 |
บทที่ 7
เสียงดนตรีจากแดนสวรรค์ - ครึ่งแรก (2/2)
เยว่เทียนอ๋าวกำลังกระทืบเท้าขัดใจ ฝ่าเท้าน้อยๆ ในรองเท้าหนังหุ้มข้อบดขยี้ใบหญ้าจนแทบจะจมธรณี นัยน์ตาสีดำสนิทเขม้นมองชายชราที่นั่งกินหมั่นโถวนุ่มๆ ร้อนๆ หอมกรุ่น บนตักห่มด้วยเสื้อตัวนอกสีขาวสะอาด แถมด้วยเยว่เทียนหมิงผู้กำลังนั่งขัดผีผาตัวงามอย่างขะมักเขม้น เด็กชายผู้พี่ขัดไปก็ตัวสั่นไปด้วยความหนาวเมื่อลมเย็นพัดวูบ ชวนให้น่าโมโหยิ่งนัก!
ตาแก่จะมากไปแล้วนะ ข้าจะเอาเลือดหัวแกออกสักทีเอง!
ว่าพลางไม่ว่าเปล่าเยว่เทียนอ๋าวถลกแขนเสื้อสองข้างหมายมั่นว่าจะแย่งผีผาจากมือพี่ชายแล้วฟาดหัวชายชราผู้โอหังเทียมฟ้าให้เห็นดาวสักทีหนึ่ง
ทว่าเยว่เทียนหมิงเพียงเงยหน้าจากผีผาในอ้อมแขน ใบหน้าผู้พี่ยิ้มอ่อนโยนให้น้องชายพร้อมส่ายหน้าในทำนองว่าไม่เป็นไร
ท่านผู้เฒ่าขออภัยด้วยที่น้องชายข้าเสียมารยาท
แค่นั้นแหละ เยว่เทียนอ๋าวจึงต้องหยุดตัวเองอย่างน่าสงสารแล้วหันกลับไประบายอารมณ์กับพื้นหญ้าต่อ
เหตุการณ์โอรสกิเลนสวรรค์กลายเป็นเด็กรับใช้นั้นเริ่มต้นด้วยข้อเรียกร้องของชายชรา...
เจ้าหนูน้อยจำไว้ โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ เจ้าอยากได้สิ่งใดจากข้าเจ้าก็ต้องตอบแทนข้าในราคาที่เท่ากัน อย่างเช่นตอนนี้ข้ารู้สึกหิวแล้ว แถมยังได้กลิ่นของกินน่าอร่อยใกล้ๆ...
ชายชราว่าพลางทำจมูกฟุดฟิด หนวดเคราขาวโพลนกระดิกไปมา
เยว่เทียนหมิงจึงปลดถุงผ้าแถบที่คาดเอวออกเผยให้เห็นหมั่นโถวสีขาวสองสามลูกส่งควันฉุยหอมกรุ่นที่มารดาทั้งสองบรรจงทำให้เป็นเสบียงอย่างดี กิเลนจันทร์น้อยยื่นห่อผ้าให้ชายชรา
โปรดรับไปเถิด
อืม ตอนนี้อากาศเริ่มหนาวแล้ว ไขข้อข้าก็ไม่ค่อยดี ถ้าได้เสื้อคลุมตัวใหม่มาเพิ่มความอบอุ่นก็คงดีไม่น้อย
เยว่เทียนหมิงได้ยินดังนั้นจึงเพียงอมยิ้มพลางถอดเสื้อคลุมตัวนอกที่สุดแสนจะหนานุ่มอุ่นสบายให้โดยไม่อิดออด เนื้อผ้าแพรลื่นสัมผัสฝ่ามือหยาบกร้านของชายชรา
โปรดรับไปเถิด
โฮะๆ! ดีๆ! เจ้าเป็นเด็กดีนัก เจ้าดูมือข้าสิแข็งไปหมดเพราะความเย็น จะเช็ดถูผีผาที่รับฝากไว้ก็ทำไม่ได้ อยากได้ใครสักคนมาช่วยขัดให้จริงๆ
ชายชราทำท่าเหมือนจะกล่าวลอยๆ แม้คิ้วดกหนาและเส้นผมสีขาวจะปิดบังใบหน้าไปเสียครึ่งหนึ่งทว่าก็ไม่อาจปิดบังสีหน้าเจ้าเล่ห์ได้
โปรดให้ข้าช่วยท่านเถิด
เยว่เทียนหมิงเสนอตัวช่วยเหลืออย่างนอบน้อมพลางลงมือขัดผีผาที่สะอาดหมดจดอยู่แล้วให้สะอาดไร้ทีติยิ่งขึ้นไปอีกด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยของตน... และทั้งหมดนั่นก็คือที่มาของความพิโรธของเยว่เทียนอ๋าว...
ชายชราเห็นน้องชายผู้เย่อหยิ่งดื้อรั้นโดนพี่ชายปรามเพียงทีเดียวก็กลัวหงอเป็นเรื่องน่าขบขันยิ่งนัก
เจ้าเด็กฉลาดนี่สำคัญนัก
ผู้สูงวัยคิดพลางพินิจลักษณะของคู่พี่น้อง พลันสายตาก็ไปสะดุดที่ขลุ่ยหยกที่คาดเอวเด็กน้อยผมสีเงิน ทันใดนั้นดวงตาขุ่นมัวจึงเบิกโพลงพลางกระตุกยิ้ม
ดูทีเราคงมีวาสนาต่อกันแล้ว เซียวอวี้[4] ของเจ้านั้นจะนำมาแลกกับ เซียวอวี้ ของข้าได้หรือไม่?
เยว่เทียนหมิงได้ยินจึงเงยหน้าจากผีผา เส้นเอ็นสี่สายของเครื่องดนตรีทรงลูกหลี[5]ในมือเป็นประกายเงาวับสะท้อนกับนัยน์ตาสีเงิน กิเลนน้อยยังคงอมยิ้มก่อนตอบ
ท่านผู้เฒ่าคิดจะลองใจข้าหรือ เครื่องดนตรีก็เปรียบเสมือนแขนขาของนักดนตรีเหมือนที่ผีผาตัวนี้เป็นสิ่งล้ำค่าของท่าน ข้าไม่เห็นประโยชน์อันใดที่ท่านจะได้จากขลุ่ยหยกเลานี้เพราะท่านคือช่างดนตรีผีผา
ชายชราหนวดกระตุกเพิ่งรู้ตัวว่าถูกเจ้าเด็กน้อยลอบสังเกตเช่นกัน
เหตุใดจึงคิดเช่นนั้นเล่า? ข้าเพิ่งบอกไปไม่ใช่รึว่าแค่รับฝากผีผาไว้
นั่นเป็นเพียงข้ออ้าง หากท่านมิใช่นักดนตรีผีผาตัวนี้ก็สมควรหมดจดไร้ริ้วรอย มิใช่ดูเหมือนผ่านการบรรเลงมาโชกโชนเช่นนี้
สิ่งที่เยว่เทียนหมิงกล่าวนั้นเป็นความจริงอย่างที่สุด ช่างดนตรีและนักสะสมนั้นต่างกัน ผีผาไม้ถูกขัดจนเงาระยับ แม้ตัวเครื่องไร้ร่องรอยขีดข่วนทว่าสายเอ็นกลับเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งท่วงทำนองฉายชัด ผีผาตัวนี้จึงเป็นได้เพียงสมบัติของนักดนตรีเท่านั้น
ฮ่าๆ ๆ ข้าดูเบาเจ้าไปแล้ว น่าละอายนัก ชายชราหัวเราะร่า
ข้าทำตามที่ท่านขอสามเรื่องแล้ว ท่านก็สมควรตอบแทนข้าสักเรื่องหนึ่งใช่หรือไม่?
สามแลกหนึ่งงั้นรึ? เจ้ากำลังทำการค้าที่เสียเปรียบไม่เบา เอ้า! อยากได้อะไรก็ว่ามา
ดูแล้วท่านคงเป็นผู้ชำนาญดนตรี แต่แววตากลับหม่นเศร้าเมื่อเอ่ยถึงเซียนดนตรีเซียวอวี้ ท่านผู้เฒ่ามีความใดในใจโปรดแจ้งมาเถิด
บุรุษเฒ่าได้ฟังคำก็ขนลุกซู่ ไม่คาดว่าเจ้าเด็กน้อยจะมองได้ล้ำลึกเช่นนี้ นักดนตรีมีธรรมเนียมที่รู้กัน การได้บรรเลงดนตรีร่วมกับยอดฝีมือนั้นคือสิ่งประเสริฐไร้ที่เปรียบ ทว่าชายชราและเซียวอวี้กลับไม่เข้าหน้ากันจึงย่อมมีเหตุผลสำคัญประการใดประการหนึ่ง ใช้เวลาเพียงไม่นานก็มองขาดถึงสถานการณ์จึงนับได้ว่ากิเลนจันทร์แห่งแสงสว่างคือปราชญ์ผู้เยาว์โดยแท้
ชายชราลูบหนวดเคราสีขาวของตนพลางครุ่นคิด
เจ้าอยากพบเซียวอวี้ไปทำไมรึ?
บิดาให้ข้ามาขอฝากตัวเป็นศิษย์เรียนเพลงขลุ่ยกับเซียนดนตรีเซียวอวี้
เยว่เทียนหมิงประสานมือตอบอย่างมีมารยาท
ฮ่าๆๆ แล้วบิดาเจ้ามิได้บอกรึว่า เซียวอวี้นั้นเลิกบรรเลงดนตรีมานานนมแล้ว!
ผู้สูงวัยกล่าวพลางยิ้มสะใจกับสีหน้าเหรอหราน่ารักของกิเลนน้อยเทียนอ๋าว และยิ้มพอใจกับสีหน้าสงบนิ่งของกิเลนน้อยเทียนหมิง
เอาเถอะ เห็นแก่เรามีวาสนาต่อกัน ข้าจะเล่าให้ฟัง เมื่อหลายสิบปีก่อน สมัยข้ายังหนุ่มแน่นรูปงาม...
ข้าว่าเจ้าน่าจะเริ่มต้นว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนมากกว่า ตัวเจ้ายังกับไม้ผุตายซาก แล้วรูปงามอะไรกันเฮอะ น่ากลัวขนาดนี้ อุ๊บ!
กิเลนน้อยเทียนอ๋าวทะลุกลางปล้องจนเทียนหมิงต้องคว้าตัวหมับมากอดพร้อมเอามือปิดปากไว้ เด็กชายผู้พี่เผยรอยยิ้มแห้งๆ พลางพยักพเยิดให้ชายชราเล่าต่อ
อะแฮ่ม ข้าเป็นมนุษย์ธรรมดาอยู่ได้ถึงหลายร้อยปีที่ไหน พูดแล้วจะหาว่าคุยข้านี่แหละคือเซียนดนตรีผีผาผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพผีผาแห่งแดนมนุษย์ สมัยนั้นข้าได้ยินเสียงเล่าลือถึงแดนสวรรค์ของนักดนตรี ที่น้ำตกเจินจูทันแห่งนี้มีภูติวารีสิบสองนางเป็นเทพเซียนดนตรีอยู่ ข้ามันคนใจร้อนดั้นด้นมาถึงนี่แล้วจึงขอประลองดนตรีกับพวกนาง ประลองไปประลองมาข้าชนะเลยได้เซียวอวี้มาเป็นภรรยา เรารักกันอยู่ดีๆ แต่พอนางมีลูกสาวนางก็แอบถีบข้าตกเตียง ซ้ำยังขับไล่ไสส่งให้มานั่งอยู่ริมน้ำนี่ ข้าร้องเรียกเท่าไรนางก็ไม่ยอมออกมาแถมยังห้ามภูติวารีตนอื่นปรากฏกายอีก สุดท้ายข้าจึงได้แต่นั่งเล่นผีผา วันไหนนางอารมณ์ดีก็จะปรากฏตัวออกมาให้ข้าเห็นสักทีหนึ่ง ข้าขอพบลูกสาวแต่นางกลับตั้งคำถามให้ข้าตอบสามข้อ ข้าตอบแค่ข้อแรกทีไรก็ผิดทุกทีทั้งที่คำถามมันก็ซ้ำๆ เดิมๆ เจ้าหนูน้อยท่าทางฉลาดจะช่วยคิดคำตอบให้ข้าหน่อยได้หรือไม่?
ชายชรากล่าวโอ่ลงท้ายด้วยอาการหอบแฮ่กๆ เพราะพูดติดกันจนลืมหายใจ
โอ๋อู่ อั๋งอ๋านไอ่ไอ้แอ้วอังไอ่เอียม! (โถปู่ สังขารไม่ให้แล้วยังไม่เจียม!)
เยว่เทียนอ๋าวพูดเสียงอู้อี้ทั้งที่โดนปิดปากพร้อมส่งสายตาขอแรงสนับสนุนจากพี่ชาย เยว่เทียนหมิงเพียงกระแอมสองสามครั้งเพื่อปรามน้องชายให้รักษามารยาท
เช่นนั้น เชิญท่านผู้เฒ่าบรรเลงผีผาเพื่อเรียกเซียวอวี้ออกมาเถิด ข้าจะช่วยสุดความสามารถ
ผู้เฒ่าผีผาได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกริ่ม รีบทิ้งเบ็ดตกปลาพลางเดินกระย่องกระแย่งไปกวักน้ำในธารใสมาล้างหน้าล้างมือ เสร็จแล้วจึงล้วงเอาผ้าสะอาดมาเช็ดให้เรียบร้อยอีกทีหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยๆ เอื้อมมือที่สั่นน้อยๆ คว้าจับผีผาสุดรักอย่างทะนุถนอม
เพียงสัมผัสเครื่องดนตรีล้ำค่าชายชราท่าทางเหลาะแหละก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน หลังที่เคยงองุ้มกลับเหยียดตรง แววตาหลุกหลิกกลับขึงขัง บุรุษชรานั่งไขว่ห้างบนโขดหินบรรจงวางผีผาบนตักพิงพาดหน้าอก มือซ้ายประคองกดสาย มือขวากรีดปลายนิ้วทั้งห้าดีดบรรเลง
เสียงผีผาเริ่มด้วยทุ้มต่ำหนักแน่นก่อนลากยาวแหลมสูงราวกับจะกรีดลงกลางหัวใจ ชายชราเร่งจังหวะ น้ำเสียงแหบเครือเอื้อนเอ่ยไปพลาง
โอ้จันทร์! ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า~ข้าไม่อาจคว้าได้
โอ้จันทร์! ลอยเด่นอยู่กลางธารา~ข้าไม่อาจคว้าได้
โอ้จันทร์! เหตุใดจึงมีสองหน้า~ข้าไม่อาจเข้าใจได้
โอ้จันทร์! ส่องแสงเมตตาแต่ใยจึงเย็นชานัก~ข้าเข้าใจไม่ได้
เนื้อเพลงเรียบง่ายแต่สื่อความหมายตัดพ้อน้อยใจชัดเจนราวกับตั้งใจจะฝากรอยแผลลงบนจิตใจของผู้ฟัง เยว่เทียนหมิงถึงกับถอนหายใจด้วยความชื่นชม ฉายาเทพเซียนดนตรีผีผาสำหรับชายชราผู้นี้ดูยังจะน้อยไปเสียด้วยซ้ำ
ข้างฝ่ายเยว่เทียนอ๋าวกำลังตกตะลึง ไม่อยากเชื่อว่าชายชราท่าทางไร้แก่นสารเช่นนี้จะบรรเลงดนตรีได้ไพเราะจับใจนัก
หากเปรียบเสียงขลุ่ยของราชันกิเลนสวรรค์คือธารน้ำฉ่ำเย็นพาจิตใจลอยละล่อง เสียงผีผาของชายชราก็คือเปลวไฟระอุอันร้อนแรงหนักอึ้ง!
*************โปรดติดตามตอนต่อไป*************
[4] เซียวอวี้ แปลตรงตัวว่า ขลุ่ยหยก (เซียว (Xiao) หมายถึง ขลุ่ยจีนชนิดหนึ่ง, อวี้ (Yu) หมายถึง หยก)
[5] ลูกหลี หมายถึง ลูกแพร์
===================================== สำหรับเบื้องหลังบทนี้ ทีมงานทั้งสองได้แรงบันดาลใจมาจากวงนักดนตรีจีนที่ชื่อ 12Girls band ค่ะ และเพลงที่ผู้เฒ่าผีผาเล่นก็เป็นเพลงประมาณนี้ลิงค์นี้เลยค่ะ ^^
หากผู้เขียนทั้งสองผิดพลาดตรงใด ต้องขออภัยล่วงหน้าและขอน้อมรับทุกคำชี้แนะค่ะ
จากคุณ |
:
ZZ&ฟารา (นู๋ครีมสด)
|
เขียนเมื่อ |
:
9 ต.ค. 54 03:27:08
|
|
|
|
 |