9.
พักเที่ยง โรงเรียนเต็มไปด้วยเสียงเอะอะ บรรยากาศสนุกสนานตามประสาเด็กวัยซนและวัยรุ่นอบอวล ท่ามกลางแดดจัดจ้าท้องฟ้าสีสดใส บางกลุ่มเลือกสนุกสนานกับกีฬา บางกลุ่มพูดคุย บางคนอ่านหนังสือการ์ตูน
บัณฑิตาเดินมองด้วยหัวใจที่อิ่มเอม กระทั่งมาถึงที่จอดรถ กำลังสตาร์ทมอเตอร์ไซค์
“พี่บุ้ง”
เด็กชายคนที่รู้จักยืนทำหน้ากวนอยู่ มือหนึ่งถือไอติม อีกข้างล้วงกระเป๋า หญิงสาวฉีกยิ้ม นับวันจะยิ่งเหมือนพ่อเข้าไปทุกที
“ว่าไงโขง”
“ไม่ว่าไงครับ พี่ เอ้ย ตอนนี้ต้องเรียนครูบุ้งสุดสวยแล้วสิเนอะ”
“ครูบุ้งเฉย ๆ” เธอเน้นเสียง “สุดสวยน่ะมันเป็นของตาย เอาไว้เรียกกันนอกโรงเรียนนะ”
โขงหัวเราะ “น่าเสียดายชะมัดเลย ทำไมครูไม่ได้สอนห้องผมด้วยนะ”
“เสียดายทำไม ครูปลาก็สอนดีนี่นา” เธอแกล้งกระซิบ อีกฝ่ายขมวดคิ้ว “หรือน้องโขงสุดหล่อยังไม่คุ้นกับภาษาคน โม๊ะ ๆ บรู๊ว ๆ”
“พี่บุ้ง”
คนแซวหัวเราะ เสียบกุญแจบิดคันเร่ง “จะไปไหนนี่ กินข้าวเหรอ”
“อื้ม”
“ที่ร้านพ่อเหรอ”
เธอยักคิ้ว โขงทำเสียงในคอ สีหน้าวิตกโดยไม่จำเป็นจนเธอต้องเอ่ยปาก “ทำไม”
“สังหรณ์ใจว่ารถไฟจะชนกัน”
บัณฑิตายิ้มกว้าง “กลัวที่ไหน อีกอย่างพ่อโขงน่ะไม่เคยเห็นสนใจเลยว่าตัวเองจะสับรางไม่ทัน ชนกันทีไรนายสถานีก็ชิ่งหนีทุกที”
โขงยักไหล่ “ไม่รู้สิ อาจจะไม่ใช่ขบวนของพ่อมั้งครับ อ้ะ ผมไปก่อนนะ เดี๋ยวหมดเวลาพัก อดจีบน้องกุ๊กกันพอดี” พูดเสร็จก็เดินร้องเพลงไปอย่างสบายอารมณ์ บัณฑิตามองตามอย่างหมั่นไส้
ลูกไม้ใต้ต้นชัด ๆ
ที่ร้านอาหาร บัณฑิตาสะดุดตากับรถฟอร์จูนเนอร์ เหมือนเคยเห็นมันจอดอยู่ในโรงเรียน พอมองเข้าไปในร้านแว่บเดียวก็ได้คำตอบเพราะเจ้าของนั่งอยู่กับเพื่อนครูของเธอนั่นเอง
ความคิดแล่นปรู๊ดปร๊าด ไหนว่าเป็นคนพิเศษผอ.ไม่ใช่เหรอ ทำไมมานั่งกินข้าวกับชายคนอื่นได้
ปุริมาชะงักกริยาเล็กน้อย ไม่คาดว่าจะเจอสาวสวยที่ไม่ค่อยถูกชะตา แต่คิดอีกที มันจะแปลกอะไรเมื่อเป็นที่สาธารณะใครจะมาจะไปก็ได้ เธอไม่ควรทำร้อนตัว และจังหวะนั้นสินธพก็หันมองตามสายตาพอดี
หญิงสาวสองคนได้แค่ส่งยิ้มทักทาย ถึงจะทำงานที่เดียวกันแต่แทบยังไม่เคยได้เสวนา นั่งคนละที่ ซ้ำยังมีข้อสงสัยบางอย่างค้างกันอยู่ในใจคนละข้อสองข้อ ปุริมาเห็นกริยาขยับของชายหนุ่มร่วมโต๊ะจึงรู้มารยาทรีบแนะนำ
“ครูบุ้งค่ะ สอนภาษาไทยชั้นมัธยม”
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มค้อมศีรษะ
“สวัสดีค่ะ” แค่เห็นแววตา ประสบการณ์ที่ร้องเพลงต่อหน้าผู้คนหลากหลายก็บอกได้ว่าชายหนุ่มตรงหน้า ‘ไม่ธรรมดา’ แต่เขาก็มีกริยาสุภาพยามแนะนำตัวว่าเป็นวิศวกรที่มาคุมงานก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์
“นั่งด้วยกันสิครับ” เขาขยับเก้าอี้
“ไม่เป็นไรค่ะ” บัณฑิตาเคลื่อนกายออกไป เธอทักทายป้าไก่เสียงหวาน ปุริมาย่นคิ้วเล็กน้อย ทั้งที่เพิ่งมาเป็นครูแต่กลับเป็นคนคุ้นเคยของคนที่นี่มากกว่าเธอ คงเพราะเป็น ‘ผู้หญิง’ ของนายฟาร์มคนนั้นกระมัง
“ป้าไก่ บุ้งเอายำเห็ด กับไข่ต้ม ข้าวไม่ต้องเยอะ”
“ได้จ้า”
เธอกวาดสายตา “พี่เข้ไม่มาเหรอคะวันนี้”
“ไม่แน่ใจนะ ปกติก็ไม่ได้มาทุกวัน ถ้ามาก็...อ้าวนั่น พูดถึงก็มาพอดี”
บัณฑิตาหันตามสายตา ใบหน้ากระจ่างเมื่อร่างสูงเดินเข้ามา
“พี่เข้...จ๋า”
เขมรัฐแกล้งยกนิ้วเกาหู “เหมือนได้ยินเสียงลูกนกลูกการ้องอยู่แถวนี้ มิน่าเล่าตากระตุกตั้งแต่เช้า”
“พี่เข้” เธอกระเง้ากระงอด ทำท่าจะโผไปเกาะแขนแต่ชะงักเพราะหนึ่ง เห็นสายตาจากชายอีกคนที่เดินตามมา กับสอง รู้สึกเหมือนสายตาอีกสองคู่จับจ้องอยู่เบื้องหลัง
ธรณิศปรากฎกายเงียบ ๆ ตามสไตล์ เขาทำแค่ส่งสายตาทักทายกับป้าไก่ผู้เป็นแม่ แล้วเคลื่อนกายไปนั่งเก้าอี้โดยไร้คำพูด
“ผมว่าอาจจะไม่ใช่ขบวนของพ่อมั้งครับ”
เจ้าโขง ปากพระร่วง! บัณฑิตาเข่นเขี้ยวในใจ
“อะ อ้าว ครูปูนิ่ม สวัสดีครับ”
ถึงจะทำเหมือนเพิ่งเห็น แต่สีหน้าของเขมรัฐบ่งบอกชัดว่าปุริมาอยู่ในสายตาของเขาตั้งแต่แรกแล้ว บัณฑิตาเห็นหญิงสาวแอบถอนหายใจ
“ค่ะ” เธอไม่รู้จะตอบอะไรให้ดีกว่านั้น
“เห็นไกล ๆ คุ้นตา นึกแล้วว่าต้องเป็นคุณ แบบนี้แสดงว่าฝีมือแม่ครัวผมใช้ได้น่ะสิครับ อุตส่าห์แวะมากินตอนเที่ยงด้วย”
“ป้าไก่ทำอาหารอร่อยค่ะ อร่อย...จนถึงก่อนหน้าที่ใครบางคนจะมา”
สาวร่างเล็กยกคิ้ว มองทั้งสองฝ่ายปราดเดียวแล้วลอบยิ้ม ไม่แปลกใจแม้แต่นิดเดียวที่ชายหนุ่มจะเกี้ยวพาครูปุริมา แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีข่าวลือรอบตัวเรื่องพันธะกับคนสูงวัย
หรือแม้กระทั่งมีชายหนุ่มนั่งร่วมโต๊ะกินข้าวหัวโด่ทนโท่ซึ่งกำลังต้องการคำอธิบาย
“คุณเขมรัฐ เป็นผู้ปกครองเด็กที่โรงเรียนค่ะ นี่คุณสิน มาคุมงานก่อสร้างอาคาร”
เพียงแค่ได้ยินชื่อตัวเองออกจากปากหญิงสาว เท่านั้นก็รู้สึกถึงบรรยากาศระหว่างกัน สัญชาตญาณของเพศบ่งบอกโดยไร้คำอธิบาย กระนั้นพวกเขาก็ผงกศีรษะให้กันตามมารยาท
“ผอ.ไม่มาด้วยเหรอครับ”
ปุริมาอยากเอาส้อมจิ้มลูกตาแพรวพราวของคนถามเหลือเกิน พูดมาได้ ดูเหมือนเขาจะจงใจเพราะเห็นเธอกินข้าวกับผู้ชายคนอื่น หญิงสาวยกมุมปาก
“มาก็เห็นแล้วน่ะสิ”
“โอ้ จริงด้วย ผมนี่โง่จริง” เขมรัฐทำเสียงน่าหมั่นไส้ เขาเลือกนั่งโต๊ะเดียวกับบัณฑิตาซึ่งอยู่แนวเดียวกัน มีแค่ทางเดินแคบ ๆ กั้นกลาง ร่วมกับธรณิศซึ่งทำราวกับตนเองไม่รู้จักใคร
“ผมหมายถึงว่า ปูนิ่มน่าจะชวนมาด้วยกันน่ะครับ กินข้าวหลาย ๆ คนสนุกดี”
“ฉันจะชวนหรือไม่ชวนมันเรื่องของฉัน ฉันไม่ใช่วัยรุ่นที่ทำอย่างกับว่าไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงแล้วลงแดง” เธอตอบเรียบ ๆ ไม่สังเกตว่าแววตาสินธพชื่นชม อ่องยกเมนูของบัณฑิตามาเสิร์ฟ ตามด้วยเครื่องดื่มของคนทั้งสาม
“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เผื่อผอ.ถาม ผมจะได้ตอบถูก”
ปุริมาหน้าร้อนจัด จ้องชายหนุ่มเขม็ง เขากระทบกระเทียบว่าเธอ ‘หลบ’ สายตาสามีคราวพ่อมากินข้าวกับหนุ่มวัยเดียวกันงั้นสิ
“ถ้าผมไม่รู้มาว่าคุณเขมรัฐกับปูนิ่มเคยเจอกันมาก่อน ผมจะมองว่าคุณเสียมารยาทมากนะครับ” สินธพพาตัวเองแทรกเข้าในการต่อคารม ท้ายประโยคส่งไปตำหนิคนเป็นผู้ปกครองนักเรียนพร้อมรอยยิ้มอย่างแนบเนียน
เขมรัฐเห็นสายตาหญิงสาวอึดอัดใจ เขาโคลงศีรษะ
“ขอโทษทีครับ ผมมันเป็นคนปากไวพูดตรง ผมก็แซวคุณปูนิ่มไปอย่างนั้นเอง เป็นธรรมดาของคนสวยใครก็อยากคุยด้วย จริงไหมครับ” ชมทั้งหญิงสาวและตอกชายอีกคนกลับได้ ปุริมาอึ้ง
“จริงไหมจ้ะ บุ้งจ๋า”
ครั้นแล้วก็หันไปทำเสียงหวานใส่สาวร่วมโต๊ะ ความกระอักกระอ่วนใจละลายลง บัณฑิตารับอย่างรู้งาน “เห็นด้วยค้า และจะดีว่านี้ถ้าพี่เข้เลี้ยงคนสวยคนนี้อีกคน”
“ลากมาจนได้” เขาโอด จังหวะนั้นเองอ่องก็ยกถาดอาหารมาเสิร์ฟ
“ขอพี่โกะ ไข่เจียะแน๋”
ถึงสำเนียงพูดไม่ชัดแต่สาวเจ้ามีรอยยิ้มกระตือรือล้น ธรณิศรับจาน ตั้งแต่มาถึงเขายังไม่ได้เอ่ยแม้แต่คำเดียว
“ไข่เจียวแหนมอีกแล้ว ไม่เบื่อบ้างหรือไงกบ” คนชอบยิ้มจางแทนคำตอบ
“ขอนัยเข้ ไข่เจียะไม่มีแน๋ ใช่มะ”
“ไม่เอา แหนมมีพี่แล้ว”
บัณฑิตาหัวเราะก๊าก ยิ่งอ่องงุนงงสาวสวยยิ่งขำ จังหวะนั้นป้าไก่เรียกให้ไปยกไก่ต้มขมิ้นที่ทำเสร็จแล้วไปเสิร์ฟ หญิงชาวพม่าเดินไปอย่างงง ๆ
“พี่เข้นี่ เดี๋ยวอ่องเขานอนไม่หลับกันพอดี ได้สงสัยไปตลอดคืนแหละว่าเจ้านายมีแหนมได้ยังไง เอาจากที่ไหนไปใส่ไข่เจียว”
เขมรัฐหน้าระรื่น ตักข้าวสวยกับไข่เจียวร้อน ๆ เข้าปาก เหลือบเห็นสาวสวยโต๊ะใกล้กันที่ลอบมอง เธอเบนสายตากลับ คงได้ยินบทสนทนาทั้งหมดแล้วแต่ทำเป็นไม่สนใจทำทีพูดคุยกับคนร่วมโต๊ะ ขณะที่แววตาอีกฝ่ายก็ดูไม่ใคร่สนใจกับเนื้อหาเท่าไรนัก มีบางอย่างแบบที่ผู้ชายด้วยกันดูออก
“พี่เข้ รถที่ดูให้เยี่ยมไปเลย”
เสียงหญิงสาวคนร่วมโต๊ะดึงเขากลับมา “แน่นอน ระดับนายเข้ไม่ย้อมแมวใครอยู่แล้ว”
เรื่องก็คือ บัณฑิตาเปรย ๆ ว่าหลังจากเปลี่ยนมาทำงานที่โรงเรียนต้องเดินทางไกลกว่าเดิม อยากได้รถมอเตอร์ไซค์สักคันเพื่อความสะดวก ถึงเธอจะบอกกับเขมรัฐว่า ‘ขอปรึกษา’ แต่ความนัยคืออยากให้เขาช่วยนั่นเอง ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ทำให้ผิดหวัง
“สมกับเป็นคุณป๋าหน้าเข้มจริง ๆ แค่กดโทรศัพท์กริ๊งเดียว บุ้งก็ได้รถมาขับปร๋อแล้ว”
“อย่ามาทำเสียงหวานกลบเกลื่อน ไม่ได้ให้ฟรี ไม่เป็นสินสอด”
“พี่เข้น่า” เธอแสร้งนิ่วหน้า หากก็ไม่จริงจังเพราะเท่าที่ผ่านมาเขาช่วยเธอมากพอแล้ว ถึงเขมรัฐจะไม่เคยทวงถามแต่เธอไม่รับของจากใครโดยไม่ตอบแทน
“หรือจะจ่ายเป็นอย่างอื่น”
เขมรัฐยักคิ้ว บัณฑิตาส่งยิ้มค้อน แต่เมื่อจากหางตาเห็นชายร่วมโต๊ะอีกคนชะงัก ปากจะโต้จึงรีบเปลี่ยนใจ ชายหนุ่มยิ่งได้ที
“เป็นอะไร อยู่ดี ๆ เกิดกลัวโดนงาบขึ้นมาหรือไง”
“พี่เข้” บัณฑิตาปราม วูบวาบในอกเมื่อรับรู้ว่ามีอีกคนจับจ้องอยู่ “ไม่ต้องมาเล่นมุกนี้กับบุ้งหรอก เอาไปใช้กับสาวคนอื่นเถอะ”
“น้องบุ้งหึง” ชายหนุ่มลอยหน้าไม่รู้สึกบรรยากาศเปลี่ยนแปลง เขาหันไปยังคนข้างตัว “นี่ก็เหมือนกัน กินอย่างเดียว กลัวเจ้าที่เจ้าทางแย่งหรือไงวะ”
ธรณิศผ่อนลมหายใจ ชินแล้วกับคำหยอกแรง ๆ เขาเลือกไม่ตอบอย่างเคย ซึ่งคนเป็นเจ้านายก็จะไม่เซ้าซี้อะไรต่อเช่นกัน
“พี่กบ...พี่เข้บอกว่าพี่ดูฟาร์ม เลี้ยงปูนิ่มนี่ยากไหมพี่”
บัณฑิตาส่งทั้งน้ำเสียงและรอยยิ้มหวานผูกไมตรี หากชายหนุ่มทำหน้าเหมือนเห็นผี จ้องมองอย่างไม่เชื่อสายตา ทำเอาหญิงสาวคนถามใจเต้นตึกตักอย่างไม่เคยมาก่อน
“ไม่”
ใจหล่นลงวูบ ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าตัวเองตอบสั้นไป รีบแก้คำ “ก็...ไม่ยาก ไม่ง่าย” แต่คงไม่ทัน บัณฑิตาหน้างอ
“เสาร์อาทิตย์โรงเรียนหยุดก็แวะไปดูสิ เดี๋ยวให้กบมันโชว์ให้อาหารปู”
เจ้าของฟาร์มพูดกลั้วหัวเราะ ท่าทางสนุกสนานอยู่คนเดียว บัณฑิตาจ้อง...ครั้นแล้วเชิดหน้า อุตส่าห์เริ่มก่อนแล้วนะ ยังทำเป็นซื้อบื้อไม่สนใจ จะดูถูกสาวสวยอย่างเธอไปถึงไหน
ธรณิศพูดไม่ออก กวาดข้าวที่เหลืออีกสองสามคำลงท้อง กระดกแก้วเร็ว ๆ แล้วลุกออกจากโต๊ะ
“ผมไปรอที่รถนะนายเข้”
“อ้ะ เออ อะไรวะ” แม้แต่เขมรัฐยังงุนงงกับท่าทีผลุนผลันของลูกน้อง บัณฑิตาพ่นลมหายใจ ในนาทีเดียวกันปุริมากับสินธพจ่ายเงินเสร็จแล้วเตรียมตัวกลับ
“กลับแล้วเหรอครับ อ้ะ ขอโทษที ก็เห็นอยู่” เขมรัฐเย้าด้วยถ้อยคำถามเองตอบเอง ดวงตากลมนั้นวามวาว ทำท่าจะเดินผ่านไปโดยไม่ต่อปาก “อ้อ เชิญคุณครูไปเที่ยวฟาร์มด้วยนะครับ ว่าง ๆ พานักเรียนมาทัศนศึกษาก็ได้ เรียนรู้ชีวิตเกษตรกรพอเพียง ไหน ๆ ก็ไปมาหมดแล้วทั้งแพทั้งร้าน แล้วก็บ้านผม”
อีกแล้ว ปุริดาถลึงตาใส่เขมรัฐ เหลือบมองสินธพ คลับคล้ายจะมีข้อสงสัยในสีหน้า เพียบวูบเดียวก็จางหายไป จะมีสักครั้งไหมที่นายคนนี้จะไม่ยียวนกวนประสาทเธอ หากแต่ท้ายสุดก็ทำได้แค่กระแทกเสียง
“ขอบคุณเจ้าค่ะ!”
ฝากไว้ก่อนเถอะ นายราหู
เขมรัฐมองตามตาเป็นประกาย กระทั่งบัณฑิตากระแอม
“จ๋า”
คนร่วมโต๊ะหรี่ตา “เอาจริงเหรอ มันจะสูงไปไหมพี่เข้”
“เอาอะไร อะไรสูง” เขมรัฐแกล้งยวน นัยน์ตายิ้มกริ่ม “ไม่ต้องกลัวนะบุ้ง ถึงมีปูนิ่มแต่พี่ก็ไม่ลืมบุ้งแน่นอน”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” หญิงสาวเชิดหน้า “ไม่เอา ไม่พูดแล้ว รีบกินดีกว่าเดี๋ยวต้องกลับไปเตรียมการสอน” บัณฑิตากำลังขุ่นเคืองกับชายหน้าเคราคนนั้นจึงไม่มีอารมณ์ต่อปากกับนายฟาร์มจอมกวนอย่างเคย ได้แต่คุยเรื่องสัพเพเหระกระทั่งแยกย้ายกันไปทำงาน
....ต่อ
แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 54 21:58:17
จากคุณ |
:
BabyRed
|
เขียนเมื่อ |
:
28 ก.ย. 54 21:57:28
|
|
|
|