[ซีรีสย์พระจันทร์] นิมิตแสงจันทร์ - บรรพที่ 29
|
 |
แสงสนธยาลาลับฟากฟ้าไปนานแล้ว ปล่อยให้จันทร์นวลยาตราขึ้นอวดโฉม ส่องสว่างดังรัตติกาลแขวนโคมไว้บนนภา อีกทั้งยังประดับด้วยเกล็ดเพชรนับล้านระยิบระยับอยู่เป็นเพื่อน ทั้งดวงเดือนและมวลดาราแข่งกันล้อแสงกระพริบวิบไหวสะท้อนลงมายังผิวน้ำเบื้องล่าง ฉาบย้อมให้สิละวากลายเป็นทะเลสาบสีเงินยวง ภาพตรงหน้างดงามราวภาพฝัน เข็มนาฬิกาเดินเข้าย่างค่ำมากขึ้น สายหมอกบางก็โรยตัวลงมาจนรู้สึกได้ถึงอากาศที่เย็นขึ้น
เดวิด ไมลล์*** มองชมบรรยากาศอันวิจิตรดังจิตรกรรมเอกอยู่ริมฝั่ง ยิ่งมองก็ยิ่งเพลิดเพลินจนลืมเรื่องอากาศที่เย็นตัวลงเรื่อยๆ นักท่องเที่ยวผมทองกวาดสายไปถึงวิหารสีกุลาบที่อยู่อีกฟาก แลดูคล้ายปราสาทในเงาจันทร์รายล้อมไปด้วยสายหมอก
แฟนตาซียิ่งนัก...งามแท้ๆ เขาส่ายหน้าไปมาด้วยความปลาบปลื้มชื่นชม
แหม...นี่ถ้านางพรายในตำนานผุดมาใต้แสงจันทร์อีกหน่อยล่ะก็ คืนนี้เฟอร์เฟค ระหว่างที่กำลังฝันถึงจินตนาการในห้วงตำนานอยู่นั้น สายตาหนุ่มผมทองก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งเข้า แม้จะไม่ชัดเจนด้วยระยะห่างกันมาก แต่ก็ทำให้เขาอุทานขึ้นมา
God เป็นไปไม่ได้...นะ...นั่นมัน
เดวิดมั่นใจว่าตาของเขาไม่ได้ฝาดแน่ ยิ่งเพ่งภาพที่ปรากฏในคลองจักษุยิ่งชัดเจน ร่างของชายหญิงคู่หนึ่งในชุดสีขาวเรืองรองเด่นอยู่ในความมืด ชุดนั้นพลิ้วพรายยิ่งนักไม่น่าจะทำให้เดินเหินคลอ่งแคล่วด้วยซ้ำ มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากทั้งคู่ไม่ได้ผุดขึ้นมาจากทะเลสาบ!!
ในคืนที่เดือนเต็มดวงทุกอย่างเต็มไปด้วยมนต์มายา คนปริศนาทั้งคู่โผขึ้นมาจากน้ำแม้จะอยู่ห่างไกลจากบริเวณที่เขายืนอยู่ก็ตาม แต่ยังสัมผัสความงามของพวกเขาได้ ทั้งสองขึ้นจากน้ำแล้วกระโดดไปมาบนก้อนหิน คล้ายว่ากำลังเต้นรำใต้แสงจันทร์ ฝ่ายชายยื่นมือไปรับฝ่ายหญิง เธอก็โผเข้ามากอดก่ายเขา จากนั้นก็ทิ้งตัวดิ่งลงน้ำไปอีกครั้ง หนุ่มผมทองตะลึงค้างเข้าใจว่าตนเองเห็นภูตพรายแห่งวิปุลาเข้าเสียแล้ว
เขานิ่งไปอึดใจใหญ่นัยน์ตาเบิกค้างด้วยความปรีดากับสิ่งเร้นลับที่เห็นยิ่งนัก ตำนานนี้มีชีวิตจริง นางพรายยังอยู่คู่วิปุลาเหมือนเมื่อครั้งอดีตกาล ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้เห็นรับรู้ว่าที่สิละวาไม่ได้มีเฉพาะนางพรายที่เป็นสตรี แต่ยังมีบุรุษอีกด้วย เดวิดเชื่อว่าปาฏิหาริย์เกิดขึ้นตรงหน้าโดยที่เขาไม่ได้ฝันไปแน่นอน เพราะทั้งขยี้ตาทั้งเพ่งแล้วเพ่งอีกจนแน่ใจว่าภาพงดงามของพรายคู่นั้นไม่ใช่ภาพลวงตา เขาก็รีบจับจักรยานปั่นกลับไปยังที่พัก แล้วเล่าทุกอย่างให้เพื่อนร่วมคณะเดินทางฟังด้วยความตื่นเต้น แต่เสียดายที่ทุกคนกลับมองเป็นเรื่องเพ้อฝันหนำซ้ำยังหาว่าเขาแอบไปพี้กัญชามาอีกด้วย ทำเอานักท่องเที่ยวหนุ่มหัวเสีย เขาทุ่มเถียงกับเพื่อนและลากเอาทุกคนมาดูที่ริมน้ำอีกครั้ง แต่น่าเสียดายเขาไม่พบแม้เงาของพรายแห่งวิปุลาคู่นั้น
ทั้งนี้เป็นเพราะว่าศิตาภานั้นลื่นตกน้ำหลังจากที่พยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากน้ำในครั้งแรก หล่อนเดินกระย่องกระแย่งไปบนหินก้อนใหญ่ที่โผล่พ้นน้ำ แม้ภามินจะยื่นมือให้จับแต่นั่นไม่ได้ช่วยทำให้การทรงตัวดีขึ้นมาเลย ชายชุดยาวที่เขาสวมขาดเป็นริ้วๆ จากการลื่นไถลลงมาเมื่อครู่ ส่วนหล่อนนั้นก็ถลอกปอกเปลือกไม่แพ้กัน ชายกระโปรงที่มัดไว้ฉีกขาดจนหญิงสาวต้องดึงส่วนรุ่งริ่งนั่นทิ้งไป กว่าจะขึ้นจากน้ำมาบนฝั่งได้ก็ทุลักทุเลเต็มที ศิตาภาหอบฮักด้วยอาการหมดเรี่ยวหมดแรงถึงกับทรุดตัวนั่งลงกับพื้นด้วยอาการหมดสภาพ
ภามิน..มองอะไรอยู่เหรอ? หล่อนเห็นชายหนุ่มยืนนิ่งไม่ได้นั่งลงเป็นเพื่อนกัน
ไฟที่วิหาร...มอดแล้ว
เค้าดับไฟได้แล้วเหรอ?
น่าจะเป็นอย่างนั้น ศิตาไหวไหมไปกันเถอะ
ใจจริงหล่อนอยากบอกว่าไม่ไหว แต่กลัวเขาจะทิ้งหล่อนไว้ที่นี่คนเดียวแล้วจึงค่อยหารถมารับ ในช่วงที่อารมณ์อ่อนไหวเช่นนี้หล่อนไม่ได้กล้าหาญพอจะรออยู่คนเดียวหรอก จึงรีบลุกขึ้นยืนทำท่าประหนึ่งว่าพร้อมเสมอ
เก่งมาก...อดทนอีกนิดนะ ผมสัญญาว่าคุณจะได้อาบน้ำอุ่นๆ แล้วกินอาหารดีๆ จากนั้นก็นอนกันให้เต็มตาไปเลย ภามินไม่พูดเปล่าเขายื่นนิ้วก้อยมาให้หล่อนเกี่ยวอีกด้วย แม้เหนื่อยอ่อนแต่ตราบใดที่ยังมีเขาอยู่เคียงข้างหล่อนก็มีกำลังใจจะก้าวไป
ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆ นะจะได้มาเกี่ยวก้อยกันแบบนี้ แต่เอาเถอะถ้าคุณอยากเกี่ยวก้อยก็ได้... หล่อนแสร้งทำหน้าไม่เต็มใจ แต่ในดวงตากลับซ่อนงำประกายแห่งความสุขเอาไว้ไม่มิด
เราจะไปด้วยกัน ผมไม่ทิ้งคุณแน่นอน สำหรับหนุ่มรูปทองอาจจะแค่พูดให้กำลังใจหล่อน แต่สำหรับหญิงสาวแล้วมันคือคำสัญญา คำพูดภามินในคืนนี้ตราตรึงอยู่ในใจหล่อนไปตราบชั่วกาลนานเลยทีเดียว
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เป็นครั้งแรกที่อคิลนึกดีใจที่หน้าตาเขาไปคนละทางกับภามิน ไม่ได้คล้ายคลึงกันแบบพี่น้องทั่วไปควรจะเป็น ญาตาปัณฑารีย์เลยไม่ได้นึกเอะใจสงสัยสิ่งใดขึ้นมา ทั้งที่ความจริงแล้วหากหล่อนค้นประวัติเขาสักนิดก็จะทราบทุกอย่างทันที แต่วันนี้ดูเหมือนหล่อนจะกระหยิ่งยิ้มย่องดีใจบางอย่างอยู่ จึงดูหละหลวมไปสักนิด
ชายหนุ่มมองว่าหล่อนมีใบหน้าที่งดงามและดูอ่อนเยาว์กว่าวัยจริงมากนัก มองเผลินๆ หล่อนอาจหลอกใครหลายคนได้ว่าอายุมากกว่าเขาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น หาใช่คนที่จะอยู่วัยมารดาของอคิลเลยสักนิด แต่..อคิลไม่ชอบหล่อน จะว่าเพราะอคติในส่วนที่รับรู้มาแล้วนั่นเป็นเพียงเล็กน้อย แต่นายทหารหนุ่มไม่ชอบรอยยิ้ม ไม่ชอบนัยน์ตา ที่เหมือนใส่หน้ากากปิดบังอารมณ์อันแท้จริงไว้ตลอดเวลานั่นต่างหากเล่า เขาชอบคนที่เปิดเผยจริงใจหรือแม้แต่แสดงความอ่อนไหวออกมาให้เขาเห็นบ่อยๆ อย่างภามินก็ตาม อคิลยังรู้สึกสนิทใจที่จะสนทนาด้วยมากกว่า
การทำนายชะตาเบื้องต้นยังไม่ได้เริ่มเป็นเรื่องเป็นราวนัก อคิลต้องอดทนรอให้หล่อนรับประทานอาหารและอธิษฐานรอบค่ำเสร็จเสียก่อนจึงจะมาพบ ซึ่งหล่อนแม้ไม่ได้ตำหนิออกมาโดยตรง แต่สายตาก็ใช่ว่าจะพอใจนัก นางญาณันผู้ติดตามต่างหากเล่าที่เป็นฝ่ายตำหนิออกมาอย่างเปิดเผย อีกทั้งยังย้ำเตือนให้เขาระลึกถึงความอารีย์ของปัณฑารีย์ที่ยอมเสียเวลามาพบอีกด้วย เมื่อพบกันแล้วบรรยากาศค่อยดีขึ้นเป็นลำดับ หลังจากถูกสำรวจลักษณะท่าทาง ชายหนุ่มนึกดีใจที่สวมเครื่องแบบมาอย่างเรียบร้อย และนึกขอบคุณบิดามารดาที่ให้ใบที่หน้าที่ทำให้สตรีพึงใจได้เช่นนี้ ทุกเรื่องราวจึงค่อยคลี่คลายขึ้น
เชวาคู่ของมาจากแดนไกล จะมาจากทิศอุษาคเนย์
หือ?
อย่าแปลกใจไปเชวา...ชะตาลิขิตเริ่มแล้ว อีกไม่นานนักหรอก
แล้วผมจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเธอคนนั้น?
หญิงที่มีประกายสีแดง
สีแดง? เขาเกือบจะหลุดปากไปถามแล้วว่าผู้หญิงที่ทาปากสีแดงหรือใส่เสื้อสีแดงกัน แต่ขืนพูดออกไปอาการไร้ความเชื่อถือคงปรากฏให้หล่อนจับได้
ใช่...ผู้หญิงที่ทอแสงดั่งดวงอาทิตย์ ยิ่งฟังนายทหารหนุ่มยิ่งฉงน แต่ยังปั้นแต่งใบหน้าให้เหมือนตั้งใจฟังที่สุด
ผมจะพบเธอเมื่อไร? และที่ไหนครับ?
เชวาจะพบในหน้าที่การงาน อีกไม่นานนี้...เมื่อสุริยะก้าวล่วงผ่านเส้นกลางปีไป
---------------------------------------
*** เดวิด ไมล์ ตัวละครจากเรื่อง เล่ห์จันทร์ร้อยรัก
แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 54 14:31:09
จากคุณ |
:
แก้วกังไส
|
เขียนเมื่อ |
:
27 ก.ย. 54 20:51:50
|
|
|
|