Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
นักรบจันทรา ตอนที่ 7 โฟเรีย ติดต่อทีมงาน

การ์

“ตื่นได้แล้ว” เสียงทุ้มน่ารำคาญแว่วเข้าหูการ์ที่กำลังหลับ “แกล้งไม่ได้ยินหรือ”

คราวนี้ไม่ได้มีแค่เสียงปลุก กรงเล็บแหลมคมระดมข่วนแก้มของการ์จนยอมตื่นขึ้นจากการนอนหลับ พอลืมตาก็พบว่าผู้ที่ปลุกคือนกตัวเล็กๆผิดแต่มันมีขนสีฟ้าสดใสและสามารถพูดได้ เมื่อรู้สึกตัวเต็มที่ก็ยิ่งตกใจ รอบตัวเขาไม่ใช่ห้องโถงเหม็นกลิ่นกำมะถันแต่เป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แถมอากาศที่นี่ยังเย็นสบายไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป

“เจ้านก เมื่อตอนนั้น” การ์จำนกน้อยตัวนี้ได้ติดตา มันคือนำตัวที่ปาเหรียญใส่หัวเขาและนำทางไปหาไบรอัน ทำไมมันจึงมาอยู่ที่นี่และทำสิ่งเหล่านั้นเพื่ออะไร

การ์ตกใจเป็นครั้งที่สามเมื่อขนนกสีฟ้าใสกระจายตัวฟุ้งตลบเป็นวงกว้างเหมือนมีพายุ เมื่อลมขนนกสลายไปจึงปรากฏร่างชายหนุ่มครึ่งนกยืนอยู่แทนที่ ดูจากใบหน้าแล้วอายุน่าจะรุ่นเดียวกับการ์และไบรอัน ที่ขัดตาคือปีกสีเดียวกับนกตัวเมื่อครู่งอกออกมาจากแผ่นหลัง ดูจากขนาดแล้วน่าจะทำให้ชายครึ่งนกคนนี้บินบนอากาศได้จริงๆ

“ข้าคือจักรพรรดิวิหคเพลิงโฟเรีย ยินดีที่รู้จักนักรบจันทรา” ชายครึ่งนกเพลิงโค้งให้อย่างสุภาพในขณะที่การ์ไม่รู้เรื่องอะไรแม้แต่นิด ใครคือนักรบจันทรากัน “แสดงว่าเจ้าบ้องตื้นนั่นยังไม่ได้บอกเรื่องนั้นแน่ มีสมองเสียเปล่า”

ด้วยความสงสัยแต่ยังไม่ตัดสินใจเอ่ยถาม การ์ยันตัวลุกขึ้นแล้วดูชายครึ่งนกพูดกับตัวเองเบาๆว่าจะจัดการอย่างไรดี ตอนนี้เขามีคำถามให้ขบคิดบ้างแล้ว นกเพลิงตัวนี้ทำไมพูดได้ จักรพรรดิของเหล่านกเพลิงคืออะไร แล้วนักรบจันทราคือใครในเมื่อมีไบรอันเป็นผู้กล้าแบบเบ็ดเสร็จแล้ว จนกระทั่งชายครึ่งนกดีดนิ้วเบาๆเมื่อคิดบางอย่างได้

“เห็นเนินเขาลูกนั้นไหม ที่มีต้นไม้ไฟขึ้นอยู่นั่นละ” ชายครึ่งนกชี้ไปเนินเตี้ยๆที่มีไฟลุกอยู่ตลอดเวลา นั่นคือต้นไม้ไฟหรือ “นี่คือการทดสอบ ไปเอาดาบที่นั่นแล้วกลับมาที่นี่”

เมื่อได้รับคำสั่งแกมบังคับการ์จึงเดินไปยังเนินที่อีกฝ่ายพูดถึง ตลอดเวลาก็คิดว่าเหตุใดเขาต้องมาทำอะไรอย่างนี้ด้วย ถ้ามันเป็นการทดสอบผู้กล้าคนที่ควรยืนอยู่ตรงนี้ควรเป็นเจ้าคนปากหนักไบรอัน บรู๊คมากกว่า หรือรายนั้นกลายเป็นผู้กล้าสำเร็จรูปเลยยกการทดสอบชวนปวดหัวนี่มาให้เขาแทน แล้วเขาจะผ่านการทดสอบได้ไหมในเมื่อไม่มีสมองที่ชาญฉลาดเหมือนเจ้าปากหนักนั่น

ทางเดินเบื้องหน้าราบเรียบไม่มีอะไรเลยนอกจากต้นหญ้าสองข้างถนนดิน มีเพียงจุดหมายไกลๆที่มองเห็นเปลวไฟจากต้นไม้ประหลาดตัดกับท้องฟ้าอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ถึงสีสันจะไม่หยุดนิ่งแต่พอเข้าไปใกล้กลับไม่รู้สึกถึงความร้อน พอมองไปรอบๆก็เจอกับดาบคร่ำคร่าเล่มหนึ่งถูกปักลงในดินเสียครึ่งเล่ม ช่างเหมือนกับนิยายรูปแบบเดิมๆเหลือเกินที่ต้องมีการดึงดาบวิเศษขึ้นมาจากหิน การ์ไม่คิดว่านั่นคือดาบของผู้กล้าในตำนานอยู่แล้วจึงก้มตัวลงแล้วดึงออกเบาๆ ดาบสนิมเขรอะอุตส่าห์ยกตามมือขึ้นมาด้วยอย่างว่าง่าย “ถ้าเป็นของผู้กล้าก็ต้องให้เจ้าไบรอันมาดึงสิ” ว่าแล้วก็หัวเราะทำทีชูดาบเหมือนผู้กล้าในตำนาน

“หัวเราะอะไรอยู่ขอรับ” เสียงประชดประชันจากชายครึ่งนกตามหลอกหลอนเขาในพริบตา ร่างหนุ่มแน่นมีปีกน้ำเงินที่หลังปรากฏขึ้นตรงหน้าการ์อีกครั้งราวกับใช้มนตร์เคลื่อนย้าย

“นี่ใช่ไหม คราวนี้บอกมาได้แล้วว่าพาข้ามาที่นี่ทำไม”

“การทดสอบแรกยังไม่เสร็จสักหน่อย” ชายครึ่งนกถอนหายใจ ทำเสียงเหมือนพูดอยู่กับคนที่โง่ที่สุดในดินแดนนี้ “คราวนี้เดินกลับไป ตรงนั้น”

การ์หันไปมองทางทิศที่เขาเดินผ่านมา ถนนเรียบๆบนทุ่งหญ้าเรียบๆกลับกลายเป็นถนนหินแสนน่ากลัวทอดตัวอยู่เหนือบ่อลาวาขนาดใหญ่กินอาณาเขตกว้างไกลสุดสายตา ท้องฟ้าสดใสพลันมืดทะมึนจนแทบมองไม่เห็นแสงตะวัน เขาพยายามคิดว่าเหตุใดสิ่งต่างๆจึงเปลี่ยนไปได้เร็วราวพลิกฝ่ามือ เมื่อลองปักดาบกลับลงพื้นน่าแปลกที่ทุกอย่างกลับเหมือนเดิมอีกครั้ง หนทางราบเรียบทุ่งหญ้าเขียวขจี ท้องฟ้าสดใสไม่มีเมฆสักก้อน

“เวทมนตร์ลวงตา” การ์นึกถึงสิ่งที่ไบรอันเคยพูดก่อนจะเข้าไปในปราสาทโอ๊คแลนด์ มีเวทมนตร์อย่างหนึ่งที่สร้างภาพลวงตาได้แต่เจ้าคนปากหนักนั่นไม่ถนัดมนตร์นั้นสักเท่าไหร่ ชายครึ่งนกตัวนี้คงอยากทดสอบเขาด้วยมนตร์ลวงตาแบบง่ายๆ

“ถูกต้อง มันคือเวทมนตร์ลวงตาของสัตว์ปีศาจที่เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ นำดาบเล่มนี้ไปที่จุดเมื่อกี้ แล้วข้าจะบอกว่าสิ่งใดคือภาพลวงตา” เป็นอีกครั้งที่ชายครึ่งนกหายตัวกลับไปอยู่สุดปลายถนนในพริบตา

ปัญหาของการ์อยู่ที่จุดนี้เอง หากเขาจับดาบภาพทางเดินที่น่าหวาดกลัวจะปรากฏขึ้น แต่ถ้าไม่จับดาบแล้วจะเอาดาบไปที่นั่นได้อย่างไร การใช้ผ้าห่อดาบคงไม่ใช่คำตอบที่ถูกแน่ จนกระทั่งนึกขึ้นมาได้ว่ามันเป็นภาพลวงตา หากเป็นไบรอันคงรู้อยู่แล้วว่าภาพน่ากลัวนั่นเป็นภาพลวงตาและเดินไปยังจุดหมายโดยไม่ลังเล เขาหันหน้าตรงแน่วไปยังจุดหมาย คราวนี้พอจับดาบทางที่เคยตรงกลับคดโค้งไปมามีทั้งเนินสูงและหลุมลึก ชวนให้คิดว่าหากภาพน่ากลัวนี้คือความจริงแล้วหลับตาเดินไปคงตกบ่อลาวาตายแน่ เขาคิดแล้วคิดอีกว่าหากเป็นเจ้าปากหนักจะทำอย่างไร สุดท้ายก็ต้องตัดสินใจด้วยความรู้สึกของตัวเอง

เมื่อตัดสินใจได้แล้วชายหนุ่มจึงเอาดาบเก่าๆคาดไว้ที่เข็มขัดแล้วก้าวไปยังทางเดินหินอย่างอาจหาญ ความกล้าที่พ่อบุญธรรมมอบให้เขาไม่มีวันจางหายไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาเชื่อว่าทางแสนสบายเมื่อครู่จะต้องเป็นของจริงดังนั้นจะต้องตรงดิ่งไปสู่จุดหมายอย่างเดียว ตอนนี้เส้นทางที่สั้นๆกลับลอยห่างไปยังเส้นขอบฟ้าอย่างไม่มีสาเหตุ ถึงจุดหมายจะอยู่ไกลโพ้นเขาก็ยังก้าวขาเดินอย่างไม่หวั่นไหวด้วยความเชื่อที่ว่าเส้นทางจริงเป็นทางตรง และอยู่ใกล้แค่ร้อยกว่าหลา

ความร้อนมหาศาลเข้าปะทะขาทั้งสองข้างเมื่อเดินบนถนนเหนือบ่อลาวา พรายฟองเดือดปุดๆส่งกลิ่นเอียนๆชวนให้คิดไม่ได้ว่ามันคือของจริง เมื่อถึงทางโค้งเขากลับสามารถก้าวเดินต่อไปได้ทั้งที่ไม่มีทางเดินรองรับ ในหัวของการ์ตอนนี้คือภาพของถนนดินที่เป็นเส้นตรงไปสู่เป้าหมาย ความกดดันและความร้อนทำให้ร่างกายอ่อนล้าลงทุกขณะ ในที่สุดเขาก็พบกับคนครึ่งนกตัวเดิมที่กำลังยืนมองเขาด้วยแววตาชื่นชม เป็นเวลานานเท่าไรไม่รู้ที่ทนเดินมาในสภาพนั้น เสื้อผ้าเปื้อนเหงื่อเต็มไปหมด ปากคอแห้งผากด้วยความร้อนจากรอบด้าน การ์หยิบดาบขึ้นมาปักบนพื้นดิน หวังว่าจะหลุดพ้นจากภาพลวงตาร้อนระอุนี้เสียที

“ของรางวัลสำหรับการทดสอบแรก ด้านหลังของท่านคือความจริง ไม่ใช่ภาพลวงตา” การ์หันหลังกลับไปมองข้างหลังแล้วเบิกตาค้าง ภาพทุ่งหญ้าสงบเงียบเป็นภาพลวงตา ทางที่แท้จริงนั้นเป็นถนนตรงยาวพาดอยู่เหนือบ่อลาวาที่คิดว่าเป็นภาพลวงตา แม้จะเดาไม่ถูกว่าบ่อลาวาคือของจริงแต่อย่างน้อยเขาก็เดาถูกว่าทางเดินนั้นตัดตรงไม่มีการเลี้ยว

“สิ่งที่พวกท่านเห็นในโลกแห่งความจริงก็คล้ายกัน เหมือนเป็นสิ่งดีงามแต่ความจริงนั้นกลับเป็นตรงข้าม เราไปให้ห่างบ่อร้อนนี่ดีกว่า ข้าไม่อยากให้ท่านสุกก่อนทดสอบเสร็จ”

ชายครึ่งนกเดินนำทางไปยังทุ่งหญ้ากว้าง การ์แปลกใจที่ภูมิประเทศมันติดกันและเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป พอเดินพ้นบ่อลาวา ดินแข็งๆก็กลายเป็นทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ทันทีจนเหมือนกับภาพวาดของเด็กเล็กๆ เขาลองถือและทิ้งดาบเก่าๆด้วยความที่ยังลังเลว่าจะเป็นภาพลวงตา ผู้ทำการทดสอบพูดลอยๆด้วยความรำคาญว่าคราวนี้เป็นของจริงทั้งหมด

“วางดาบเล่มนั้นไว้ก่อน ข้าคิดวิธีออกแล้ว” ชายครึ่งนกกระพือปีกทำให้ร่างสูงชะลูดลอยไปบนท้องฟ้าเหมือนนกตัวเขื่อง ขนนกจำนวนหนึ่งลอยเข้าสู่มือของมันแล้วเปลี่ยนเป็นกริชสั้นคมกริบ การ์กลืนน้ำลายไม่อยากคิดว่ากริชเล่มเรียวแหลมนั่นจะคมแค่ไหน “ทุกครั้งที่ท่านใช้ดาบเล่มนั้นสร้างบาดแผลบนร่างข้าได้ข้าจะตอบคำถามท่านทีละข้อ เมื่อท่านไม่มีคำถามแล้วจึงถือว่าท่านผ่านการทดสอบทั้งหมด”

“ตอบทุกข้อแน่นะ ไม่มีการอมพะนำนะ” ดวงตาของชายหนุ่มลุกวาว ในที่สุดก็มีคนพร้อมตอบคำถามของเขาสักที

“ถ้าข้าสามารถตอบได้ก็จะตอบให้” คำตอบดังกล่าวทำให้เขาอยากกลับไปลากเจ้าปากหนักนั่นมาดูว่าการตอบคำถามจริงๆเขาทำกันอย่างไร “ขอให้ท่านระวังเอาไว้หน่อยเพราะข้าจะใช้มีดบินป้องกันตัวด้วย ถึงข้าจะมีตาแต่อาวุธของข้ามันไม่มีนะขอรับ”

ว่าแล้วเขาก็เงื้อดาบพุ่งเข้าหาชายครึ่งนกทันที พริบตาที่ออกแรงเหวี่ยงดาบเก่าๆเป้าหมายก็หายไปจากคลองสายตา พริบตานั้นมือขวาก็อ่อนแรงจนเกือบปล่อยดาบหลุดออกจากมือ ชายหนุ่มหันหลังตามสัญชาติญาณก็พบว่าเป้าหมายหนีไปอยู่ด้านหลังเสียแล้ว

“ขอโทษที ข้าลืมเปลี่ยนสภาพดาบให้เป็นของจริง” ผู้นำทางดีดนิ้วเปาะ สนิมบนดาบหลุดกร่อนทันตาแม้แต่ด้ามจับยังส่องประกายประหลาด ไม่ถึงอึดใจดาบเก่าคร่าก็กลายเป็นดาบสีเงินใหม่เอี่ยม ด้ามดาบสลักอักษรแปลกเต็มพรืด ส่วนกันมือมีสัญลักษณ์แปลกๆอยู่เช่นกัน “ถ้าไม่ทำให้ดาบแสดงพลังก็มีโอกาสเข้าถึงตัวข้าน้อยน้อยมากๆ” ชายครึ่งนกทำให้เขานึกถึงใครสักคน เรื่องที่ปกปิดดาบเล่มนี้ถูกบรรจุลงในรายชื่อคำถามเรียบร้อยแล้ว

“ดาบเล่มนั้นคือดาบแสงตะวัน เป็นดาบคู่มือของนักรบแสงตะวัน” การ์อ้าปากค้างเมื่ออีกฝ่ายตอบคำถามให้เสียดื้อๆ “แทนคำขอโทษที่ลืมเรื่องดาบขอรับ”

ผู้นำทางทำให้เขาคิดว่าดาบเล่มนี้เป็นของเจ้าคนปากหนักนั่น แต่เมื่อลองเหวี่ยงดาบดูก็รู้สึกได้ถึงความร้อนของใบดาบ คราวนี้เขาลองหวดด้วยความเร็วที่มากขึ้นก็รู้สึกเอียงวูบไปข้างหน้าเหมือนถูกดึงแรงๆ

“ข้อแรกคงไม่ต้องรอให้ท่านคิด” ผู้นำทางทำให้เขาตื่นจากภวังค์ “ดาบเล่มนั้นปล่อยคลื่นความร้อนสูงออกมาเป็นใบมีดล่องหนได้ หากใช้ให้ดีอาจปล่อยลำแสงความร้อนสูงได้ตามใจนึก ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าดาบแสงตะวัน” ชายครึ่งนกยกแขนให้เขาดูรองพองแดงเป็นทางก่อนที่มันจะหายไป

“จะถามว่าพาตัวข้ามาที่นี่เพราะอะไรต่างหาก”

การ์คำรามแก้เก้อแล้วเหวี่ยงดาบอย่างบ้าคลั่งหวังให้คลื่นความร้อนสูงไปโดนตัวอีกฝ่ายเหมือนตอนแรก คราวนี้มีเพียงมีดสั้นที่ร่วงลงพื้นอย่างต่อเนื่องราวกับผู้ใช้สามารถปัดป้องใบมีดที่มองไม่เห็นได้ทุกครั้ง เมื่อกี้ผู้นำทางคงไม่คิดว่าจะปล่อยมันออกมาได้ทันทีจึงไม่ทันป้องกัน

“ข้าเริ่มคิดเหมือนเจ้าคนไร้สมองนั่นแล้ว ตอนนี้ท่านยังเป็นแค่เด็กอ่อน จำเป็นต้องให้ดวงอาทิตย์นำทางจริงๆ” ชายครึ่งนกสะบัดมือเบาๆให้ใบมีดทั้งแปดพุ่งผ่านร่างของเขาเหมือนสายลม เสื้อผ้าและใบหน้าถูกกรีดเป็นรอยเล็กๆก่อนปักลงพื้นดิน “ถ้ายังทำแบบเมื่อกี้อีกข้าจะค่อยๆปักดาบลงบนแขนท่านทีละเล่มๆ ค่าที่ความพยายามต่ำและฝีมือน่าสมเพชเกินรับได้”

คราวนี้การ์ฮึดสู้ขึ้นทันควันเพราะคำค่อนขอด เขาพุ่งไปหาผู้นำทางด้วยกำลังทั้งหมดที่มีแต่อีกฝ่ายหลบทัน โชคดีที่ชายหนุ่มรู้ทันเสียก่อนจึงสะบัดดาบไปอีกทางหนึ่งทำให้ไหล่ขวาเจ็บร้าว คลื่นความร้อนคงโดนอีกฝ่ายแบบเฉียดๆหากเขาเลือกทิศถูก

“ข้อที่สอง เจ้าคือใคร” การ์ยิ้มแป้นเพราะมองเห็นรอยแดงที่มือของผู้นำทาง เสียดายที่ไม่โดนตัวตรงๆ

“หนึ่งในจักรพรรดินกเพลิงแห่งดินแดนนี้ ข้ารับใช้องค์จอมเทพสูงสุด ตอนนี้งานของข้าคือเป็นปีกให้กับนักรบจันทรา เรียกว่าสัตว์เลี้ยงคงไม่ผิด” ผู้ทดสอบตอบอย่างไม่ปิดบัง การ์อยากถามต่อแต่นึกได้ว่าหนึ่งแผลต่อหนึ่งคำถาม “ถ้าสนุกอย่างนี้ค่อยน่าเล่นด้วยหน่อย” ชายครึ่งนกทำให้เขาคิดถึงเจ้าคนปากหนัก ถึงจะปากหนักแค่ไหนแต่ไม่เคยใช้เขาเป็นของเล่นแบบนี้

คราวนี้การ์พุ่งตัวเข้าไปหาผู้ทดสอบอย่างเมื่อครู่เพื่อให้อีกฝ่ายตอบคำถามอีก แม้บางครั้งจะไม่เฉียดแต่ก็ไม่ย่อท้อมีเพียงความบ้าบิ่นเท่านั้นที่จะสร้างรอยแผลให้อีกฝ่ายได้ “ข้อที่สาม ใครคือนักรบ...ขอเปลี่ยนคำถาม นักรบแสงตะวันกับนักรบจันทราคือใคร” การ์ปัดเศษหญ้าออกจากอกเสื้อ ถึงเวลาเล่นเล่ห์บ้างแล้ว

“ถือว่าสองคำถามแต่ข้าจะตอบให้ ทั้งสองคนคือท่านคนเดียว เป็นสองแต่ความจริงคือหนึ่งเดียว เมื่อถึงเวลาก็จะรู้เอง ข้าขี้เกียจอธิบาย” ชายครึ่งนกอารมณ์ดีขึ้นเมื่อเห็นชายหนุ่มกระ:-)กระสนเพื่อเข้ามาเล่นงานตนให้ได้ “นักรบจันทราคือผู้ช่วยเหลือตัวจริงของดินแดนอันมืดมิดนี่ ผู้กล้าแสงตะวันจัดการหน้าฉาก แต่นักรบจันทราจัดการหลังฉาก”

“ข้อที่สี่ ถ้าข้าคือนักรบจัณฑาลนั่นแล้วผู้กล้าแสงตะวันล่ะ” การ์คลึงข้อศอกป้อย คราวนี้เขาลงทุนขัดขาตัวเองล้มเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายดักทางได้

“จันทราต่างหาก” ชายครึ่งนกมุ่ยหน้า “รู้ไหมว่าดวงจันทร์ส่องแสงได้ด้วยดวงอาทิตย์ นี่ก็เหมือนกัน ผู้กล้าแสงตะวันคือผู้นำทางนำร่องให้นักรบจันทราแข็งแกร่งขึ้นอย่างไรละ”

การ์คิดว่านี่คือสิ่งที่เจ้าปากหนักนั่นปิดบังเอาไว้ คำว่าผู้กล้าเส็งเคร็งไม่ใช่แค่คำพูดลอยๆ ถ้าผู้ช่วยเหลือคือนับรบจันทราแล้วผู้กล้าแสงตะวันคงเป็นแค่ไม้ประดับเท่านั้น จะว่าไปนี่ก็เป็นแค่เรื่องน้ำเน่าชั้นดี มีปีศาจก็มีผู้กล้า สุดท้ายปีศาจก็ถูกผู้กล้ากำจัดตามบท เขาคิดแล้ววางแผนเล่นงานอีกฝ่ายต่อ

“ข้อที่ห้า หน้าฉากหลังฉากคืออะไร นักรบจันทราคืออะไรกันแน่” มือซ้ายของชายหนุ่มเต็มไปด้วยเลือดเพราะมีมีดสั้นเล่มหนึ่งพุ่งเข้าหาอย่างฉับพลันจนเกือบร้องด้วยความเจ็บปวด

“โง่จริง” ผู้ทดสอบกระซิบลอดไรฟันโดยเจตนาให้เขาได้ยินด้วย “หน้าฉากคือสิ่งที่ประกาศให้ชาวบ้านร้านตลาดเขารู้ ท่านจะได้มีคนยกย่องสักปีสองปีแล้วถูกถีบหล่นเหว หลังฉากคือสิ่งที่ถูกปกปิดอยู่หลังหน้าฉาก...ถ้าหน้าฉากคือละครในโรงที่มีตัวแสดงออกมาเล่นตามบท หลังฉากก็คือสิ่งที่ดำเนินอยู่หลังม่านการแสดง สิ่งที่ไม่สามารถประกาศให้ใครรู้ได้ อย่างเช่น ถ้าข้าบอกว่าเทพเจ้าหนึ่งเดียวของดินแดนนี้เป็นปีศาจ เจ้าจะเชื่อไหม”

“เทพรีอาที่ชาวบ้านทำพิธีบูชาทุกฤดูเพาะปลูกหรือ อย่าล้อเล่นน่า”

“นั่นอย่างไรละ ถ้าบอกไปก็จะไม่มีใครเชื่อถือ แล้วท่านก็จะถูกต่อต้านในที่สุด บางทีอาจถูกฆ่าหมกป่าก็ได้ฐานที่ดูหมิ่นเทพที่พวกชาวบ้านนับถือ” ชายครึ่งนกพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบผิดกับเมื่อครู่ “เข้าใจแล้วหรือยังว่าเหตุใดข้าจึงให้ท่านเห็นภาพลวงตาแบบนั้น”

เนื่องจากเขาไม่ถนัดเรื่องใช้หัวสมองเท่าไรจึงต้องใช้เวลาทำความเข้าใจสิ่งทึ่ผู้ทดสอบพูด “จริงหรือ หลักฐานล่ะ” การ์พลั้งปากไปด้วยความคิดว่าอีกฝ่ายไม่น่าพูดเรื่องจริง เทพจะเป็นปีศาจได้อย่างไรเล่าชายหนุ่มคำรามในลำคอเบาๆ คู่สนทนากลับไม่มีรอยยิ้มแพลมออกมาสักนิด

“จอมเทพสูงสุดนายของข้าคือสหายของเทพรีอาแห่งดินแดนนี้ พวกท่านเหล่านั้นร่วมมือมือกันสร้างเมืองต่างๆ นกเพลิงคือสัญลักษณ์ของนายข้า ส่วนมังกรคือสัญลักษณ์ของเทพรีอา แค่นี้ใช้เป็นหลักฐานได้หรือเปล่า” ชายครึ่งนกทำให้การ์เป็นใบ้ชั่วขณะ

“เมื่อหลายพันปีก่อนตอนสร้างดินแดนนี้ขึ้นใหม่ ท่านทั้งสามร่วมกันรวบรวมความชั่วร้ายที่คุกคามเหล่ามนุษย์แล้วผนึกลงไปในแกนกลางเพื่อให้ดินแดนคงอยู่ได้ เมื่อสามสิบกว่าปีก่อนเป็นช่วงที่พลังของเทพรีอาอ่อนลงผนึกจึงคลายออกให้ความชั่วร้ายออกมา เทพรีอาเพียงผู้เดียวไม่สามารถต้านทานได้จึงเป็นฝ่ายถูกผนึก และความชั่วร้ายก็ปลอมตัวเป็นเทพรีอาแทนในที่สุด” ชายครึ่งนกคงลืมไปเสียแล้วว่ากำลังทดสอบเขาอยู่จึงพูดออกมาเอง “ตอนนี้นายของข้าไม่อยู่ในสภาพที่สวยงามนักจึงต้องขอแรงมนุษย์อย่างท่าน”

“แล้วข้าจะได้อะไร เหนื่อยแทบคลั่งแต่กลับได้คำชื่นชมแค่ปีสองปี”

“รางวัลชิ้นที่หนึ่ง ท่านจะได้ข้าเป็นข้ารับใช้จนชั่วชีวิต รางวัลชิ้นที่สองคือชีวิตของท่าน หากไม่ได้รับพรจากนายข้าท่านคงจมน้ำตายตั้งแต่เป็นทารก รางวัลชิ้นที่สามคือชีวิตของบิดามารดาของท่าน หากให้คนอื่นเป็นนักรบจันทราพวกเขาคงตายอย่างเลี่ยงไม่ได้ แค่สามชิ้นนี้ท่านคงปฏิเสธไม่ได้แล้วกระมัง”

“แล้วพ่อกับแม่ของข้าคือใคร” เขาคิดว่าถ้ากล่อมให้ดีคงได้คำตอบโดยไม่ลำบาก

“พ่อกับแม่ของท่านคือผู้รับเคราะห์ คนที่จะอธิบายได้ดีที่สุดคือเจ้าผู้กล้าแสงตะวันนั่น”

“แล้วเจ้าตัวอมตะนั่นล่ะ ชื่อเวเฟอร์กระมัง เจ้าช่วยฆ่าเขาได้หรือเปล่า”

“เวเบอร์ขอรับ คนๆนั้นเป็นอัจฉริยะโดยกำเนิด มีสตรีเพียงคนเดียวที่สามารถโค่นเขาได้ แต่พระนางยังไม่เกิด...” ชายครึ่งนกรีบปิดปากตัวเองด้วยความที่พูดมากเกินไป

การ์คำรามเบาๆด้วยความเสียดายที่ผู้ทดสอบรู้ตัวเสียแล้วว่าเผลอตอบคำถามโดยไม่ผ่านเงื่อนไขเสียก่อน ตอนนี้เขาคงถามได้อีกแค่ข้อเดียวเพราะใกล้หมดแรงเต็มที แขนขาเริ่มอ่อนเปลี้ย ความหอบเหนื่อยเริ่มเล่นงานเขาหนักข้อขึ้นกว่าเดิม

“ไหนๆความปากมากของข้าก็แผลงฤทธิ์ไปแล้ว ถือว่าท่านผ่านการทดสอบก็แล้วกัน” ผู้ทดสอบพูดอย่างเสียไม่ได้

ไม่ทันขาดคำสีสันรอบๆตัวเขาเริ่มหม่นลงเรื่อยๆจนกลายเป็นสีดำสนิท การ์รู้สึกว่าหนังตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆเหมือนตอนทำพิธีประหลาดๆนั่นแล้วก็หลับไปในที่สุด...



“ตื่นแล้ว”

เสียงแหลมสูงที่คุ้นเคยลอยผ่านหู การ์ลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องๆหนึ่งที่ไม่เคยเห็น เสียงปิดประตูทำให้เขาเริ่มสำรวจรอบตัว ตอนนี้เขาอยู่ในห้องพักที่หรูหราเกินพอดี เขาเข้ามาในปราสาทของไพน์เพื่อทำการทดสอบอะไรสักอย่างแล้วหลับไป แล้วก็ผ่านการทดสอบในความฝัน เขาอดคิดไม่ได้ว่าเจ้านกเพลิงปากมากนั่นอาจเป็นแค่ความฝันเท่านั้น

“ไม่ดีใจหรือที่ได้ข้าเป็นข้ารับใช้” เสียงกวนประสาทที่ทำให้การ์สะดุ้งโหยง ชายครึ่งนกแอบมานั่งข้างเตียงเมื่อไรไม่รู้ ปีกสีฟ้าสดใสแทบทำให้ท้องฟ้าสีซีดลงทันตา

“นี่คือแหวนของท่านห้ามให้ห่างตัวเด็ดขาด ถ้าจะเรียกข้าก็เอ่ยชื่อมาเวอร์รัส ไม่สิการ์ลูสต่างหาก นกเพลิงประจำตัวเชื้อพระวงศ์จะต้องเปลี่ยนชื่อให้คล้องกับเจ้าของ ส่วนดาบเล่มนี้ก็เหมือนกับดาบในความฝัน ใช้ให้ดีก็แล้วกัน”

คนครึ่งนกปากมากโยนของสองสิ่งมาให้อย่างลวกๆ สิ่งหนึ่งเป็นแหวนหัวพลอยสีฟ้าใสเหมือนปีกของมัน ส่วนดาบอีกเล่มมันเหมือนกับดาบที่เขาใช้ในความฝันไม่ผิดเพี้ยน แม้แต่คมดาบยังรู้สึกอุ่นแทนที่จะเย็นเฉียบเหมือนดาบทั่วไป เขาคือนักรบแสงตะวันจริงๆหรือ

“ที่เหลือก็ถามจากเจ้างั่งแสงตะวันเองก็แล้วกันขอรับ ขอข้าพักบ้างเถอะ” ไม่ทันขาดคำร่างของชายครึ่งนกก็ค่อยๆโปร่งแสงแล้วหายไปในที่สุด การ์สวมแหวนพลางคิดว่าจะเรียกออกมาได้จริงหรือไม่

แม้ท้องไส้จะลั่นโครกครากแต่ด้วยความที่เหนียวตัวจำต้องไปล้างหน้าล้างตาเสียก่อน เขาไม่อยากเชื่อว่าการทดสอบนั่นเป็นแค่ความฝันเพราะความเหนื่อยล้ายังเกาะกุมทั่วทุกข้อต่อ การ์ต้องค่อยๆเกาะโต๊ะและชั้นหนังสือเพื่อเดินไปหาอ่างน้ำมุมห้อง เดินยังไม่ทันถึงประตูก็เปิดออกอย่างรวดเร็ว เจ้าคนปากหนักที่อยากซัดหน้าสักผลั่กวิ่งเข้ามาในห้องก่อนเป็นคนแรก ตามติดด้วยริเรีย เรแมนที่ใช้งานเขาเยี่ยงทาส และผู้หญิงที่เขารู้สึกคุ้นหน้าอีกคนหนึ่ง

“เอาไว้ข้ามีแรงเมื่อไรท่านโดนเชือดแน่ ไบรอัน บรู๊ค” การ์หันไปมองเพื่อนร่วมทางด้วยดวงตาลุกวาว เขาอยากซัดหน้าเจ้าคนปากหนักคนนี้มานานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาส

ด้วยเครื่องบรรณาการเป็นอาหารจานใหญ่สองจานอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของการ์ก็สงบลงได้ “ข้ารู้ว่าอย่างไรเสียท่านนกเพลิงตัวนั้นต้องเล่าให้เจ้าฟังอยู่ดี สู้ให้รอหน่อยจะดีกว่า” คำแก้ตัวของเจ้าคนปากหนักทำให้เขาอยากยืมคำด่าของการ์ลูสที่ว่าคนงี่เง่าไร้สมองมาใช้ กรณีนี้ต่างฝ่ายต่างคิดโยนงานให้อีกฝ่ายเลยด่าไม่ลง

“แล้วซาราห์ล่ะ ผู้หญิงคนเมื่อกี้อีก นางเป็นใคร” การ์เอื้อมมือข้างที่ว่างไปแตะดาบแสงตะวัน เผื่อเจ้าปากหนักบ่ายเบี่ยงไม่ตอบจะได้ซัดได้ทันที

“นางคือ ข้ารับใช้ของซาราห์” เจ้าคนปากหนักตอบอย่างกระดากอาย “เจ้าคงรู้เรื่องที่ต้องทำแล้วใช่ไหม เรื่องเบื้องหน้าและเบื้องหลัง”

“รู้แล้ว” การ์ยอมให้อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่อง เขาไม่สนเรื่องส่วนตัวของคนอื่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว “ตอบมา พ่อกับแม่ของข้าคือใคร”

“มันค่อนข้างน้ำเน่านะ เคยได้ยินคำนี้ไหม อำพันเมืองมังกร จันทรเมืองวิหค หมายถึงสีของดวงตาอย่างไรละ เหมือนกับสีดวงตาข้าที่จะพบได้เฉพาะในตระกูลบรู๊คเท่านั้น สีอำพันคือเชื้อพระวงศ์ของโทรส ส่วนสีพระจันทร์คือเชื้อพระวงศ์ของไพน์ เจ้าอยู่ในหมู่บ้านกลางป่าเขาเลยไม่มีใครรู้เรื่องนี้”

สมองที่ช้าอืดอาดของการ์เริ่มประมวลผลแล้วลงความเห็นว่ามันแปลกๆ สมัยที่ออกเดินทางกับพ่อบุญธรรมเขาไม่เคยได้เข้ามาเมืองใหญ่หรือเมืองที่มีพรมแดนติดกับไพน์เลยสักครั้ง บางทีพ่อบุญธรรมของเขาอาจรู้เรื่องนี้อยู่แล้วจึงปิดบังเอาไว้เพื่ออะไรสักอย่าง แต่มันน้ำเน่าจริงๆที่เขาคือเชื้อพระวงศ์ของไพน์ แค่เรื่องที่เขาคือนักรบจันทราก็เหม็นจนแทบอยากอาเจียนแล้ว

“บางครั้งเรื่องจริงก็น้ำเน่ายิ่งกว่านิยาย ข้ามาเป็นผู้กล้าจอมปลอมเพื่อแก้แค้นและงานในอนาคต ส่วนเจ้าก็เป็นผู้กล้าจริงๆเพื่อช่วยพ่อกับแม่ของเจ้า เหตุผลแค่นี้คงพอแล้วกระมัง” ไบรอันตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ที่ข้าไม่อยากบอกเพราะมันน้ำเน่า”

“แต่ความชั่วร้ายหลังฉากสามารถผนึกเทพได้เชียวนา อย่างข้าจะไหวหรือ” การ์กุมด้ามดาบแน่น เขาเป็นแค่คนธรรมดาจะไปสู้กับความชั่วร้ายที่สามารถผนึกเทพได้อย่างไร

“เจ้าจึงมีจักรพรรดิของนกเพลิงมาช่วยอย่างไรละ แถมยังมีนักรบจันทราอีก ตอนนี่ข้าไม่ขอบอกว่ามันหมายความว่าอย่างไร” ไบรอันทำในสิ่งที่การ์คาดไม่ถึงอีกครั้ง เขาตัวสั่นน้อยๆด้วยความกลัว ใบหน้าที่ขึงขังตลอดซีดเผือดด้วยความกลัว “ข้าบอกไม่ได้ว่าตอนนั้นจะช่วยเจ้าได้หรือเปล่า”

“ไม่เป็นไรหรอกนี่มันเรื่องของข้านี่ แค่ท่านช่วยฝึกข้าให้สมกับเป็นผู้กล้าหน่อยก็พอแล้ว” การ์แค่นหัวเราะ เพราะอะไรไม่รู้ความกลัวที่น่าจะมีกลับหายไปเสียหมด ความคิดที่มีก็เพียงอยากช่วยพ่อและแม่เท่านั้น เพียงแค่ได้อยู่กับครอบครัวอีกครั้งไม่ว่าอะไรเขาก็ยอมทำทั้งนั้น เพื่อความคาดหวังของพ่อบุญธรรมด้วย...

จากคุณ : Lazy return
เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 14:57:40




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com