เซรีโงหัวขึ้นมา ก่อนจะรับทราบว่ารอบตัวเป็นต้นข้าว
เจ้าหญิงงงอยู่ครู่หนึ่ง มันต่างจากต้นข้าวที่เกาะเสืออยู่บ้าง ถึงอย่างนั้นต้นข้าวก็เป็นต้นข้าวอยู่ดี ที่จริง เธอยังอุตส่าห์คิดต่อไปด้วยว่าสงสัยจะใกล้เก็บเกี่ยวแล้ว และน่าจะได้ราคาดี จากนั้นจึงค่อยรู้ตัวว่าดูท่าหมู่นี้ตัวเองจะอยู่ที่กรมการค้ามากเกินไป
"ท่านเซรี" เสียงเรียกมาจากใกล้ ๆ เจ้าหญิงจึงได้สติ เร่งยืนขึ้นมองหา เธอเห็นเทรมิสอยู่ที่คันนา จึงบุกขึ้นไปบ้าง รู้สึกผิดไม่น้อยที่มาทำต้นข้าวของใครไม่รู้ราบไปเสียแถบใหญ่
"เรามาถึงเกาะมังกรขาวแล้วหรือ" เธอถาม มองไปรอบตัว บรรยากาศแปลกตามาก อากาศก็แปลกเช่นกัน นอกจากนั้น เธอจำได้ว่าเมื่อครู่ยังเป็นเวลาเช้า เทรมิสสอนลอร์คานใช้มีด แต่เวลานี้กลับกลายเป็นกลางคืน
"ข้าไม่ทราบ แต่..." พ่อมดมองไปรอบตัว "ลอร์คเล่า ไปไหนแล้ว"
ชายหนุ่มมองหาพี่ชายอยู่ แต่แล้วก็รู้สึกได้ว่าท่านเซรีข้างตัวนิ่งขึงประหลาด จึงหันกลับมา มองตามสายตาของเธอไป
มีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ที่ขั้นสูงกว่าของแปลงนา เป็นชายร่างสันทัด ท่าทางแข็งแรงทะมัดทะแมง แต่สีผิวซีดขาวอย่างประหลาด ซีดไม่มีสี ทั้งเส้นผมก็เป็นสีขาวเงิน
"เกจหรือ..." เซรีครางออกมา
...
เซรีเกร็ง
เทรมิสรู้สึกได้ว่าเธอเกร็ง จึงจับมือหญิงสาวกำไว้ แต่ถ้าหากไม่รู้จักเธอดีก็คงไม่ทราบว่าเจ้าหญิงมีความผิดปรกติอย่างไร หลายปีนี้เธอต้องรับหน้าคน พบแขกบ้านแขกเมืองจำนวนมาก ย่อมสามารถกลบเกลื่อนกิริยาท่าทาง
ที่จริงหากเทียบกัน เซรีอาจจะเกร็งน้อยกว่าชายหนุ่มชื่อเกจเสียอีก รายนั้นดูเป็นประเภทพอไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ตีหน้าเหนือกว่าข้าเก่งไว้ก่อน เทรมิสเห็นแล้วยังอดคิดไม่ได้ว่าท่าจะเรียนมาจากแชลลัม เมราลก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน แต่บางทีคงเพราะอายุน้อยกว่าแชลลัมเป็นอันมาก ท่าทางของเจ้าหนุ่มเกจจึงไม่แนบเนียนเท่าไร พ่อมดจำได้ว่าท่านเซรีเคยเล่าเรื่องหมอนี่ให้ฟัง...นานมาแล้ว ตอนนั้นยังเป็นเด็กอายุเพียงสิบสามสิบสี่ แต่ผ่านไปหลายปีก็กลายเป็นชายหนุ่ม ชวนให้เทรมิสเองรู้สึกแก่อย่างไรชอบกล
"ไม่ได้พบกันนาน" เจ้าหญิงเริ่มขึ้น
หลังจากนั้น บางทีคงเพราะต่างคนต่างไม่แน่ใจ บทสนทนาจึงนำไปสู่อะไรที่เป็นเรื่องเป็นราวมากกว่าการถามสารทุกข์สุขดิบ ...เหตุใดจึงมาที่นี่ อะไรต่าง ๆ เป็นอย่างไรบ้าง ระหว่างเวลานั้น เทรมิสก็สำรวจพลังของตัวเอง เขาพบว่าไม่เหลืออะไรแล้วจริง ๆ ...คงเป็นอย่างนี้ไปสักพัก พ่อมดรับทราบแล้วก็ไม่ค่อยสบายใจ
"ที่นี่ไม่ใช่เกาะมังกรขาวหรอกหรือ" เขาได้ยินท่านเซรีเอ่ยอย่างแปลกใจ "อ้อ...ว่าแต่เจ้าเห็นลอร์คานไหม เขามาพร้อมกับเรา"
ไม่มีใครพบลอร์คาน
แม้ว่าจะพยายามหาเท่าที่หาได้แล้ว ก็ไม่มีวี่แววของสิงโตทรายเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่เขาเป็นคนใช้มีดทำให้เทรมิสเร่งพลังส่งทุกคนมาถึงที่นี่ได้ เมื่อไม่สามารถทำอะไร ในที่สุดเกจจึงเสนอให้กลับเรือนรับรอง บอกว่าวันรุ่งขึ้นค่อยออกตามหาจะดีกว่า เบรุคคอลีฟห์เป็นคนมีความสามารถ น่าจะดูแลตัวเองได้ ไม่เป็นอะไร สุดท้ายเซรีจึงยอมพยักหน้า บทสนทนายังคงดำเนินไปอย่างค่อนข้างแข็ง ๆ พวกเขารับทราบว่าตนไม่ได้มาที่เกาะมังกรขาว หากแต่อยู่ที่เกาะใกล้ ๆ ชื่อสิปา เกจยังเล่าคร่าว ๆ ถึงพิธีจันทร์เพ็ญ และเหตุการณ์ทั่วไปในเผ่าโคแรนนิอิด ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรร้ายแรง ชวนให้แปลกใจว่าเรื่องเมราล
"ว่าแต่พวกท่านมาที่นี่ทำไม" หัวหน้าโรงปลูกพืชถามในที่สุด
"เรา..." เซรีนิ่งไปนิดหนึ่ง แต่พอคิดดูแล้ว กับคนอย่างเกจควรจะพูดความจริงกระมัง "เราคิดว่าเมราลอาจจะมีปัญหาบางอย่าง"
อีกฝ่ายดูแปลกใจ ...ที่จริงคงตกใจ แต่กลบเกลื่อนกิริยาไว้
"ถ้าอย่างไร...หาทางติดต่อกลับไปที่เกาะมังกรขาวได้ไหม" หญิงสาวถามต่อ "ข้าเป็นห่วง"
"จะลองดู"
...
เซรีทิ้งตัวลงบนที่นอน
เมื่อครู่ยังเช้า ถึงตอนนี้จะกลายเป็นกลางคืนได้อย่างไรไม่รู้ เธอก็ไม่ง่วงอยู่ดี เทรมิสนั่งอยู่ตรงเบาะไม่ไกลนัก ที่นี่คล้ายเมืองทรายอยู่อย่างหนึ่งตรงที่ไม่มีเก้าอี้ แม้แต่ที่นอนก็ปูบนพื้น อากาศค่อนข้างร้อน เทรมิสที่อยู่เมืองหนาวจนเคยชินจึงรวบผมไว้
เมื่อครู่เกจให้พวกเขาพบผู้เฒ่าที่นำทุกคนมาที่นี่ ชื่อผู้เฒ่าซีเก พวกเขาคุยกันเล็กน้อยแต่ยังไม่ได้พบคนอื่น สถานการณ์แปลกประหลาดอย่างนี้ พวกเกจคงต้องไปคุยกันเองว่าจะทำอย่างไร ถึงอย่างนั้น อย่าว่าแต่เกจเลย แม้เซรีก็รู้สึกประหลาดพิลึกเหมือนกัน
เกจโตขึ้น...เป็นหนุ่มแล้ว ยังมีเค้าตอนเด็กอยู่ แต่แขนขาที่เคยผอมเก้งก้างเหมือนลูกวัวก็เต็มขึ้น เขาสุภาพ ไม่โผงผางเอาแต่ใจเหมือนตอนเด็ก แต่เพราะโตขึ้นและรู้จักปกปิดความรู้สึกมากขึ้นนี่เอง เซรีจึงไม่ค่อยสบายใจ เธอทราบมาตลอดว่าอีกฝ่ายไม่ให้อภัยตน ...อ่านระหว่างบรรทัดจากจดหมายของเมราล แต่เจ้าหญิงก็ไม่ทราบว่าควรจะทำอย่างไร ความผิดเมื่อทำไปแล้ว แม้พยายามแก้ไขเท่าไรก็ยังเป็นความผิดอยู่ดี
"เคยได้ยินว่าแสงอาทิตย์ส่องถึงที่ต่าง ๆ ไม่เท่ากัน" เทรมิสเอ่ยขึ้น "เราเดินทางมาไกล ทางนั้นเป็นกลางวัน ทางนี้กลับเป็นกลางคืน"
เซรียันตัวขึ้นนั่ง
"ที่นี่แปลกเสียด้วย ชื้นแปลก ๆ" พ่อมดบอกต่อไป "ข้าใช้เวทมนตร์ไม่ได้เลย ท่านเซรี สงสัยท่านต้องปกป้องข้าเสียแล้ว"
แม้จะอ้อมค้อมนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ยอมบอกเธอตรง ๆ ทำให้เจ้าหญิงกึ่งไม่สบายใจ และกึ่งโล่งใจอย่างไรแปลก ๆ เธอมองพ่อมดที่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้บางลง และรวบผมเป็นหางม้า เกจเป็นหนุ่ม แต่เทรมิสเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เขามีความมั่นคงบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกว่า ต่อให้ไม่มีเวทมนตร์ และมีเรื่องร้าย ก็จะไม่เป็นไร พอรู้สึกมั่นใจก็ไม่เป็นไร
"ข้าจะปกป้องให้ดี" เจ้าหญิงแสร้งทำเสียงห้าวใหญ่ เดินอกผายไหล่ผึ่งเข้าไปใกล้ เธอคุกเข่าลงกอดไหล่เขาไว้หลวม ๆ "ฟาราก็จะปกป้องท่านเหมือนกัน"
ฟาราคือสัตว์ภูตเสือไฟของเธอ ชื่อเต็มของมันคือฟารานินา เพื่อระลึกถึงฟินน์ และนิโอมี สัตว์ภูตแพะภูเขาของท่านยายใหญ่ เทรมิสฟังคำโอ่ของเจ้าหญิงแล้วก็หัวเราะ จับมือเธอที่ประสานอยู่บนหน้าอกของตน
"พรุ่งนี้คงต้องเริ่มสำรวจสถานการณ์แถวนี้" เขาว่า "อาจจะได้รู้อะไรเพิ่มขึ้น เกจคงติดต่อไปทางเกาะมังกรขาวด้วยนกพิราบ...ก็คงใช้เวลาบ้าง"
..................................................................................................................................................................
ลอร์คานฟื้นขึ้นบนพื้นหินชื้น ๆ เมื่อยันร่างลืมตาขึ้น เขาก็พบแต่ความมืดรอบตัว
มืดมาก มืดเหมือนเข้าถ้ำ นอกจากนั้นยังชื้นมาก และมีกลิ่นเค็มแปลก ๆ คล้ายเวลาอยู่ที่ท่าเรือ สิงโตทรายสะบัดศีรษะ ก่อนจะปล่อยให้สัญชาตญาณของตนทำงาน เขารอให้สายตาปรับเข้ากับความมืด ไม่บุ่มบ่ามตะโกนเรียกหาเทรมิสหรือเซรี ลอร์คานเป็นคนใจร้อน แต่กับสถานการณ์ที่ไม่รู้แบบนี้ เขาจะใจเย็น
ยามสายตาปรับดีแล้ว ชายหนุ่มก็เห็นว่ารอบกายเป็นทางยาว...อุโมงค์หรือ ก่อด้วยหินรอบด้าน เขาลุกขึ้นยืน มองไปรอบ ๆ ไม่มีทั้งเทรมิสหรือเซรี มือเขายังกำมีดสั้นอยู่...กำไว้ตั้งแต่ตอนใช้มีดตามที่เทรมิสสอน ไม่ได้เก็บมันใส่ฝัก เวลานี้ก็ยกมีดขึ้นในท่าระวัง ออกเดินไปช้า ๆ กิริยาเหมือนสัตว์ป่าที่เตรียมพร้อม
ทางเดินไม่ยาวเท่าที่คิด ไปสิ้นสุดเป็นคูหาใหญ่ เพดานสูง รอบกายเต็มไปด้วยรูปสลักหิน มีทั้งรูปลอยตัว นูนสูง และนูนต่ำ เรียงรายประดับทั่วไป ผนังรอบด้านดูจะเป็นรูปนูนต่ำจำหลัก มีตัวอักษรเช่นกัน ลอร์คานมองเห็นแต่เพียงสลัว ๆ อ่านไม่ได้ เขาหรี่ตาลง รู้สึกคล้ายมีแสงตรงหน้าราง ๆ ก็ตามแสงนั้นไป
ตามไปเรื่อย ๆ แสงสว่างขึ้นเล็กน้อย หากแต่ก็ยังคงไม่สว่างเท่าไร เลี้ยวออกจากคูหาใหญ่ เดินไปตามทางอีกครั้น เห็นแสงทอผ่านมาจากช่องประตูช่องหนึ่ง ลอร์คานตามแสงไป เลี้ยวเข้าช่องประตู ก่อนจะหยุดยืนนิ่งงัน
เบื้องหน้าเขา...ผนังด้านหนึ่งไม่ได้ก่อด้วยหิน หากแต่ทำจากวัสดุบางอย่างที่ค่อนข้างใส ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าเป็นแก้วหรือเปล่า มีแก้วแบบนี้ด้วยหรือ ยามมองผ่านผนังใสออกไป เขาก็เห็นว่าตนอยู่ใต้ทะเล...เบื้องหน้าเป็นน้ำ แสงสีเขียวฟ้าจาง ๆ ลอดผ่านแก้วมา มีปลาว่ายอยู่ มีพืชน้ำ และเมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไปข้างบน ก็คล้ายกับเห็นผิวน้ำเต้นระริกอยู่เรื่อเรือง
จากคุณ |
:
ลวิตร์
|
เขียนเมื่อ |
:
1 ต.ค. 54 23:23:50
|
|
|
|