10.
ฝนลงเม็ดกระทบร่างบนมอเตอร์ไซค์ เขมรัฐสบถ อุตส่าห์ไม่เสียเวลาทักทายป้าไก่ คว้าปิ่นโตออกจากร้านได้ก็รีบเต็มที่ อย่างน้อยพอถึงจุดหมายก็พอมีข้ออ้างขอหลบได้ชั่วคราว ถึงตอนนี้จะเร่งความเร็วมากก็ไม่ได้แล้ว
ป่านนี้ลูกค้าคนสวยรอแย่
ตอนมาถึง เป็นเพราะสายฝนหนาเม็ด เสียงซ่ากลบทุกอย่าง แต่กระนั้นก็ยังได้ยินคำร้องแว่ว
“ช่วยด้วย!”
เขาปราดเข้าตัวบ้านทันที วางปิ่นโตโดยไม่สนใจว่าจะล้มกลิ้งล้มหงาย ภาพที่เห็นคือชายคนหนึ่งกำลังปลุกปล้ำหญิงสาว แว่บเดียวที่สายตากวาดไป ผู้หญิงคือคุณครูเจ้าของบ้านนามปุริมา
“เฮ้ย!!”
ก่อนที่ทุกอย่างจะเลวร้าย อยู่ดี ๆ ร่างของสินธพก็ถูกกระชาก ชายหนุ่มยังไม่ทันตั้งตัว จึงมองไม่เห็นหมัดที่ซัดเปรี้ยงเข้าที่หน้า ร่างเขากระเด็นไปชนโต๊ะไม้ตัวเตี้ย แก้วน้ำกระจัดกระจาย
ปุริมากระเด็งตัวขึ้นมาสัญชาตญาณ มองเห็นสาเหตุที่ทำให้เธอหลุดรอดเงื้อมมือมัจจุราชหนุ่มไปฉิวเฉียด
นายเข้!!
ชายหนุ่มผิวเข้มมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ร่างแข็งแรงเปียกชุ่มแสดงให้เห็นว่าฝ่าม่านสายฝนมา
สินธพลุกพรวดพราดขึ้น สติของหญิงสาวกลับมารีบกระถดตัวหนีออกให้ห่างที่สุด คนเจ็บปาดเลือดจากริมฝีปาก มองคนจู่โจมด้วยความตกใจ สมองรำลึกว่าเคยเห็นอีกฝ่ายมาจากที่ไหน
“มรึงเป็นใครวะ!! อยู่ดี ๆ มาทำร้ายร่างกายกันแบบนี้”
เขมรัฐกระตุกยิ้ม “ยังมีแก่ใจมาถามอีกนะ นี่ถ้าผมไม่รู้มาก่อนว่าคุณรู้จักกับปูนิ่ม ผมถือว่าคุณเสียมารยาทนะครับ”
อีกฝ่ายร้อนผ่าว หายใจถี่ ถูกคำที่ตัวเองเคยกระแทกใส่กลับมาเชือดเฉือน สินธพขบกราม เหลือบมองหญิงสาวและพิจารณาคนตรงหน้าในไม่กี่วินาที ถึงสูงหนาไม่ทิ้งกันนัก แต่กริยาย่อเข่าเล็กน้อย กำหมัดหลวม ๆ ท่าทางคล้ายกับคนที่เผชิญสังเวียนมาอย่างโชกโชน
อารมณ์เดือดดาลและศักดิ์ศรีที่โดนหยามถูกสะกดด้วยหน้าตาในสังคม สินธพมีสติพอ เขาพ่นลมหายใจ ชี้หน้าเขมรัฐ คำรามในคอ
“มรึง!!...”
ก่อนจะเดินออกไปด้วยสายตาอาฆาตแค้นแสดงความหมายว่าเรื่องยังไม่จบแค่นี้ มีเสียงรถยนต์กระชากตัว
“นึกว่าจะแน่” นายฟาร์มพึมพำ ครั้นแล้วก็หันกลับมายังเจ้าของบ้าน ปราดเข้าไปหา ปุริมามีปฏิกริยาด้วยการชักเท้าหนี สีหน้าเผือด ชายหนุ่มเข้าใจ เกือบจะถูกทำมิดีมิร้ายคงยังขวัญเสีย
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
ปุริมาสูดลมหายใจ ส่ายหน้า ใจยังเต้นไม่เป็นส่ำ ปากคอสั่นพูดไม่ออก เดินโซเซกลับมาทิ้งตัวนั่งที่โซฟา
“ขอโทษที ไอ้โขงมันไปติดฝนอยู่บ้านเพื่อนน่ะ กว่าผมจะรู้เลยมาช้า” เธอเงยหน้ามองเขา แปลกใจคำกับขอโทษทั้งที่ไม่ใช่คนก่อความผิด วินาทีนั้นก็เหลือบเห็นปิ่นโตอยู่บนพื้น ถ้าเช่นนั้นก็มีส่วน เพราะถ้าทุกอย่างเป็นเหมือนปกติเธออาจจะไม่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์อกสั่นขวัญแขวนเช่นนี้ เมื่อคิดเช่นนี้หัวใจก็ชุ่มชื้นขึ้น เรียกสติกลับมาได้
“ฉัน...ให้เขาเข้ามาได้ยังไงไม่รู้”
เพราะเรื่องยังใหม่ น้ำเสียงสั่นเครือระคนความตกใจและโทษตัวเอง คราแรกเขมรัฐก็นึกตำหนิหญิงสาวอยู่เล็กน้อย ท่าทางหวงตัวนักหนากลับยอมให้ผู้ชายคนอื่นเข้าบ้าน แต่เจ้าตัวก็รู้จึงเลี่ยงคำ
“แล้วผอ.ยังไม่กลับเหรอครับ”
“ยัง...ค้างข้างนอก”
“งั้นคืนนี้คุณก็อยู่คนเดียวสิ ไม่ปลอดภัยแล้ว ไปค้างบ้านผมเถอะ”
เขมรัฐพูดออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร ผลก็คือปุริมาจ้องเขม็ง แววตาตื่นตระหนกอีกครั้ง ชายหนุ่มรีบบอก
“นี่ ๆ อย่าคิดไปไกล ที่ชวนน่ะเพราะเห็นคุณอยู่คนเดียว ไม่รู้ว่าหมอนั่นจะย้อนกลับมาหรือเปล่า แล้วผมก็ไม่ใช่พระเอกที่จะมาช่วยนางเอกได้ทุกครั้งหรอกนะ”
น้ำเสียงเจืออารมณ์ยียวนทำให้ปุริมาคืนสติ
“ไม่ให้คิดได้ยังไง คุณก็ผู้ชายเหมือนกัน...ท่าทางจะอันตรายกว่าด้วย”
เขมรัฐหัวเราะในลำคอ คงตัดสินเขาจากหมัดเมื่อครู่แล้วสินะ
“ผมไม่เคยปล้ำใครถ้าเขาไม่ยอม”
หญิงสาวหน้าร้อนฉ่า อ้าปากจะโต้แต่ชายหนุ่มไวกว่า
“ผมบอกคุณไว้เลย ถึงผมจะหล่อแต่ก็เลือกนะ ผู้หญิงไม่ยอมน่ะผมไม่ปล้ำให้เสียชื่อหรอก เพราะที่ผ่านมามีแต่ผู้หญิงนั่นแหละที่ปล้ำผม”
ยิ่งทำหน้าตายยิ่งกวนโมโห ปุริมาหายใจถี่ หน้าแดง
“นี่คุณปูนิ่มครับ คิดสักนิดนะครับ ที่บ้านผมน่ะทั้งแม่ทั้งลูกอยู่กันครบผมจะไปทำอะไรคุณได้ ยิ่งคุณนายหงส์น่ะสนิทกับผอ.จะตาย คุณคิดว่าผมจะเอาคอไปพาดเขียงอย่างนั้นเหรอ”
คนฟังยังนิ่ง เขาโบกมือ
“ตามใจ ถือว่าผมทำหน้าที่ส่งปิ่นโตเสร็จแล้ว”
“เดี๋ยว!”
นาทีนี้คงต้องคิดถึงเหตุผลมากกว่าอารมณ์ ละวางความหมั่นไส้ไม่ชอบขี้หน้าลงไปก่อน กระนั้นเจ้าของฟาร์มจอมกวนยังมีรอยยิ้มมุมปากยั่ว ปุริมาคิดแล้ว ความเสี่ยงที่จะผ่านคืนนี้ไปโดยลำพังในบ้านมีมากกว่า
อย่างน้อย คุณนายหงส์ก็คงเป็นผู้ใหญ่ที่พึ่งพิงได้
“ไปเร็ว”
“เดี๋ยวฉันไปเอาของก่อน”
เธอบอกแล้วรีบวิ่งเข้าไปในห้อง ไม่ถึงนาทีก็ออกมาพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า เขมรัฐส่ายหน้า ผู้หญิง...
เขาเดินนำ หญิงสาวมองสายน้ำที่ยังทิ้งตัวไม่หยุดยั้ง
“ฝนยังตกอยู่เลย”
“จะยอมเปียกหรือยอมถูกปล้ำ”
คนฟังนิ่วหน้าเพราะอีกฝ่ายพูดตรงจนสะอึก ท้ายที่สุดก็ยอมเดินตามเขาไป โดยไม่ลืมปิดล็อคประตูบ้านเรียบร้อย ปุริมาขยับขึ้นไปนั่งเบี่ยงข้างเพราะใส่กระโปรง พอชายหนุ่มเหลือบมองก็กำชับให้เกาะแน่น ๆ เนื่องจากฝนตกถนนลื่นไม่ปลอดภัย พอเรียบร้อยก็สตาร์ทเครื่องยนต์พาแล่นออกไป
เพราะก้มหลบหยดน้ำที่ระดมลงมา มือข้างหนึ่งกอดกระเป๋า อีกข้างก็จำต้องกอดเอวชายหนุ่มเชิงประคองตัวเองทำให้ใบหน้าแนบกับแผ่นหลังคนขับโดยปริยาย
ทั้งนี่อากาศเย็นเยือก แต่น่าแปลกที่ปุริมาสัมผัสได้ถึงไออุ่นเจือจางและหัวใจก็บอกทันควันว่า ณ ตรงนี้เธอปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวงแล้ว
ตามถนนที่มอเตอร์ไซค์แล่นผ่านไปมืดสลัว ทั้งคู่จึงไม่ได้สังเกตว่ามีรถคันหนึ่งจอดอยู่ริมทาง และสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองอย่างเคียดแค้น
ทุ่มครึ่งพอดีตอนที่ปุริมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอเดินเก้กัง เป็นครั้งที่สองที่เข้ามาเหยียบบ้านหลังนี้ แต่คราวนี้ถึงขั้นได้ใช้ห้องน้ำและมีเวลามากมายให้สังเกตถึงการตกแต่ง
ภายนอกดูใหญ่ แต่ภายในเรียบง่าย พื้นเป็นแกรนิตสีขาวตัดกับเฟอร์นิเจอร์ไม้สีน้ำตาลเข้ม ทางเชื่อมแต่ละห้องเป็นช่องโค้ง ดูเป็นศิลปะแบบหนึ่งซึ่งปุริมาเองก็ไม่รู้จัก บนผนังมีภาพถ่ายติดเป็นระยะล้วนแต่เป็นสมาชิกในครอบครัว ภาพคุณหงส์กับชายคนหนึ่ง คงเป็นสามี รูปลูกชาย หลาน...
“ปูนิ่ม”
เสียงนั้นเบรกจังหวะการสำรวจ เขมรัฐยืนอยู่ตรงมุมครัว ชายหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเช่นกัน เขาสวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้นลำลอง ลมร้อนแล่นผ่านอก พิกลจัง ทำไมถึงได้ดูดีนะ
ครัวยังคงเป็นสไตล์เดียวกัน พื้นสีขาว โต๊ะยาวทรงมนสีเข้ม แต่ชั้นวางของเป็นสีน้ำตาลอ่อน เครื่องครัวทุกอย่างจัดวางเข้าที่แต่ก็ดูมีชีวิตชีวาบ่งบอกว่าเป็นครัวที่ถูกใช้งานจริง แต่ตอนนี้ทั้งบ้านมีเพียงเธอกับเขา แม่กับลูกกำลังอยู่ในระหว่างการเดินทาง
“กินข้าวเลยหรือเปล่า” เขมรัฐชี้ปิ่นโต
“ถือมาด้วยเหรอ”
“ก็เห็นว่ายังไม่ได้กินจะทิ้งทำไมให้เสียของ ผมก็ยังไม่ได้กินข้าวเหมือนกัน”
ปุริมาบอกว่ายังไม่หิว
“งั้น...ดื่มอะไรร้อน ๆ สักหน่อยไหม”
ดีเหมือนกัน เธอพยักหน้า เคลื่อนกายมานั่งรอ มองชายหนุ่มหยิบแก้ว กดน้ำร้อน ใจยังสั่นอยู่ไม่หายกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปสด ๆ ร้อน ๆ ไม่คิดเลยว่าท่าทางสุภาพไว้ใจได้จะเป็นแค่หน้ากาก
ไม่รู้ความคิดผ่านไปกี่นาที รู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อแก้วใบใหญ่ถูกเลื่อนมา ไออุ่นสัมผัสใบหน้า กลิ่นโกโก้หอมกรุ่นแตะจมูก ปุริมากระพริบตา
“ของเจ้าโขงมัน น่าจะดีกว่ากาแฟ”
หญิงสาวยกจิบ ความอบอุ่นแทรกซึมในกายแทนที่ความเย็นเยือกและความหวาดหวั่น
“เห็นไหมล่ะ หนังสือหน้าปกสวยใช่ว่าจะดีเสมอไป”
เธอหน้าเสีย ชักคิ้ว “ซ้ำเติมกันเหรอ”
เขมรัฐเลื่อนเก้าอี้มานั่ง “เขาเรียกว่าเตือนด้วยความหวังดีต่างหาก”
อีกฝ่ายตั้งท่าจะเถียง หากวินาทีนั้นก็สำนึกได้ว่าตนเองได้เป็นดังคำกล่าวไม่ผิดเพี้ยน เธอตัดสินว่ากริยามารยาทและการแต่งตัวรวมทั้งอาชีพการงานของสินธพคือ ‘ความดี’ และ ‘ไว้ใจได้’ จนให้เขาลุกล้ำพื้นที่เข้ามา
ชี้โพรงให้กระรอกเองชัด ๆ ดีแค่ไหนที่ทุกอย่างไม่สายเกินไป
ถึงจะเกลียดขี้หน้าเพราะความกะล่อนกรุ้มกริ่ม เจ้าชู้จีบได้ไม่รู้จักมารยาท และท้ายที่สุดก็ต้องยอมรับว่าเขาได้ถือบุญคุณเหนือเธอไปแล้ว
“ขอบคุณค่ะ”
“อ้ะ เดี๋ยว ขออีกเทค ผมจะอัดเทปก่อน เอาไว้แบล็คเมล์”
ดวงหน้าคมเข้มยิ้มพราย หญิงสาวร้อนวูบ “บ้า...” เธอเฉไฉจิบโกโก้แก้เขิน
“ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวยาที่ใส่ก็ออกฤทธิ์”
“ว่าไงนะ!” เธอเบิ่งตา รีบวางแก้วในมือราวกับเป็นสัตว์ที่น่ารังเกียจ จับจ้องอีกฝ่าย ใจเต้น ระทึก
เขมรัฐหัวเราะชอบใจ ปล่อยเธองุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก
“รู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหม”
ปุริมาชะงัก ทบทวนความรู้สึก อารมณ์หวาดกลัวแทนที่ด้วยความไม่เข้าใจ ที่ถูกยั่วให้โกรธเพื่อบรรเทาความหวาดหวั่น จนต้องยอมรับว่า ณ บัดนี้อาการนั้นได้หายแทบจะเป็นปลิดทิ้งแล้ว เธอถอนใจแทนคำตอบ แต่จะให้ยอมรับง่าย ๆ ก็ไม่ใช่ปูนิ่มน่ะสิ
“ก็ดี หวังว่าคงไม่หนีเสือปะจระเข้”
ชายหนุ่มฉีกยิ้ม “แน่ะ ชี้โพรงให้กระรอกอีกแล้ว”
“คุณ!!”
“เอาน่า ผมล้อเล่น” เขาหน้าตารื่นเริง หมุนแก้วในมือ พูดยิ้ม ๆ “ผมยอมรับว่าเจ้าชู้ แต่ผมไม่เคยทำอะไรแบบหมอนั่นทำ สุภาพบุรุษไม่ปล้ำผู้หญิงหรอก มีแต่พวกขี้แพ้กับขี้ขลาดเท่านั้นแหละ”
คนฟังนิ่ง
“สุภาพบุรุษย่อมมีวิธีทำให้ผู้หญิงยอมเอง”
“นี่คุณ!!”
เป็นอีกครั้งที่ปุริมาแหว และเขาก็หัวเราะสะใจ ดุจว่าเอาเป็นความยินดีที่ชนะอารมณ์นิ่งสงบของเธอได้ เพราะคารมแบบนี้สินะผู้หญิงถึงได้วิ่งตาม ปุริมานึกถึงบัณฑิตา นั่นก็คงเป็นหนึ่งในหลายคน
“นาย อุ้ย!!”
ฟ้าร้องดังเปรี้ยง ปุริมาสะดุ้ง เขมรัฐหรี่ตา "โชคดีนะที่ผมไม่เคยสาบานอะไรไว้กับใคร"
"ถ้ากลัวนักวันหลังฝนตั้งเค้าก็หาสาวไปปักตะไคร้สิ ว่าแต่ตำบลนี้ยังจะมีเหลือสักคนไหม สงสัยถูกเจ้าของฟาร์มรุกรานไปหมดแล้ว"
ชายหนุ่มเหลือบมอง นัยน์ตาพราวระยับ ถูกใจซะอีกแน่ะ
“กลับมา...”
เจ้าของเสียงพูดไม่ทันจบประโยคขณะพาร่างพรวดพราดเข้ามาในครัว คนนั่งอยู่หันไปมองโดยพร้อมกัน เด็กชายในชุดนักเรียนปล่อยชายเสื้อสะพายเป้ยืนนิ่ง ตาโต
ต่อ...
จากคุณ |
:
BabyRed
|
เขียนเมื่อ |
:
6 ต.ค. 54 00:02:45
|
|
|
|