คาลียกคบไฟในมือชูขึ้นสูง แสงสีเหลืองอมส้มสาดจับใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมบึกบึนของเขาให้กลายเป็นสีทองแดงเข้มดูดุดัน ชายหนุ่มปรายตามองสหายที่ยืนอยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าไปยังลูกน้องที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามารายงานว่า
“หาไม่พบขอรับ ข้าค้นจนทั่วหมู่บ้านแล้วแต่ไม่รู้ว่าพวกมันไปซ่อนอยู่ที่ไหน”
“เป็นไปได้ยังไง เจ้าแน่ใจนะว่าค้นจนทั่ว”
“แน่ใจขอรับ ข้าไปค้นบ้านพักหลังที่ท่านเรย์บอก เจอแค่ข้าวของไม่กี่อย่างกับเจ้าม้าสองตัวนี่ ส่วนพวกมันสองคน เจ้าของบ้านบอกว่าออกจากห้องไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางแล้วขอรับ”
“แล้วพวกเจ้าไม่ได้ตามไปสืบกับคนในหมู่บ้านหรอกหรือว่าพวกมันไปไหนกัน” พวกที่ถูกส่งไป ‘สอดแนม’ หลบสายตากันวูบวาบ ไม่มีใครกล้าตอบ
คาลีขบริมฝีปากด้วยท่าทางขัดใจยิ่ง
ตอนที่รู้ว่าลูกน้องของเรย์พบคนหน้าตาเหมือนราชาแห่งกรีนแลนด์ เขาก็รีบสั่งให้หัวหน้าหมู่บ้านปิดทางเข้าออกทุกแห่งในเมืองบัลซาร์ ก่อนจะส่งลูกน้องที่คิดว่ามีฝีมือและไว้ใจได้ไปที่บ้านพักคนเดินทาง หวังจะจู่โจมเข้าจับตัวชายผู้นั้นให้ได้ในทันที
แต่ก็ยังพลาด!
นี่ถ้าหากเจ้าหมอนั่นเป็นราชาเอลเบอเรธจริง แล้วเจ้าชายดิเร็กซ์ทรงทราบว่าเขาปล่อยให้มันหนีรอดไปได้ละก็ พระองค์คงไม่ไว้ชีวิตเขาแน่
“เจ้าพวกโง่ เรื่องแค่นี้ทำไมไม่รู้จักคิด หรือว่าต้องรอให้หัวหลุดจากบ่ากันก่อนถึงจะคิดออก หา?” ชายหนุ่มตวาดลูกน้องเสียงดังลั่น “ใจเย็นน่าคาลี” เรย์ตบไหล่ปรามสหาย
“พวกมันไปโดยทิ้งข้าวของเอาไว้แบบนี้ แปลว่าไม่น่าจะไปไกล ลองกระจายกำลังกันค้นหาดูก่อนเป็นไง ถ้าไม่เจอจริงๆ ค่อยทิ้งคนของเราให้คอยเฝ้าทางเข้าออกหมู่บ้านอีกที ข้าว่ายังไงเสียพวกมันก็ต้องย้อนกลับมาแน่” คาลีถอนใจใหญ่ “เอาอย่างนั้นก็ได้” ชายหนุ่มหันไปสั่งลูกน้องสองคนให้กลับไปซุ่มสังเกตการณ์อยู่ที่บ้านพักคนเดินทาง ส่วนพวกที่เหลือให้แยกย้ายกันออกค้นหาบริเวณชายป่ารอบหมู่บ้าน โดยเขาและเรย์จะเป็นผู้เฝ้าปากทางเข้าออก เมื่อแบ่งหน้าที่เสร็จเรียบร้อยชายหนุ่มก็หันมาทางสหาย “เรย์ เจ้าว่าพวกมันจะขึ้นไปถึงวิหารรีอาหรือเปล่า” “ก็ไม่แน่ แต่ถ้าพวกมันจะโง่ขึ้นไปบนนั้นจริง เจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกคาลี ท่านหัวหน้านักบวชคงไม่ปล่อยพวกมันไปง่ายๆ เจ้าก็รู้นี่ว่าวิหารรีอาเป็นยังไง” “นั่นสินะ”
ทั้งเรย์และคาลีต่างก็หัวเราะให้แก่กันเพราะรู้ความนัยที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังประโยคนั้นดี หากเพียงครู่เดียวชายหนุ่มร่างยักษ์ก็ชะงักกึก ยกมือขึ้นห้ามสหายพร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆ เหมือนจะหาอะไรสักอย่าง
“มีอะไรหรือ” เรย์ขมวดคิ้วมองเพื่อนอย่างฉงน
“จุ๊ ฟังสิ...ข้าได้ยินเสียงเหมือนม้าร้องดังมาจากพุ่มไม้ตรงนั้น เจ้าได้ยินหรือเปล่า” เรย์หลับตาทำท่าตั้งอกตั้งใจฟังชั่วครู่ก็ลืมตาแล้วส่ายหน้า
“ไม่นี่ ไม่เห็นได้ยินอะไรเลย เจ้าหูแว่วไปมากกว่ามั้งคาลี”
“ไม่ใช่”
คาลีตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ เขาเขม้นมองไปทางพุ่มไม้ที่ว่าอีกครั้ง ก่อนจะคว้าสายบังเหียนของเจ้าม้าหนึ่งในสองตัวที่ยึดมาได้ กระโดดขึ้นหลังมันแล้วควบทะยานออกไปเบื้องหน้า โดยไม่ลืมที่จะหันกลับมาตะโกนบอกเพื่อน
“เรย์ เร็วเข้า ข้าเห็นเงาคน” พอขาดคำ นายทหารร่างเล็กก็พุ่งปราดไปยังม้าตัวที่เหลืออยู่ทันที…
เสียงฝีเท้าม้าที่ดังไล่หลังมาติดๆ ทำให้เมลิอานาร์ต้องหันกลับไปมอง พอเห็นถนัดว่าคนบนหลังม้าเป็นชายฉกรรจ์จากกลุ่มที่ชุมนุมกันอยู่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน นางก็กระตุ้นเจ้าม้าดำให้เร่งความเร็วขึ้นอีก หญิงสาวพยายามนึกทบทวนเส้นทางที่เพิ่งผ่านมาเมื่อวันก่อน หากเปรียบเทียบกับภูมิประเทศแถบนี้ เงาทะมึนที่เห็นอยู่ทางด้านซ้ายมือน่าจะเป็นภูเขาอัลล์ ถ้ามุ่งหน้าต่อไปโดยยึดแนวเทือกเขาเป็นหลัก คงจะหาทางลัดเลาะกลับไปยังกรีนแลนด์ได้ไม่ยาก
แต่จะจัดการกับฝ่ายไล่ตามได้ยังไงนี่สิปัญหา...
หญิงสาวคิดหาทางออกอยู่ชั่วครู่ ก็ตัดสินใจหยุดม้ากระทันหันตรงทางโค้งที่มีแนวต้นไม้ขึ้นหนาทึบ พอจะอาศัยเป็นฉากกำบังตัวได้ชั่วคราว นางตวัดกายลงสู่พื้น หันไปช่วยพยุงเอลลงจากหลังม้า ใช้มีดสั้นกรีดปลายนิ้วชายหนุ่มให้โลหิตหยดลงบนอาน จากนั้นจึงกรีดปลายนิ้วตนเองปล่อยให้เลือดไหลผสมลงไป นางหลับตาเพื่อรวบรวมสมาธิ ร่ายคาถาเบาๆ ขณะลากนิ้วไปบนหยดเลือดวาดเป็นรูปสัญลักษณ์โบราณ เมื่อสิ้นเสียง เจ้าม้าหนุ่มก็สว่างเรืองขึ้นราวกับถูกโอบล้อมด้วยรัศมีสีเงินยวง เหนืออานอันว่างเปล่าปรากฏเงาร่างของคนสองคนนั่งซ้อนกันอยู่อย่างน่าอัศจรรย์!
เมลิอานาร์ตบสะโพกเจ้าสัตว์แสนรู้เต็มแรงเร่งให้มันห้อตะบึงไปข้างหน้า นางมีเวลาแค่วินาทีเดียวที่จะผลักชายหนุ่มข้างกายให้หมอบราบลงกับพื้นแล้วทิ้งร่างตามลงไปติดๆ ก่อนที่ทหารทาเนียร์ทั้งสองจะควบม้าผ่านหน้าไปแบบเฉียดฉิว หญิงสาวรอจนกระทั่งเสียงฝีเท้าม้าทั้งสามตัวเงียบหายไป จึงค่อยขยับลุกขึ้นยืน เพ่งสายตาฝ่าความมืดมองย้อนกลับไปตามถนน ครั้นแน่ใจว่าปลอดภัยดี ไม่มีใครตามมาอีก ก็หันไปช่วยประคองชายหนุ่มข้างกายให้ลุกขึ้น พยุงพาเขาก้าวเดินลึกเข้าไปในป่าอย่างทุลักทุเล โชคดีที่เอลยังพอมีสติหลงเหลืออยู่บ้าง หาไม่แล้วนางคงต้องใช้วิธี ‘ลาก’ เขาไป เพราะพ่อหนุ่มร่างยักษ์ตัวหนักเหลือเกิน
ทั้งคู่คลำทางไปข้างหน้าโดยอาศัยเพียงแสงจันทร์หรุบหรู่ส่องนำทาง เมลิอานาร์ไม่กล้าเสี่ยงใช้เวทมนตร์จุดไฟขึ้นมาเพราะเกรงว่าจะเป็นการบอกตำแหน่งของตนให้อีกฝ่ายรู้ ไม่นานนักนางก็พาเอลล่วงมาถึงบริเวณที่ราบเลียบริมน้ำ ด้านหนึ่งมีไม้ยืนต้นขึ้นอยู่ค่อนข้างบางตา อีกด้านเป็นลานดินเรียบโล่ง มีลำธารขนาดใหญ่ทอดขวางอยู่ กระแสน้ำเชี่ยวกรากในลำธารกระทบแสงจันทร์เป็นประกายสีเงินงดงาม ต้นหญ้าฉ่ำน้ำค้างระบัดใบครึ้มเป็นแนวยาวตลอดชายฝั่ง
เมลิอานาร์พยุงคนเจ็บให้นั่งพิงต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ ลำธาร นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจถอดชุดสาวใช้สกปรกมอมแมมออกจากร่างของเขา อดยิ้มไม่ได้เมื่อพบว่าเอลยังคงใส่เสื้อกางเกงตัวเดิมเอาไว้ข้างในครบชุด หญิงสาวปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่มีรอยขาดเป็นบางแห่งอย่างเบามือ นำเศษผ้าที่ฉีกจากชุดสาวใช้ไปชุบน้ำจากลำธารมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ชายหนุ่ม
สัมผัสเย็นๆ บนใบหน้าและแผงอกทำให้คนที่นั่งพิงต้นไม้หลับตานิ่งเริ่มรู้สึกตัว สติสัมปชัญญะที่เลื่อนลอยเพราะพิษไข้ค่อยกลับคืนมาอีกครั้ง หากบาดแผลอันเกิดจากคมธนูยังปวดแปลบ แขนซ้ายทั้งแขนหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยก้อนหิน พอชายหนุ่มทดลองขยับปลายนิ้ว ความเจ็บก็แล่นเป็นริ้วไปถึงปากแผลจนต้องส่งเสียงครางออกมาเบาๆ
“เป็นอะไรหรือเอล ข้ามือหนักไปหรือไง”
เพื่อนร่วมทางที่เขาชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าเป็นเพศเดียวกันชะงักมือ เงยหน้าขึ้นถาม ดวงตาสีน้ำเงินคู่ที่...สวยที่สุดในโลกละมั้ง...มีแววตระหนกฉายชัด
เอลอมยิ้มด้วยความเอ็นดู อยากจะเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มนวลที่มอมไปด้วยฝุ่นของคนตรงหน้าเล่น หากไม่กล้า ได้แต่เสมองไปทางอื่น ตอบงึมงำอยู่ในลำคอ
“ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่เพราะท่าน...ข้า..เอ่อ..ปวดแผลน่ะ”
“งั้นหันหลังมาให้ข้าดูหน่อย”
ชายหนุ่มทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย เขารู้สึกร้อนวูบที่ปากแผล จากนั้นก็เหมือนมีของเหลวอุ่นๆ ไหลริน ความรู้สึกเจ็บปวดจนยากจะบรรยายแผ่ซ่านไปทุกขุมขน ตามมาด้วยกลิ่นโลหิตคาวคลุ้งชวนคลื่นเหียน
เอลกัดฟันแน่น พยายามข่มเสียงร้องไม่ให้เล็ดลอดออกมา เหงื่อเม็ดโต ๆ ผุดพราวเต็มใบหน้า กล้ามเนื้อบนแผ่นหลังไหวระริกราวกับระลอกคลื่น
“อดทนอีกนิดนะ” เสียงนุ่มของคนข้างหลังกระซิบปลอบ
ชายหนุ่มรู้สึกถึงแรงกระตุกน้อยๆ ที่กระดูกสะบัก แล้วความร้อนจนสุดทนก็พุ่งทะลุผิวหนัง แผดเผากล้ามเนื้อบริเวณนั้นจนแทบจะหลอมละลายเข้าด้วยกัน เป็นเวลาอึดใจใหญ่ทีเดียวกว่าความแสบร้อนทรมานจะคลายลง
“เอาละ เรียบร้อย”
เมลิอานาร์ลงมือฉีกชายกระโปรงของตนเองออกเป็นริ้ว นำมาพันทับบนบาดแผลที่ไหล่ของชายหนุ่ม พร้อมกับอธิบายแกมสั่งว่า
“ข้าผ่าเอาหัวธนูที่คาอยู่ออกให้แล้ว อีกไม่ช้าเจ้าก็จะรู้สึกดีขึ้นเอง เจ้าเสียเลือดไปมากเอล นอนพักซะ หลังจากนี้เรายังต้องเดินกันอีกไกล”
เอลพยักหน้ารับ หลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อนโดยไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่ายอย่างเคย เขาได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังขึ้นแผ่วเบา ก่อนที่เสียงฝีเท้าหนักๆ จะย่ำห่างออกไป
เมื่อชายหนุ่มลืมตาขึ้นอีกครั้งปรากฏว่าบาดแผลตามเนื้อตัวได้รับการพอกสมุนไพร พันผ้าเอาไว้อย่างเรียบร้อย เขากวาดสายตามองไปรอบกายอย่างระแวดระวัง เห็นเงาร่างแบบบางของสหายหนุ่มชาวแลมพ์ตันเคลื่อนไหวง่วนอยู่ข้างกองไฟขนาดเล็กห่างออกไปไม่ไกลนัก กลิ่นควันไฟปนกับกลิ่นอะไรบางอย่างหอมๆ อวลอยู่ในอากาศ พอเขาขยับตัว เงาร่างนั้นก็หันขวับมาทันทีราวกับรออยู่แล้ว
“เอ้ากินซะ นี่ส่วนของเจ้า”
เมลเดินเข้ามายื่นกิ่งไม้ที่มีปลาตัวเล็กย่างจนเกรียมเกินพอดีส่งให้เขา
นี่เองที่มาของกลิ่นหอม...
เอลรับอาหารมื้อแรกของวันมาจัดการอย่างไม่เกี่ยงงอน ในขณะที่อีกฝ่ายหันไปดับกองไฟ เกลี่ยดินจนเรียบ หาเศษใบไม้กิ่งไม้มาโรยทับเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอย เมื่อปลาหมดตัว ‘หลักฐาน’ ก็ถูกทำลายเสร็จเรียบร้อยพร้อมสำหรับการออกเดินทาง
เมลิอานาร์ขยับเข้ามาช่วยพยุงชายหนุ่มให้ลุกขึ้นยืน พอเห็นสีหน้าขมวดมุ่นของเขา ก็อดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ตามเคย
“เป็นยังไงบ้าง ยังปวดแผลอยู่อีกหรือ?”
“อื้ม...ก็..นิดหน่อย...”
“เดินไหวหรือเปล่า ต้องให้ข้าช่วยมั้ย” เอลเกือบจะหลุดปากปฏิเสธออกไปอยู่แล้ว หากความคิดชั่วรายที่แว่บเข้ามาในสมองทำให้ชายหนุ่มเปลี่ยนใจ
“เอาสิ ก็ดีเหมือนกัน”
เขาตวัดท่อนแขนแข็งแรงพาดไปตามช่วงไหล่บอบบางของอีกฝ่ายในลักษณะของการโอบกอดมากกว่าจะอาศัยเป็นหลักพยุงกาย กว่าหนุ่มหล่อชาวแลมพ์ตันจะรู้ตัวว่าพลาดท่า ก็สายเกินกว่าจะคืนคำได้เสียแล้ว
หลังจากที่ทั้งสองออกเดินไปได้สักครู่ นกสีขาวตัวใหญ่ที่เกาะนิ่งจนแทบจะกลืนไปกับกิ่งไม้ข้างทางก็โผบินขึ้นบนฟ้า เฉียดศีรษะพวกเขาไปนิดเดียวก่อนจะหายลับไปกับความมืด เสียงร้องแหลมของมันสะท้อนก้องไปทั้งป่า...
เมลิอานาร์หยุดชะงัก เหลียวมองรอบกายด้วยสัญชาตญาณระวังภัย หมู่ไม้ในป่ายังคงยืนต้นตะหง่านแลเห็นเป็นเงาตะคุ่มอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ซีดจาง สายลมเย็นพัดมาผะแผ่ว สลับกับเสียงกรีดปีกระงมของแมลงกลางคืน แม้ทุกอย่างจะดูเหมือนปกติ หากหญิงสาวกลับสัมผัสได้ถึงความ ‘ไม่ปกติ’ ที่ซ่อนเร้นอยู่ในบรรยากาศโดยรอบอย่างประหลาด
“มีอะไรหรือ” เอลถาม
“ไม่รู้สิ แต่รีบเดินเข้าเถอะ ข้ารู้สึกสังหรณ์ไม่ดี”
“เป็นเพราะเจ้านกตัวนั้นหรือไง”
“ก็อาจจะใช่ ข้าไม่เคยเห็นอีกาสีขาวมาก่อน โดยเฉพาะในเวลากลางคืน”
เอลพยักหน้ารับรู้ เขาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นตามคำแนะนำของสหายโดยไม่ได้พูดอะไรอีก เกือบสองชั่วยามทั้งคู่จึงล่วงพ้นแนวป่าออกมาสู่ลานโล่งอีกด้าน เสียงธารน้ำที่กลายสภาพเป็นน้ำตกไหลลงสู่แก่งหินเบื้องล่าง บอกให้รู้ว่าบริเวณนี้น่าจะอยู่สูงกว่าพื้นดินไม่มากก็น้อย เมลิอานาร์ปลดแขนคนเจ็บออกจากบ่า เดินไปสำรวจเส้นทางด้วยสีหน้าขมวดมุ่น
สุดปลายลานคือชะง่อนผา เบื้องล่างเป็นแอ่งน้ำกว้าง ด้านหนึ่งชิดเชิงผาอีกด้านเชื่อมต่อกับกระแสอันเชี่ยวกรากของแม่น้ำใหญ่ เส้นธารคดเคี้ยวทอประกายเลื่อมระยับยามต้องแสงจันทร์ ทอดยาวไปสู่เงาครึ้มทะมึนของภูเขาอัลล์เบื้องหน้าราวกับสายริบบิ้นสีดำ หญิงสาวลองหยิบก้อนหินแถวนั้นขึ้นมา เสกให้มันลุกติดไฟด้วยคาถาบทสั้นๆ ก่อนจะทิ้งลงไปเพื่อคะเนความสูง ภาพที่เห็นเพียงแวบเดียวก่อนที่ชิ้นศิลาจะตกกระทบผิวน้ำคือแผ่นผาชันตัดตรงเกือบตั้งฉาก ไม่สูงมาก หากยากเกินกว่าจะพาคนเจ็บปีนลงไปไหว
“สงสัยเราต้องย้อนกลับทางเก่า” นางพูดยังไม่ทันขาดคำ อีกฝ่ายก็ตอบสวนกลับมา
“ข้าว่าคงไม่ทันแล้วละท่านเมล”
สิ้นเสียงห้าวๆ ธนูดอกหนึ่งก็พุ่งลงปักที่พื้น เฉียดเท้าคนทั้งคู่ไปนิดเดียว
หญิงสาวหันขวับไปมองด้วยความตระหนก ในขณะที่ฝ่ายชายขยับถอยหลังตาม สัญชาตญาณ สายตาคมดุจ้องเป๋งไปยังแนวไม้เบื้องหน้า
บริเวณชายป่าที่เคยมืดมิด บัดนี้ปรากฏแสงคบสว่างเรืองขึ้นเป็นแนวยาว ชายฉกรรจ์ในเครื่องแบบทหารไม่ต่ำกว่าสิบนาย ทยอยก้าวออกมาจากเงามืดทีละคนพร้อมด้วยอาวุธในมือ ม้าสองตัวทะยานออกมาจากกลุ่ม บุรุษบนหลังม้าง้างธนูเต็มล้าเตรียมเล็งเป้าหมาย เมลิอานาร์ชักมีดสั้น...อาวุธเดียวที่มี ขึ้นมาถือในท่าเตรียมพร้อม นางก้าวไปยืนบังคนเจ็บเอาไว้พลางกระซิบถาม
“เอล ถ้าต้องว่ายน้ำตอนนี้ เจ้าไหวหรือเปล่า”
“ก็...พอได้”
“งั้นก็ดีแล้ว”
พอขาดคำลูกธนูของอีกฝ่ายก็พุ่งตรงมาอีก หญิงสาวใช้มีดสั้นปัดออกไปได้หวุดหวิด นางหยุดชั่งใจอยู่เพียงเสี้ยววินาทีก็ร่ายคาถาด้วยสำเนียงประหลาดพร้อมกับตวัดคมมีดกรีดท่อนแขนตนเองเป็นแนวยาว
“เมล ท่านทำอะไรน่ะ!!”
เสียงเอลร้องถามอย่างตระหนก หากหญิงสาวไม่มีเวลาจะตอบ นางปล่อยให้โลหิตจากท่อนแขนไหลลงสู่พื้นดินขณะวาดมือเร็วๆ จนเกิดเป็นรูปสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ซ้อนกันสามวง ตรงกลางคืออักษรแทนพระนามของเทพผู้บัญชาไฟ เมื่อนางสะบัดข้อมือเป็นครั้งสุดท้าย เปลวเพลิงอันร้อนแรงก็ลุกท่วมผืนดินตรงหน้า กลายเป็นกำแพงสูงกั้นแบ่งเนินผาออกเป็นสองส่วน ทหารฝ่ายตรงข้ามที่พยายามจะรุกคืบเข้ามาถอยร่นกลับไปไม่เป็นขบวน ม้าทั้งสองตัวเริ่มออกอาการพยศเพราะตื่นไฟ
เมลิอานาร์ถือโอกาสที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังแตกตื่นชุลมุน รุนหลังชายหนุ่มข้างกายไปที่ริมผาพลางร้องสั่งด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“รีบโดดเร็วเข้า”
“หา!!”
“ไม่ต้อง ‘หา’ ข้าบอกให้โดดก็โดดเถอะน่า...”
“เอาจริงน่ะท่าน”
ขณะที่ชายหนุ่มยังลังเล อีกาสีขาวตัวเดิมก็โผล่ขึ้นเหนือเนินผา มันบินวนอยู่หลายรอบพลางส่งเสียงร้องแหลมเสียดแก้วหู และแล้วอาชาสีน้ำตาลตัวใหญ่ก็ทะยานพรวดข้ามกำแพงไฟเข้ามาหยุดอยู่ด้านหลังคนทั้งคู่ แรงสะเทือนบนพื้นดินที่เกิดขึ้นเรียกร้องให้เมลต้องหันกลับไปมอง หญิงสาวชะงักงันไปอย่างคาดไม่ถึงเมื่อเห็นใบหน้าของชายหนุ่มบนหลังม้า ยังไม่ทันที่นางจะได้อ้าปากร้องเตือนคนข้างกาย หอกซัดเงาวับจากมือของอีกฝ่ายก็พุ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว
“เอลระวัง!!”
หญิงสาวมีเวลาแค่โถมร่างเข้าผลักชายหนุ่มก่อนที่คมหอกของเจ้าชายดิเร็กซ์จะพุ่งทะลุร่างของเขาเท่านั้น แรงปะทะที่เกิดขึ้นส่งผลให้คนตัวโตกว่าเสียหลักร่วงละลิ่วลงสู่สายน้ำมืดมิดเบื้องล่าง พาให้ร่างของนางเซถลาตามติดลงไปเกือบจะพร้อมกัน
เจ้าชายแห่งทาเนียร์ทรงชักอาชาตามไปทอดพระเนตรจนชิดริมผา เปลวเพลิงที่ยังโชนแสงอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ช่วยให้มองเห็นหยดเลือดสีคล้ำบนแผ่นหินได้ไม่ยาก พระองค์คว้าคันธนูที่ห้อยอยู่กับอานม้า ยกลูกศรขึ้นพาดสายก่อนจะยิงลงไปสู่ความมืดมิดเบื้องล่างเพื่อให้แน่พระทัยว่า ‘เหยื่อ’ ทั้งสอง จะไม่มีวันรอดชีวิตไปได้ เมื่อลูกศรเกลี้ยงกระบอกเจ้าชายจึงขยับถอยออกมา รอยแย้มสรวลละมุนปรากฏขึ้นบนเรียวโอษฐ์ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงสำรวลกึกก้อง
หน้าที่ของพระองค์เสร็จสิ้นลงแล้วอย่างแน่แท้ จากนี้ก็แค่รอให้กองทัพของทาเนียร์และวูดแลนด์บุกเข้าไปบดขยี้กรีนแลนด์เท่านั้น!
เอลจ้องมองร่างบางที่ร่วงลิ่วลงมากระแทกผืนน้ำพร้อมกับหอกซัดของเจ้าชายดิเร็กซ์ด้วยอาการตาค้าง หากยังไม่ทันจะได้ตั้งตัว ชายหนุ่มก็ต้องรีบด่ำดิ่งลงไปใต้กระแสธารเพื่อหลบหลีกลูกธนูที่พุ่งลงมาราวห่าฝน เขากัดฟันแหวกว่ายสะเปะสะปะอยู่ในสายน้ำเย็นเฉียบโดยไม่รู้ทิศทาง ไหล่ข้างซ้ายปวดหนึบ ทำให้การพยุงตัวในน้ำเป็นไปอย่างทุลักทุเลเต็มทน ชายหนุ่มพยายามสอดส่ายสายตามองหาสหายชาวแลมพ์ตัน ไม่รู้ว่าหมอนั่นยังปลอดภัยดีอยู่หรือว่าต้องธนูของเจ้าชายดิเร็กซ์จมลงก้นธารไปเสียแล้ว
ระหว่างที่นึกเป็นห่วงอยู่นั้น นิ้วมือขาวซีดของใครคนหนึ่งก็เอื้อมมาสัมผัสที่ต้นแขน เอลเกือบสะบัดตัวหนีตามสัญชาตญาณ หากพอหันไปเห็นใบหน้าคุ้นตาของอีกฝ่าย ใจก็ชื้นขึ้นเป็นกอง แม้จะอดรู้สึกไม่ได้ว่าท่าว่ายน้ำของชายหนุ่มดูแปลกพิกล มือข้างขวากุมสีข้างอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่มือซ้ายยึดไหล่เขาแน่นเหมือนต้องการหลักพยุงกาย ทว่าเจ้าตัวยังสามารถสะบัดขาแหวกว่ายหลบหลีกลูกธนูจากเบื้องบนได้คล่องแคล่วราวกับปลา จนกระทั่งพาเขาเล็ดลอดออกมาพ้นเขตหน้าผาได้สำเร็จ
เมื่อแน่ใจว่าปลอดภัยจากระยะธนูและสายตาของฝ่ายตรงข้ามแล้ว หนุ่มหล่อชาวแลมพ์ตันก็ปล่อยมือจากเขา ถีบตัวลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ อ้าปากงับเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดอึกใหญ่ จากนั้นจึงร่ายเวทมนต์ด้วยสำเนียงแปลกหูอีกครั้ง คราวนี้เอลสามารถรับรู้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลของบรรยากาศรอบกายได้ชัดเจน สายลมพัดปั่นป่วนรุนแรง กระแสน้ำสั่นกระฉอก หากเพียงครู่เดียวทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมลหันมาส่งยิ้มเหนื่อยๆ ให้เขา พลางชี้มือไปยังเงาทะมึนที่ทอดรออยู่เบื้องหน้า
“ป่าวิเวก... เราต้องรีบไปให้ถึงที่นั่นก่อนที่มนตร์ลวงตาของข้าจะเสื่อม เร็วเข้าเถอะเอล”
พูดแล้วเจ้าตัวก็ออกว่ายน้ำนำไปก่อนโดยยึดเอาแนวเทือกเขาด้านซ้ายมือเป็นหลัก สายธารคดเคี้ยวหักอ้อมเชิงเขาพุ่งตรงเข้าสู่ผืนป่ากว้าง สองฟากฝั่งครึ้มทะมึนไปด้วยเงาของไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ กิ่งก้านอวบงามแผ่ปกคลุมลำน้ำทั้งสายราวกับเป็นหลังคาตามธรรมชาติ ไอหมอกเย็นชื้นลอยเรี่ยผิวน้ำคล้ายกลุ่มควันหนาทึบทำให้ยากจะมองเห็นเส้นทาง
หลังจากต้องแช่อยู่ในน้ำจนตัวแทบเปื่อย เอลก็มาถึงบริเวณที่ว่างลับตาคนจนได้ ผืนดินส่วนนั้นเว้าลึกเข้าไปเป็นแอ่ง ด้านหน้าถูกปกคลุมด้วยกอกกหนาทึบจนยากจะมองทะลุเข้าไปเห็นหาดหินเรียบโล่งด้านใน เมื่อเห็นว่าเมลที่เดินลุยน้ำขึ้นไปก่อนลงนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ริมตลิ่งอย่างเหนื่อยอ่อน คนตามหลังอย่างเขาจึงต้องรับหน้าที่รวบรวมกิ่งไม้แห้งและเตรียมที่พักแรมโดยปริยาย
กองไฟขนาดย่อมถูกจุดขึ้น ไม่นานนักกระแสอบอุ่นก็แผ่ซ่านออกมาขับไล่ความยะเยือกเย็นของอากาศต้นฤดูใบไม่ร่วงให้บรรเทาลง หากคนที่นั่งหลับตานิ่งอยู่แทบโคนไม้ใหญ่ยังมีอาการหนาวสะท้านจนฟันกระทบกันกึกๆ ยิ่งเวลาผ่านเลยไปอาการหนาวสั่นของเจ้าตัวก็ยิ่งทวีขึ้น จนคนที่หันมาเห็นอดทักไม่ได้
“หนาวมากหรือท่านเมล กระเถิบเข้ามานั่งใกล้ๆ กองไฟนี่สิ จะได้อุ่นขึ้น”
หนุ่มหล่อเจ้าของชื่อค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน บาดแผลที่สีข้างเจ็บระบมจนเจ้าตัวไม่อยากแม้แต่จะกระดิกปลายนิ้ว หากภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำเอาเมลิอานาร์แทบจะลืมความเจ็บปวดไปเลย
“เอล!! นั่นเจ้าจะทำอะไรน่ะ” เสียงถามแหลมปรี๊ดจนคนฟังแทบสะดุ้ง
เอลชะงักมือที่กำลังปลดเชือกผูกกางเกง เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำถามอย่างไม่เข้าใจ ร่างกายท่อนบนของชายหนุ่มเปลือยเปล่า เสื้อเชิ้ตเปียกโชกถูกถอดไปแขวนผึ่งอยู่บนกิ่งไม้ที่ปักไว้ข้างกองไฟเรียบร้อย ส่วนรองเท้าบู้ตทั้งสองข้างกลิ้งตะแคงอยู่ริมตลิ่งถัดออกไปไม่ไกล
“ก็จะถอดกางเกงน่ะสิ เปียกโชกออกอย่างนี้” ชายหนุ่มตอบเสียงเฉยอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด แล้วตั้งท่าจะทำตามที่พูดต่อไป
“เฮ้ยยย...” เมลิอานาร์รีบยกมือขึ้นปิดตาก่อนจะต้องเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นมากไปกว่านั้น “หยุดนะ ห้ามถอดเด็ดขาด”
“ทำไมล่ะ?” เอลขมวดคิ้วด้วยความงุนงง
“ไม่ต้องมาถาม ข้าบอกว่าห้ามถอดก็ห้ามถอด” “เอ๋..พิลึกจริงท่านนี่ ข้าจะถอดกางเกงไปผิงไฟให้แห้งก็มาห้าม เอ้า ไม่ถอดก็ได้ ว่าแต่ท่านเถอะ หนาวจนปากเขียวออกอย่างนั้นยังจะทนใส่เสื้อผ้าเปียกๆ อยู่อีกหรือ เดี๋ยวก็ได้จับไข้กันพอดี”
“ช่างข้า เจ้าไม่ต้องมายุ่ง ข้าไม่หนาว”
“ไม่หนาวอะไรกัน นั่งตัวสั่นเป็นลูกนกอยู่นี่ รีบๆ ถอดเสื้อออกมาผึ่งให้แห้งดีกว่า มา ข้าช่วย”
ไม่พูดเปล่าเจ้าตัวยังเดินตรงเข้าไปหาอีกฝ่ายเหมือนจะทำตามคำพูดจริงๆ เล่นเอาคนจะได้รับความช่วยเหลือกระถดตัวถอยหนีแทบไม่ทัน มือที่ปิดหน้าอยู่ลดลงมากอดอกแน่นพร้อมกับปฏิเสธเสียงเขียว
“ไม่ต้อง อย่ามายุ่งกับข้า เจ้าอยู่ตรงนั้นแหละ ห้ามเดินเข้ามา...” เสียงท้ายประโยคขาดหายไปเฉยๆ ร่างแบบบางงอลงเหมือนได้รับความเจ็บปวดสุดแสน
เอลเผ่นพรวดเดียวเข้าไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย เอ่ยถามอย่างร้อนใจ
“ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ มีน่าเล่าถึงว่ายน้ำด้วยท่าแปลกๆ ...ไหนให้ข้าดูสิ”
ชายหนุ่มยื่นมือออกไปข้างหน้า หากถูกปัดออกทันควัน
“ไม่ต้อง แผลแค่นี้ข้าจัดการเองได้ เจ้าไม่ต้องมายุ่ง”
“ไม่ยุ่งได้ยังไง ท่านบาดเจ็บก็เพราะพยายามจะช่วยข้า ...จริงสิ ท่านใช้เวทมนตร์ได้นี่นา ทำไมไม่รีบรักษาตัวเองเสียล่ะ”
เมลิอานาร์ส่ายหน้าพลางหลับตาลงอีกครั้งอย่างอ่อนแรง
“ไม่จำเป็น แค่แผลถากๆ เท่านั้น ใส่ยานิดหน่อยก็หาย”
อันที่จริง... นางไม่เหลือเรี่ยวแรงสำหรับร่ายคาถาอีกต่อไปแล้วต่างหาก
เอลเพิ่งสังเกตเห็นว่าใบหน้างดงามภายใต้กรอบผมเปียกลีบติดหนังศีรษะของคนตรงหน้าซีดเซียวจนแทบจะกลายเป็นสีขาว ยิ่งเลื่อนสายตาต่ำลงไปที่บาดแผลเขาก็ยิ่งรู้สึกใจคอไม่ดี รอยแผลถากๆ ที่เจ้าตัวว่า แท้จริงแล้วค่อนข้างลึกจนน่าเป็นห่วง โลหิตสีแดงเข้มยังคงไหลรินไม่หยุด เขาเคยได้ยินมาว่าการที่คนเราต้องเสียเลือดมากๆ จะทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว ยิ่งปล่อยเอาไว้นานก็ยิ่งมีโอกาสช็อกจนหมดสติสูง หรือที่แย่ไปกว่านั้นคือถึงขั้นเสียชีวิต
ไม่...เขาไม่มีวันยอม!
เมลจะตายไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็ต้องพาหมอนี่กลับไปลินเด็นด้วยกันให้ได้
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะห้ามเลือด ทำแผลให้ท่านเอง” ชายหนุ่มตัดสินใจ
“ไม่ต้องงงงง...”
หนุ่มหล่อชาวแลมพ์ตันรีบลืมตาขึ้นพร้อมกับปฏิเสธเสียงหลง ยกมือยันแผ่นอกของอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพราะไม่ต้องการเห็นร่างเปลือยครึ่งท่อนในระยะประชิด สมองที่เริ่มจะเหนื่อยล้าจากการใช้คาถายากๆ ติดต่อกันหลายบทเร่งคิดหาทางออก
“เอ่อ...เอาอย่างนี้ ระหว่างที่ข้าห้ามเลือดเจ้าก็ไปหาสมุนไพรมาดีกว่า เรื่องทำแผลเดี๋ยวข้าจัดการเอง”
“ก็ได้ แล้วสมุนไพรที่ท่านต้องการหน้าตามันเป็นยังไงล่ะ”
เมลิอานาร์อธิบายลักษณะของสมุนไพรให้ชายหนุ่มฟังคร่าวๆ เอลพยักหน้ารับรู้ แล้วลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในในดงไม้ทันที ผืนดินในป่าแถบนี้ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ เพียงเดินไปไม่ไกลชายหนุ่มก็พบกอหญ้าที่มีพืชล้มลุกขึ้นแซมอยู่ประปราย เขาใช้เวลาก้มๆ เงยๆ ค้นหาอยู่ไม่นานก็รวบรวมสมุนไพรที่มีใบกลมหยักเป็นแฉก กลิ่นฉุนจัด มาได้กำใหญ่ ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าเดินย้อนกลับมายังลานดินริมลำน้ำด้วยความเป็นห่วงคนได้รับบาดเจ็บ
เมื่อมาถึงปรากฏว่าเมลหลับไปเสียแล้ว เอลค่อยๆ ย่องเข้าไปดูแหวกดูบาดแผลของสหายหนุ่ม พบว่าฝ่ายนั้นห้ามเลือดได้สำเร็จก็รู้สึกเบาใจขึ้นมาก เขายังไม่อยากปลุกอีกฝ่ายจึงเดินเลี่ยงไปจัดการกับสมุนไพรที่ได้มาอยู่เงียบๆ ข้างลำธาร พอเสร็จเรียบร้อยก็ขยับเข้าไปนั่งลงใกล้คนเจ็บพลางกระซิบเรียกชื่อ หากดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รู้สึกตัว เอลใจหายวาบ รีบใช้นิ้วมือรอที่ใต้จมูกของฝ่ายนั้น ลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดแผ่วเบาบนปลายนิ้วทำให้ชายหนุ่มใจชื้นขึ้น หากพอเอื้อมมือไปสัมผัสที่ต้นแขนเล็กบางเขาก็แทบสะดุ้ง
เมลตัวร้อนราวกับไฟ!
“เจ้าคนดื้อเอ๋ย... ข้าบอกแล้วว่าเสื้อผ้าเปียกๆ จะทำให้เจ้าเป็นไข้ แล้วทีนี้เป็นไงล่ะ เดือดร้อนข้าอีก”
เอลบ่นอย่างหงุดหงิด หากก็ยอมช้อนร่างสั่นสะท้านของหนุ่มหล่อชาวแลมพ์ตันมาวางให้นอนราบลงข้างกองไฟ เขายืนหันรีหันขวางเหมือนทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจคว้าเสื้อเชิ้ตที่เกือบจะแห้งสนิทดีแล้วของตนมาฉีกส่วนแขนออก นำไปชุบน้ำที่ลำธารแล้วเอามาวางแปะไว้บนหน้าผากคนเป็นไข้ จากนั้นจึงลงมือปลดกระดุมชุดสาวใช้เปียกโชกของสหายหนุ่มออกทีละเม็ด
ทันทีที่ตัวเสื้อท่อนบนเลื่อนหลุดจากไหล่บอบบาง หัวใจของเอลก็เหมือนจะหยุดเต้นตามไปด้วย ภาพที่ปรากฏชัดแก่สายตาทำให้ชายหนุ่มถึงกับใบหน้าร้อนซู่ รู้สึกขัดเขินกระอักกระอ่วนจนทำอะไรไม่ถูกไปพักใหญ่ ...ปริศนาเกี่ยวกับเพศของสหายชาวแลมพ์ตัน ได้รับคำตอบชัดเจนแบบไม่มีข้อกังขาใดๆ อีกแล้ว!
เอลพยายามเรียกสติและความเป็นตัวของตัวเองกลับคืนมา เขาลงมือเช็ดทำความสะอาดบาดแผลให้อีกฝ่ายอย่างเงอะงะ โปะยาสมุนไพรที่บดเตรียมไว้ตามลงไป พันทับด้วยเศษผ้าที่ได้มาจากแขนเสื้อเชิ้ตอีกข้าง ก่อนจะรีบทบชายเสื้อของคนเจ็บกลับคืนเข้าหากัน โดยไม่ลืมที่จะยัดกล่องไม้แบนบางที่ถูกซ่อนไว้ในอกเสื้อใส่ลงไปที่เดิมด้วย หลังจากกลัดกระดุมครบเรียบร้อยเขาก็ถอยหลังกรูดออกไปนั่งพิงต้นไม้ มองดูเจ้าของร่างบางที่ยังคงนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่ห่างๆ ด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปนเปกันยุ่งเหยิงจนแยกไม่ออก...
แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 54 06:28:10
จากคุณ |
:
akihiro
|
เขียนเมื่อ |
:
4 ต.ค. 54 06:27:50
|
|
|
|