“แกนึกยังไงวะ วันนี้ถึงได้หิ้วเจ้าคีมาด้วย” เสียงของคนข้างๆ ทำให้ภาพฝันสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนละสายตาจากกิ่งสนที่กำลังพลิ้วไหวไปตามแรงลม ราวกับมันกำลังเต้นรำไปกับเสียงกีตาร์คลาสสิคที่อยู่ใกล้ๆ หรืออันที่จริงแล้วเธอกำลังสนใจคนที่นั่งเล่นกีตาร์อยู่ด้านหลังกิ่งสนบางๆ นั้นเสียมากกว่า
“แกว่าไงนะ” คำถามเมื่อครู่เธอได้ยินไม่ถนัดจนต้องถามซ้ำ
“เราถามว่า นึกยังไงถึงได้ชวนเจ้าคีมาด้วย”
เมื่อได้ยินคำถาม หญิงสาวจึงได้ถอนหายใจออกมา
“ก็เหมือนเดิม เมื่อวานนั่งน้ำตาซึมอยู่นอกชาน เลยชวนมาด้วยกัน” ภาพฝันจ้องมองเด็กชายที่กำลังร้องเพลงคลอไปกับเสียงกีตาร์ ก่อนเอ่ยตอบคำถาม เพียงแต่สายตาเธอสลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ภาพของคีรัชนั่งสะอึกสะอื้นอยู่นอกชาน ในขณะที่ในบ้านกำลังโต้เถียงกันชนิดจับใจความไม่ออกว่า กำลังถกกันด้วยปัญหาใด เพราะต่างฝ่ายต่างพูด แต่ไม่เห็นจะมีฝ่ายใดที่ยอมหยุดเพื่อฟังอีกคน มีเพียงเด็กชายตัวน้อยที่รับฟังอยู่ด้านนอกพร้อมด้วยน้ำใสๆ ที่เอ่อล้นจากดวงตา มันไหลลงมาไม่มีวี่แววจะหยุด เฉกเช่นสถานการณ์ในบ้าน
ภาพนั้นสะท้อนเรื่องราวในวัยเด็กของเธอ ได้ดียิ่งกว่าโรงภาพยนตร์มาฉายชัดอยู่ตรงหน้าเสียอีก ไม่แปลกที่เธอจะรักและเอ็นดูคีรัชเกินกว่าเพื่อนบ้านคนหนึ่ง เธอเคยผ่านเรื่องราวเลวร้ายเช่นนั้นมาได้อย่างไร คีรัชก็ควรจะก้าวผ่านมันไปได้เช่นกัน
แต่จะดีแค่ไหน...หากมันไม่เคยเกิดขึ้นเลย
ตอนนั้นเธอเคยคิดหาคำตอบว่า ทำไมผู้ใหญ่จึงได้มีเหตุผลในการทะเลาะกันมากมาย ช่างมีความคิดสร้างสรรค์หาเรื่องใหม่มาทะเลาะกันได้ทุกวัน บางครั้งก็อยากจะเตือนความทรงจำตัวเองเพื่อย้อนคืนสู่วันเก่าๆ ขุดคุ้ยเอาเรื่องเดิมตั้งแต่ปีมะโว้มาถกเถียงกันเสียอย่างนั้น
คำถามแรกที่แวบขึ้นมาในหัว...จะทะเลาะกันทำไม
จากนั้นคำถามก็ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ...ไม่เหนื่อยบ้างหรืออย่างไร ที่อีกคนพูดนั้นฟังกันบ้างหรือเปล่า
อาจจะเพียงแค่ฟัง แต่ไม่เคยรับและไม่เคยรู้...หรือ...อาจไม่อยากรู้
และทุกครั้งก็มาจบด้วยคำถามสุดท้าย...มีความสุขบ้างไหม
เพียงแต่ตอนนี้เธอโตขึ้น มองอะไรหลายอย่างได้กว้างขึ้น และเธอก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทะเลาะกับคนอื่นอยู่ดี แม้คนคนนั้นจะเป็นเพื่อนสนิทอย่างพีรศิลป์ก็ตาม เคยหนักหนาถึงขั้นไม่พูดจากันมาแล้ว แต่อย่างน้อยก็ทำให้เธอรู้ว่าความเป็นเพื่อนที่มีให้กัน ทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไม่ยาก
อาจมีหลายเหตุผลที่ทำให้คนเราทะเลาะกัน แต่บางครั้งการรับฟังและให้อภัย ก็ทำให้เรื่องราวนั้นจบลงไปได้ไม่ยาก เพียงแต่ความขัดแย้งบางอย่างอาจไม่ต้องการเพียงแค่นั้น...
“ดีแล้วล่ะ อย่างน้อยเจ้าคีก็มีพวกเราเป็นเพื่อน ไม่ได้ตัดสินใจหนีออกจากบ้านเหมือนเด็กคนนั้นที่แกเคยเล่าให้ฟัง ยิ่งอยู่กับไอ้ป่อยแบบนี้หายห่วง” ใช่! คีรัชต้องไม่เป็นอย่างเด็กคนนั้นที่เธอเคยพบเจอ เพื่อนบ้านตัวน้อยต้องผ่านเรื่องราวเหล่านี้ไปให้ได้ ภาพฝันคิดพลางทอดมองไปยังเด็กชายตัวจ้อยที่กำลังตบมือร้องเพลงกับพีรณัฐและมือกีตาร์อย่างพีรภาส ดูเหมือนคุณชายจะใจดีกับเพื่อนบ้านของเธอไม่เบา เล่นเพลงตามคำเรียกร้องได้เกือบทุกเพลง
เพื่อนรักดูเศร้าไปถนัดตา พีรศิลป์จึงเอื้อมมือไปตบไหล่เธอเบาๆ “มาทะเลทั้งที สดชื่นหน่อยสิวะฝัน เห็นไหมเจ้าคียังไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย”
“ก็ไม่ได้เป็นไรซักหน่อย” ยิ้มเจือจางส่งมาให้กับคนข้างๆ
จะว่าไปแล้ว สถานการณ์ของคีรัชในตอนนี้ก็ยังมีแสงส่องมา มากกว่าเธอในเวลานั้นเสียอีก เธอนี่แหละจะช่วยให้เพื่อนบ้านตัวน้อยหลุดพ้นจากความรู้สึกแบบนี้ไปได้เสียที ภาพฝันคิดพลางหันไปส่งยิ้มให้กับพีรศิลป์อีกครั้ง แต่รู้สึกว่าเสียงเพลงที่ลอยมาจากโต๊ะไม้ใต้ต้นสนทะเลจะดังขึ้นกว่าปกติ
“ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ แต่มันคือแสนไกล ยิ่งเธอเป็นเหมือนเพื่อนสนิท ยิ่งไม่มีสิทธิจะบอกไป...ว่ารักเธอ*” เสียงเพลงท่อนฮุกดังขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย และมันก็จบลงเพียงแค่นั้น
สองคู่หูส่งสายตาไปยังนักร้องจำเป็น เจ้าตัวก็ทำทีเป็นเลือกเพลงในหนังสืออย่างไม่รู้ไม่ชี้
“ไปนั่งร้องเพลงกับคนอื่นดีกว่า มาทะเลทั้งทีแกชวนเศร้า เสียบรรยากาศหมด” พูดเสร็จพีรศิลป์ก็ดึงมือภาพฝันให้ลุกจากขอนไม้ที่นั่งอยู่ เดินไปยังเก้าอี้ใต้ต้นสนที่ห่างออกไปเพียงสามสี่เมตร
“ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ในความคุ้นเคยกันอยู่ มันแฝงอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ว่าเพื่อนคนหนึ่งมันแอบมันคิดอะำไรไปไกล กว่าเป็นเพื่อนกัน**”
อีกครั้งที่บทเพลงดังขึ้นเฉพาะท่อนฮุกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เมื่อทั้งสองนั่งลง นักร้องก็แสร้งหันไปถามเด็กชายตัวน้อยที่นั่งอยู่ซ้ายมือ “คี พี่ว่ายำทะเลมันหวานไปนะ”
คนถูกถามทำหน้าฉงน เมื่อยำทะเลจานนั้นยังไม่มีใครแตะเลยสักคน เขากับพีรณัฐที่นั่งอยู่ตรงข้ามมัวแต่แย่งกุ้งเผาตัวโตกันเสียมากกว่า ส่วนพี่ปูนที่อยู่ใกล้ๆ ไม่ได้แตะอาหารเลยสักอย่าง เพราะมัวแต่เล่นกีตาร์ไป ร้องเพลงไป พร้อมส่งสายตาไปยังพี่ปายและพี่ฝันของเขาตลอดเวลา
แต่ยังไม่พอ คุณชายหันไปทางน้ำจิ้มซีฟู้ดถ้วยเล็ก “อันนี้ก็หวานไป เลี่ยน!”
คราวนี้ทั้งคีรัชและพีรณัฐส่งสายตาประสานกันปริบๆ อะไรของพี่ปูน!
“ไงคี ชอบล่ะสิ มาเที่ยวแบบนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะพาไปเพลินวานก่อนกลับบ้าน” พีรศิลป์เอื้อมมือมาโยกหัวคีรัชเล่น ก่อนจะหันไปทางพี่ชาย “พี่ปูน เล่นเพลงเบาๆ ให้ฟังหน่อยสิ ไม่เอาเสียงร้องนะ”
“อยากฟังก็เล่นเอง จะกินข้าว” พีรภาสพูดพลางยื่นกีตาร์ให้ แล้วสนใจกับข้าวขึ้นมาทันที
พีรศิลป์ส่งยิ้มรับกีตาร์มา คิดว่าพี่ชายคงจะหิว ตั้งแต่เริ่มตั้งวงคุณชายก็ส่งเสียงร้องมาไม่หยุดหย่อน เมื่อกีตาร์อยู่ในมือ เขาก็เริ่มบรรเลงทันที เสียงนั้นดังทุ้ม นุ่ม ใส ไปตามจังหวะของเพลง ไม่ต่างจากบทเพลงแรกที่พี่ชายเคยเล่น เพียงแต่ให้ความรู้สึกเบาๆ สบายหูกว่าเล็กน้อย
แก้ไขเมื่อ 08 ต.ค. 54 07:40:59
แก้ไขเมื่อ 08 ต.ค. 54 07:36:02
จากคุณ |
:
pormare
|
เขียนเมื่อ |
:
วันเกิด PANTIP.COM 54 20:45:23
|
|
|
|