Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เพียงเพื่อนใจ (บทที่ 7 กลอยใจ) ติดต่อทีมงาน

บทที่ 7 กลอยใจ

ชานนท์แปลกใจที่หลายวันมานี้ช่อทิพย์ต้องคอยหลบหน้าเขาทุกครั้งที่พบเจอกันคล้ายกับว่าหญิงสาวมีบางอย่างอยู่ในใจหรือมีอะไรที่ปิดบังเขาไว้ วันนี้ชายหนุ่มจึงดักรอเธอที่หน้าห้องสมุดโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว พอร่างแบบบางก้าวออกมาจากห้องหนังสือเขาก็รีบถลันกายเข้าไปขวางไว้ทันที

มุมปากเรียวสวยที่มีรอยเขียวช้ำนั้นทำให้ชายหนุ่มต้องเลิกคิ้วสูง จ้องมองเธอด้วยความตกใจ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะทิพย์...ทำไมถึง...” ช่อทิพย์ก้มหน้างุดก่อนจะเบี่ยงตัวหนีไปอีกทางแต่มือแกร่งก็คว้าแขนเธอไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวก่อน...” ชานนท์วิ่งมาตัดหน้าไว้ บีบแขนสองข้างตรงหน้าเบาๆ “เล่าให้ฉันฟังได้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้นเธอ...” น้ำเสียงที่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงทำให้ช่อทิพย์ค่อยๆ ช้อนสายตาขึ้นมองเขาตรงๆ อันที่จริงเธอเองก็เจ็บปวดไม่น้อยที่ต้องคอยหลบหน้าเขาแบบนี้...ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นต้นเหตุให้เธอต้องบาดเจ็บอย่างนี้ก็ตาม

สุทธิดาผินหน้าไปยังรูปหน้าขาวซีดของช่อทิพย์ ริมฝีปากยังมีรอยช้ำปรากฎอยู่แม้จะผ่านไปสามวันแล้วก็ตามนับแต่เกิดเรื่อง ชานนท์ที่ได้ฟังคำพูดจากปากของช่อทิพย์เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นจ้องหน้าสุทธิดาอย่างคาดคั้น

“ทิพย์บอกว่าเธอไปช่วยไว้ได้ทัน ตกลงว่าพวกนั้นมันเป็นใคร?” น้ำเสียงที่ได้ยินแข็งกร้าวเหมือนกับอารมณ์ที่กำลังเกรี้ยวโกรธ สุทธิดาหันไปจ้องมองช่อทิพย์อีกครั้ง...อีกฝ่ายคงไม่ได้บอกว่าหญิงคนที่ทำร้ายเธอเป็นแฟนเก่าของชานนท์ตามที่เธอเล่า ดวงตากลมรีหันมาหาชายหนุ่มพร้อมยิ้มเรียบๆ

“ฉันไม่รู้... มันคงเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันน่ะ ยังดีที่ช่อทิพย์ไม่ได้เป็นอะไรมาก หากว่าจะเอาเรื่องฉันก็พร้อมจะเป็นพยานให้เสมอนะ” จบประโยคก็หันมาที่หญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงข้าม

“ไม่หรอก...” ช่อทิพย์ตอบเสียงค่อยก่อนที่ชายหนุ่มจะถอนใจยาว

“ถ้าอย่างนั้น ฉันฝากเธอให้ช่วยดูแลทิพย์หน่อยนะเจี๊ยบ” คำสั่งจากปากชานนท์ทำให้มือที่วางประสานอยู่บนตักของสุทธิดาต้องกำแน่น

“ได้...” บอกเสียงเรียบก่อนหันไปยิ้มให้ช่อทิพย์ “เธอก็เหมือนเพื่อนฉันคนนึง เหมือนเพื่อนรักของพวกเราใช่มั้ยนนท์?” คำถามของสุทธิดาทำให้ร่างสูงต้องนิ่งค้างในบัดดล หัวใจของช่อทิพย์มันเต้นถี่ยิบขณะคาดเดาทีท่าของชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ เขาจะคิดกับเธอแค่เพื่อน...ตามที่สุทธิดากล่าวรึเปล่านะ

“เอาเถอะนะ เป็นอันว่าชั้นฝากให้เธอช่วยดูแลทิคพย์อีกแรง” ชานนท์ย้ำกับสุทธิดาเพื่อเลี่ยงตอบคำถามนั้น “ส่วนทิพย์...” ใบหน้าขาวสะอาดของชายหนุ่มที่มีเชื้อสายจีนหันมายังช่อทิพย์ “ทิพย์เองก็ต้องระมัดระวังตัวให้มากกว่านี้นะ อย่าพยายามไปไหนมาไหนคนเดียวอีก” แววตาที่หวังดีและอบอุ่นของเขาทำให้หญิงสาวต้องยิ้มรับ

“อ้อ เกือบลืมเรื่องสำคัญไปเลย” ชานนท์ร้องขึ้นเสียงดังจนสองสาวต้องเบิกตากว้าง “พอดีว่าคุณย่าของฉันเค้าขาดนางรำน่ะ และฉันก็บอกท่านไปว่าทิพย์รำสวยมาก ท่านเลยอยากให้ลองไปซ้อมดู”

“จะดีเหรอนนท์” ช่อทิพย์ลังเลใจ

“ดีสิ...เดี๋ยวเย็นวันศุกร์ที่จะถึงนี้ฉันจะไปรับที่บ้านนะ”


วันนี้นายภูมิกลับบ้านมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นางสิริจันทร์และณภาผู้เป็นลูกสาวก็ไปงานเลี้ยงในตัวเมืองทั้งบ้านจึงเหลือแต่ณพิตรและณภัทร์เพียงสองคน

ชายวัยห้าสิบเดินมายังห้องนั่งเล่นก่อนทรุดกายลงบนโซฟาตัวใหญ่ คว้าเอาบรั่นดีมารินใส่แก้วก่อนกระดกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด เสียงซุบซิบนินทาของพวกนักเตะวัยเยาว์พวกนั้นยังดังแว่วอยู่ในหูของเขาเหมือนกับเทปที่เล่นจบแล้วกรอมาเล่นซ้ำไปวนมาหลายต่อหลายครั้ง...

คุณภูมิน่าจะยอมรับว่าลูกชายตัวเองเป็นอะไร แต่นี่ยังกลับส่งมาให้เล่นบอลอีกต่างหาก มันช่างน่าขำนัก...ให้พวกเกย์ พวกตุ๊ดมาเล่นบอล ฮะฮะฮะ...
มือหนาที่วางอยู่บนหน้าขากำแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดโปน กรามหนาขบแน่นก่อนสะบัดหน้าไปที่บันไดบ้าน รีบลุกพรวดตรงดิ่งไปที่ห้องพักของบุตรชายด้วยความขาดสติ

ณภัทร์ต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงทุบประตูหน้าห้องที่ดังแรงกว่าที่ควรจะเป็น รูปหน้าขาวเนียนย่นหัวคิ้วเข้าหากันด้วยความแปลกใจ ใครกัน...

“ใครครับ...” ชายหนุ่มร้องถามแต่กลับไม่มีเสียงใดตอบกลับมา คงมีแต่เสียงตึงตังของกำปั้นที่ฟาดลงใส่บานประตูที่ยังดังไม่ยอมหยุด ผู้เป็นเจ้าของห้องนิ่วหน้ายืนมองอยู่พักนึงจึงตัดสินใจผลักมันออกไป

“พ่อ...” ชายหนุ่มมองใบหน้าแดงก่ำของบิดาด้วยความตกใจ อีกฝ่ายถลันกายเข้าห้องจนณภัทร์ต้องรีบถอยกรู มือหนายกขึ้นจับไหล่ของบุตรชายไว้ทั้งสองข้างพร้อมกับบีบสุดแรง

“ตอบฉันมา... ตอบมาว่าแกจะไปเล่นบอลตามที่ฉันขอร้องได้รึเปล่า?” อีกฝ่ายตะโกนถามเสียงกร้าว ณภัทร์อ้าปากค้างด้วยความตกใจก่อนเอ่ยปากตอบละล่ำละลั่ก

“วันนี้พ่อเมา วันค่อยคุยกันวันหลังแล้วกันนะ”

“แกไม่ต้องมาทำเป็นเสแสร้ง ทำไมถึงไม่ไปเล่นบอลต่อ” นายภูมิตะคอกถามอีกครั้ง มือหนาที่ยึดตัวลูกชายไว้บีบแรงขึ้นจนณภัทร์ต้องทำหน้าเหย

“ก็ภัทร์บอกพ่อไปแล้วว่าภัทร์ไม่ชอบ พ่อก็ยังจะมาบังคับภัทร์อีก”

“แกไม่ชอบเล่นบอล แล้วแกชอบอะไรหา ชอบฟ้อน ชอบรำเหมือนผู้หญิงงั้นสิ...แกเป็นผู้ชายนะ เป็นลูกชายของฉัน เป็นคนที่จะสืบสกุลนี้ต่อไป...” ผู้เป็นบิดาผลักร่างบางออกห่างอย่างแรงจนณภัทร์เซถลาไปชนกำแพงห้อง ชายหนุ่มยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆ เชิดหน้ามองนายภูมิที่ยืนขบกรามแน่นด้วยความขึ้งโกรธ

“ภัทร์จะทำอะไรมันก็เรื่องของภัทร์ ภัทร์...เป็นลูกชายที่พ่อต้องการอยากให้เป็นไม่ได้หรอก...”

“แกพูดอะไรออกมาณภัทร์...พูดอะไรออกมา” นายภูมิตรงปรี่เข้าไปหาร่างลูกชาย เขย่าแขนทั้งสองข้างด้วยความไม่พอใจ

“พ่อเกลียดภัทร์...ไม่ว่าภัทร์จะทำอะไรมันก็ผิดในสายตาพ่อตลอดนั่นแหละ พ่อเคยเข้าใจคนอื่นบ้างมั้ย? ดีแต่บังคับให้เค้าเป็นตามที่ตัวเองอยากให้เป็น แต่พ่อเคยถามภัทร์มั้ย เคยเข้าใจในตัวภัทร์บ้างมั้ย ภัทร์เกลียดพ่อ...เกลียดที่สุด”

เพี๊ยะ !!!

หลังมือหนาฟาดใส่แก้มซ้ายของชายหนุ่มจนหันไปอีกทาง รอยแดงค่อยๆ ปรากฎขึ้นบนใบหน้าที่แสบชา โลหิตสีแดงฉานไหลซิบลงมาจากมุมปากที่แตกยับ หยดน้ำตาพร่างพรูลงมาเปื้อนสองแก้มอย่างหยุดไม่อยู่

ณภัทร์หันไปมองบิดาที่ยืนชี้หน้าตน “แกออกไปจากบ้านชั้นเดี๋ยวนี้...ไสหัวไปให้ไกล ฉันไม่เคยมีลูกอย่างแก” เสียงแหบพร่าก่นด่าลูกชายที่ยืนมองอย่างน้ำตาไหลก่อนสะบัดตัวหนีเดินออกจากห้องไปด้วยหัวใจที่ปวดร้าว ณภัทร์ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้มออกอย่างลวกๆ กัดฟันบอกตัวเองว่าอย่าร้องไห้ แต่เหมือนน้ำตามันก็ยิ่งพร่างพรูลงมาเป็นสาย ดวงตาแดงก่ำอันพร่ามัวมองไปยังตู้เสื้อผ้าก่อนดีดกายลุกขึ้น มือเรียวคว้าเอากระเป๋าใบย่อมรีบยัดเสื้อผ้าและข้าวของใส่เข้าไปจนเต็ม... เขามาไล่จนถึงที่แบบนี้แล้ว จะอยู่ต่อไปทำไมกันล่ะภัทร์...

ณภัทร์จ้องมองตัวเองในกระจกเงาก่อนพริ้มตาหลับ บังคบลมหายใจและร่างกายที่สั่นเทิ้มให้เป็นปกติ สองตาที่ยังชื้นด้วยม่านน้ำใสๆ มองตัวเองด้วยความแน่วแน่ เขาจะต้องหยัดยืนและอยู่ด้วยลำแข้งของตัวเองให้จงได้


วันนี้สองน้าหลานออกไปทานสุกี้กันนอกบ้านหลังจากที่ไม่ได้ออกไปเที่ยวด้วยกันเสียนาน หลังจากที่อิ่มจากมื้อเย็นแล้วคพเพลิงก็ถือโอกาสเดินให้อาหารย่อยโดยมองหาชุดกีฬาชุดใหม่ในห้างสรรพสินค้ากลางใจเมือง บงกชผู้มีศักดิ์เป็นน้าสาวจึงพลอยได้ถือถุงข้าวของเสื้อผ้าที่หลานชายหอบหิ้วมาได้ตามก้อนต้อยๆ

“ได้ยินว่าอาทิตย์หน้าก็จะคัดทีมประจำจังหวัดแล้วใช่มั้ย?” คำถามของผู้เป็นน้าทำให้โครงหน้าคมเข้มที่กำลังเลือกดูเสื้อกล้ามในหมวดเครื่องแต่งกายชายต้องหันขวับมา

“ใช่ครับ...ช่วงนี้ผมก็คงต้องกลับบ้านดึกหน่อย” พูดจบก็หันไปดึงเสื้อกล้ามตัวนึงมาใส่ตะกร้าก่อนไปที่หมวดถุงเท้าต่อ

“กลับดึกเพราะซ้อมหนักน่ะน้าไม่ว่าหรอก แต่อย่าให้รู้ว่าแอบไปกินเหล้ากินยาก็แล้วกัน” บงกชจ้องมองด้วยสายตาคมกริบก่อนหลานชายจะยักไหล่

“โถ่น้าบงกช...ผมน่ะเด็กดีนะครับ เป็นนักกีฬาของโรงเรียน ทำชื่อเสียงให้มากมาย ไม่ใช่คนขี้เหล้าเมายาซะหน่อย แต่ก็อาจจะมีบ้างนิดๆ หน่อยๆ” คพเพลิงยิ้มแหยก่อนที่ฝ่ายน้าสาวจะตัดบท

“รีบๆ เลือกเข้า จะได้กลับบ้านกัน นี่ก็จะสามทุ่มแล้ว” จบคำก็เดินนำหน้าหลานชายตรงสู่เคาน์เตอร์เพื่อรอชำระเงิน คพเพลิงฉวยเอาถุงเท้ามาได้คู่หนึ่ง ถือตะกร้าวิ่งดุ่มๆ ตามร่างคนเป็นน้าไปในที่สุด

หลังจากที่พ่อแม่ของชายหนุ่มตายไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน บงกชที่มีศักดิ์เป็นน้าสาวก็เลี้ยงดูชายหนุ่มราวกับลูกในไส้ ยังดีที่หนุ่มน้อยแม้จะกวนๆ และซุกซนตามประสาเด็กวัยรุ่นผู้ชายไปบ้างแต่เขาก็ไม่ทำให้เธอต้องเดือดเนื้อร้อนใจ

เมื่อจับจ่ายซื้อของจนเป็นที่พอใจสองร่างก็ตรงสู่รถยนต์คันงามเพื่อขับกลับบ้านพัก แต่เมื่อผ่านถนนที่ตัดเข้าสู่หมู่บ้านหนองคำมิ่ง คพเพลิงก็ต้องรีบเกาะขอบกระจกด้วยความตกใจ... ร่างแบบบางที่คุ้นหน้ากอดกระเป๋าเสื้อผ้าไว้แนบอก เดินคอตกบนถนนที่เปลี่ยวและรักชัฏยามค่ำคืนเพียงคนเดียว

“น้าๆ...จอดก่อนครับ” เสียงตะโกนร้องของหลานชายทำให้บงกชค่อยๆ ชะลอรถเลียบข้างทาง

“มีอะไรเจ้าคพ...”

“นั่นมัน...” คพเพลิงชี้ไม้ชี้มือไปที่ร่างเพรียวลมที่เดินตากน้ำค้างอยู่ข้างทางก่อนที่บงกชจะอ้าปากค้าง

“นั่นณภัทร์นี่...” พูดจบก็รีบผลักประตูรถออกไปพร้อมกับหลานชาย หญิงวัยย่างสี่สิบโบกมือเรียกอีกฝ่ายอยู่ที่อีกฝั่งของถนน

“ณภัทร์...นั่นณภัทร์ใช่มั้ยจ้ะ” เสียงที่เรียกทำให้ชายหนุ่มเบิกตากว้างก่อนหันไปมองทั้งคู่ สองตาแดงก่ำที่ยังเปียกชื้นเพ่งมองสองร่างฝ่าความมืดยามค่ำคืนที่มีเพียงหลอดไฟดวงเล็กให้แสงสว่างข้างทาง


ณภัทร์ทรุดนั่งลงบนพื้นไม้กลางเรือนไทยหลังย่อมของบงกชภายหลังที่ยอมเดินทางมากับผู้เป็นอาจารย์ คพเพลิงได้แต่เฝ้ามองแขกหนุ่มอยู่ห่างๆ

“คิดดีแล้วเหรอภัทร์ที่หนีออกจากบ้านมาแบบนี้” บงกชยกมือขึ้นลูบหลังผู้เป็นลูกศิษย์เบาๆ เอียงคอก้มมองดวงหน้าที่เอาแต่ก้มนิ่งอยู่เนิ่นนานก่อนที่หยดน้ำตาจะร่วงลงพื้นเผาะๆ มือเรียวปาดมันออกอย่างไม่ใส่ใจ

“เฮ่ย...” ผู้เป็นเจ้าของบ้านถอนใจยาวก่อนหันไปมองหลานชายที่ยืนมองทั้งคู่อยู่หน้าประตูห้อง “นี่ก็ดึกแล้ว รีบไปนอนซะสิคพเพลิง” ไล่ตะเพิดอีกฝ่ายเพราะไม่อยากให้มาจ้องมองคนที่กำลังกลัดกลุ้มแบบนี้ เมื่อหลานชายยอมหันหลังเข้าห้องพักไปแล้วบงกชจึงยกมือของณภัทร์มาบีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ

“พักอยู่ที่นี่กับครูก่อนก็ได้” ความหวังดีที่ได้ยินทำให้ณภัทร์ต้องแหงนหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย “ครูอยู่กับคพเพลิงหลานชายเพียงสองคน พักอยู่ที่นี่ก่อนจนกว่าจะคิดอะไรออกนะ” ผู้เป็นครูยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังชายหนุ่มเบาๆ อีกครั้ง ณภัทร์ยกมือที่สั่นเทาขึ้นไหว้ขอบคุณอีกฝ่ายทั้งน้ำตาในขณะที่คพเพลิงแอบมองทั้งคู่ผ่านรูโหว่ของฝาห้องด้วยความสนใจ


วันนี้สุรเดชกับเทพพิพิธก็เกือบจะมีเรื่องกันกลางโรงอาหาร ยิ่งได้เห็นหน้าก็ยิ่งทำให้ความขุ่นเคืองในใจของสุรเดชยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวี ยิ่งได้เห็นมันเข้าใกล้กิ่งดาวมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งเจ็บปวดใจมากเท่านั้น นี่นะหรือคือข้อเสนอของกล่อมแก้วที่บอกว่าจะทำให้เขาได้เข้าใกล้กิ่งดาวมากขึ้น แต่ไม่เลย...ไอ้เทพพิพิธตามติดหญิงสาวแจออกแบบนั้น ซ้ำร้ายกิ่งดาวก็ไม่แม้แต่จะหันมาชายตาแลเขาเลยสักนิด...

“เธอจะปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้นะดาว...เรื่องทุกอย่างมันไม่จบไม่สิ้นแน่” คำต่อว่าของกล่อมแก้วทำให้กิ่งดาวต้องจ้องมองคนเป็นเพื่อนด้วยความแปลกใจ หลังจากหมดคาบเรียนในช่วงบ่ายอีกฝ่ายก็หาโอกาสเหมาะเข้าเจรจากับกิ่งดาวถึงเรื่องที่เทพพิพิธและสุรเดชที่เกือบจะมีเรื่องกันกลางโรงอาหารในวันนี้

“วันนี้เค้าสองคนเกือบตีกันกลางโรงอาหารก็เพราะเธอ...”

“เค้าสองคน...ใคร?” กิ่งดาวรวบหนังสือบนโต๊ะเข้าเป็นกองเดียว เชิดหน้าถามกล่อมแก้วที่ยืนแสยะยิ้ม

“ก็เทพพิพิธกับสุรเดชไง...ผู้ชายสองคนนี้ต้องทะเลาะกันเพราะเธอ” หญิงสาวย้ำอีกครั้งด้วยสีหน้าขุ่นเคือง กิ่งดาวเองก็คิดไม่ตก...ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้ยังไงดี

“เธอต้องทำอะไรซักอย่าง” กล่อมแก้วเสนอขึ้น ดวงตาเป็นประกายวาววับจ้องหน้ากิ่งดาวตรงๆ

“ทำอะไร...ฉันไม่ได้คิดอะไรกับสุรเดชอีกแล้ว และฉัน...ก็ยอมรับว่าตอนนี้กำลังคบหากับเทพพิพิธอยู่” น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกไปเต็มปากและสีหน้าแววตาอันหนักแน่นนั้นทำให้กล่อมแก้วชาวาบไปทั้งร่าง ในที่สุดแล้วกิ่งดาวก็ยอมรับกับหัวใจตัวเองเสียที...ว่าตนก็ตกหลุมรักเทพพิพิธเข้าเสียแล้ว เขาทั้งสองรักกัน... กล่อมแก้วหมดสิทธิ์ที่จะเข้าไปแทรกแซงไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ อีก


ช่อทิพย์ช่วยกอบกุลจัดแต่งหน้าบ้านของนายเจตต์เพื่อใช้สำหรับเป็นที่เลี้ยงฉลองในงานวันเกิดของกิ่งดาวที่จะจัดขึ้นในเย็นวันนี้ ฝ่ายกิ่งดาวก็ช่วยมารดาทำอาหารเย็นในครัวส่วนผู้เป็นพ่อนั้นอยู่หารือกับพวกชาวบ้านเรื่องการจัดงานลอยกระทงที่จะมาถึงในสัปดาห์หน้า

กลอยใจหยิบฝรั่งมาปลอกเปลือกออกด้วยสีหน้าบูดบึ้งระคนเจ็บใจ งานวันเกิดเธอนั้นไร้ซึ่งคนใส่ใจ มีเพียงเค้กชิ้นเล็กๆ และจัดเลี้ยงเฉพาะคนรู้จักเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นแล้วก็มีเพียงเพื่อนสนิทไม่กี่คนที่มาอวยพรให้กับเธอ มีเพียงอาหารไม่กี่อย่างที่เอาไปต้อนรับ ของขวัญยิ่งไม่มีเลย... แต่ทว่างานวันเกิดกิ่งดาวครานี้นายเจตต์กลับให้เงินนางทับทิมมาบริหารพอสมควร ทั้งผู้เป็นน้องสาวยังเชิญเพื่อนชายหญิงมากมายมาในงาน แน่ล่ะ...เทพพิพิธก็ต้องมาด้วยเป็นแน่ !

ก็เธอมันเป็นลูกชังนี่กลอยใจ พอจบ ม.6 ไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ได้ไม่ถึงปีก็ต้องซมซานกลับมาบ้านเพราะใช้จ่ายเกินตัวจนนายเจตต์ไม่มีเงินส่งให้ร่ำเรียน เลยต้องกลับมาเรียนร่วมชั้นปีกับน้องสาวที่วิทยาลัยในตัวจังหวัด ซ้ำยังอาภัพเรื่องความรัก มีชายหนุ่มเข้ามาพัวพันก็เพื่อหวังสูบเอาความสาวแล้วก็จากไป เธอมันช่างเป็นคนไร้ค่าเสียนี่กระไรกลอยใจ แอบรักเทพพิพิธอยู่นานปี หมายปองเพื่อจะเอามาเป็นคู่ใจแต่ก็กลับถูกน้องสาวแย่งไปเสียได้

“นังใจ...กลอยใจเอ้ย” เสียงของนางทับทิมที่ดังออกมาจากห้องครัวทำให้หญิงสาวต้องรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากแก้มก่อนเดินดุ่มๆ ตรงไปหามารดา

“มีอะไรจ้ะแม่” เอ่ยถามก่อนผินหน้าไปมองกิ่งดาวที่ก้มๆ เงยๆ ทำกับข้าวอย่างขมักเขม้น

“ช่วยไปบอกพ่อเอ็งทีว่างานคงเริ่มราวหกโมงครึ่ง เดี๋ยวอีกหน่อยเพื่อนๆ นังดาวมันก็จะมาแล้ว ให้พ่อแกมาอวยพรให้ลูกสาวแล้วค่อยไปประชุมต่อหน่อยเป็นไร”

“จ้ะ เดี่ยวฉันจะรีบไปบอกพ่อให้” กลอยใจรับคำเสียงเรียบก่อนสะบัดตัวเดินหนีออกไป พอเดินออกมาพ้นเขตตัวบ้านที่ครึกครื้นด้วยเสียงเพลงและคำทักทายของเหล่าเพื่อนฝูงของกิ่งดาวแล้วกลอยใจก็ต้องผ่อนลมหายใจเพื่อขับไล่ความอึดอัดออกทีละนิด หญิงสาวจำใจต้องออกเดินต่อไปหาบิดากระทั่งพบกับสุรเดชที่เดินสวนทางมา อีกฝ่ายอยู่ในชุดเชิ้ตสีเทาเข้มและกางเกงขายาวสวมรองเท้าหนังมีราคา สภาพดูดีกว่าทุกครั้งที่เธอเคยเห็น ในมือของชายหนุ่มมีกล่องของขวัญเล็กๆ สีขาวผูกโบว์สีแดงถือไว้

“เดี๋ยวก่อนเดช...” ร่างสูงต้องหยุดกึกทันทีที่กลอยใจร้องเรียก สุรเดชหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย

กลอยใจจุดยิ้มก่อนเดินเข้ามาหา “ฉันว่า...นายไม่ควรไปงานวันเกิดกิ่งดาวนะ”

“พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง?” ชายหนุ่มทวนคำเสียงห้วน กลอยใจหัวเราะเสียงใสพร้อมกับคว้าเอากล่องของขวัญจากมืออีกฝ่ายมาถือไว้

“เดี๋ยวของขวัญนี่ฉันจะเอาไปให้นังดาวเอง ขืนนายไปก็ต้องมีเรื่องกับเทพพิพิธอีกแน่ คราวนี้พ่อฉันก็จะยิ่งเกลียดนายมากขึ้นไปอีก นายลองคิดดูสิสุรเดช...” หญิงสาวลากเสียง สายตาคมกริบอันแสนเจ้าเล่ห์เมียงมองชายหนุ่มที่กำลังก้มหน้าคิดอย่างหนักหน่วง “เย็นวันลอยกระทงฉันจะใช้ให้นังดาวมันไปเก็บดอกบัวที่ท้ายสวนเพื่อเอามาแต่งในกระทงที่กอบกุลจะเอาไปประกวด แต่ฉันจะหาข้ออ้างกลับมาก่อน นั่นเป็นโอกาสอันดีที่แกจะได้อยู่กับน้องสาวฉันสองคน... ส่วนแกจะจัดการยังไงต่อไปนั้น...ก็แล้วแต่แกนะสุรเดช แต่โอกาสดีๆ แบบนี้ไม่ได้มีบ่อยครั้งนัก จำไว้ !!!”

กล่อมแก้วที่หลบอยู่ข้างต้นมะม่วงริมทางพลอยได้ยินถ้อยคำที่กลอยใจสนทนากับสุรเดชจนหมดทุกคำ หญิงสาวขบคิดตามอย่างใจเต้น หากว่าสุรเดชทำตามอุบายที่กลอยใจวางไว้...หากว่าเขาจัดการกับกิ่งดาวแล้วเทพพิพิธรู้เรื่อง... หญิงสาวจุดยิ้มอย่างไม่รู้ตัว แสงสว่างที่ส่องแสงหริบหรี่ทำให้เธอพอจะมีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง

จากคุณ : ผีเสื้อสีดำ
เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 54 17:28:27




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com