้เลย นอกจากคู่หูที่สนิทสนมกันมาก่อนหน้านั้น
ต่อมาครั้งที่สามก็คือการทำบุญเลี้ยงพระเพล ที่วัดเทพธิดาราม เนื่องในงานครบรอบห้าปีของกระทู้อาศรมชาวโคลง ซึ่งคงจะไม่มีใครแก่กว่าผมอีกแล้ว ผมจึงได้รับเชิญให้เป็นประธานจุดธูปเทียน ในพิธีสงฆ์วันนั้น และมีการบันทึกและถ่ายภาพมาวางในกระทู้ จึงอาจทำให้เพื่อน ๆ พอจะเห็นหน้าเห็นตาผมเพิ่มขึ้นอีก
ต่อจากนั้นการติดต่อกับเพื่อนในถนนนักเขียนก็ห่างไป นอกจากอาจารย์คู่ซี้ที่ยังพบกันอีกไม่กี่ครั้ง ส่วนผมก็ไปได้เพื่อนกลุ่มใหม่ทางคลับสามก๊ก ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้มีความรู้ในนิยายสามก๊ก และประวัติศาสตร์สามก๊ก รวมถึงพงศาวดารจีนยุคต่าง ๆ อย่างแจ่มแจ้ง และลึกซึ้งทั้งนั้น เมื่อพบกันสามเดือนครั้งในปีต่อ ๆ มา ผมจึงต้องอ้าปากฟังการสนทนา และเก็บเกี่ยวความรู้มาเพิ่มเติมไว้ในสมองที่กำลังจะเสื่อมไปตามวัยแทบทุกครั้ง
คราวนี้เมื่อมีกฎหมายห้ามดื่มสุราในสถานที่ต่าง ๆ เกิดขึ้น และผมนำไปคุยในหน้ากระทู้นอกเรื่องของถนนนักเขียนห้องสมุด ก็มีผู้อ่านมาช่วยออกความเห็นหลายราย แต่ที่สำคัญก็คือเพื่อนซี้ของผมนั่นเอง เขาบอกว่าผมออกความเห็นไปในทางสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้บ่อย ๆ ท่าทางจะเลิกดื่มแอลกอฮอล์เสียแล้วหรือ ผมก็บอกว่ายังไม่เลิกจะเชิญไปพิสูจน์ที่ไหนเมื่อไรก็ได้
*************
ผมเดินทอดน่องมาตามทางเท้าอันร่มเย็น ด้วยสายลมอ่อน ๆ ที่พัดสวนมาปะทะร่างกาย โดยมุ่งหน้าลงมาทางทิศใต้ ไม่ช้าก็มองเห็นอาคารเตี้ย ๆ ตั้งอยู่บนพื้นที่ด้านขวามือ เรียงกันอยู่สามหลัง แต่ละหลังมีป้ายสูงใหญ่ติดอยู่กับทางเท้ามองเห็นได้ถนัด เป็นชื่อของสวนอาหารเหล่านั้น ผมจึงจดชื่อไว้ทั้งสามร้าน เพื่อเอาไปปรึกษาหารือกับเพื่อนซี้ ซึ่งนัดพบกันที่สโมสร ของโรงเรียนนายเรืออากาศ ที่อยู่ทางฝั่งตรงข้าม ถัดไปอีกไม่ไกลนัก ผมต้องหาทางข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามเสียก่อน แต่มองไปจนสุดสายตาก็ไม่เห็นสะพานลอยคนข้ามเลย บนเกาะกลางถนนก็มีพุ่มไม้ประดับตกแต่งยาวเป็นพืด ไม่สามารถข้ามตรงไหนได้ เพราะมีสี่แยกไฟแดงอยู่ข้างหน้า ผมจึงต้องเดินต่อไปจนถึงทางม้าลายตรงแยก และรอข้ามตามจังหวะของไฟสัญญาณนั้น
เมื่อข้ามได้เรียบร้อยแล้วก็รอรถแท็กซี่ว่างที่จะผ่านมา เพราะแม้ว่าโรงเรียนนายเรืออากาศจะพอมองเห็นได้ด้วยสายตา แต่จากประตูทางเข้าถึงตัวสโมสร ก็เป็นระยะทางอีกไกลพอใช้ สงสารขาที่เดินมาค่อนข้างไกลแล้วจะต้องย่ำต่อไปอีก พอดีมีแท็กซี่ว่างผ่านมา จึงเปิดประตูหลังเข้าไปนั่งและบอกกับ พลขับพร้อมกับชี้มือว่า เข้าไปในโรงเรียนข้างหน้าแค่นี้เอง คนขับก็พารถมุ่งหน้าตามมือผมไปเดี๋ยวเดียว ก็เลี้ยวซ้ายจะผ่านเข้าไปในสถานที่นั้น
แต่ยังไม่ทันที่จะผ่านพ้นบานประตู ก็มีพลทหารรักษาการณ์ วิ่งออกมาโบกมือห้ามเข้า ผมก็บอกโชเฟอร์ว่าคงจะเอาบัตรประจำตัวให้เขาไว้ แต่ทหารบอกว่ารถแท็กซี่ห้ามเข้าครับ ลุงต้องลงเดิน ผมก็ว่าผมมาที่นี่ตั้งหลายครั้งแล้ว เห็นเข้าได้ทุกที และก็ไปแค่สโมสรที่เห็นอยู่แค่นี้เอง เขาบอกว่ามีคำสั่งห้ามรถแท็กซี่เข้าอย่างเด็ดขาด แม้แต่นาวาเอกยังต้องเดินไปเลย ผมก็จนปัญญาที่จะโต้เถียงหรือขอร้องต่อไปอีก หันมาดูเครื่องมิเตอร์บอกราคา ซึ่งตัวเลขยังไม่ทันเลื่อนขึ้นจากสามสิบห้าบาทเลย ผมจึงหยิบธนบัตรใบละยี่สิบสองใบให้โชเฟอร์ พร้อมกับบอกว่าไม่ต้องทอน แล้วก็ลงมายืนอยู่หน้าป้อมที่พักของยามรักษาการ ถามทหารยามว่า ไม่เอาบัตรของผมไว้หรือ เขาบอกว่าไม่ต้อง แต่ต้องเดินหน่อยนะลุง ผมก็ว่าไม่เป็นไรแล้วก็ค่อย ๆ เดินทอดน่องไปตามถนนที่โค้งรอบสนามหน้าอาคารที่ทำการ เลาะไปตามร่มไม้โปร่ง ๆ จนถึงอาคารสโมสร โดยยังไม่ทันเหนื่อย แต่มีเหงื่อท่วมแผ่นเสื้อด้านหลังเปียกหนึบ
เมื่อเปิดประตูสโมสรที่มีลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศ พรั่งพรูเข้ามาปะทะหน้าให้ชื่นใจแล้ว ก็เข้าไปนั่งโต๊ะตัวเดิมที่เคยนั่งทุกครั้ง สั่งเบียร์ โซดา กับน้ำแข็ง กับบริกรสาวคนเดิม แล้วก็รอคอยเพื่อนคนเดิม โดยปล่อยให้ความร้อนในร่างกายค่อย ๆ ลดลง อย่างใจเย็น จนกว่าจะถึงเวลาที่ได้นัดกันไว้
ผมรออยู่จนเลยเวลาที่นัดไปเพียงห้านาที เพื่อนที่เป็นอาจารย์โรงเรียนมัธยมในย่านดอนเมือง แต่บุคลิคราวกับเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยของผม ก็เปิดประตูสโมสรเข้ามาอย่างรีบร้อน และแสดงความดีใจที่เห็นผมนั่งรออยู่พร้อมกับเบียร์เติมโซดาแก้วแรกเท่านั้น
ผมก็เล่าเรื่องที่ผมมาสำรวจพื้นที่นัดพบ ซึ่งเดิมกะว่าจะนัดวันอาทิตย์ ส่วนวันนี้เป็นวันศุกร์ จะยืนยันหรือจะยกเลิก ก็ปรึกษากันอยู่นานจนถึงหกโมงเย็น จึงตกลงใจว่าจะยืนยันตามเดิม
***************
วันต่อมา.........................
ผมก้าวลงจากจากรถแท็กซี่ปรับอากาศเย็นเจี๊ยบ ซึ่งได้นั่งมาด้วยความกระวนกระวาย เป็นระยะทางกว่ายี่สิบกิโลเมตร จากอนุสาวรีย์ขัยสมรภูมิ ผ่านถนนพหลโยธิน มาถึงร้านอาหารก่อนจะถึงแยกลำลูกกา เมื่อเวลาประมาณ ๑๔.๑๕ น. ผมบอกให้พลขับเลี้ยวรถเข้าไปในบริเวณร้านอันกว้างใหญ่ แต่เงียบเชียบ อาคารชั้นเดียวโล่งโถงมีโต๊ะมากมาย แต่ไร้ผู้คน นอกจากบริกรหญิงสองนาง และกัปตันหนุ่มหนึ่งนาย เท่านั้น ที่ปรากฏอยู่ในสายตา ผมเลือกนั่งโต๊ะริมนอกสุดของอาคาร ซึ่งตรงกับทางเข้า แล้วจึงสั่งเบียร์ โซดา น้ำแข็ง ตามสูตรของผม
ผมจิบเบียร์ผสมโซดาแก้วแรก ขณะที่มีลมโชยมาแต่เบา ๆ อย่างมีความสุข และคิดถึงเพื่อนของผมหลายคนที่ได้พบพานในถนนนักเขียน
****************
ผมหยุดความคิดรำพึงถึงความหลัง เมื่อเบียร์เติมโซดาแก้วสุดท้าย หมดลงโดยไม่มีใครมาเพิ่มเลย เมื่อชำระเงินแล้วก็ออกมายืนอยู่ริมถนนพหลโยธิน พลางคำนึงถึงวิธีที่จะกลับบ้านสวนอ้อย
ผมคงจะต้องเดินไปทางทิศใต้จนถึงแยกไฟแดง และข้ามทางม้าลายไปฝั่งตรงข้าม ใกล้ประตูเข้าโรงเรียนนายเรืออากาศ เหมือนวันก่อน เพื่อรอรถปรับอากาศสาย ๕๒๒ ที่กลับไปสู่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิตามเดิม
ผมก้าวเดินไปอย่างไม่รีบร้อน หมวกจ็อกกี้ใบนี้มีแก็ป ยื่นออกมาบังแดดยามบ่ายได้เป็นอย่างดี และแว่นกันแดดสีดำเข้ม ที่มีคนชมว่าสวมแล้วดูเหมือนคนขายลอตเตอรี่ ก็ช่วยกรองแสงให้เหลือเพียงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ทำให้ผมไม่ค่อยรู้สึกถึงความร้อนนอกกาย มากไปกว่าความเย็นภายในใจ เมื่อนึกถึงเพื่อนที่เคยมานั่งปรึกษาหารือกัน จนเบียร์หมดร้าน และอีกหลายคนที่ผมได้พบเจอมาในช่วงสามสี่ปีที่แล้ว รวมทั้งที่ไม่ได้มาเจอในวันนี้ด้วย เขาเหล่านั้นได้ทำให้ผมมีความสุขอย่างหาได้ยาก สำหรับคนที่เหลือเวลาในชีวิตเท่าเท่ากัน แต่วันนี้การนัดที่กะทันหันและเปลี่ยนแปลงไปมา ทำให้ผมต้องดื่มอยู่เพียงเดียวดาย
วันนี้.......................
จากเวลาที่ล่วงไปพียงสองสามปี ผมก้าวลงจากรถโดยสารปรับอากาศ ที่นั่งมาจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นเวลาชั่วโมงกว่า ลงสู่ทางเท้าหน้าร้านอาหารใหญ่โตใกล้หลักสี่ ตรงข้ามกรมทหารราบที่มีชื่อเสียงโด่งดังเมื่อไม่นานมา นี้ เมื่อดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือที่เอาไปพกไว้ในกระเป๋ากางเกง เห็นว่ามาถึงที่หมายก่อนเวลานัดตั้งเกือบครึ่งชั่วโมง จึงลงนั่งที่ม้าในศาลาพักผู้โดยสารนั้น หันหน้าไปทางทิศใต้มองดูรถเก๋งส่วนตัวที่แล่นมา ว่าจะมีคันไหนยกไฟสัญญาณเลี้ยวซ้ายบ้าง
วันนี้อากาศไม่ร้อนเหมือนวันก่อน ด้วยเป็นฤดูฝนที่มีอากาศเย็นชุ่มชื้นมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์ แม้ขณะนี้ก็ยังมีฝนเม็ดบาง ๆ โปรยปรายมาเป็นละออง ในเวลาที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ได้มีรถเก๋งเลี้ยวเข้ามาในบริเวณที่จอดรถอันกว้างขวางของร้านนี้ สองสามคันที่ผมต้องชะเง้อคอมองตาม แต่ผู้ที่ออกมาจากรถโดยมีพนักงานของร้าน คอยกางร่มรับไปส่งเข้าประตูร้าน ไม่ใช่เพื่อนที่ผมนัดไว้
ผมรออยู่ที่ศาลาพักผู้โดยสารรถเมล์นั้น จนกระทั่งได้เวลานัด จึงหยิบหมวกแก๊ปขึ้นมาสวมและเดินเข้าไปถึงประตูเข้าห้องอาหาร ภายใต้ละอองฝนเบาบาง ซึ่งทำให้อากาศในห้องปรับอากาศที่เย็นอยู่แล้วเยือกลงไปอีก
เมื่อบริกรผู้ต้อนรับถามว่าจะสั่งเครื่องดื่มอะไร ผมก็ชี้มือให้เธอเข้ามาถามใกล้ ๆ กว่านั้น เพราะผมหูตึงลงกว่าเมื่อปีก่อน การได้ยินลดลงมาก แล้วผมจึงสั่งเครื่องดื่มประจำตัว คือเบียร์ไทยยี่ห้อแรกของไทย โซดาบริษัทเดียวกัน กับน้ำแข็งหนึ่งเหยือก
ส่วนกับแกล้มก็คือ เนื้อปลากะพงผัดผักขึ้นช่าย กับเต้าหู้ทรงเครื่อง ที่กลืนง่ายโดยไม่ค่อยต้องเคี้ยวทั้งสองรายการ เพราะฟันชำรุดแทบทั้งปาก
เมื่อพนักงานเสริฟชงเบียร์แก้วแรก และเอาอาหารที่สั่งมาวางให้เรียบร้อยแล้ว ผมก็มองผ่านประตูกระจกออกไปเห็น รถเก๋งส่วนตัวคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด อีกสักครู่หนึ่ง ร่างของชายผู้ล่ำสัน ผมดกดำ สะพายกระเป๋าใบโต ก็ปรากฏขึ้นที่หน้าประตู และเดินรี่เข้ามาหาผม พร้อมกับมีสตรีสองท่านตามติดมาด้านหลัง
ท่านหนึ่งร่างอวบระยะกลาง อีกท่านหนึ่งผอมเพรียวผิวขาวนวล สว่างกระจ่างตา
เมื่อนั่งลงที่เก้าอี้ด้านตรงข้ามกับที่ผมนั่งแล้ว เพื่อนก็แนะนำว่าทั้งสองเป็นนักเขียนที่มีชื่ออยู่ในถนนนักเขียน ของเวปพันทิป เขาบอกนามปากกาของทั้งสองท่าน เธอคนหนึ่งจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า
คุณปู่ทายซิว่าคนไหนคือ.................
ผมรีบเอ่ยประโยคที่ติดปากทันที
กรุณาเลื่อนมานั่งใกล้ ๆ หน่อยครับ ผมหูตึง.......
############
แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 54 11:20:46
แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 54 09:53:34
จากคุณ |
:
เจียวต้าย
|
เขียนเมื่อ |
:
27 ก.ย. 54 09:51:58
|
|
|
|