Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ยมทูต บทที่ 7 ศิลาทำนาย ติดต่อทีมงาน

ยมทูต บทต้น

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=moonyforever&month=02-08-2011&group=13&gblog=1

บทที่ 6 นรกหลังประตูวิจิตร

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11070485/W11070485.html

บทที่ 7

ศิลาทำนาย

ประตูหนาหนักเลื่อนเปิดออกอย่างเงียบกริบและปิดลงทันทีเมื่อผมและยมทูตอัคนีผ่านพ้นเข้าไป แรงกดดันของอากาศรอบตัวทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น นี่คงเป็นอำนาจอย่างหนึ่งของหัวหน้าแม่สาวยมทูตนั่นกระมัง ผมนึกและเกิดตัวสั่นขึ้นมาเมื่อนึกถึงภาพพญายมตัวดำร่างใหญ่ใส่เครื่องประดับทำจากทอง ตาพองเท่าไข่ห่านแถมมีเขาเหมือนงาช้างงอกมากลางหัว

“ยมบาลในความคิดของพวกเจ้าเกิดจากความกลัว ความจริงแล้วพวกเราชาวนรกไม่ว่าจะเป็นท่านพญามัจจุราช ยมบาล ยมทูตหรือแม้แต่นิรยบาลทั้งหลายก็มีรูปร่างหน้าตาไม่แตกต่างไปจากมนุษย์ ที่สำคัญพวกเราไม่มีเขางอกกลางหัวเหมือนที่พวกเจ้าวาดภาพเอาไว้”

เสียงต่ำทุ้มดังขัดความคิด ยมทูตอัคนีหยุดเดินและยกมือขึ้นประนมพร้อมกับก้มตัวลงเล็กน้อย

“ท่านสัตตภูมิ”

กิริยาที่เต็มไปด้วยความนอบน้อมของแม่ยมทูตสาวจอมโหดทำให้ผมแปลกใจ สงสัยยมบาลคนนี้คงมีตำแหน่งใหญ่โตมากในนรก ผมกลืนน้ำลายลงคอหลายครั้งก่อนจะรวบรวมความกล้าเหลือบตาขึ้นมองผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านสัตตภูมิ ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ผมลืมยมบาลที่เคยได้ฟังมาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้นจนหมดสิ้น  

“ทำไม ข้าดูแปลกจากที่คิดมากนักหรือ เจ้าวิญญาณดิบ”

ท่านสัตตภูมิถามเสียงดังจนผมสะดุ้งเฮือกและหดตัวกลับไปหลบอยู่ข้างหลังยมทูตอัคนีอีกครั้งพลางพยายามนึกหาคำตอบที่ไม่ทำให้ท่านยมบาลอารมณ์เสีย แม่สาวยมทูตหันมามองผมด้วยสายตารำคาญ

“ถ้ามันลำบากนักก็ไม่ต้องเอ่ยปากพูด”

ผมส่งยิ้มแห้งสนิทให้กับเธอพลางเลื่อนสายตามองไปยังยมบาลสัตตภูมิซึ่งนั่งอย่างสง่าอยู่ที่โต๊ะประจำตำแหน่ง ท่านมองกลับมาด้วยสายตาดุดัน

“นี่น่ะหรือวิญญาณดิบจากคำทำนาย ทำไมมันถึงดูผอมแห้งเหมือนเปรตนัก”

“นี่เป็นรูปนิยมบนโลกมนุษย์” ยมทูตอัคนีตอบ หัวหน้าของเธอผงกศีรษะอย่างเชื่องช้าพลางลุกขึ้นและเดินตรงมาหาเราทั้งสองคน ผมถึงได้เห็นเครื่องแต่งตัวของยมบาลผู้นี้เต็มตา เครื่องแบบของยมบาลท่านนี้เป็นเสื้อราชปะแตนสีดำสนิทและนุ่งโจงกระเบนสีแดงสด แม่เจ้าโวย ช่างเป็นสีสันที่ตัดกันได้อย่างสะใจเหลือเกิน

“เจ้านี่ช่างเป็นคนที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยจริง” เสียงยมบาลสัตตภูมิดังขึ้น ยมทูตอัคนีหันมาถลึงตาใส่ผมทันที

“บอกแล้วใช่ไหมว่าให้สำรวม”

ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา ผมแย้งในใจ แค่เห็นยมทูตสาวทรงอึ๋มสองคนก็แปลกใจจะแย่อยู่แล้วนี่ยังมาเจอยมบาลในเครื่องแต่งตัวผิดไปจากที่เคยได้ยินมาลิบลับ เป็นใครก็ต้องคิดแบบผมทั้งนั้น ยมทูตคนสวยทำตาวาว

“ถ้าไม่หยุด ฉันจะจับนายโยนลงไปในที่ขุมนรกโลหกุมภี ซดน้ำทองแดงแก้ปากมากซักร้อยปีแล้วค่อยลากกลับมาเฝ้าท่านสัตตภูมิอีกครั้ง”

“เจ้าทำแบบนั้นไม่ได้” เสียงยมบาลผู้เป็นหัวหน้าของยมทูตสาวอัคนีดังขัดขึ้นขณะหยุดยืนตรงหน้าผมและจ้องด้วยสายตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดต่อ “เวลานี้ข้าอยากรู้ว่าวิญญาณดิบตนนี้คือวิญญาณในคำทำนายหรือไม่”

วิญญาณในคำทำนายอะไร ผมนึกด้วยความสงสัยเพราะจะว่าไปแล้วตั้งแต่แม่ยมทูตอกแตงโมจอมโหดจนกระทั่งถึงเจ้าหน้าที่ตรวจวิญญาณเข้านรกก็พูดถึงแต่เรื่องนี้ทั้งนั้น ตกลงแล้วมันหมายถึงอะไรกันแน่

“มันคือคำทำนายเก่าแก่ของยมโลกที่ปรากฏขึ้นบนศิลาสองแผ่น แผ่นหนึ่งผุดขึ้นมาจากไฟโลกันต์ในขุมมหาอวิจีนรก” ยมบาลสัตตภูมิอธิบาย “ส่วนอีกแผ่นปรากฏขึ้นบนยอดเขายุคนธรอันเป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาสถานที่สถิตของจตุโลกบาล”

ฟังไม่รู้เรื่องเลยสักนิด ผมบ่นในใจ ท่านสัตตภูมิหันมาจ้องหน้าผมด้วยดวงตาดุชนิดถ้ามีไฟพุ่งออกมาได้คงเผาผมจนเกรียมไปแล้ว

“ข้าทำแน่ หากรู้ชัดว่าเจ้าไม่ใช่วิญญาณในคำทำนาย”

ยมทูตอัคนีรีบใช้ศอกกระทุ้งสีข้างผมทันทีและรีบก้มหน้าลงหลบสายตาตำหนิจากหัวหน้าของเหล่ายมทูต

“คำทำนายจากรึกว่า เมื่อใดที่มนุษย์เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องสมสู่ เชิดชูคนชั่วไว้เหนือหัว เกลือกกลั้วมัวเมาในอบายมุข มีจิตใจวิปริตโหดเหี้ยมไร้เมตตา เข่นฆ่าผู้คนเพียงเพื่อสนองตัณหาของตัวเองแล้วไซร้ สิ่งชั่วร้ายในยุคดึกดำบรรพ์จะผุดขึ้นมาจากส่วนลึกของปฐพีและกลืนกินความดีงามทุกอย่างบนโลกจนหมดสิ้น”

ท่านสัตตภูมิหยุดพูดและถอนใจ เขาเดินไปหยุดยืนที่โต๊ะประจำตำแหน่งและหันหน้ากลับมามองผม

“ฟังแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง”

“น่ากลัว แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อทุกวันนี้คนเราต่างต้องดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด ใครอ่อนแอก็แพ้ไปเพราะมนุษย์ยกย่องแต่ผู้ชนะเสมอ”

“พูดได้ตรงดี” หัวหน้าเหล่ายมทูตกล่าวเสียงเรียบ “แต่เพราะความคิดแบบนี้ โลกถึงได้ร้อนเป็นไฟไปทั่วทุกหย่อมหญ้า”

“แล้วจะให้ผมทำยังไง” ผมย้อนถามด้วยความโมโห พูดแบบนี้มันเหมือนกับโทษว่าไอ้บรรดาสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนมาจากฝีมือของมนุษย์กันชัดๆ  

“หรือไม่จริง” ท่านสัตตภูมิพูดแทรกขึ้นมาในทันที “พวกเจ้าคิดแต่จะสร้างผลประโยขน์ให้กับตัวเองโดยไม่คำนึงว่ามันจะไปเบียดเบียนหรือก่อความเดือดร้อนให้กับสัตว์โลกชนิดอื่น จริงอยู่มนุษย์มีทั้งดีและเลวคละเคล้ากันไป แต่อย่างที่เจ้ารู้ ผู้ทำความดีนั้นอยู่อย่างลำบากต่างจากคนทำชั่วซึ่งพอใจจะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องสนใจว่าใครจะเดือดร้อน รู้หรือไม่ว่าทุกวันนี้นรกภูมิแทบไม่มีพื้นที่จะพอรองรับดวงวิญญาณบาปทั้งหลายแล้ว”

คราวนี้ผมถึงกับอึ้งเพราะเท่าที่ผ่านมาผมเจอดวงวิญญาณคนตายหลายดวง ทั้งหมดถูกนำตัวมายังนรกนอกจากชายเคราะห์ร้ายผู้นั้นเพียงคนเดียว ยังไม่นับวิญญาณสองร้อยดวงที่ผมได้ยินว่ายมทูตพสุธาเป็นผู้นำมา ว่าแต่คนพวกนั้นไปเจออะไรเข้า ทำไมถึงได้ตายเป็นเบือกันแบบนั้น

“เครื่องบินตก” ยมทูตอัคนีหันมาบอกสั้นๆ ผมพยักหน้ารับรู้แต่ก็ไม่ได้นึกแปลกใจอะไรนัก มิน่าล่ะถึงได้มากันทีเป็นร้อย จะว่าไปก็ไม่เลวเหมือนกันเพราะมันประหยัดเวลากว่าการวิ่งรอกรับวิญญาณทีละดวง

“เลิกพูดนอกเรื่องกันได้แล้ว” ท่านสัตตภูมิตัดบทขณะเดินไปนั่งที่เก้าอี้ประจำตำแหน่ง “จากจารึกที่ปรากฏบนศิลาทั้งสองทำให้สวรรค์และยมโลกต้องวิตกกังวลมาก เพราะหากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นจริงโลกของพวกเจ้าก็จะเข้าสู่กลียุค หายนะจะเข้าครอบงำทุกหนแห่ง และโลกมนุษย์ก็จะถึงแก่กาลอวสานในที่สุด”

“แบบนี้ก็แย่น่ะสิ” ผมโพล่งออกมาและรีบตะปบปากตัวเองไว้ทันที ยมบาลสัตตภูมิส่ายศีรษะ

“ไม่ใช่แย่แต่เลวร้ายมากที่สุดต่างหาก เพราะเมื่อสิ่งชั่วร้ายจากดึกดำบรรพ์กลืนกินทุกอย่างบนโลกหมดสิ้นแล้ว มันก็จะลงมายังดินแดนนรกเพื่อสูบกินวิญญาณ และก้าวล่วงขึ้นไปบนสวรรค์เพื่อเสพพลังทิพย์ของเหล่าเทวดานางฟ้าทั้งหลายเพื่อสั่งสมอำนาจ”

“มันจะทำแบบนั้นทำไม” ผมถามด้วยความสงสัย หัวหน้าเหล่ายมทูตตอบด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม

“เพื่อทำลายเทพทุกองค์ตลอดจนทุกชีวิตในห้วงจักรวาล”

ความเงียบเคลื่อนเข้ามาครอบคลุมทั้งห้องทันทีที่คำพูดของท่านยมบาลจบลง ผมยืนมองยมทูตอัคนีและท่านสัตตภูมิซึ่งกำลังมีสีหน้าหนักใจนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจขยับปาก

“ถ้าเรื่องที่ท่านพูดมาทั้งหมดจะเกิดขึ้นจริง ศิลาอะไรนั่นก็น่าจะบอกวิธีแก้ไว้ใช่ไหม” ผมยกมือขึ้นเกาหัวแกรกเมื่อเห็นทั้งคู่หันไปสบตากันเลยรีบพูดต่อ “หมายถึงพวกผู้กล้าหรืออะไรสักอย่างที่ในเกมส์หรือวรรณกรรมเยาวชนชอบทำกันน่ะ”    

“เราไม่อาจทำลายสิ่งชั่วร้ายให้สิ้นสูญ แต่สามารถยับยั้งและสะกดมันเอาไว้ใต้พื้นพสุธาเช่นดังเดิมได้ แต่ผู้ที่กระทำการเหล่านี้ต้องเป็นวิญญาณดิบทั้งสี่ที่ตายแบบ ผิดกฎนรกคือ ตายก่อนเวลา ยังไม่ถึงที่ตาย ถูกสลับตำแหน่งให้ตายและ ตายเพราะเข้าไปช่วยคนถึงฆาต”

ฟังข้อแรกผมนึกถึงตัวเองขึ้นมาในทันที แต่จะว่าไปในโลกนี้มีวิญญาณของคนที่ตายก่อนเวลาตั้งเยอะแยะไม่ใช่เหรอ

“เจ้าชื่ออะไร”

อยู่ๆท่านสัตตภูมิก็ถามขึ้นมา ผมสะดุ้งและรีบตอบ

“สิทธิศักดิ์”

“ข้าหมายถึงชื่อแรกในชีวิต” หัวหน้าเหล่ายมทูตพูดเสียงห้วน ผมนิ่วหน้า หรือท่านจะหมายถึงชื่อเล่น

“โป้ง”

ทั้งท่านสัตตภูมิและยมทูตอัคนีหันไปสบตากันอีกครั้ง คงคิดว่าชื่อแบบนี้มันพิลึกผิดชาวบ้านทั่วไปแหง หัวหน้ายมทูตอธิบายต่อ

“วิญญาณดิบทั้งสี่ต้องมีนามที่เกี่ยวข้องกับกายของมนุษย์ และต้องเป็นส่วนที่เกี่ยวเนื่องกันเปรียบประดุจพี่น้องเพื่อสอดคล้องกับยมทูตผู้มีพลังแห่งธาตุทั้งสี่ เมื่อนำบุคคลทั้งหมดมาผนึกกำลังเข้าด้วยกันแล้วจึงจะสามารถสยบความชั่วร้ายลงได้และผลักมันกลับลงสู่ก้นบึ้งแห่งปฐพี”

ผมยืนทำตาปริบๆเพราะฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ยังดีนะที่คำทำนายนี่เขียนแบบตรงไปตรงมา ไม่ได้เป็นกลอนเหมือนในนิยายที่บางครั้งแทบไม่มีความคล้องจองหรือสัมผัสระหว่างคำเลยสักนิด แถมกว่าจะตีความหมายได้เหล่าผู้รู้ทั้งหลายก็ถูกฆ่าตายไปเรียบร้อยแล้ว แต่ช่างเถอะ เพราะตอนนี้ผมสนใจสิ่งที่ท่านสัตตภูมิพูดมากกว่า ถ้าเป็นอย่างที่คำทำนายนั่นว่า ผมมิต้องกลายเป็นผู้กอบกู้โลกเรอะ

“เรื่องนั้นเราสามารถพิสูจน์ได้” หัวหน้าเหล่ายมทูตพูดพร้อมกับยกมือขึ้น เปลวพลิงสีแดงฉานลุกโชติช่วงบนฝ่ามือข้างนั้น ยังไม่ทันที่ผมจะขยับตัวหรือเอ่ยปากถามท่านสัตตภูมิก็สะบัดกลุ่มไฟเข้าใส่ผมทันที เสียงระเบิดดังกึกก้อง วิญญาณของผมปลิวไปกระแทกกับผนังห้องข้างหนึ่งจนแตกร้าว ผมแหกปากร้องเสียงดังลั่นในขณะที่ยมทูตอัคนีมองด้วยสีหน้านิ่ง คงดีใจที่ได้เห็นวิญญาณปากมากกำลังทุรนทุรายอย่างทรมานเพราะความร้อนสินะ

เอ๊ะ ทุรนทุรายด้วยความร้อนอย่างนั้นหรือ ผมฉุกคิดด้วยความแปลกใจเพราะในเวลานี้ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรแบบนั้นเลยสักนิดทั้งที่เปลวไฟกำลังโหมไหม้อย่างรุนแรงอยู่บนร่าง ผมขมวดคิ้วอย่างฉงนขณะยกมือทั้งสองข้างขึ้นมามอง เปลวเพลิงที่ท่านสัตตภูมิซัดเข้าใส่เมื่อครู่เต้นระริกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจางหายไป

“อย่างที่ได้รายงานให้ท่านได้ทราบ วิญญาณดิบตนนี้มีพลังต้านทานอำนาจทำลายของพวกเรา” ยมทูตสาวพูดขึ้น ผมฟังด้วยความแปลกใจและรีบก้มหน้าลงสำรวจตัวเอง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความเหลือเชื่อเมื่อไม่มีรอยไหม้หรือเขม่าติดอยู่เลยสักนิด

“ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเขาคือวิญญาณตามคำทำนาย” ท่านสัตตภูมิพูดพลางเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ “เขาต้องผ่านการทดสอบอีกขั้น เราจึงจะแน่ใจได้วิญญาณดิบตนนี้เป็นผู้ร่วมสมทบพลังของเจ้า”

ทดสอบอะไรกันอีกล่ะ แค่เผาไฟนี่ยังไม่พออีกหรือ ผมถามในใจและสะดุ้งเมื่อนึกขึ้นได้ว่ากำลังถูกท่านยมบาลจับความคิด

“สิ่งชั่วร้ายจากดึกดำบรรพ์นั้นมีพลังยิ่งใหญ่มาก หากเจ้าไม่ใช่วิญญาณในคำทำนายที่แท้จริงแล้วอาจถูกทำลายให้สิ้นสูญจนไม่อาจกลับมาสู่การเวียนว่ายตายเกิดได้อีกต่อไป ดังนั้นเราจึงจำต้องทำการทดสอบจนกว่าจะแน่ใจจากนั้นจึงค่อยให้เจ้าฝึกการรองรับพลังจากอัคนี”

ฝึกการรองรับพลังจากแม่ยมทูตคนสวย บ๊ะแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน ต้องภาวนาให้ตัวเองเป็นวิญญาณในคำทำนายอะไรนั่นจริงๆซะแล้ว ผมคิดอย่างคึกคะนองจนยมทูตสาวต้องหันมาทำตาดุและพูดเสียงห้วน

“คิดอะไรไร้สาระ” เธอหันกลับไปทางท่านสัตตภูมิ “ข้าคงต้องนำดวงวิญญาณนี้กลับขึ้นไปบนโลกอีกครั้งเพราะเขายังมีพันธะสุดท้ายที่ต้องกระทำ”

พันธะสุดท้าย ผมทวนประโยคในใจและพยายามนึก มันคืออะไร คงไม่ได้หมายถึงพวกคนรักประเภทสามีภรรยาเหมือนชายเคราะห์ร้ายคนนั้นแน่ แม่ยมทูตสาวหันมามองหน้าผมและพูดเสียงเรียบ

“นายตายมาหกวันแล้ว พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะได้ไปลาครอบครัว”

*/*/*/*/*/*

โอ้ ก่อม็อบนี่ ถูกใจมากๆ
จากคุณ : scottie  
- แหะๆ ตอนแรกก็จะเขียนเรื่องอื่นแต่พวกปีต้นงิ้ว ผ่าท้องควักไส้นี่เราอ่านเจอกันมาเยอะเลยอยากจะหามุมมองอื่นดูบ้างน่ะค่ะ

ถ้ายึดหลักว่าเจตนานั้นและคือกรรม
ก็ไม่เห็นด้วยกับเรื่องในตอนที่เกี่ยว
กับการก่อม็อบ เรื่องเดินแล้วไปเหยียบ
สัตว์ตายเป็นแนวคิดของพวกทิฆัมพร
พวกชีเปลือยในมือของพวกทิฆัมพร
ถึงได้ต้องมีแส้ปัดไว้ปัดแมลงในทางที่เดิน
วันๆผมไม่ต้องไปก่อม็อบที่ไหนก็เดินไป
เหยียบอะไรต่อมิอะไรมากมาย ถ้าจะ
เป็นกรรมก็เป็นกรรมเล็กน้อยให้ผลสุดท้าย
ถ้าจะว่าไปเรื่องการกีดขวางทางสัญจร
แม้เราขับรถในท้องถนนก็อาจร่วมเป็นเหตุ
ให้รถติดแล้วทำให้คนไปโรงพยบาลไม่ทัน
ต้องตายไปไม่รู้เท่าไร ถ้ายึดตามในเรื่องนี้
ก็งานเข้าแบบไม่รู้ตัวเลยครับ
สวัสดี

จากคุณ : ชัดเจนน้องนาง  
- ขอบคุณสำหรับคำแนะนำและความรู้เรื่องศาสนาความเชื่อนะคะ ในเรื่องบาปกรรมขึ้นอยู่กับเจตนาหรือไม่ อันนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์กำหนดขึ้น ผู้เขียนแค่อยากจะบอกว่าหากคิดกันในมุมมองของยมทูต ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นจะเล็กแค่ไหน หรือเราจะตั้งใจหรือไม่ หากได้ฆ่าเขาไปแล้วมันก็เป็นบาปทั้งนั้น ดังนั้นอย่าคิดแต่เรื่องของตนจนมองข้ามเรื่องเล็กน้อยไปค่ะ
อย่างไรก็ดี นี่เป็นแค่นิยายแฟนตาซีเท่านั้น และจะกล่าวถึงนรกแค่ส่วนนี้เท่านั้นค่ะ

สนุกค่ะ
จากคุณ : Tyra  
- ขอบคุณมากๆค่ะ ดีใจจังที่ผู้อ่านชอบ^^

คุณมุนนี่แยกบุคลิกภาพของตัวละครของ "ผม"(ในเรื่อง)
ออกมาได้ชัดเจนดีจัง
ติดตามครับ
จากคุณ : GTW
- ขอบคุณค่า บทนี้"ผม"มีชื่อแล้วนะคะ

ตามมาอ่านค่ะ :)
จากคุณ : ดินสอสีน้ำ
- ขอบคุณมากๆค่ะ ^^

อุตส่าห์ตั้งใจว่าบทนี้จะลงภาพยมทูตพสุธา แต่ดันก้มหน้าก้มตาเร่งเรื่องเซ็นซูจนลืมลงสี ขออนุญาตยกยอดไปคราวหน้าก็แล้วกันนะคะ

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามนิยายของมูนนี่ค่ะ

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 54 13:59:49




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com