Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เซ็นซู ภาค จอมอสูรจากหิมาลัย บทที่ 2 เสียงเพลงแห่งฤดูใบไม้ผลิ ติดต่อทีมงาน

บทที่ 1 หิมะที่ละลายจากยอดเขา
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11099944/W11099944.html

บทที่ 2

เสียงเพลงแห่งฤดูใบไม้ผลิ

สายลมเย็นพัดผ่านต้นโมมิจิที่เริ่มแตกใบอ่อนตามกิ่งก้าน ดอกไม้ป่าซึ่งผลิดอกสีขาวบานเต็มต้นส่งกลิ่นหอมรวยรินออกมาจากพุ่มไม้ข้างดุจเป็นสัญญาณของฤดูใบไม้ผลิ แสงแดดอันอบอุ่นสาดส่องลงมากระทบผืนป่าปลุกบรรดาสรรพสัตว์ให้ตื่นจากนิทรา พวกมันโผล่หน้าออกมาจากรวงรังและยื่นจมูกสูดอากาศอันแสนบริสุทธิ์พร้อมกับเตรียมจะเดินออกไปรับแสงยามรุ่งอรุณแต่ต้องหยุดชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคน

ฮารุคาเสะก้าวเดินด้วยท่วงท่าที่เต็มไปด้วยความสง่าผ่านต้นไม้น้อยใหญ่ภายในป่าจนกระทั่งถึงทางเดินขนาดเล็กที่มีต้นซากุระขึ้นเรียงรายอยู่ทั้งสองข้างทาง มือข้างหนึ่งถือถังไม้บรรจุน้ำในขณะที่มืออีกข้างมีห่อกำยานกับธูปหอม เนื่องจากตระกูลฟูจิวาระเคยมีหน้าที่รับใช้เทพเจ้าฟูจินมาก่อนทำให้ทุกการเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ สายเลือดของตระกูลทุกคนจะต้องเดินทางมายังศาลเจ้าเพื่อทำความสะอาดและจุดเครื่องหอมบูชาเป็นเวลาติดต่อกันสามวัน แม้เวลานี้ผู้คนส่วนใหญ่จะมองไม่เห็นความสำคัญของเทพเจ้าแล้วก็ตาม

‘กาลเวลาเปลี่ยนแปลง ความเชื่อถือของมนุษย์ก็เปลี่ยนไป’

คำกล่าวของฟูจิวาระ โทอิจิโร่ บิดาของฮารุคาเสะที่เคยพูดไว้เมื่อครั้งที่เขาวัยเยาว์ผุดขึ้นมาในความทรงจำ ชายหนุ่มมองดอกซากุระที่บานสะพรั่งจนแลเป็นสีชมพูงดงามทอดยาวไปจนถึงศาลเจ้าขนาดเล็กสุดปลายทางและถอนใจออกมา ในอดีตศาลเจ้าฟูจินแห่งนี้ได้รับความเคารพนับถือจากชาวโคะโตโระเป็นอย่างมากจนถึงขนาดที่เจ้าเมืองยังต้องเดินทางมาสักการะทุกหกเดือน มีการจัดงานฉลองอย่างยิ่งใหญ่ทุกต้นฤดูใบไม้ผลิ ผู้คนจากแดนไกลยังต้องดั้นด้นเดินทางมาเพื่อขอพร แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปความศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจสู้กิเลสและความโลภของมนุษย์ เจ้าเมืองและผู้ครองแคว้นเริ่มแสวงหาอำนาจเพื่อความยิ่งใหญ่ของตน ความเชื่อในพลังเทพเจ้าก็สูญหายไป การสั่งสมกำลังทหารกลายเป็นสิ่งสำคัญ ผู้มีพลังแข็งแกร่งกระหายที่จะยกทัพบุกทำลายล้างผู้อ่อนแอมากกว่าการหาสิ่งของเครื่องเซ่นมาบูชาเทพเจ้า แรกเริ่มนั้นผู้คนต่างเข้ามาสวดอ้อนวอนขอให้สงครามสิ้นสุด เมื่อไม่เป็นผลพวกเขาจึงเริ่มละทิ้งสิ่งที่นับถือและหันหลังให้กับเทพเจ้าไป

ทั้งที่ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันเอง

ฮารุคาเสะระบายลมหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เมฆละเอียดสีขาวเป็นแนวยาวดุจถูกป้ายด้วยพู่กันทาบอยู่บนผืนฟ้าใส เรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะถือกำเนิดได้ไม่นาน และเมื่ออยู่ในช่วงที่จำความได้ ศาลเจ้าฟูจินแห่งนี้ก็ไม่มีใครมาเยี่ยมเยือนอีกเลย

เสียงลั่นเอียดดังมาจากซากุระต้นหนึ่งดึงความสนใจของฮารุคาเสะให้เลื่อนสายตาไปมอง กิ่งไม้ที่ไหวยวบดุจมีใครบางคนกำลังย่างเท้าเดินอยู่บนนั้นทำให้ชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วอย่างนึกเอะใจ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะทันได้ทำสิ่งใดบรรยากาศรอบตัวก็บังเกิดความหนักอึ้งขึ้นมาอย่างฉับพลัน มันเป็นแรงกดดันอันมหาศาลของปิศาจที่ฮารุคาเสะรู้จักดี

“เมื่อมาแล้วจะมัวซ่อนตัวอยู่ทำไม”

ชายหนุ่มเอ่ยถาม เสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากกิ่งไม้สูงขึ้นไปเหนือศีรษะ มันสั่นไหวอย่างรุนแรงเหมือนถูกเขย่าจนกลีบซากุระร่วงพรูลงมา

“ข้าชอบฤดูใบไม้ผลิกับกลีบดอกซากุระ มันงดงามมากตอนพร่างพรูลงบนพื้น” สตรีในเครื่องแต่งกายสีขาวงดงามปรากฏขึ้นบนต้นไม้ ดวงตาสีอำพันมองฮารุคาเสะแน่วนิ่งในขณะที่เรียวปากเหยียดยิ้ม

“น่าเสียดายที่สีของมันอ่อนไปนิด”

นักนาฏกรรมหนุ่มมองร่างที่กำลังนั่งอยู่บนกิ่งไม้โดยมีหางสีขาวคาดดำเก้าเส้นกวัดแกว่งไปมาอย่างร่าเริงอยู่ทางด้านหลัง

“เจ้ามาที่นี่ทำไม เบียคโกะ”

“เปลี่ยนซากุระให้เป็นสีแดงดั่งโลหิตของมนุษย์” มารเสือขาวตอบทีเล่นทีจริง ดวงตาของฮารุคาเสะทอประกาย

“ข้าไม่ชอบการพูดเล่น”

รอยยิ้มซุกซนฉาบบนริมฝีปากงาม เบียคโกะพลิ้วกายลงมายืนบนพื้นตรงหน้าชายหนุ่มและวางมือลงบนไหล่ของเขาพร้อมกับกล่าวด้วยท่าทางยั่วเย้า

“เจ้าควรจะรู้จักการเล่นสนุกบ้างนะ”

“ข้าขอถามย้ำอีกครั้งว่า เจ้ามาที่นี่ทำไม” ฮารุคาเสะถามเสียงเข้ม กลีบซากุระที่ตกเกลื่อนพื้นลอยขึ้นและหมุนวนรอบตัว มารเสือขาวยิ้ม

“ข้ามาทวงสัญญา”

“สัญญาอะไร”

เบียคโกะยื่นหน้าเข้าไปหาชายหนุ่มและกระซิบข้างใบหู

“ชาติกำเนิดของเจ้า”

กระแสลมรุนแรงพัดกรรโชกผ่านร่างเบียคโกะจนชุดสีขาวสะบัดไปมา นางเลื่อนหางทั้งเก้าไปกุมข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ในขณะที่ดวงตานั้นทอประกายวาวอย่างน่ากลัว

“จะต้องให้บอกกี่ครั้งกันว่าพลังของเจ้าไม่อาจทำอะไรข้าได้”

คลื่นทรงพลังแผ่กระจายออกจากกายของมารเสือขาวเป่าพลังวายุของฮารุคาเสะจนสลายหายไป นางเอียงหน้าเล็กน้อยด้วยกิริยาที่ดูน่ารักในแต่ในสายตาของชายหนุ่มแล้วมันคือใบหน้าแสนเจ้าเล่ห์ของนางมาร้าย

“เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องนี้เท่านั้นหรือ”

“ก็ไม่เชิง” หางทั้งเก้าคลายออกจากข้อมือของฮารุคาเสะขณะที่เจ้าของร่างขยับถอยหลังออกห่าง ชายหนุ่มมองนางอย่างระแวง

“เจ้ามีแผนร้ายอะไรอีก”

เสียงหัวเราะสดใสดังแทนคำตอบ มารเสือขาวกระโดดขึ้นไปนั่งบนต้นไม้และเด็ดดอกซากุระมาโปรยเล่นคล้ายไม่สนใจในคำถามจนผู้ที่อยู่ด้านล่างต้องขบกรามด้วยความโกรธ

“เบียคโกะ”

“ข้าชอบเวลาถูกเจ้าเรียก” ดวงตาสีอำพันทอประกายแวววาวอย่างสนุกก่อนจะดับวูบลงอย่างรวดเร็วและแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาจนน่าขนลุก “ถูกเซริวย์ลากตัวไปครั้งก่อนทำให้ข้าแทบหมดความสนุก แถมการจะหนีจากเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายมาคราวนี้เลยต้องทำอะไรให้คุ้ม”

นางเอนตัวไปข้างหน้า

“เรื่องหนึ่งก็คือได้รับรู้ชาติกำเนิดของเจ้า”

“ข้าเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลฟูจิวาระ เป็นนักนาฏกรรม” ฮารุคาเสะตอบเสียงห้วน เบียคโกะส่ายหน้า

“นั่นเป็นแค่ฉากหน้าที่เจ้าสร้างเพื่อตบตาผู้อื่น สิ่งที่ข้าอยากรู้คือที่มาของพลังปราบมารของเจ้า มันไม่ได้เกิดจากการร่ำเรียนฝึกฝน แต่เป็นพลังที่มีอยู่ในตัวซึ่งจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้กับมนุษย์ธรรมดา”

มารเสือขาวมองชายหนุ่มอย่างคาดคั้นแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไม่ตอบคำนางจึงยิ้ม

“หากยังไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร” เบียคโกะลุกยืนพร้อมกับยืนขึ้น “งั้นข้าขอไปทำธุระอย่างอื่นก่อน เสร็จเรียบร้อยแล้วจะกลับมาฟัง”

น้ำเสียงที่แฝงไว้ซึ่งความอำมหิตทำให้ฮารุคาเสะรีบถามด้วยความเอะใจ

“ธุระอะไร”

มารเสือขาวไม่ตอบแต่กลับยกมือข้างหนึ่งขึ้นและตวัดไปด้านข้างอย่างแรง เสียงลั่นเปรียะดังมาจากต้นซากุระด้านตรงกันข้าม กิ่งขนาดใหญ่หักร่วงหล่นลงมากระแทกพื้นอย่างแรงจนดอกซากุระกระจายเกลื่อนพื้น ดวงตาของฮารุคาเสะเบิกกว้างด้วยความตระหนกเมื่อพบว่ากลีบมันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มมองคล้ายโลหิตที่ไหลพรั่งพรูของจากกายของมนุษย์

“หรือว่า”

เขาพึมพำและตวัดสายตากลับไปทางมารเสือขาวทันทีแต่กลับพบแค่ความว่างเปล่า ชายหนุ่มกำมือแน่นจนธูปหอมและกำยานแหลกละเอียด

“เจ้ามีแผนร้ายอะไรอีกเบียคโกะ”  

ฮารุคาเสะคำราม ลางสังหรณ์บางอย่างผุดวาบขึ้นในใจ เขารีบหันหน้าไปทางทิศที่ตั้งของปราสาทยาสึฮิระพร้อมกับหลุดปากเรียกชื่อสตรีอันเป็นที่รักด้วยความกังวล

“มิสึกิ”

*/*/*/*/*

เสียงกิ่งไม้ขนาดใหญ่หักตกลงกระทบพื้นทำให้ผู้ที่กำลังเล่นโกโตะต้องหยุดชะงัก ใบหน้างามหันไปยังสวนด้วยความสงสัยในขณะที่สตรีซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างรีบลุกขึ้นไปดูและเมื่อได้ฟังข้ารับใช้ที่อยู่ในบริเวณนั้นรายงานแล้วนางจึงกลับมากล่าวกับผู้เป็นนาย

“แค่กิ่งซากุระหักเท่านั้นเจ้าค่ะท่านหญิง”

ธิดาแห่งตระกูลยาสึฮิระผงกศีรษะพร้อมกับวางมือลงบนสายโกโตะและเริ่มบรรเลงอีกครั้งหากแต่คราวนี้กลับเป็นเพลงที่บรรยายเรื่องราวของความรักและการพลัดพราก แม้ท่วงทำนองของบทเพลงจะเต็มไปด้วยความไพเราะแต่สีหน้าของผู้เล่นกลับฉายแววแห่งความเศร้าสร้อยจนผู้ฟังต้องถอนใจ

“ท่านหญิงคิดถึงคุณชายฟูจิวาระมากมายถึงขนาดนี้เชียวหรือ”

สึมิเระ พี่เลี้ยงประจำตัวของท่านหญิงมิสึกิรำพึงขณะจ้องปลายนิ้วที่กำลังไล่พรมบนสายโกโตะด้วยท่วงท่าที่อ่อนช้อยงดงาม แต่เพียงบรรเลงไปได้แค่ครึ่งเพลงจู่ๆผู้เล่นก็หยุด สึมิเระมองด้วยความสงสัยและเพิ่มความแปลกใจมากขึ้นเมื่อเห็นมิสึกิถอดปลอกนิ้วสำหรับดีดโกโตะออก

“จะเลิกเล่นแล้วหรือเจ้าคะ”

ท่านหญิงแห่งเมืองโคะโตโระผงกศีรษะอย่างเชื่องช้าก่อนจะเลื่อนสายตาออกไปนอกห้องและจ้องกลีบซากุระที่กำลังร่วงโรยลงบนพื้นหญ้าพร้อมกับระบายลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา

“ข้าไม่มีแก่ใจจะเล่น” นางกล่าวพลางหันกลับมาทางพี่เลี้ยงผู้ภักดี “ไม่เพียงแค่โกโตะ เวลานี้ข้าไม่อยากเขียนบทกลอน ไม่อยากเรียนการจัดแต่งดอกไม้ และไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น”

มิสึกิถอนใจอีกครั้ง

“ทำไมข้าถึงมีความรู้สึกเช่นนี้สึมิเระ”

“บางครั้งความคิดคำนึงถึงผู้ที่อยู่ห่างไกลทำให้จิตใจสับสนและว้าวุ่นจนไม่อาจรับรู้เรื่องราวที่อยู่รอบตัว” พี่เลี้ยงของนางกล่าวพลางเรียงปลอกนิ้วลงในกล่องและหยิบฝามาปิด ท่านหญิงมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ

“ข้าไม่ได้คิดถึงใคร”

“แน่ใจหรือเจ้าคะ” สึมิเระกล่าวถามพร้อมกับยิ้มอย่างรู้ทัน ใบหน้าของมิสึกิมีสีชมพูระเรื่อขึ้นมาทันที

“อย่าพูดจาเหลวไหลกับข้านะสึมิเระ”

พี่เลี้ยงของนางอมยิ้มพลางเลื่อนกล่องเก็บปลอกนิ้วไปวางไว้ใกล้โกโตะพร้อมกับกล่าวสั้นๆ

“เมื่อคิดถึงก็ควรจะเขียนจดหมายไปหา”

มิสึกินิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะแสร้งทำตีสีหน้าให้ดูเคร่งขรึมพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังเหมือนห้วน

“จะให้ข้าเขียนจดหมายไปหาใคร”

“คุณชายฟูจิวาระ ฮารุคาเสะ” พี่เลี้ยงนางตอบแทบจะทันทีและยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าของผู้เป็นนายมีสีเข้มขึ้น

“ข้าไม่ทำเรื่องน่าอายเช่นนั้นแน่”

มิสึกิกล่าวด้วยท่าทางขึงขังจนสึมิเระนึกขำจนต้องรีบยกมือขึ้นปิดปากเพื่อบังรอยยิ้ม หลังจากปรับสีหน้าให้ดูราบเรียบเป็นปรกติดีแล้วนางจึงลดมือลงพร้อมกับพูด

“การเขียนจดหมายเพื่อพูดคุยกับเพื่อนมิใช่เรื่องน่าอายสักหน่อยนะเจ้าคะ”

“แต่อีกฝ่ายเป็นผู้ชาย ยังไงข้าก็ไม่เห็นว่าเป็นการสมควร”

มิสึกิพูดเสียงเรียบจนสึมิเระต้องถอนใจ หลังจากนิ่งคิดไปชั่วครู่นางจึงยิ้มราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้

“ถ้าอย่างนั้นคงต้องใช้อีกวิธี” สึมิเระพูดพลางมองท่านหญิง “คือท่านต้องเชิญคุณชายมาที่ปราสาทในฐานะอาจารย์”

คำพูดของพี่เลี้ยงทำให้มิสึกิต้องอึ้งด้วยความคาดไม่ถึง เมื่อตั้งสติได้นางจึงย้อนถาม

“แต่ข้าจะให้เขาสอนอะไร”

“ตระกูลฟูจิวาระมีชื่อเสียงเรื่องดนตรีกับการร่ายรำ และคุณชายฮารุคาเสะก็มีความเป็นเลิศในการรำพัดคู่ซึ่งข้าคิดว่าท่านหญิงควรจะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างต่อท่านยาสึฮิระ”

สีหน้าของมิสึกิสลดลงเพราะรู้ดีว่าแม้ภายนอกจะดูโปรดปรานฝีมือการร่ายรำของ
ฮารุคาเสะแต่ส่วนลึกภายในใจแล้ว บิดาของนางไม่อยากให้ชายหนุ่มย่างกรายเข้ามาใกล้ปราสาทเท่าใดนัก มื่อนึกถึงเรื่องนี้แล้วหญิงสาวจึงได้แต่ถอนใจ

“ท่านพ่อไม่มีทางอนุญาตแน่”

“แต่ข้ากลับคิดว่าท่านจะต้องอนุญาต” สึมิเระพูดพลางแตะมือของท่านหญิงเบาๆ “ถ้ามีเหตุผลที่ดีท่านต้องยอมตกลงแน่”

มิสึกิมีท่าทางลังเลเล็กน้อยเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่สึมิเระพูดมาทั้งหมดนั้นแทบไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ความปรารถนาที่จะได้พบชายอันเป็นที่รักย่อมเหนือกว่าเหตุผลใด ในที่สุดนางจึงผงกศีรษะ

“ข้าจะลองดู”

หญิงสาวลุกขึ้นและทำท่าจะก้าวออกจากห้อง สึมิเระรีบลุกตามพร้อมกับถามด้วยความแปลกใจ

“จะไปไหนหรือเจ้าคะ”

“ไปหาท่านพ่อ”

“แต่ตอนนี้ท่านยาสึฮิระกำลังสนทนาอยู่กับแม่ทัพโอริเอะ” พี่เลี้ยงติงและชะงักคำพูดเมื่อเห็นสีหน้าของมิสึกิ มันเป็นสีหน้าที่แสดงถึงความมุ่งมั่นจนยากจะห้ามปราม

“ข้ารู้ว่าเมืองอิวะคิดจะก่อสงครามและท่านพ่อกำลังหาวิธีประนีประนอม หากสำเร็จโคะโตโระก็จะสงบสุขแต่หากล้มเหลวแล้วล่ะก็เมืองของเราก็จะเกิดความวุ่นวายซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้วข้าคงไม่มีโอกาสได้พบกับเขาอีกต่อไป”

สีหน้าของมิสึกิสลดลง นางหันมาส่งยิ้มที่ดูเศร้าสร้อยให้กับสึมิเระ

“อีกเหตุผลหนึ่งก็คือฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเรียนการร่ายรำมากที่สุด”

กล่าวจบหญิงสาวจึงหมุนตัวเดินตรงไปยังจวนของยาสึฮิระ ส่วนสึมิเระเมื่อหายจากการตกตะลึงในคำพูดของนายหญิงแล้วจึงรีบก้าวตามหลังไปด้วยความห่วงใย ทั้งสองไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่าคำพูดและการกระทำทั้งหมดตกอยู่ในสายตาสีเหลืองอำพันซึ่งกำลังทอประกายวาววับอยู่บนต้นซากุระกลางสวนภายในจวน

*/*/*/*/*


อะไรกัน...ไพราตายง่ายๆแบบนี้หรือ...?
จากคุณ : GTW  
- หุ หุ มีสาเหตุค่ะ ติดตามไปเรื่อยๆแล้วจะทราบ

กันบุกับกุนบุเป็นพี่น้องกัน?
จากคุณ : scottie
- แค่ชื่อคล้ายกันเท่านั้นค่ะ

วันนี้ขอลงภาพปิศาจจามรีดำนะคะ

 
 

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 54 20:40:58




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com