Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
[ซีรีสย์พระจันทร์] นิมิตแสงจันทร์ - บรรพที่ 30 ติดต่อทีมงาน

บรรพที่ 30

 

ญาตาปัณฑารีย์นิ่งงันด้วยอาการตกตะลึง  ห่างออกไปไม่มากนักมีร่างเล็กของเด็กผู้หญิงแรกรุ่นคนหนึ่ง ดวงหน้าของเด็กหญิงนั้นปัณฑารีย์จำไม่มีทางลืม  เหมือนอีกฝ่ายจะรู้สิ่งที่นางนักบวชกำลังคิดอยู่ จึงคลี่ยิ้มอ่อนหวานทักทาย  แต่เป็นรอยยิ้มที่เห็นแล้วหนาวเหน็บที่สุดเลยก็ว่าได้ 


“ดา..ดามิสา”  ใบหน้านั้นไม่มีทางเป็นใครไปได้  นอกจากสหายวัยเยาว์ชามีดามิสามารดาของภามิน


“ใช่..ฉันเองปัณฑารีย์” เด็กหญิงตอบหล่อนด้วยท่าทางไม่ต่างกับมนุษย์ปกติ ในขณะที่ปัณฑารีย์ยืนตัวแข็งค้าง


“เป็นอะไรไปปัณฑารีย์...ทำไมทำหน้าอย่างนั้น อย่าบอกนะว่าลืมฉันเสียแล้ว”


“ปะ...เป็นไปไม่ได้ ดามิสาตายไปแล้ว เธอเป็นใครถึงได้มาแอบอ้าง ฉันไม่สนุกด้วยหรอกนะแม่หนู” นางญาตาก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ หล่อนพยายามระงับความกลัวของตนเองอย่างเต็มที่ แต่ไม่มีผลนักเหงื่อกาฬเริ่มไหลโทรม ทั้งจากสิ่งเร้นลับที่ได้ประสบและจากไฟร้อนที่กำลังไหม้อยู่


 “แม่หนู?..ฮะ ฮะ นั่นสินะ ตอนนี้เธออายุเลยฉันไปมากแล้วนี่นา เท่าไรแล้วนะสี่สิบกว่าแล้วใช่ไหม...”


วิญญาณในร่างเด็กหญิงทำท่านับนิ้วทบทวน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แววตาดุดัน คิ้วเรียวนั้นก็ขมวดมุ่น  ปัณฑารีย์ยังไม่ทันได้ขยับเขยื้อนแม้แต่ริมฝีปากเสียด้วยซ้ำ  จู่ๆ ดามิสาก็พุ่งเข้าหาหล่อนด้วยความเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน ยิ่งไปกว่านั้นร่างเล็กแบบเด็กหญิงเติบโตพรวดพราดขึ้นเป็นหญิงสาวเต็มวัยในระยะแค่สามก้าวที่ย่างเท้าเท่านั้น 


“อายุป่านนี้แล้วยังคิดอะไรดีๆ ไม่เป็นหรือไง ?!!” ใบหน้าสะสวยของผู้มาจากโลกแห่งความตายยื่นเข้ามาประชิดติดหน้าหล่อน แล้วกรรโชกเสียงถาม


“กรี๊ดดดดดด!!” นางญาตาส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตระหนก ก่อนจะผงะก้าวถอยหลังไปชนกำแพง


“แฮ่ก..ดามิสา เธอ..เธอมาทำไม?”


“นั่นสิ...ฉันมาทำไมกันนะ? เธอเดาออกไหม?”


คำพูดหยอกล้อกับดวงตาขี้เล่นนั่น ปัณฑารีย์บอกตนเองว่าไม่ผิดแน่นั่นคือดามิสาจริงๆ หล่อนไม่ได้อยู่ในร่างเด็กอย่างเมื่อครู่นี้แล้วแต่อยู่ในร่างสาวสะพรั่งเต็มวัย หล่อนยังสวยสดเหมือนเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ไม่มีผิด หนำซ้ำยังดูอ่อนวัยกว่าหล่อนอีกหลายปี  ราวกับหยุดอายุไว้เพียงแค่วันที่จากโลกนี้ไป


“ฉันไม่รู้...ฉันไม่อยากคุยกับเธอ ฉันกำลังรีบ” น้ำเสียงของปัณฑารีย์สั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด หล่อนหวาดกลัว กลัวอย่างจับใจ 


คนที่ตายไปแล้วไม่เคยย้อนกลับมา ผีไม่มีในโลกที่เห็นเป็นเพียงภาพหลอน ภาพมายาที่มารในใจสร้างให้เห็น สร้างขึ้นเพื่อทดสอบจิตใจ สร้างเพื่อข่มขู่มนุษย์  หากตั้งสติได้ดามิสาจะหายไป ปัณฑารีย์พยายามบอกตนเองเช่นนี้ หล่อนเป็นญาตาที่ฝึกฝนจิตใจมานาน  ไม่ควรหวั่นหวันกับดามิสาหรือวิญญาณตนใดก็ตามที่ปรากฏตรงหน้าหล่อน  ทว่าภาพตรงหน้ายังคงชัดแจ้ง ไม่มีทีท่าว่าจะหายไป


“คิดอะไรอยู่น่ะปัณฑารีย์...จะไม่บอกฉันสักหน่อยหรือ?” นางนักบวชไม่ตอบมีเพียงทรวงอกเท่านั้นที่หายใจกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ยิ่งดามิสาสาวเท้าเข้าไปใกล้มากขึ้นเท่าไร หล่อนก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น


“ไม่เป็นไร...ไม่บอกก็ไม่เป็นไรหรอก  เพราะฉันรู้ความลับของเธอแล้ว”


“ความลับอะไร..ไม่มี” หล่อนปฏิเสธคอแข็ง ก่อนจะเหลียวหาคนช่วยเหลือ ทว่านอกจากหล่อนกับดามิสาแล้วไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้นเลย


“ปัณฑารีย์...อย่าโกหกต่อไปอีกเลย...เธอน่ะโกหกแม้กระทั่งตัวเอง เมื่อสมัยยังเด็กเธอเคยอยากเป็นอัญญาตาไม่ใช่เหรอ?  เธอบอกเองว่าวันหนึ่งฉันจะต้องคุกเข่าต่อเธอ...แล้วตอนนี้ดูเธอสิ มีอะไรควรค่าให้เคารพบ้าง” ปัณฑารีย์ตั้งใจจะวิ่งหนี แต่คำพูดประโยคนั้นตรึงหล่อนเอาไว้  คำพูดที่มีแต่หล่อนและดามิสารู้กันเพียงสองคน คำพูดเมื่อครั้งยังเยาว์วัย 


“ปัณฑารีย์...ทำไมถึงทรยศต่อนีรา” ดามิสายังก้าวเข้ามาหล่อนเรื่อยๆ ในขณะที่นางญาตายืนเกร็งตัวแข็งค้างอยู่กับที่ด้วยอาการสั่นเทา  พอจะถอยหนีหล่อนกลับเหยียบเอาชายกระโปรงที่ยาวกรอมเท้า ล้มลงไปนั่งกับกองพื้น


“ดูไม่ได้เลยนะ...ดูสภาพเธอสิ หมดสิ้นสง่าราศี  แล้วแบบนี้ใครเขาจะนับถือ...คนทุศีล คนที่เอาชื่อนีราไปแอบอ้าง...รู้ใช่ไหมว่าโทษทัณฑ์มันหนักสาหัสยิ่งกว่าคนที่ไม่ถือบวชหลายเท่านัก”


“เธอพูดอะไร? ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” หล่อนยังปากแข็ง ตรงกันข้ามกับท่าทาง


“ปัณฑารีย์มีคนหลงผิดเพราะเธอกี่คนแล้ว  เธอไม่มีสิทธิ์จะไปล่อลวงพวกเขา  นามของนีราบริสุทธิ์นัก หน้าที่ของญาตาก็เช่นกัน...ทำไมถึงปล่อยให้ความหลง ความโลภ เข้าครอบงำตัวเอง ทั้งๆ ที่...”


“ฉันทำหน้าที่ของฉัน...เพื่อวิปุลา เป็นญาตาที่ช่วยชี้ทางที่สมควรให้วิปุลาต่างหาก” หล่อนเถียงออกมา


“เพื่อวิปุลา? หรือเพื่อผู้ชายคนนั้น...” ใบหน้าซีดเซียวของปัณฑารีย์แดงก่ำขึ้นมาทันที  ดวงตาสีอำพันของดามิสายังคงจ้องมองหล่อนไม่กระพริบ หากเป็นยามปกตินางญาตาคงยกมือขึ้นตบหน้าผู้ที่บังอาจมายอกย้อนหล่อนเช่นนี้


“เขา...ท่านธุวานันท์  ท่านเป็นคนที่จะช่วยเหลือประเทศนี้  ฉันถึงต้องช่วยท่าน”


“ประเทศนี้แม้มีปัญหามากมาย แต่ยังไม่ถึงเวลาล่มสลาย...ยังไม่จำเป็นต้องมีผู้มีบุญคนใหม่ปรากฏขึ้นมา”


“จำเป็นสิ! ราชินทร์คนเดิมอ่อนแอนัก แค่ซันกับมูนยังไม่มีปัญญาจัดการได้  แล้วโลกก็กำลังวิ่งไป...ระบบกษัตริย์กำลังล้าหลังโลก  หลายคนเชื่อว่าถ้าไม่มีราชินทร์เราจะกลายเป็นอารยะสักที  แต่เธอก็รู้นี่...เธอรู้เหมือนที่ฉันรู้  วิปุลาต้องมีราชินทร์...มันถูกกำหนดไว้แล้ว 


ประชาชนของเราไม่ได้มีการศึกษาเท่ากันหมดทั้งประเทศ พวกเขาเคยชินกับการที่มีคนสั่งมีคนทำให้ พวกเขาไม่พร้อมจะแข่งขันกับใครหรือแย่งชิงกับใครเพื่อตัวเอง  พวกเขาแค่อยากอยู่อย่างสงบสุขมีชีวิตที่ดี  แล้วมีคนที่คอยดูแลให้ก็คือราชินทร์ แค่นั้นก็ดีถมไปแล้ว วิปุลามีวิถีแบบนี้มานาน  แล้วอยู่ๆ พวกซันบอกว่าไม่เอาระบบกษัตริย์ เพราะมันจะทำให้พัฒนาตามโลกไม่ได้...


เธอก็น่าจะรู้นี่สำหรับพวกซันก็แค่ข้ออ้างเท่านั้นแหละ จริงๆ แล้วการมีตัวตนของราชินทร์มันขวางทางพวกเขา  สรุปแล้วทั้งซันทั้งมูนพวกมันก็ล้วนแต่ทำเพื่อตัวเอง แล้วพยายามเอาอุดมคติปั้นแต่งไปยัดใส่สมองประชาชน 


เพราะงั้น...ถึงต้องหาทางช่วย  ถ้าราชินทร์คนเดิมเป็นต้นเหตุของปัญหา  เปลี่ยนตัวซะแค่นี้วิปุลาก็สงบแล้ว ท่านธุวานันท์มีความเหมาะสม ท่านเป็นคนฉลาดมีความสามารถ  แต่ท่าน...ไม่ใช่รัชทายาทถึงขึ้นครองราชย์ไม่ได้  ฉันถึงต้องช่วยยังไงล่ะ  ในเมื่อฉันเป็นญาตาตัวแทนของนีรา...นางพรายกำหนดกษัตริย์มาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ฉันก็แค่ทำหน้าที่ตัวเอง หน้าที่ที่ถูกที่ควรเท่านั้น ” หล่อนหายใจเร็วระรัวพอๆ กับคำพูดยืดยาวที่ละล่ำละลักอธิบายมา


“ปัณฑารีย์ถ้าเธอคิดว่าทำถูก ทำไมต้องแก้ตัวออกมาเสียยาวเหยียดปานนั้น” ดามิสาแย้มริมฝีปากเผยอขึ้นเล็กน้อยยามยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่แสนดูแคลนนักในสายตาของคู่สนทนา


“ถ้าซันกับมูน...เอาอุดมคติเพ้อฝันไปหลอกประชาชน..เธอก็ไม่ต่างกันหรอก เธออ้างนามของนีราให้พวกเขาเชื่อ ทำให้นามอันศักดิ์สิทธิ์นั้นแปดเปื้อน  แล้วยังคิดว่าตนเองสมควรทำหน้าที่ผู้รับใช้นีราอยู่อีกหรือ?”


“หยุดนะ! ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ท่านธุวานันท์ก็เช่นกัน เราพยายามช่วยวิปุลาต่างหาก เธอเองก็รู้นี่ใครต่อใครมันก็อยากได้อำนาจ ราชินทร์ก็ไม่ได้ความ เรื่องมันถึงเลยเถิดมาจนป่านนี้ แม้แต่เธอเองก็ต้องมาสังเวยชีวิตเพราะการเมืองไม่ใช่เหรอ? ก็นี่ยังไงล่ะสิ่งที่ฉันพยายามทำในฐานะญาตา  เราจะปล่อยให้ซันที่มีแค่พวกนักธุรกิจพวกโลภ คิดแต่จะคุมเศรษฐกิจมีอำนาจเหนือประเทศไม่ได้  มูนมันก็เป็นแค่นักวิชาการที่ดีแต่ก่อกวนไม่มองความจริง ที่อยู่ได้มาทุกวันนี้ก็เพราะทหารหนุนหลัง  คนพวกนี้ต่างหากที่ผิดนับวันก็ดีแต่ยุยงประชาชน  พยายามจะคว่ำประเทศลง แล้วคิดเหรอว่าวิปุลาจะอยู่ได้ถ้าเปลี่ยนระบบ พวกมันไม่รู้จักวิปุลาอย่างแท้จริง หรือเธอจะเถียง”


“แล้วเธอก็เลย...รวบอำนาจไว้เสียเอง  คว่ำด้วยมือตัวเองดีกว่าให้คนอื่นคว่ำใช่ไหม?”


“ไม่ใช่นะ อย่ามากล่าวหากันลอยๆ เธอจะไปรู้อะไร? ฉันกับท่านธุวานันท์ต้องพยายามแค่ไหน ที่จะดำรงรากฐานของไทวาวัตที่ราชินทร์ทำเสียจนราชวงศ์ขาดความน่าเชื่อถือ”


“ราชินทร์ทำ? หรือความโลภของคนบังตาจนมองไม่เห็นความดีของราชินทร์กันแน่?”

 

 

 

 

แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 54 00:06:08

จากคุณ : แก้วกังไส
เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 54 23:36:07




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com