Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลำนำรักใต้แสงจันทร์ ตอนที่ 19 ติดต่อทีมงาน

ตอนที่ 18 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11119588/W11119588.html

======================================================

       เอลกระพริบตาถี่ๆ ยกมือขึ้นลูบใบหน้าเพื่อขับไล่อาการง่วงงุน

       ...นี่เขาเผลอหลับไปนานเท่าใดกันนะ?

       ชายหนุ่มค่อยๆ ยันกายลุกขึ้น รู้สึกเมื่อยขบไปหมดทั้งร่างเพราะนั่งอยู่ในท่าเดิมนานไปหน่อย บัดนี้แสงสว่างอันน้อยนิดที่เคยส่องลอดลงมาทางช่องลมเหนือศีรษะเลือนหายไปสิ้นแล้ว รอบกายจึงมีแต่เงาตะคุ่มของไม้ฟืน ทว่าไร้วี่แววของเจ้าคนที่บอกว่าจะออกไปขโมยยาถอนพิษ

       เอลชักจะเริ่มเป็นห่วง ไม่ว่าจะพยายามคิดในแง่ดีขนาดไหน เขาก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเมลใช้เวลาในการค้นหายาถอนพิษนานเกินไปเสียแล้ว วิหารรีอาไม่ได้กว้างใหญ่ถึงขนาดต้องเดินกันเป็นวันจึงจะทั่ว ต่อให้หลงทางยังไงเมลก็น่าจะกลับมาที่นี่ได้ไม่ยาก แล้วทำไมเย็นจนค่ำป่านนี้หมอนั่นถึงยังไม่กลับมา

       หรือว่า...สหายคนเก่งของเขาพลาดท่าถูกคนในวิหารจับได้เสียแล้ว

      เอลสะบัดศีรษะไล่ความคิดอันไม่เป็นมงคลนั้นออกไปจากสมอง หากมันกลับยิ่งทำให้เขารู้สึกระวนกระวายใจจนอดทนเป็นฝ่ายนั่งรออยู่เฉยๆ ต่อไปไม่ไหว

       “ให้ตายเถอะ...เจ้าบ้านั่น”

       ชายหนุ่มสบถพึมพำอย่างหัวเสียขณะคว้าชุดกระโปรงลายดอกขึ้นมาสวมทับชุดที่ใส่อยู่อย่างทุลักทุเล...คอยดูเถอะ ถ้ากลับไปถึงกรีนแลนด์ได้เมื่อไหร่ เขาจะต้องเอาคืนจากหมอนั่นให้สาสม สักสิบเท่า...ไม่สิ..ยี่สิบเท่าเป็นอย่างน้อย

       เอลเดินคลำทางในความมืดไปเรื่อยๆ จนพบกับประตูห้องเก็บฟืน จึงออกแรงผลักบานไม้หนาหนักนั้นเบาๆ พอให้เกิดเป็นช่องว่างขนาดมองลอดออกไปเห็นสภาพภายนอกได้ ดูเหมือนว่าดวงอาทิตย์จะลับเหลี่ยมเขาไปได้ครู่ใหญ่แล้ว ท้องฟ้าเบื้องบนจึงกลายสภาพเป็นดั่งผืนกำมะหยี่สีดำสนิท มีเกล็ดสีเงินแวววาวของดาวดวงน้อยกระจายเกลื่อน เอลทอดสายตาผ่านลานซักล้างอันว่างเปล่าไปยังห้องครัวชั้นเดียวใกล้บ่อน้ำ แสงสีเหลืองอ่อนละมุนตาที่ทอลอดออกมาจากบานหน้าต่าง รวมทั้งควันไฟจางๆ เหนือหลังคาบอกให้รู้ว่ามีคนอยู่ในนั้น กลิ่นอาหารค่ำหอมกรุ่นลอยมากับสายลม กระตุ้นเตือนให้ชายหนุ่มนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เช้า แต่ความกังวลใจขณะนี้มีมากเกินกว่าความรู้สึกอยากอาหารทั้งปวง

       เอลกวาดสายตามองจนแน่ใจแล้วว่าปลอดภัยดีจึงค่อยๆ ย่างเท้าออกสู่ลานกว้างภายนอก สายลมเย็นฉ่ำที่พัดมาต้องผิวกายไม่อาจช่วยบรรเทาความร้อนรุ่มในอกให้เบาบางลงได้ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าห้องปรุงยาของวิหารรีอาอยู่ทางไหน ซ้ำยังไม่ได้มองเสียด้วยว่าตอนแยกจากกันเมลเลือกเดินไปยังทิศทางใด เขาจึงตัดสินใจเดินอ้อมไปทางด้านหลังห้องเก็บฟืน แฝงกายลัดเลาะไปตามเงามืดอันเกิดจากพรรณไม้หลากชนิดข้างทาง

       เมื่อเดินมาได้ครู่ใหญ่เอลก็เห็นแสงไฟวับแวมปรากฎอยู่หลังดงไม้เบื้องหน้า จึงมุ่งตรงไปยังทิศทางนั้นโดยชะลอฝีเท้าให้ช้าลงและเพิ่มความระมัดระวังตัวให้มากขึ้น ยิ่งใกล้เข้าไป เขาก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล มีเสียงพึมพำคล้ายคนคุยกันดังแทรกมากับสายลมเป็นระยะ ชายหนุ่มพยายามเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ เสียงแรกนั้นคงเป็นของใครคนใดคนหนึ่งในวิหาร หากอีกเสียงนี่สิ... ไม่ว่าจะฟังยังไงก็เป็นเสียงแหบห้าวของผู้ชายชัดๆ

       เอลใช้มือแหวกกิ่งไม้เป็นช่องแล้วมองลอดออกไป ท่ามกลางแสงคบสีเหลืองนวล เขาเห็นคอกสำหรับพักม้าซึ่งสร้างอย่างง่ายๆ ด้วยการนำไม้มาต่อกันเข้าเป็นโครงสี่เหลี่ยม ใช้ฟางแห้งมุงแทนหลังคา ด้านหน้ามีรางสำหรับใส่หญ้าและน้ำ ในคอกมีม้าผูกอยู่เพียงสองตัว ตัวหนึ่งสีน้ำตาลท่าทางตื่นๆ อีกตัวหนึ่งเป็นม้าหนุ่มพันธุ์ดีสีดำ มีรอยแต้มเรียวเล็กสีขาวกลางหน้าผากแทบสังเกตไม่เห็น รูปร่างของมันสวยงามสมส่วน กล้ามเนื้อสมบูรณ์แข็งแรง ขนเป็นมันปลาบแสดงว่าได้รับการดูแลจากเจ้าของอย่างสม่ำเสมอ ถัดจากเจ้าม้าตัวงามไปไม่เท่าไหร่คือร่างของนักบวชหญิง และชายในเครื่องแบบสีแดงมีสัญลักษณ์รูปดาวสีทองประดับเด่นอยู่กลางอก

       เครื่องแบบของทหารทาเนียร์!

       ชักจะไม่เข้าทีเสียแล้ว เขาต้องรีบหาตัวเมลให้เจอเพื่อบอกเรื่องนี้ให้รู้โดยด่วน

       ชายหนุ่มถอยห่างจากบริเวณนั้นอย่างเงียบเชียบ เดินเลี่ยงไปอีกทางจนกระทั่งทะลุผ่านดงไม้ออกมาสู่ลานโล่งหน้าอาคารหลังหนึ่งที่หน้าต่างด้านข้างเปิดอ้าอยู่ เขาเดินโฉบเข้าไปใกล้แล้วลอบมองเข้าไปภายใน

       นี่คือห้องปรุงยาไม่ผิดแน่...ชายหนุ่มรู้ได้เพราะเห็นเด็กสาวที่อยู่ในนั้นกำลังง่วนอยู่กับการคนของเหลวในหม้อทองเหลืองใบน้อยอย่างตั้งอกตั้งใจ รอบกายนางมีสมุนไพรตากแห้งหลายชนิดวางอยู่ เขาพยายามกวาดตามองจนทั่วห้อง แต่ก็ไม่เห็นเจ้าคนที่อาสามาขโมยยาถอนพิษแม้แต่เงา ไม่รู้ว่าหมอนั่นหายหัวไปอยู่เสียที่ไหน

       ชายหนุ่มคิดพลางหันหลังเตรียมย่องออกจากพื้นที่ หากเท้าเจ้ากรรมดันพลาดไปเหยียบกิ่งไม้แห้งที่ตกอยู่แถวนั้นเข้าเสียก่อน เสียงกิ่งไม้หักเป๊าะดังก้องขึ้นในความเงียบ เรียกความสนใจของคนในห้องให้หันมองมาทันที

       “ใครอยู่ตรงนั้น”

       เอลไม่รอให้เด็กสาวที่ลุกขึ้นเดินมาชะโงกดูตรงหน้าต่างมองเห็นตัวเขา หากแต่เผ่นพรวดเดียวไปหลบอยู่ในเงามืดของอาคารหลังใหญ่ฝั่งตรงข้าม แล้วยืนนิ่งไม่กล้าขยับกายอยู่พักใหญ่จนแน่ใจว่าปลอดภัยจึงตั้งท่าจะออกเดินต่อ ทว่าในจังหวะเดียวกันนั้นเอง ชายหนุ่มก็บังเอิญเหลือบตามองผ่านรอยแง้มของประตูด้านหลังอาคารเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ภาพที่เห็นทำให้โลหิตในกายของเขาแทบจะจับตัวเป็นก้อนน้ำแข็งขึ้นมาทีเดียว...



       ระหว่างที่คนทั้งห้องกำลังจับตาดูการต่อสู้ของเจ้าชายแห่งทาเนียร์และหัวขโมยสาวด้วยหัวใจเต้นระทึก  ประตูด้านหลังห้องก็ถูกถีบให้เปิดผางออก อาชาทรงตัวงามของเจ้าชายดิเร็กซ์เผ่นโผนข้ามขอบระเบียงเข้ามาหยุดยืนอยู่กลางห้อง ท่ามกลางเสียงหวีดร้องด้วยความตื่นตระหนกของเหล่านักบวชและสาวใช้ประจำวิหาร

       เสียงเอะอะอึกทึกที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้เจ้าชายดิเร็กซ์ทรงเสียสมาธิ พระองค์จำต้องละความสนพระทัยจากคู่ต่อสู้ชั่วคราวเพื่อเหลียวไปทอดพระเนตรตามสัญชาตญาณ แล้วก็ต้องชะงักงันไปอย่างคาดไม่ถึงเมื่อเห็นใบหน้าของคนบนหลังม้า

       เมลิอานาร์ถือโอกาสที่เจ้าชายดิเร็กซ์มัวแต่เผลอไผลไม่ทันระวังพระองค์ ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่ยังเหลือผลักพระแสงดาบออกจนพ้นลำคอ ตวัดคมมีดฝากรอยแผลเอาไว้ที่ท่อนพระกรเป็นแนวยาว ก่อนจะพลิ้วร่างออกจากจุดเสียเปรียบ พุ่งตรงไปยังที่ว่างกลางห้อง ในจังหวะเดียวกับที่เจ้าม้าสีดำควบขับเข้ามาใกล้พอดี กว่านางจะรู้ตัว ร่างทั้งร่างก็ถูกยกลอยขึ้นไปนั่งพิงแผงอกอุ่นของคนที่อยู่บนหลังม้าเรียบร้อยแล้ว

       หญิงสาวพยายามดิ้นหนีสุดชีวิต หากท่อนแขนแข็งแรงของคนที่นั่งกุมบังเหียนอยู่ด้านหลังกลับรั้งเอวบางเอาไว้มั่น

       “ชู่ว์ อยู่นิ่งๆ สิ นี่ข้าเอง” เสียงห้วนห้าวคุ้นหูกระซิบดุ

       “เอล!”

       หญิงสาวอุทานพลางเหลียวหลังไปมองด้วยความประหลาดใจ

        “เจ้าไปเอาม้ามาจากไหน แล้วรู้ได้ยังไงว่าข้าอยู่ที่นี่”

       “เอาเถอะน่า อย่าเพิ่งซักอะไรตอนนี้เลย เรื่องมันยาว...”

       เอลตัดบทด้วยการกระแทกสีข้างม้าให้เผ่นโผนผ่านประตูโค้งด้านหน้าออกไปสู่ทางเดินภายนอกทันที

       เจ้าชายดิเร็กซ์ตั้งพระสติได้ก็ทรงกระโจนข้ามระเบียงหลังลงไปยังพื้นดินด้านล่าง หวังจะวิ่งไปสกัดคนทั้งสองจากอีกทาง บาดแผลที่เพิ่งได้รับปวดแปลบ โลหิตไหลซึมจนชุ่มแขนเสื้อก่อความรำคาญให้ไม่น้อย หากพระองค์จะสนพระทัยก็หาไม่

       “ทหาร ผูกม้าของข้าถวายเจ้าชาย เร็ว...”

       เสียงท่านนักบวชชราที่ออกวิ่งงกเงิ่นตามหลังนายหนุ่มมาติดๆ ร้องสั่งทหารรับใช้อยู่โหวกเหวก ทว่าคนที่มีหน้าที่ดูแลม้ากลับวิ่งหน้าตาตื่น หิ้วเครื่องอานร่องแร่งเข้ามารายงานว่า

        “เจ้าน้ำตาลถูกใครก็ไม่ทราบปล่อยไปแล้วขอรับ มันเตลิดหนีเข้าไปในป่าละเมาะด้านหลังโน่น ข้าวิ่งตามจนเหนื่อยแต่ก็ไม่ทัน”

      “ต้องเป็นเจ้าคนที่ขโมยม้าทรงขององค์ชายแน่” ชายชรากัดฟันกรอด เจ็บใจที่รู้ว่าพวกตนพลาดท่าเสียทีให้อีกฝ่ายจนได้

       “ช่างเถอะ...” เขาพยายามข่มใจขณะหันไปสั่งทหารหนุ่ม

       “เจ้ารีบตามเสด็จเจ้าชายไปเร็วๆ เข้า”

       ทหารรับใช้รับคำด้วยท่าทางตื่นๆ ก่อนจะออกวิ่งตรงไปตามทิศทางที่ท่านนักบวชอาวุโสชี้บอก จนมาทันกับผู้เป็นนายที่ถนนดินด้านนอก

       เจ้าชายดิเร็กซ์ประทับยืนกำพระหัตถ์แน่น ทอดพระเนตรตามหลังเจ้าม้าสีดำที่กำลังควบเข้าสู่เส้นทางลงเขาด้วยดวงเนตรวาวโรจน์ พอพระองค์เหลียวมาเห็นทหาร ก็ออกคำสั่งทันที

       “ธนู...เร็วเข้า ไปเอาธนูมาให้ข้า”

       “พะย่ะค่ะ”

      นายทหารหนุ่มรับคำแล้ววิ่งย้อนเข้าไปในวิหารรีอาอีกครั้ง เขาหายไปเพียงอึดใจเดียวก็กลับมาพร้อมด้วยธนูไม้คันเล็กบางแกะสลักเป็นลวดลายอ่อนช้อยเข้าชุดกับกระบอกศร ดูแล้วเหมือนของประดับมากกว่าจะเป็นอาวุธที่ใช้งานได้จริง

       เจ้าชายดิเร็กซ์ทรงหันไปกระชากคันธนูมาจากมือของทหารรับใช้อย่างพระทัยร้อน พระองค์เขม้นมองไปเบื้องหน้า ร่างของเจ้าม้าสีดำดูราวกับจะกลืนหายไปในความมืดได้อย่างประหลาด คะเนจากระยะทางแล้วโอกาสของพระองค์คงจะมีไม่มากนัก...หากก็คุ้มที่จะเสี่ยง

       เจ้าชายทรงคว้าลูกศรขึ้นพาดสาย น้าวเหนี่ยวเต็มล้าก่อนจะปล่อยพระหัตถ์ เสียงลูกธนูเสียดอากาศดังหวีดหวิวขณะพุ่งเข้าสู่เป้าหมาย ดอกแรกพลาดไปนิดเดียว หากดอกที่สองเสียบฝังเข้าที่ไหล่ของชายหนุ่มบนหลังม้าอย่างจัง


       เอลสะดุ้งเฮือก หากยังกัดฟันกุมบังเหียนไว้มั่นไม่ยอมปล่อย จนกระทั่งพ้นจากระยะธนูของเจ้าชายดิเร็กซ์แล้วนั่นแหละ ชายหนุ่มจึงคลายมือที่กุมบังเหียนเปลี่ยนเป็นกำไว้หลวมๆ ผ่อนฝีเท้าม้าให้ช้าลงจนแทบจะกลายเป็นย่างเหยาะตามสบาย ช่วงไหล่ซีกซ้ายปวดหนึบ ปากแผลเต้นตุบๆ ราวกับมีหัวใจอีกดวงเพิ่มขึ้นที่ตรงนั้น ยิ่งเวลาผ่านไปความเจ็บปวดก็ยิ่งทวีขึ้น ซ้ำยังลุกลามเรื่อยไปยังท่อนแขนและสีข้างจนชายหนุ่มไม่อาจฝืนทรงกายให้ตั้งตรงต่อไปได้  

       เขาค่อยเอนร่างทิ้งน้ำหนักลงพิงไหล่คนข้างหน้าทีละน้อย เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพราวทั้งใบหน้า ชายหนุ่มพยายามอย่างยิ่งที่จะเหนี่ยวรั้งสติสัมปชัญญะเอาไว้ไม่ให้วูบดับ แต่มันช่างยากเย็นเหลือเกิน

       เมลิอานาร์รู้สึกแปลกใจไม่น้อย เมื่อพบว่าเจ้าม้าที่ห้อเต็มเหยียดราวกับพายุเกิดชะลอฝีเท้าลงเสียเฉยๆ แถมคนบังคับม้ายังแกล้งโน้มร่างเข้ามาจนชิดแผ่นหลังของนางเสียอีก ก็รู้อยู่หรอกว่าเนื้อที่บนหลังม้ามันจำกัด แค่ผู้ชายตัวโตอย่างเอลนั่งมาคนเดียวก็เต็มกลืนแล้ว นี่ยังพ่วงเอาผู้หญิงตัวไม่เล็กนักอย่างนางเข้ามาอีก การกระทบกระทั่งถูกตัวกันย่อมต้องมีเป็นธรรมดา แต่นี่มัน... ออกจะแนบชิดกันเกินไปหน่อยแล้วไม่ใช่หรือ

       หญิงสาวง้างศอกยันร่างของคนข้างหลังเบาๆ เพื่อเป็นการเตือนให้เขารู้ตัว หากเอลทำเสมือนไม่รู้ ซ้ำยังโถมน้ำหนักลงมาบนร่างของนางมากยิ่งขึ้น เรียกว่าแทบจะพิงลงมาทั้งตัวเลยก็ว่าได้ หญิงสาวชักยัวะ นางเหลียวกลับไปมองชายหนุ่มตาขุ่น เตรียมโวยเต็มที่ ทว่าภาพที่เห็นทำให้คำพูดดุเดือดชะงักค้างอยู่แค่ปลายลิ้น

        แสงจากจันทร์เสี้ยวที่ทอลอดใบไม้เหนือศีรษะลงมา ส่องให้เห็นใบหน้าซีดเผือดของคนข้างหลังชัดเจน บริเวณไรผมและขมับของเขามีเม็ดเหงื่อเกาะพราว หัวคิ้วเข้มหนาขมวดย่นเข้าหากัน ดวงตาปิดสนิท กรามขบกันจนเป็นสันนูน ท่าทางของชายหนุ่มเหมือนกำลังพยายามข่มความเจ็บปวดอยู่อย่างสุดความสามารถ

        “เอล เจ้าเป็นอะไร...”

       น้ำเสียงตกใจที่ดังขึ้น ทำให้ชายหนุ่มเจ้าของชื่อปรือตาขึ้นมอง เขายิ้มเนือยๆ ออกมานิดหนึ่ง ก่อนจะนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดดังเดิม เสียงห้าวแหบโหยตอบคำถามแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน

       “ข้า...ต้องธนู...ของเจ้า..ชาย...ดิเร็กซ์”

       เมลิอานาร์ใจหายวาบ รีบมองสำรวจร่างกายของสหายหนุ่มอย่างร้อนรน นอกจากลูกธนูหักครึ่งที่ปักคาอยู่ตรงสะบักของเขาแล้ว ตามหลัง ไหล่ และท่อนแขนของชายหนุ่มยังมีบาดแผลอันเกิดจากคมธนูที่พลาดจากเป้าหมายอีกหลายแห่ง ในขณะที่นางไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเพราะได้คนตัวโตช่วยบังเอาไว้ให้ ...ถ้าเอลไม่ขี่ม้าเข้ามาช่วยนาง เขาก็คงไม่ต้องบาดเจ็บถึงขนาดนี้

        หญิงสาวเอื้อมมือไปสัมผัสรอยแผลที่ต้นแขนของชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา ความรู้สึกอ่อนโยนในหัวใจทำให้นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเป็นครั้งแรก

       “ไหวหรือเปล่าเอล ข้าว่าเราหยุดพักกันก่อนดีกว่า จะได้ดูแผลให้เจ้าด้วย”

       “ไม่..” คนเจ็บตอบเสียงเฉียบขาด สูดหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้งเพื่อข่มความเจ็บปวด ก่อนจะแข็งใจกล่าวต่อ

       “หยุดไม่ได้...อัน..ต..รายเกินไป... พวกของ...เจ้าชายดิเร็กซ์อาจจะ...ตามมา ..เรา...ต้อง..รีบไป...”

       “แต่เจ้าบาดเจ็บ”

       “ไม่เป็นไร ข้า...ยังไหว..รีบ...รีบไป...”

       เมลิอานาร์เหลียวหน้าเหลียวหลังละล้าละลัง ใจหนึ่งก็เป็นห่วงอาการของเอล หากอีกใจก็เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด แถวนี้ยังอยู่ใกล้เขตวิหาร อีกไม่ช้าพวกนักบวชคงระดมกำลังกันออกตามล่าตัวนาง หญิงสาวไม่เชื่อว่าพวกนักบวชจะปล่อยให้คนที่ลอบเข้าไปขโมยยาถอนพิษถึงในวิหารหนีรอดไปได้ง่ายๆ โดยเฉพาะถ้าพวกนางเกิดรู้ว่าคนผู้นั้นได้ตำราปรุงยาเล่มสำคัญไปด้วย

       นางลอบชำเลืองสังเกตลักษณะบาดแผลของชายหนุ่มอีกครั้ง...ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ธนูคงไม่ได้อาบยาพิษ ถ้าเช่นนั้นก็พอจะคลายใจได้ว่าเอลคงไม่เป็นอะไรมาก หากนางรีบควบม้ากลับลงไปที่หมู่บ้านให้เร็วที่สุด ก็คงพอจะหาหมอแถวนั้นช่วยผ่าเอาหัวธนูออกจากร่างของเขาได้

      “เอาละ” หญิงสาวตัดสินใจเด็ดขาด “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อดทนหน่อยแล้วกัน ข้าจะบังคับม้าให้เอง”

      เมลิอานาร์ขยับท่านั่งให้มั่นคงยิ่งขึ้น มือข้างหนึ่งกุมบังเหียนกระชับ อีกข้างพันล็อกเข้ากับแขนของคนเจ็บกันเขาพลาดตกลงไปหากหมดสติ จากนั้นจึงกระตุ้นสีข้างม้าเต็มแรง

       เจ้าม้าสีดำส่งเสียงร้องรับอย่างคึกคะนองก่อนจะโผนทะยานไปเบื้องหน้า ม้าทรงของเจ้าชายดิเร็กซ์ตัวนี้นับว่าฝีเท้าจัดเอาเรื่องทีเดียว ขนาดต้องแบกรับน้ำหนักของคนสองคนไว้บนหลัง มันยังวิ่งได้เร็วราวกับพายุ โชคดีที่เอลเลือกขโมยม้าได้ถูกตัว หาไม่แล้วทั้งเขาและนางคงไม่มีทางรอดพ้นจากเงื้อมหัตถ์ของเจ้าชายพระองค์นั้นเป็นแน่

       ไม่นานนักเจ้าม้าหนุ่มก็พาคนทั้งคู่ลงมาถึงป่าโปร่งเชิงเขา เมลิอานาร์ใจชื้นขึ้นเมื่อมองเห็นแสงสว่างวับแวมอยู่หลังเงาตะคุ่มของดงไม้ หมู่บ้านคงอยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้ว หญิงสาวควบม้าฝุ่นตลบมุ่งหน้าไปตามถนนดินโดยไม่คิดจะชะลอความเร็วลงแม้แต่น้อย ระยะทางยิ่งหดสั้นเข้า นางก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง...แสงสว่างที่เห็น เคลื่อนที่ไปมาสับสน กลิ่นน้ำมันดินจางๆ ลอยปนมาในอากาศ บอกให้รู้ว่านั่นเป็นแสงจากคบไฟ หาใช่แสงจากตะเกียงตามบ้านเรือนไม่

       หญิงสาวรั้งบังเหียนสุดแรง เจ้าม้าหนุ่มชูขาหน้าขึ้นตะกุยอากาศพร้อมกับส่งเสียงร้องก้องก่อนจะหยุดนิ่ง นางยืนม้าหลบอยู่ในเงาไม้ เขม้นมองไปยังทิศที่ตั้งของปากทางเข้าหมู่บ้าน

       ภาพที่เห็นคือชายฉกรรจ์จำนวนไม่ต่ำกว่าสิบคนยืนถือคบไฟชุมนุมกันอยู่ มีชายร่างยักษ์ท่าทางเป็นหัวหน้าชี้นิ้วออกคำสั่งอยู่ข้างๆ ชายร่างเล็กหน้าเสี้ยมแหลม หญิงสาวจำได้ว่าทั้งสองคนเป็นทหารของเจ้าชายดิเร็กซ์ที่เคยซ้อมเจ้าซิสจนปางตาย นอกจากคนทั้งกลุ่มแล้ว ยังมีม้าหน้าตาคุ้นๆ ยืนสะบัดหัวพ่นลมหายใจฟืดฟาดอยู่อีกสองตัว แม้จะเห็นในระยะห่าง หากเมลก็แน่ใจว่าตาไม่ฝาด...เจ้าสัตว์สองตัวนั้นคืออดีตพาหนะของนางและเอลนั่นเอง!

       ท่าจะไม่ใช่เรื่องดีเสียแล้ว...

       หญิงสาวค่อยๆ รั้งบังเหียนบังคับเจ้าม้าหนุ่มให้หันหลังกลับไปยังทิศทางตรงกันข้าม แล้วควบจากไปเงียบๆ

จากคุณ : akihiro
เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 54 06:12:32




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com